คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : หัวใจมหานที(1)
ในที่สุดพวกเขาก็สามารถเข้าถึงชายฝั่ง เฟอร์โรเรนไม่รอช้ากระโจนลงนอนเกลือกกลิ้งคลุกหาดทรายทันที
“ ให้ตาย! คิดถึงแผ่นดินเป็นบ้าเลย ”
“ เอ้า! พอได้แล้ว ” สแปร์โรว์ว่าขำๆ เมื่อเห็นเขาหอบกอบเอาทรายขึ้นมากอดจูบซ้ำแล้วซ้ำอีก “ เจ้าต้องรีบไปเชิญคัมภีร์ไม่ใช่หรือไง” เขาเตือนสติพร้อมกับชี้มือไปที่วิหารหินอ่อนสีขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาสูง
“ โอ๊ย! อย่าให้เจอเจ้าตัวประหลาดแบบนั้นอีกเลยนะสาธุ ” ยามิวยกมือขึ้นกุมตรงหน้าอกเพื่อวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์
สแปร์โรว์ยิ้มบาง และเดินไปทางหัวเรือโพไซดอนที่ลอยลำอยู่ในน้ำตื้น ยกมือทั้งสองขึ้นราวกับจะโอบกอดหัวเรือที่เป็นรูปผู้ชายตัวใหญ่มีหางเป็นปลาและถือสามง่ามดูทรงพลัง ท่าทางดุร้ายแต่นัยน์ตาสีน้ำทะเลนั้นดูอบอุ่น “ อวยพรให้ข้าด้วยนะท่านจ้าวสมุทร ” กระซิบเบาๆ พร้อมกับจุมพิตลงบนลำเรือ
เฟอร์โรเรนยืนดูการกระทำของทั้งสองเงียบๆ นัยน์ตาว่างเปล่า เขาไม่คิดจะทำอะไรนอกจากรอคอยและออกเดินทางทันทีที่มารวมกับครบ
~Ж Ж=== ===Ж Ж~
“ เป็นวิหารที่สวยงามมากเลยนะพวกเจ้าว่าไหม ” หญิงสาวของแท้คนเดียวภายในกลุ่มพูดขึ้นพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ โถงหินอ่อนกว้าง “ ว่าแต่คัมภีร์ถูกเก็บอยู่ที่ไหนกันล่ะ ”
“ ลองเรียกดูสิเดี๋ยวก็ออกมาเองแหละ! ” นิมฟ์พูดกวนๆ แต่สแปร์โรว์เห็นด้วย
“ โอ้ว! เป็นความคิดที่ดีนะ... งั้นลองดูเลยดีกว่า... ” เขาป้องปากสูดลมหายใจและ “เฮ้! เจ้าคัมภีร์สันติภาพอยู่ที่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ... พวกเรามาเชิญท่านกลับไปทำงาน... ได้ยินไหมออกมาหน่อยสิ!! เฮ้!!! ”
โป๊ก!!
นิมฟ์เขกกบาลคนปากดีโป๊กใหญ่ “ เจ้าน่ะเล่นให้ดูที่ต่ำที่สูงซะบ้างสิที่ข้าบอกให้เรียกน่ะหมายถึงทำพิธีเรียกเว้ยไม่ใช่ตะโกนปาวๆ แบบนี้!! ”
“ เอ๊า! แล้วก็ไม่บอก ”
“ แล้วทำยังไงล่ะ ” เฟอร์โรเรนถามพลางมองสำรวจหลังแท่นบูชาที่เป็นภาพวาดสีน้ำมันรูปไทรทันหรือกึ่งเทพพระเจ้าแห่งท้องทะเลที่มีหางเป็นปลาและกีบม้าแต่ส่วนบนเป็นมนุษย์ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาถือแตรหอยสังข์ รู้สึกต้องใจบางอย่างราวกับโดนความงามและเสียงแตรสังข์นั้นสะกด
“ คล้ายๆ กับตอนที่อัญเชิญศิลาปฐพีแหละ ”
“ แต่เราสำรวจจนทั่วแล้ว... ที่นี่ไม่มีโลงหรือร่างของโดลิแวร์เลยนะแล้วเราจะกรีดเลือดสาบานกับใครล่ะ ”
“ ถึงไม่มีร่างก็ต้องมีตัวแทน ” นิมฟ์บอก “ บางทีอาจเป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ ”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยและเริ่มลงมือสำรวจอีกครั้งแต่ก็เหลวเหมือนเดิมจนเวลาผ่านไปเนิ่นนานและพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
“ ไม่ไหว! ทำยังไงก็หาไม่เจอเลย ” สแปร์โรว์พูดพร้อมกับหอบแฮ่ก “ ไม่ว่าทางลับหรือคำใบ้! ไม่มีอะไรเลย!! ”
“ แล้วจะทำยังไงดีล่ะ... พระอาทิตย์ก็ตกดินแล้วด้วย... นิมฟ์! เจ้าไม่รู้อะไรเลยเหรอ ” ยามิวหันไปขอความเห็นภูตจิ๋วที่เอาแต่เกาะลูกแก้วลอยไปลอยมา
“ ข้ารู้แต่วิธีอัญเชิญแต่ไม่รู้สถานที่ที่ต้องไปเชิญนี่! ” มันบอกปัด
ทั้งสามเริ่มจะเปิดสงครามย่อยๆ เพราะต่างก็กำลังเครียดเขม็งถึงเครียดสุดกับสถานการณ์และอันตรายที่เริ่มคุกคามเข้ามาเมื่อดวงอาทิตย์ดับแสง ยกเว้นเฟอร์โรเรนที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยทั้งที่ตัวเขาเองน่าจะเป็นคนที่ร้อนใจมากที่สุด
เขาเอาแต่ยืนจ้องภาพเงือกหนุ่มในรูปภาพที่อยู่หลังแท่นบูชา... ดวงตาสีเขียวสดของมันเหมือนกำลังมองจ้องกลับมาที่เขาราวกับพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง
“ ตามบทลำนำจากห้วงธารา... ”
“ เจ้าว่าอะไรนะ ” นิมฟ์หันขวับมามอง
“ มันเขียนไว้บนภาพ... นี่ไง... ” เฟอร์โรเรนว่าพลางชี้ไปที่เลียวคลื่นของรูปภาพ ทั้งสามชะโงกหน้าเข้ามาและต้องใช้เวลาเกือบห้านาทีจึงเห็นในสิ่งที่เขาต้องการให้เห็นตัวอักษรสีฟ้าที่ซ่อนอยู่ มันถูกเขียนขึ้นอย่างแยบยลจนดูเหมือนลวดลายของเกลียวคลื่น
“ ตามบทลำนำจากห้วงธารา... ” เฟอร์โรเรนอ่านออกเสียงให้คนอื่นๆ ฟัง
ตามบทลำนำจากห้วงธารา
เสียงเพลงนำพาผู้หลงทางสิ้นอาดูร
เพลงครวญแห่งหนทางหมดสิ้นสาบสูญ
ข้านำความหวังของผู้สิ้นทางให้หมดสิ้น
ไปสู่นิรันดร์คืนถิ่นร้างไกลไร้พลัง
“ พวกเจ้าคิดว่ามันมีความหมายอะไรหรือเปล่า ”
“ เงือกพวกนี้จะเป่าแตรให้ผู้ที่หลงทางเมาเคลิบเคลิ้มไม่ได้สติ ” สแปร์โรว์บอกอย่างผู้เจนสมุทร “ แล้วหลอกล่อไปฆ่าทำเป็นอาหารของพวกมัน... ข้อความมันก็บอกชัดเจนอยู่แล้วยังต้องสงสัยอะไรอีก ”
“ ข้าว่าเจ้าเลิกสนใจข้อความบ้าๆ นี่แล้วมาช่วยหาคัมภีร์จะดีกว่านะ ” นิมฟ์แขวะ
“ แต่ข้าว่า... ”
“ ข้าบอกว่าเลิกก็คือเลิก!! ” นิมฟ์เริ่มขึ้นเสียง “ เข้าใจไหม เจ้าหนู!! ”
“ ข้าไม่ใช่เจ้าหนู!! ” เฟอร์โรเรนโต้กลับชักจะเดือดบ้างแล้ว “ ข้าก็แค่ขอความเห็น!! ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ!! ไม่เห็นต้องตะคอกใส่กันเลย!! ”
“ ไม่ได้ตะคอกแค่เสียงดัง!! ”
“ เฮ้ย แยก
แยก
! ” สแปร์โรว์แทรกเข้ามากั้นกลาง เขาหันไปทำหน้าทะเล้นเชิงอ้อนวอนใส่เฟอร์โรเรนก่อนจะหันไปยิ้มกว้างให้นิมฟ์แต่นัยน์ตาดำด้านนั้นสื่อความหมายที่ต่างออกไป ภูตจิ๋วจ้องกลับเหมือนจะท้าทายก่อนจะกระพริบตาเนิบช้าแล้วหมุนตัวบินเลี่ยงไปอีกทาง
“ อ่ะนะ!... อย่าคิดมากเลยนะเรนจัง หมอนั่นมันก็เป็นพวกปากหมาด่าเจ็บอย่างนี้แหละ... นะ... ”
“ เจ้ารู้ได้ยังไง!... ในเมื่อเจ้าเพิ่งรู้จักหมอนั่นแค่สองวัน ”
“ ก็แหม...” สแปร์โรว์ยิ้ม หากนัยน์ตากรุ้มกริ่มแฝงเลศนัยน์พิกล “ บางครั้งความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนก็อาจลึกซึ้งได้ยิ่งกว่ารู้จักกันชั่วนิรันดร์นะสาวน้อย ”
“ แหวะ!! ” เฟอร์โรเรนยิ้มได้ในที่สุด เขาฟาดผัวะหยอกๆ เข้าให้ที่กลางหลังฉับพลันชายหนุ่มกลับยกมือขึ้นกุมหน้าอกแน่น เข่าทรุดลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง “ ฮอร์ค! เจ้าเป็นอะไรไป
ข้าขอโทษ
เจ้า
”
นัยน์ตาของสแปร์โรว์เบิกโพลง หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกจากหน้าอก สังหรณ์ลึกๆ ในใจบอกว่ากำลังเกิดเหตุร้ายแรงบางอย่างพลันเสียงกรีดร้องด้วยความหวั่นวิตกของยามิวก็ดังขึ้นราวกับจะตอกย้ำ ทั้งคู่หันไปมอง
หญิงสาวยืนเกาะราวกั้นตรงระเบียงด้วยร่างอันสั่นเทา มือข้างหนึ่งชี้ออกไปยังท้องฟ้ากว้างที่มีกลุ่มควันสีดำพวยพุ่ง
“ มันมาจากทะเล ” เธอบอกเสียงสั่นเมื่อทั้งสองวิ่งเข้ามาสมทบ “ ทางที่พวกเราจอดเรือเอาไว้ ”
“ ข้าหวังว่านั่นจะเป็นควันที่เจ้าพวกนั้นใช้ย่างเนื้ออะไรสักอย่างกินกัน ” สแปร์โรว์ทำเหมือนพูดเล่นแต่ฝ่ามือทั้งสองนั้นกำแน่นจนเส้นเอ็นขึ้นเด่นชัด
“ ใช่! ย่างเนื้อ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังทั้งสามผวาหันไปมอง ฉับพลันความหวาดกลัวและตกใจเหลือคณานับก็ถาโถมเข้าใส่เมื่อเห็นแม่ทัพโลกปิศาจยืนเคียงคู่อยู่กับชายผมทองอีกคน
“ แถมยังเป็นเนื้อมนุษย์สดๆ ที่เพิ่งตายซะด้วย ”
“ เจ้า!! หรือว่า... ”
“ ก็แค่มนุษย์เดนตายยี่สิบสามสิบคน... เหงื่อยังไม่ทันหยดเสียด้วยซ้ำช่างน่าเวทนาจริงๆ ที่ริอาจหันดาบใส่ข้า... เอาล่ะเจ้าหนู” ควอร์ซิสหันมาหาเฟอร์โรเรน “ ยอมมากับข้าเสียดีๆ และอย่าคิดนะว่าคราวนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้าหนีไปได้เหมือนตอนอยู่ที่ท่าเรือ ”
ระหว่างที่ควอร์ซิสมัวแต่สนใจเฟอร์โรเรน สแปร์โรว์ยืนกำหมัดแน่นด้วยความแค้นมากมายที่อัดแน่นอยู่ในอก ภาพใบหน้าของบรรดาลูกเรือที่รอนแรมฝ่าคลื่นลมกับเขามานานนับสิบปีฉายขึ้นซ้ำในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า... เขาจะไม่ปล่อย... จะไม่มีวันให้อภัยพวกแกแน่... เจ้าพวกปิศาจ!!
“ ตายซะเถอะแก!! ” เขาร้องเสียงดังพร้อมกับกระโจนเข้าใส่ ดาบเล่มยักษ์ถูกชักออกฟาดฟันเต็มเหนี่ยงวหากถูกรับได้สบายๆ ด้วยม่านพลังที่ชายผมทองสร้างขึ้น
“ กระจอกซะไม่มี ” วูล์ลีเฟรว่าเพียงแค่เขาสะบัดมือเบาๆ ร่างของสแปร์โรว์ก็กระเด็นไปกระแทกโครมเข้ากับผนังด้านหนึ่งที่พังยับลงมาทับร่างจนมิด
“ ฮอร์ค!! ” เฟอร์โรเรนร้องลั่นพร้อมกับร่ายคาถาเรียกลมมาเป็นดาบพลางบุ้ยใบ้ให้ยามิวไปแอบอยู่กับนิมฟ์ที่หลังแท่นพิธี
“ โอ๊ะโอ๋!! จะสู้งั้นเรอะ... ท่าทางจะยังไม่เข็ดงั้นสินะ ” ควอร์ซิสว่าพร้อมกับชักดาบออกบ้าง “ วูล์ฟ! ข้าฝากเก็บกวาดเจ้าสวะนั่นด้วย ส่วนเจ้าเด็กนี่ข้าจัดการเอง ”
ชายผมทองดูไม่พอใจนักกับคำสั่งแต่เมื่อซากกำแพงหินหนักหลายสิบตันขยับน้อยๆ ก่อนจะลามร้าวแล้วแตกละเอียดในพริบตาเขาก็ยิ้มออก พร้อมกับยกมือขึ้นหักนิ้วดังกร๊อบ! กร๊อบ! และก้าวเข้าหาชายหนุ่มที่ยืนเอาดาบพาดบ่าอยู่ท่ามกลางเศษเล็กเศษน้อยของก้อนหินที่เคยเป็นกำแพงหนามาก่อน
“ ข้าจะฆ่าเจ้า!! ” สแปร์โรว์ยืนกรานด้วยแรงอาฆาตพร้อมกับพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง
“ ฝีมือมีแค่นี้หรือไง! ” วูล์ลีเฟรว่าเมื่อทั้งหันคมดาบเข้ายันกัน ใบดาบของ สแปร์โรว์สั่นระริกในขณะที่ชายผมทองแทบไม่สะทกสะท้าน เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้และแลบลิ้นเลียแก้มอย่างหิวกระหาย
สแปร์โรว์สะดุ้งสุดตัว เขากระโดดถอยหลังไปตั้งหลักไกลหลายเมตรด้วยความพรั่นพรึง ปลายลิ้นที่สัมผัสราวกับอเวจีอันร้อนระอุที่จะแผดเผาทั้งร่างให้มอดไหม้... เขากำลังโดนมันดูดกลืนพลังชีวิต!
“ เจ้านี่ไม่ธรรมดาแฮะ! ” วูล์ลีเฟรว่าพร้อมกับก้าวเข้าหา “ อร่อย... อร่อยจริงๆ ถึงจะไม่เท่ากับเจ้าหนูนั่นแต่ก็ถือว่าชั้นยอด ”
...ชั้นยอดงั้นรึ! ...ฮึ! แบบนี้ข้าควรจะดีใจใช่ไหมเนี่ย!!...
สแปร์โรว์ครุ่นคิดอย่างสับสนเพราะแค่เพียงชั่วพริบตาตอนนี้พวกเขาก็ตกอยู่ในกรงล้อมของศัตรู สารพัดปิศาจตัวน้อยใหญ่ปรากฏกายขึ้นอย่างเงียบเชียบด้วยอาศัยจิตสังหารของเจ้านี่เป็นที่ซ่อนทำให้จับที่มาไม่ได้... พอรู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว...
เขาเหลือบมองเฟอร์โรเรนทางหางตานึกทึ่งไม่น้อยที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะกล้าจับดาบหันเข้าใส่แม่ทัพแห่งโลกปิศาจตัวต่อตัว... ซิริอัส! ท่านเลี้ยงลูกของเขาคนนั้นได้ดีไม่มีที่ติจริงๆ... ที่เหลือก็แล้วแต่เจ้าแล้วนะสิงห์ขวา... จะเอายังไงล่ะ... จะยอมไหมที่ผูกชะตาชีวิตไว้กับเด็กคนนี้...
“ ข้าจะไม่มีวันส่งศิลาปฐพีให้เจ้า ” เฟอร์โรเรนย้ำหนักแน่นไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็จะขอยืนยันคำเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “ และจะฆ่าเจ้าให้ได้ด้วยควอร์ซิส ” พร้อมกับฟาดดาบลมเข้าใส่เป็นสาสน์ท้ารบ
ควอร์ซิสใช้มือเพียงข้างเดียวรับง่ายดายแทนคำตอบ “ อย่าบอกนะว่าเพื่อล้างแค้นให้ไอ้กษัตริย์กิ๊กก๊อกนั่น... ” และกระชากให้เข้ามาใกล้
เฟอร์โรเรนคาดไว้อยู่แล้ว ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาเปลี่ยนดาบจากธาตุลมให้เป็นไฟลามลุกไหม้ทั่วทั้งร่างแม่ทัพหนุ่ม
แต่ควอร์ซิสที่ทั้งกำลังลุกไหม้ไม่ยี่หระ เวทย์ไฟเพียงเท่านี้ไม่อาจทำอะไรเขาได้แม้ปลายขน ควอร์ซิสยื่นมือออกมากำรอบคอเฟอร์โรเรนแล้วยกขึ้นและวินาทีนั้นเองดาบเล่มยักษ์ก็ลอยหวือข้ามห้องมาปักเข้าที่ลำแขนของเขา
“ ปล่อยเธอซะ! ” สแปร์โรว์พูดเสียงเย็น เมื่อควอร์ซิสเหลียวมองทางหางตาราวกับดาบที่ปักคาอยู่บนแขนนั้นเป็นแค่ไม้จิ้มฟันอันเล็กจ้อย
“ เจ้าบ้าเอ๋ย! ” เฟอร์โรเรนสบถ “ ทิ้งดาบทำไม! ไม่ต้องสนใจข้าห่วงแต่ตัวเองเถอะ... ฮอร์ค!!! ”
ไม่ทันสิ้นคำร้องเตือนร่างของสแปร์โรว์ก็ทรุดฮวบด้วยแรงหมัดที่พุ่งอัดเข้าที่ท้องน้อย เลือดก้อนโตพุ่งทะลักขึ้นมาตามลำคอ... แต่เลือดนั้นไม่ธรรมดา สีของมันไม่ใช่สีแดงแต่เป็นสีเงินยวง!
“ เอวิลอิสหรอกเหรอ ” วูล์ลีเฟรเอ่ยขึ้นพร้อมกับแลบลิ้นเลียหยดเลือดที่เปื้อนเปรอะฝ่ามือ “ มิน่าล่ะ! ถึงได้อร่อยนัก... คิดไม่ถึงเลยแฮะว่าหลังจากสงครามจักรวรรดิคราวที่แล้วยังมีพวกสวะทรยศหลงเหลืออยู่อีก ”
“ ชาวเราไม่เคยทรยศใคร! ” สแปร์โรว์บอกเสียงเรียบแต่ฝ่ามือทั้งสองนั้นกำแน่นด้วยความโกรธแค้น “ พันธะที่ไม่มีตัวตนย่อมไร้ค่าที่จะทำตาม ”
“ แต่ข้าไม่คิดว่าสิ่งที่ฆ่าล้างเผ่า... ถึงจะแค่เผ่าเล็กๆ เน่าๆ ก็เถอะ! มันจะไร้ค่าหรอกนะ ”
สแปร์โรว์ขบกรามแน่น เขาชักมีดสั้นออกมาพร้อมกับพุ่งเข้าใส่ด้วยความแค้นที่ไม่ใช่แค่ ณ ปัจจุบันแต่ยังเกี่ยวโยงถึงสายเลือด... พวกพ้องญาติพี่น้องที่ถูกสังหารสิ้นในชั่วข้ามคืนด้วยฝีมือของดาบเพียงเล่มเดียว
ร่างที่กองสุมสูงขึ้นศพแล้วศพเล่าต้องใช้เวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนจึงจะฝังกลบหมดสิ้น... สายธารเลือดที่หลั่งรินทั่วผืนดินต้องใช้เวลานานนับเดือนจึงจะเหือดแห้ง... กลิ่นคาวเลือดที่ยังอวลติดจมูกต้องใช้เวลานับปีถึงจะจางหายแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยจางหายไปเลยคือความเคียดแค้นที่สุมแน่นอยู่ในอก
มีดของสแปร์โรว์ไม่อาจแตะต้องวูล์ลีเฟรได้แม้ปลายขน... ‘พันธะที่ไม่มีตัวตน’แต่คำสาปของมันกลับส่งผลอย่างร้ายกาจ
“ ฮะฮะฮ่า! ยอมแพ้ซะเถอะ... พวกสวะอย่างแกทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ”
สแปร์โรว์รอดความตายไปได้ฉิวเฉียดเมื่อเขาใช้สายรัดข้อมือที่ทำจากเหล็กช่วยรับอานุภาพทำลายล้างของดาบแต่มันก็ฝากแผลฉกรรจ์ไว้บนหน้าอกและรอยกรีดลึกยาวทั่วทั้งลำแขนขวา
“ ดาบ! ฮอร์ค! ”
“ ขอบใจ ” สแปร์โรว์ฉวยดาบคู่ใจกลางอากาศและยกขึ้นตั้งรับการจู่โจมครั้งถัดมาได้ทันแต่แรงอัดจากการปะทะเค้นเลือดจากกายเขาไปได้อีกโข เลือดสดๆ สีเงินไหลอาบทั้งลำแขนจนมือขวาแทบจะกุมดาบไว้ไม่อยู่
วูล์ลีเฟรแสยะยิ้ม เสี้ยววินาทีเขาสะบัดดาบกลับแล้วแทงสวนเข้ากลางตัว สแปร์โรว์ที่หงายหลังหลบไปได้เฉียดเส้นยาแดงแต่แรงอัดของมันก็ซัดร่างเขาปลิวไปกระแทกผนังร่วงลงมากองอย่างหมดสภาพข้างแท่นบูชา
“ นักดาบฝีมือขนาดเจ้าน่าจะใช้ดาบได้ทั้งสองมือไม่ใช่หรือไง ”
เสียงนิมฟ์กระซิบขึ้นที่ข้างหูกึ่งจะเย้ยหรือแนะนำเขาก็ไม่แน่ใจ
“ ข้ายังไม่อยากถูกเด็กคนนั้นเกลียด ”
“ ให้พรายชอบมนุษย์เถอะ!! ” นิมฟ์ตบหน้าผากตัวเอง “ สาบานมาซิว่าเจ้าไม่ได้พูด ”
แต่สแปร์โรว์ไม่ได้สนใจฟังเมื่อปิศาจฝูงหนึ่งกรูเข้ามา และแค่ตวัดดาบเพียงครั้งเดียวร่างของพวกมันก็กระตุกวูบวิญญาณลอยออกจากร่างก่อนที่จะรู้ตัวว่าหัวหลุดจากบ่าไปกลิ้งอยู่ที่พื้นเสียอีก
ร่างหนึ่งลอยละลิ่วข้ามห้องมากระแทกล้มกลิ้งไปด้วยกัน
“ โทษทีฮอร์ค... ในอากาศมันไม่ที่ให้เบรกน่ะ ว่าแต่จะเอายังไง... ต่อดี... ” เฟอร์โรเรนมองสำรวจร่างที่โชกเลือดของชายหนุ่มตรงหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังยืนอยู่ได้สลับกับควอร์ซิสและวูล์ลีเฟร (เขาพยายามไม่สนใจปิศาจอีกฝูงใหญ่ๆ ที่รุมล้อมเข้ามา) ชั่งใจระหว่างหนีเอาชีวิตรอดกับการตามหาคัมภีร์ต่อ
ฉับพลันเฟอร์โรเรนก็สังเกตเห็นว่าสิ่งที่เขาชนล้มได้มีแค่ร่างของชายหนุ่มแต่ยังโดนเอาแท่นบูชาเคลื่อนออกจากฐานเผยให้เห็นช่องทางเดินเล็กๆ ข้างล่าง
“ มาเถอะ ” เขาบอกคนอื่นๆ พลางดันตัวเองลงไปก่อน
สแปร์โรว์กวาดตามองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหยุดที่เสาคู่หนึ่งที่หน้าประตูใหญ่ เขายิ้มพร้อมกับตั้งดาบขึ้น
ดูเหมือนควอร์ซิสจะตามแผนนั้นทัน เขาซัดพลังผลักปิศาจกลุ่มหนึ่งเข้าขวางทางดาบแต่ร่างของพวกมันก็ถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในชั่วพริบตา
ทันทีที่เสาสองต้นซึ่งเปรียบเสมือนแกนหลักถูกทำลายลง มหาวิหารก็สั่นครืนไปทั้งหลัง ควอร์ซิสใช้มนตร์ตรึงร่างพวกปิศาจที่พยายามหนีตายไว้กับพื้น ให้ร่างของมันรองรับชิ้นส่วนของวิหารที่พังทลายลงมา
เสียงแตรสังข์ดังแว่วมาผะแผ่วพร้อมกับสายลมที่พัดสู่ทะเล ณ กรอบรูปไทรทันเหนือแท่นบูชา น้ำหยดหนึ่งซึมออกจากดวงตาไหลรินลงสู่ห้วงมหาสมุทร หากในท้องทะเลของจริงที่อยู่ถัดออกไปมรสุมลูกใหญ่ยักษ์ที่ประวัติศาสตร์ไม่เคยมีมาก่อนกำลังก่อตัวขึ้นช้าๆ เตรียมปั่นป่วนทุกชายฝั่งที่น้ำทะเลจะพัดถึง
“ ใครสั่งให้เจ้าทำลายที่นี่กัน! ” เฟอร์โรเรนถามเสียงเขียวเมื่อเขาไถลตัวตามลงมาและดันแท่นกลับปิดทางเข้าออก ภาพนิทราในฝันที่กำลังพังพินาศยังตามหลอกหลอนเขาไม่เลิก
“ ต่อให้ข้าไม่ทำพวกปิศาจก็ถล่มที่นี่จนไม่เหลือซากอยู่ดี!! ”
“ เรายังมีอย่างอื่นให้คิดมากว่าจะมัวมากัดกันนะ ” นิมฟ์ว่าพลางชี้ไปที่ประตูหินหนาสี่บานซึ่งปิดล้อมทางหนีเอาไว้ทุกด้าน “ แยกกันไปคนละทาง... และข้าขอคำสัญญาจากใครก็ตามที่อาจได้คัมภีร์ไปว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องสนใจใคร... ให้หนีไปโดยไม่ต้องหันหลังกลับมาและจงรักษาคัมภีร์นั้นด้วยชีวิต ”
“ อย่างมากเราก็ไปได้แค่สองทาง ” เฟอร์โรเรนแทรกขึ้น “ ยามิว เจ้าไปกับฮอร์คนะ ส่วนนิมฟ์... ”
“ ข้าหมายถึงคนละทาง... ไม่มีแต่!! เจ้าหนู... ” นิมฟ์ดักคอก่อนจะหันไปทางยามิว “ เจ้าไม่มีปัญหาใช่ไหม ” พร้อมกับล้วงเข้าในแขนเสื้อ ควานขยุกขยิกอยู่ครู่หนึ่งจึงส่งดาบเล่มหนึ่งให้
ยามิวพยักหน้าหนักแน่นถึงแม้มือที่รับดาบมานั้นจะสั่นเทาจนน่าสงสารก่อนจะเดินไปยืนหน้าประตูบานหนึ่งที่เป็นรูปเงือกสาวกำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำ
สแปร์โรว์ได้แต่มองดูเงียบๆ ถึงจะไม่เห็นด้วยแต่มันก็ทางเลือกที่ดีที่สุด เขาเหลียวมองไปที่ประตูอีกสามบานซึ่งเป็นรูปเกลียวคลื่น ไทรทันและบานประตูที่ว่างเปล่า
“ เจ้าก่อนเรน ”
เฟอร์โรเรนเดินไปที่หน้าประตูรูปไทรทัน... ไม่ว่ายังเขาก็อดสงสัยประกายในแววตาสีเขียวสดนั่นไม่ได้
“ เดาว่าเจ้าคงชอบทะเล ” นิมฟ์ว่าพลางบินไปหยุดหน้าบานประตูที่ว่างเปล่า
สแปร์โรว์มองดูเกลียวคลื่นที่กำลังก่อตัวบนบานประตูแล้วลอบถอนหายใจ
...ให้ว่ายน้ำก็ยังดีกว่าบินไปล่ะนะ...
“ เอ่อ... ข้า... ” ยามิวแทรกเบาๆ “ ข้า... ไม่ใช่ว่าข้ากลัวหรอกนะแต่ถ้าข้า... สมมุตินะ... แค่สมมุติ... ถ้าข้าได้คัมภีร์มา... ก็แค่สมมุติอ่ะนะ... ข้าไม่คิดว่าจะมีพลังพอปกป้องมันได้หรอกนะ ”
“ จงเชื่อมั่นในดาบของเจ้าสาวน้อย ” นิมฟ์บอก
“ ร้องดังๆ แล้วข้าจะไปช่วย ” เฟอร์โรเรนกระซิบไม่สนใจนัยน์ตาคมกริบที่มองมา “ แล้วเจอกัน ” ทุกคนพยักหน้าและผลักประตูเปิดพร้อมกัน
~Ж Ж=== ===Ж Ж~
ความคิดเห็น