ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Last Wizard

    ลำดับตอนที่ #4 : คำเตือนจากดวงดาว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 68
      0
      14 ก.พ. 48

    “ บอกล่าปีเตอร์รึยังสาวน้อย  ”



    “ ใครกันฮะ ”  เฟอร์โรเรนขมวดคิ้วถามพลางจัดผมเผ้าให้เข้าที่เพื่อขับหน้าหวานให้แลดูเป็นเด็กสาวได้แนบเนียนเตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทางไกลอีกครั้ง  



    “ ก็ญาติผู้น้องของเจ้าไง ”  ซิริอัสในคราบชายชราหลังค่อมที่ขาซ้ายเป๋ไปข้างหนึ่งหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นเฟอร์โรเรนปั้นหน้าพิกล   “ เจ้าแมลงสาบตัวน้อยบนหลังตู้นั่นไง ”



    “ อ๋อ! ”  เฟอร์โรเรนทำหน้านึกขึ้นได้  “ ถ้าเป็นเจ้าตัวนั้นล่ะก็ข้าจับต้มซุปให้ท่านกินไปตั้งเมื่อวานแล้วล่ะ ”



    ซิริอัสกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มนิดนึงพร้อมกับคล้องโซ่เส้นหนาเข้ากับบานประตูแล้วล๊อกกลอนแน่นหนา   “ พร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ ”   เขาเร่งเมื่อเห็นลูกชายมีท่าทีลังเลอยู่หน้าประตู   “ หรือว่าเปลี่ยนใจไม่อยากเจอเฟอร์รันแล้ว ”



    เฟอร์โรเรนในคราบเด็กสาวสะดุ้งเฮือกพร้อมกับส่ายศีรษะอย่างแรงจนเรือนผมสีน้ำตาลเข้มปลิวสะบัดก่อนจะออกวิ่งไปเดินเคียงข้าง  

                                                                            ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    “ เอาล่ะไหนเราลองมาทวนกฎเหล็กของการเดินทางกันอีกครั้งซิ ” ซิริอัสเอ่ยขึ้นหลังจากเดินตัดออกจากถนนเข้าสู่ป่าได้พักหนึ่ง



    “  ข้อ ๑.”  เฟอร์โรเรนพูดพร้อมกับชูนิ้วชี้ขึ้น  “ พวกเราเป็นนักท่องเที่ยวที่กำลังจะเดินทางไปร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามที่ฟีเลซวิล  ...ท่านเป็นลุงของข้าชื่อว่าฮาร์ริส   เดลรินูเป็นพ่อค้าดาบจากทางตอนใต้  ส่วนข้าเป็นหลานสาวชื่อเรน่า  หรือ เรน ”  ยกนิ้วกลางขึ้น  “ ข้อ ๒. ข้าห้ามพูดกับคนแปลกหน้าเกินกว่าคำว่า ...สวัสดี  ...ขอโทษและขอบคุณ  ”  ว่าพลางแสดงท่าทางประกอบด้วยการทำตาหวานและโค้งคำนับอย่างอ่อนช้อย “  หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็แกล้งเป็นใบ้หรือเป็นลมลงไปชักดิ้นชักงอบนพื้นเลยก็ได้  ” ก่อนจะชูนิ้วนางขึ้นเป็นนิ้วที่สาม “ ข้อ๓. ข้าห้ามสบตาใครนานเกินห้าวินาที  หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้แกล้งตาบอดไปเลย และห้ามผู้ใดแตะต้องตัวเป็นอันขาดหรือไปแตะต้องตัวเขาก็ไม่ได้  ”  สูดหายใจเข้าลึกพร้อมกับยกนิ้วก้อยขึ้น  “  ข้อ ๔. สุดท้ายสำคัญมาก ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามห้ามใช้เวทมนตร์โดยเด็ดขาดยกเว้นว่ามีปลายดาบมาจ่ออยู่ที่คอหอยเท่านั้น  ”



    “ ดีมาก ”  ซิริอัสบอก  



    “ แล้วจุดหมายแรกของเราอยู่ที่ไหนฮะ ”



    “ ที่เดิม...  เมโพรเชนซี่เมืองที่มีทุกอย่างให้เจ้าเลือกสรรและแหล่งข่าวชั้นยอด ”

                                                                               ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    “ เม – โพร – เชน – ซี่  ” เฟอร์โรเรนสะกดตัวอักษรบนแผ่นป้ายเก่าคร่ำคร่าทีละตัวอย่างคิดถึงหนักหนาที่ไม่ได้มาเห็นซะนาน



    ตามปกติแล้วการขออนุญาตเข้าเมืองจะต้องมีการตรวจค้น  หรือขอดูบัตรผ่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองหลวงมีงานพิธีการสำคัญอย่างนี้สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้เด็ดขาด บรรดาทหารยามอย่างน้อยสิบนายจะต้องยืนเรียงเป็นแถวเฝ้าหน้าประตูเมืองเหมือนสุนัขเฝ้าบ้านและคอยพร่ำบ่นคำที่หน้าเบื่อหน่ายอย่าง “ ขอดูบัตรหน่อยซิ ”   “ เจ้ามาจากไหน ”  และ “ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ”  ก่อนจะโบกมือส่งๆ  ให้  เหมือนกับจะบอกว่า “ หมดเรื่องแล้วจะไปไหนก็ไป ”  พร้อมกับหน้าตาขมึงถึงนั้นปั้นยิ้มหวานที่ดูเหมือนขู่มากกว่าให้   แต่ที่เมโพรเชนซี่นั้นตรงข้ามโดยสิ้นเชิง  ที่นั่งอยู่หน้าป้อมยามมีเพียงโทรลล์ท่าทางเซ่อซ่าโบกมือไล่ให้ทั้งสองผ่านเข้าไปอย่างเบื่อหน่ายเท่านั้น



    และเมื่อผ่านประตูเมืองเข้ามาตัวเมืองที่ซ่อนอยู่หลังกำแพงหนาคือร้านรวงนับร้อยที่ขนเทสินค้าจากทั่วทุกมุมโลกมาให้จับจ่ายกันอย่างมันมือ  และสิ่งสำคัญที่ทำให้เมืองนี้แตกต่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์คือคุณจะได้พบกับทุกเผ่าพันธุ์เท่าที่จะจินตนาการได้บนโลกเบี้ยวๆ  ใบนี้เลยล่ะ  ...แต่บางทีอาจยกเว้นพรายที่ขอครองตัวสันโดษยึดพงไพรเป็นที่พำนักไม่หวนกลับมาให้เห็นหน้าศัตรูคู่แค้นที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์อีกเป็นคำรบสอง



    ที่แรกที่ทั้งสองมุ่งตรงไปคือท่าเรือเพราะการเดินทางโดยเรือจะช่วยย่นระยะทางไปได้กว่าครึ่ง  



    “ เราจะขึ้นท่าที่แลนดิสแล้วไปต่อเรือเหาะกันที่เบอร์เรียน่า  ”  ซิริอัสไล้นิ้วไปตามป้ายแผนที่ข้างท่าเรือพลางอธิบายแผนการเดินทางให้เฟอร์โรเรนฟังคร่าวๆ หลังจากที่เบียดเสียดเยียดยัดกันอยู่นานร่วมสองชั่วโมงกว่าจะเข้าไปซื้อตั๋วรอบหกโมงเช้าของวันรุ่งขึ้นมาได้สองที่  “ หลังจากนั้นก็ต้องออกแรงเดินกันอีกสามวันเพื่อไปให้ถึงฟีเลซวิล  ...เมืองในฝันของสายลมและนักรบผู้องอาจ  ...พักเอาแรงสักคืน  แล้วเราจะไปพิชิตเป้าหมายกัน ”  เลื่อนนิ้วไปหยุดลงบนแผ่นป้ายเชิญชวนไปร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามรับรองพันธะสัญญาเลือดที่เป็นการ์ตูนรูปปราสาทสีขาวน่ารักประดับยอดด้วยธงสีแดงปักดิ้นทองเป็นรูปมงกุฎทับบนดาบไขว้มีสิงห์สองตัวกำลังผงาดเงื้อมขนาบข้าง



    “ เราจะขึ้นเรือเหาะด้วยเหรอฮะ ” เฟอร์โรเรนถามอย่างกระตือรือร้น



    “ หรือเจ้าจะเดินไปล่ะ ” ซิริอัสแซว  “ บอกไว้ก่นนะว่าครั้งแรกข้าก็เป็นอย่างเจ้านี่แหละ  แต่พอครั้งนั้นผ่านไปข้าก็ขยาดจนไม่อยากให้มีรอบสองเลยล่ะ ”



    “ เรื่องนั้นเอาไว้ว่ากันทีหลังละกันฮะ ”



    หลังจากนั้นสองพ่อลูกก็เตร็ดเตร่เดินเที่ยวตามร้านรวงต่างๆ  เพื่อจับจ่ายซื้อเสบียงกรังไว้ใช้สำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้  จนเมื่อสนธยาเริ่มมาเยือนทั้งสองจึงตัดสินใจมองหาที่พักเพื่อพักผ่อนเอาแรง



    “ ฮึ ”  เฟอร์โรเรนอุทานในลำคอพลางหมุนตัวกลับรวดเร็ว แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สองตาคือผู้คน ( และที่ไม่ใช่คน ) เดินกันขวักไขว่



    “ มีอะไรเหรอ”  ซิริอัสกระซิบถามที่ข้างหูพลางสอดส่ายสายตาที่คมไวกว่าออกไปเมื่อเห็นเด็กสาวที่เดินเคียงคู่ดูลุกลี้ลุกลนและลอบหันกลับไปมองข้างหลังเป็นครั้งที่สาม  



    “ ข้าคงระแวงมากไปหน่อยน่ะท่านลุง ”  เฟอร์โรเรนตอบปัดไปหากแต่ยังรู้สึกเสียวไขสันหลังไม่หาย



    “ ขี้ระแวงดีกว่าเผอเรอ ”  ซิริอัสว่าพร้อมกับเร่งฝีเท้าก้าวนำไป ทำทีเหมือนไม่ใส่ใจแต่ถ้าสังเกตถึงสายตาที่มองกราดออกไปผู้ที่มุ่งร้ายคงอ่านออกได้ไม่ยากเย็นถึงสาสน์ท้ารบที่ประกาศไว้ชัดเจนว่า   ...ถ้าไม่กลัวตายก็ลองแตะเด็กคนนี้ดูสิ...

                                                                                 ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    “ จะรับกี่ห้องดีคะนายท่าน ”  พรายปิศาจสาวสวยเจ้าของโรงแรมใช้ปลายนิ้วม้วนเขี่ยปอยผมสีน้ำตาลทองข้างหูดึงเล่นอย่างยั่วยวนเต็มที่เมื่อทั้งสองเข้าไปติดต่อหาห้องพัก  ด้วยถูกสายตาคมลึกลับมีเสน่ห์สีดำขลับสะกดเข้าอย่างจัง  จนเฟอร์โรเรนแอบนึกขำในใจว่าถ้าซิริอัสเดินเข้ามาในมาดแม่ทัพแห่งฟีเลเซียเต็มยศไม่ใช่ชายสูงวัยขาพิการแบบนี้เจ้าหล่อนคงได้กระโดดขึ้นคร่อมพร้อมฟัดไปแล้ว  นึกแล้วก็อดยิ้มกลั้วขำไม่ได้จนผู้ถูกแอบนินทาหันมามองค้อนด้วยความสงสัย



    “ ยิ้มอะไรน่ะ ” ซิริอัสถามพลางส่งสายตาดุมาให้หลังจากปิดประตูใส่เด็กยกกระเป๋าที่ดูจะเอาใจใส่พวกเขาเป็นพิเศษจนน่ารำคาญ  และโยนข้าวของที่ซื้อมาลงบนเตียง



    เฟอร์โรเรนผิวปากเล่นหูเล่นตาให้แทนคำตอบ

                                                                                 ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    “ เจ้าเป็นใคร ” น้ำเสียงสงบเรียบกระซิบถามแผ่วเบาที่ข้างหูของผู้ที่ถูกดาบจ่อไว้ข้างซอกคอ  ด้วยเกรงว่าจะรบกวนเด็กหนุ่มที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวในห้องพัก  “ ...ถึงได้มาเดินเล่นหน้าห้องข้าดึกๆ  ดื่นๆ  แบบนี้ ”  ซิริอัสกดคมดาบเย็นแนบคอผู้ล่วงล้ำแน่นขึ้นอีกเมื่อไร้คำตอบ  ร่างที่อยู่ในอุ้งมือสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว



    “ ขาท่านไม่ได้พิการหรอกหรือ ”  



    ซิริอัสอดพิศวงไม่ได้กับน้ำเสียงที่มั่นคงดุจผาหิน เขาดันหลังร่างตรงหน้าให้เข้าใกล้แสงไฟที่สาดส่องมาจากตะเกียงตามทางเดินเพื่อดูหน้าให้ชัด  “ เปล่า ”   ซิริอัสตอบเย็นๆ  “ มันยังสมบูรณ์ดีพร้อมจะกระทืบเจ้าได้ทุกเวลาเชียวล่ะ ”



    ร่างที่ต้องแสงไฟเป็นเด็กยกกระเป๋าเมื่อตอนเย็น  แต่สิ่งที่ทำให้ซิริอัสประหลาดใจคือดวงตาของเขาว่างเปล่าดูเหม่อลอยเหมือนคนกำลังหลับลึกไม่มีผิด และเสียงทุ้มต่ำที่ลอดออกจากปากนั้นก็แทบไม่เหมือนเสียงของเขาสักนิด



    “ เป็นเกียรติแย่แล้ว ”  เด็กหนุ่มว่าพร้อมกับยื่นหน้าเข้าใกล้อย่างไม่กลัวเกรง  “ อย่าให้คลาดสายตาล่ะ....  หลานสาวคนสวยของท่านน่ะ...  ท่านแม่ทัพ...  ”  พูดจบร่างนั้นก็สั่นสะท้านรุนแรงก่อนล้มกองลงกับพื้น  ครู่หนึ่งจึงงัวเงียลุกขึ้นมา   “  โอ๊ะ! ท่านฮาร์ริสท่านมีธุระอะไรให้ข้ารับใช้ครับ ”  พูดพลางยกมือขึ้นเกาต้นคอที่เป็นผื่นแดงเพราะถูกยุงกัด



    ซิริอัสตวัดดาบเข้าซ่อนใต้เสื้อคลุมนอน  ค้อมตัวลงเล็กน้อยและหรี่ตามองร่างตรงหน้าชั่วครู่แล้วระบายยิ้มลงบนเรียวปาก  “ ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้าว่าทำไมถึงมานอนเฝ้าหน้าประตูห้องข้า...  หรือคิดจะแอ้มหลานสาวข้า... ฮึ! ”



    เกิดสีแดงระบายเรื่อที่แก้ม  เด็กยกกระเป๋าคนนั้นรีบก้มหัวขอโทษขอโพยแล้วตาลีตาลานวิ่งก้มหน้างุดลงบันไดไป



    “ หลานชายข้านี่ก็ร้ายไม่เบาแฮะ ” กลั้วเสียงหัวเราะลงคอก่อนจะสะดุ้งเฮือกขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมา  ซิริอัสหมุนกายกลับหลังหันรวดเร็วตามทิศที่จับที่มาได้  แต่เขาก็แทบจะแน่ใจในทันทีว่าทางเดินนั้นว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิตใดนอกจากยุงลายฝูงหนึ่งที่บินตอมหาเลือดกิน   ดวงตาคมหรี่ลงอีกครั้งอย่างรู้สึกสงสัยแต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นอะไรจึงได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้แล้วกลับเข้าห้องไปนอนต่อ  โดยที่เจ้าตัวต้นเหตุก็ยังคงหลับสนิทไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเดิม



    บนถนนโรยกรวดตรงหน้าต่างห้องที่พักพอดี   ร่างสูงสะบัดเสื้อคลุมขนสัตว์คลุมกายก่อนจะทอดถอนหายใจยาว  หน้าอกเรียบสีมะกอกที่ขยับยกขึ้นลงอย่างแรงทำให้สายสร้อยยาวห้อยแท่งหินสีม่วงกระทบกับจี้โลหะรูปดาวห้าแฉกในวงกลมที่ตรงกลางสลักลายเป็นรูปตัว “ J ” เกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเบาๆ    ร่างสูงแหงนหน้าขึ้นมองดวงดาวพราวระยับบนท้องฟ้า   เคียงข้างดาวเหนือดาวดวงเล็กจิ๋วกำลังทอประกายกล้าท้าทาย  รอยยิ้มบางดูอบอุ่นฉายให้เห็นบนเรียวปากแวบหนึ่ง  “  อย่าให้คลาดสายเชียวนะ ”  เขาเอ่ยเบาๆ  ก่อนจะสะบัดเสื้อคลุมอีกครั้งแล้วหายลับไปกับฝูงชนที่ออกมาเดินท่องราตรี

                                                                ~Ж Ж=== ===Ж Ж~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×