ลำดับตอนที่ #18
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : หนี...
“ ถามจริงเถอะเจ้าไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะน่ะ ”  นิมฟ์ถามออกมาจากกระเป๋าเสื้อหลังจากที่เห็นเขาเลือกเอาแผนที่ที่ดีที่สุดจากร้านเครื่องเขียนซึ่งมีราคาสูงถึง18 ฟีลิซ  แล้วยังมีกะใจแวะซื้อขนมปังมานั่งกินแก้หิวกันสบายใจเฉิบที่ร้านริมแม่น้ำอีก  “ ข้าซุกอยู่ก้นกระเป๋าเจ้าตั้งหลายวันไม่เห็นเงินสักเก๊นอกจากเส้นด้ายกับเศษขยะ ”
   
“ เจ้าก็รู้นี่นาว่าข้าไม่มีเวลาเลือกเอาลูกแก้วของเจ้าออกจากถุงเงินและกองเพชรพลอยพวกนั้น ”  เขาตอบยิ้มๆ  พลางฉีกขนมปังส่งให้นิมฟ์ที่ทำหยิ่งไม่รับแต่พอเขาดึงกลับจะเอาใส่ปากมันกลับคว้าหมับไปเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วยังมีหน้ามาขอเพิ่มอีกแน่ะ
   
“ แล้วตกลงว่าเราจะไปไหนกัน ” ยามิวถามพลางมองสำรวจแผนที่ซึ่งเขากางออกเต็มโต๊ะจนแทบไม่มีที่ว่างให้สัมภาระอื่น
   
“ ยังไม่รู้เลย ”  เขาตอบตามตรงพลางเอาหนังสือพิมพ์ที่ซื้อมาขึ้นมาอ่านหน้าแรก  เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะใช้ดินสอวงลงบนแผนที่ตามจุดต่างๆ  “ เมื่อวันที่สามสิบเอ็ดตุลาฮิวเมริจบุกวังหลวงและพื้นที่ใกล้เคียงอีกเล็กน้อยเท่านั้น...  เท่าที่ทางการสำรวจความเสียได้ก็มีแค่เมืองที่มีอาณาเขตติดต่ออย่างการ์ทากับเบอร์เรียน่านี่เท่านั้น... แล้ววิหารทั้งห้าก็...  ”  พูดพร้อมกับวงกลมอีกห้าวงลงบนแต่ละมุมของแผนที่แล้วลากเส้นเชื่อมกันเป็นรูปดาวห้าแฉก  “ จากที่นี่ที่ที่ใกล้ที่สุดคือวิหารลมกับวิหารไฟ... และอย่างที่ยามิวบอกวิหารไฟมันเสี่ยงเกินไปแต่ทางไปวิหารลมก็... ” เขาใช้ปลายดินสอจิ้มลงตรงกลางระหว่างเมืองที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้กับวิหารลมซึ่งเป็นแนวเทือกเขาสูงยาว  “ คาร์เรมเดอคาร์เวน...  หรือที่รู้จักกันดีในนาม‘หลังคาสวรรค์’ด้วยความสูงเสียดฟ้าที่ว่ากันว่าเมื่อขึ้นไปยืนบนยอดแล้วแค่ยื่นมือออกไปก็จะสามารถสัมผัสท้องฟ้า  เอื้อมถึงสวรรค์ได้...  ถ้าข้ามไปคงใช้เวลาเป็นเดือนหรือถ้าจะอ้อมไปคงไม่ต่างกัน...  ดังนั้นทางที่ใกล้ที่สุดในตอนนี้ของเราเห็นจะเป็นวิหารน้ำ ”
   
“ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องข้ามทะเลน่ะสิ... ว่าแต่ไม่ใช่ใกล้ๆ  เลยนะเนี่ย ”  ยามิวอุทานอย่างกังวลเพราะพอลองเอามือวางทาบดูแล้วต้องใช้มือของเธอถึงสองมือถมจึงจะเต็ม  หนำซ้ำอัตราส่วนนั่นก็ไม่ใช่น้อยๆ  กะเอาว่าคงไปถึงไวกว่าวิหารลมอย่างมากก็ไม่เกินสามวัน
   
“ โอ้ทะเลแสนงาม... ”  นิมฟ์ร้องเป็นเพลงอย่างอารมณ์ดี  “ ก็ดีเหมือนกันนะข้าไม่ได้เห็นทะเลมาเป็นชาติแล้ว  ตาบื้อนั่นชอบบ่นว่าเมาคลื่น...  อึกอักๆ  ก็โดดขึ้นหลังม้าตลอด...  ไม่รู้มั่งเลยว่าคนที่ต้องบินตามน่ะมันเหนื่อยแค่ไหน ”
   
“ ท่าทางเจ้าสนิทกับพ่อข้ามากเลยนะ ”  เฟอร์โรเรนถามอย่างนึกอิจฉาชั่วชีวิตนี้เขาได้เห็นหน้าพ่อจริงๆ  แค่ครั้งเดียวตอนที่ซิริอัสแอบพาไปเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว  ...จำได้เพียงรางๆ  ว่าร่างของเฟอร์รันถูกผนึกไว้ในผลึกแก้วสีน้ำเงินใสในห้องทรงกลมมืดๆ  กว้างๆ  กับของประดับหน้าตาแปลกๆ  และรอยยิ้มอบอุ่นบนเรียวปาก  เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันตั้งอยู่ที่ไหนแต่คลับคล้ายคลับคาว่าจะอยู่ในฟีเลซวิลนั่นล่ะนะ
   
“ ก็นิดหน่อย ”  นิมฟ์ยักไหล่  “ แต่ถึงยังไงก็สู้เจ้าซิริอัสตัวดีนั่นไม่ได้หรอก  คู่เนี้ยนะติดกันแจซะยิ่งกว่ารูจมูกซ้ายขวาของเจ้าอีก...  ถ้าตาบื้อนั่นไม่ไปหลงแม่เจ้าซะก่อนนะป่านนี้คงแต่งงานมีลูกหลานเต็มบ้านไปแล้ว ”
   
“ พ่อข้าข้าไม่ใช่พวกผิดเพศสักหน่อย ”
   
“ ใครจะไปรู้เล่า!...  อีแอบน่ะรู้จักมะ...  แต่รู้สึกว่าลูกไม้แถวๆ  นี้จะไม่แอบเลยแฮะ... ”
   
“ เจ้าว่าอะไรนะ!! ”
   
“ ปล๊าว~... ”  นิมฟ์ผิวปากไม่รู้ไม่ชี้  “ ใครจะไปกล้ามีปัญหากับกะเทยกันเล่า ”
   
“ ทำไมนิมฟ์ไปว่าเรนเค้าแบบนั้นล่ะ ”  ยามิวเถียงแทนอย่างนึกหงุดหงิดเต็มทน  “ เรนเค้าออกจะน่ารักขนาดนี้! ”  พร้อมกับลุกขึ้นยืนและชี้มือมาที่ร่างบางซึ่งนั่งตาแป๋วกระพริบตามองเธอปริบๆ  “ ดูสิ!!  ตากลมโตบ้องแบ๊ว  ขนตาก็เป็นแพงอนยาวกว่าข้าซะอีก  แล้วไหนจะผมสีน้ำตาลเข้มสวยรับกับสีตานี่อีกล่ะ ”
   
เฟอร์โรเรนทำหน้าปั้นยากไม่รู้จะภูมิใจหรือเสียใจดีที่ถูกชมแบบนี้  ...อย่างว่าแหละยามิวยังปักใจเชื่อเต็มที่นี่นาว่าเขาเป็นผู้หญิง  ถึงแม้เธอจะรู้ว่าชื่อจริงของเขาคือเฟอร์โรเรน  วีกส์  แต่ข่าวลือนับจากวันที่เขาลืมตาดูโลกก็มีเพียงสิงห์ขวาแห่งฟีเลเซียให้กำเนิดสายเลือดต้องสาปกับหญิงสาวชาวมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น  ที่เหลือล้วนเป็นนิยายที่ปั้นแต่งกันไปเอง  น้อยคนนักที่จะรู้ความจริงว่าเด็กต้องสาปคนนั้นเพศอะไรและไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร 
‘เฟอร์โรเรน’ นั้นเป็นชื่อที่เฟอร์รันตั้งให้เขาในคืนวันที่ลืมตาดูโลกและกระซิบบอกแก่ซิริอัสเพียงผู้เดียว ( ...นั่นก็ตามที่เขารู้มาจากซิริอัสนะ ) ซึ่งเขาเคยลองเปิดหาความหมายจากพจนานุกรมเล่มแล้วเล่มเล่าแต่ก็ไม่พบเลยแม้แต่ในภาษาโทรลล์  เดาว่าเฟอร์รันคงเอาคำว่า ‘เฟอร์โรน’ ที่แปลว่าสิ้นหวังกับคำว่า ‘เรน’ ที่แปลว่าสายฝนในภาษาเก่าแก่ของพวกพ่อมดมาผสมรวมกันได้เป็น‘สายฝนแห่งความสิ้นหวัง’หรือ‘ความสิ้นหวังในสายฝน’อะไรทำนองนี้ล่ะมั้ง
   
ถึงจะฟังดูแล้วไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่เคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจอะไร  ในเมื่อมันเป็นความจริงเพราะแม่ตายตอนเขาเกิด  ...ไม่แปลกหรอกที่พ่อจะเศร้าเสียใจและสิ้นหวัง  ...และอีกสามวันต่อมาพ่อก็ตายตามแม่ไปโดยทิ้งของต่างหน้าไว้ให้เป็นมนตร์มอบชีวิตที่ต้องขอบอกตามตรงจากหัวใจเลยว่าเขาไม่เคยนึกชอบหรือขอบคุณมันเลยสักนิดที่ทำให้ชีวิตนี้ยังคงมีลมหายใจอยู่จนถึงวนาทีนี้  ...เพราะมันเทียบกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาต้องสูญเสียไปชั่วนิรันดร์...  มันเป็นการแลกที่ไม่คุ้มค่าแม้สักนิด... 
   
“ สะใจหรือยังเจ้าเปี๊ยก!! ”  เขากระซิบถามลอดไรฟันที่ขบกันดังกรอดๆ    ยามิวยังคงพรรณนาสรรพคุณความงามของเขาไม่เลิก  ในขณะที่เจ้าจิ๋วตัวจุดชนวนกำลังหัวเราะท้องคัดท้องแข็งลงไปนอนกลิ้งตบโต๊ะเอาเป็นเอาตายชนิดไม่เกรงอกใจเกรงใจกันเลย
   
“ ยังอ่ะนะแต่เกือบแล้วล่ะ‘คุณแอบ’ขา... ”  นิมฟ์ยังล้อเลียนไม่เลิกเมื่อยามิวพูดขึ้นว่า
   
“ ...เสียอย่างเดียวที่เรนไม่มีหน้าอกไม่งั้นพวกหนุ่มๆ  คงมารุมจีบกันให้ตรึม ”
   
“ ฮะๆๆ!...  แค่นี้ก็สวยจะตายแล้วล่ะจ๊ะคุณหนูยามิวจ๋า... ”  นิมฟ์หัวเราะจนเริ่มสำลักน้ำลายตัวเองแล้วตอนนี้  “ โอ๊ย!...  หน้าอกงั้นเรอะ...  อยากจะบ้าตาย...  ให้พรายชอบมนุษย์เถอะ!!...  แม้แต่โทรลล์ไร้สมองยังน่าจะคิดได้เลยนะนี่...  ฮ่าๆๆ... ”
   
“ อยากตายนักใช่ไหมเนี่ย ”
   
“ อุ๊ยต๊าย!!....”  นิมฟ์กรีดเสียงร้องล้อเลียน  “ ฝีมืออย่างเจ้าน่ะรึจะมีปัญญาฆ่าข้า...  น่าขำ!...  ต่อให้เก่งขึ้นกว่านี้สักล้านล้านเท่ายังไงเจ้าก็หมดสิทธิ์อยู่ดี...  อ้อ! แล้วก็จะขอเตือนไว้อีกนิดนะว่าข้าน่ะเป็นอมตะพันธุ์แท้ไม่เหมือนพวกพันทางอย่างเจ้า...  ฆ่ายังไงก็ไม่ตายหรอก ”
“ เจ้าเลิกย้ำเรื่องสายเลือดข้าสักทีได้ไหม ”  เฟอร์เรนบอกเสียงแผ่ว  ถึงหัวใจของเขามันจะชินชาเสียแล้วกับการถูกเรียกอย่างเหยียดหยาม  แต่มันก็อดเจ็บแปลบลึกๆ  ไม่ได้สักครั้งสิน่า...  ยิ่งเป็นคนใกล้ตัวแบบนี้ด้วยแล้วความเจ็บยิ่งเท่าทวีคูณ “ ...ได้โปรดเถอะนิมฟ์...  ข้าไม่ขออะไรเจ้ามากไปกว่านี้อีกแล้ว...  เจ้าจะด่าว่าข้า  จะเรียกข้าเสียๆ หายๆ  ว่าอะไรก็ตามใจ...  อยากจะเรียกกะเทยก็ตามสบายแต่อย่าเรียกข้าแบบนี้ได้ไหม... ”
“ เลือดต้องสาปน่ะเหรอ ”  นิมฟ์เอียงคอถามหน้าตายเหมือนไม่รู้สำนึก  คำสารภาพและขอร้องจากใจนั่นไม่อาจซึมผ่านเกราะหัวใจหินหนาเข้าสู่เนื้ออ่อนไหวข้างในนั้นได้เลย  “ เอ...  จะว่ายังไงดีล่ะ  ข้ามันก็เป็นพวกปากตรงกับใจนึกอยากจะพูดอะไรก็พูดซะด้วยสิ ”
สถานการณ์ทำท่าว่าจะตึงเครียดขึ้นทุกทีโดยเฉพาะกับเฟอร์โรเรนที่เริ่มจะหมดความอดทนแล้ว  เขากัดริมฝีปากไว้แน่นสะกดอารมณ์ที่เริ่มพลุ่งไม่ให้โต้ตอบในขณะที่พับหนังสือพิมพ์เก็บก่อนจะรวบแผนที่ลวกๆ  ไม่สนใจว่าจะยับหรือจะยังไงท่ามกลางสายตาประหลาดใจของหญิงสาวที่ไม่ได้ยินบทสนทนานั่นและสายตานิ่งเฉยไร้อารมณ์ของภูตจิ๋วที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนลูกแก้ว
พลันสายตาของเขาก็เหลือบไปกระทบเข้ากับบางสิ่งที่ทำเอาหัวใจเกือบหยุดเต้น
ชายร่างสูงผมสีดำกรีดยิ้มเหี้ยมเกรียมพร้อมกับกวักมือเรียกพรรคพวกกลุ่มใหญ่ให้กลับมาเมื่อเห็นแล้วว่าเป้าหมายที่ตามล่าตัวมาตั้งแต่เมื่อวานอยู่ที่ไหน
“ วิ่ง ”  เฟอร์โรเรนพูดรวดเร็ว
“ เจ้าว่าอะไรนะ ”  ยามิวถามซ้ำ
“ ข้าบอกให้วิ่ง!! ” 
คราวนี้เสียงดังจนเกือบตวาด  เฟอร์โรเรนยัดแผนที่ใส่กระเป๋าพร้อมกับดึงมือหญิงสาวที่เพิ่งจะสังเกตเห็นพระยายมถืออาวุธครบมือทั้งมีดทั้งดาบวิ่งกรูกันเข้ามา  และถึงจะทะเลาะกันอยู่แต่เฟอร์โรเรนก็ไม่ลืมที่จะฉวยลูกแก้วของนิมฟ์ยัดใส่กระเป๋าไปด้วย
“ เร็วเข้ามันหนีไปแล้ว ”
ชายผมดำร้องบอก  คนที่เหลือเร่งฝีเท้าขึ้นอีกพร้อมกับกระชับอาวุธในมือ  เฟอร์โรเรนวิ่งลัดเลาะไปตามแม่น้ำ ก่อนจะเลี้ยวหลบเข้าซอกแคบๆ  ของตัวตึกสองหลังที่สร้างเบียดกันอยู่  แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ยังคงตามมาไม่ลดละ  ขนาดตัวที่ใหญ่บึกของพวกมันชนกระทบกล่องลัง  และถังขยะล้มระเนระนาด
“ ใช้เวทมนตร์สิเจ้าเซ่อ ”  นิมฟ์ร้องบอกออกมาจากกระเป๋าเสื้อ  “ อาวุธก็ไม่มีแบบนี้  อยากตายนักหรือไง ”
“ มันเรื่องของข้า ”  เขาบอกพร้อมกับใช้นิ้วดันหัวของมันให้กลับลงไป
“ งั้นก็เชิญวิ่งหนีจนเหนื่อยตายไปเถอะ ”
แสงสว่างของทางออกเรืองรองขึ้นตรงหน้าความหวังเริ่มผุดพรายขึ้นฉับพลันเงามืดก็เคลื่อนกายเข้าบดบัง  เฟอร์โรเรนใจหายวาบ  เมื่อทางหนีกลับกลายเป็นทางตันและทางรอดกลายเป็นทางตาย  เขาเพิ่งจะขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ !! 
“ ทำยังไงดีเรน ” ยามิวร้องอย่างตระหนก  เมื่อเหลียวหลังกลับไปมองคมดาบของพวกมันก็เกือบจะจ่อคอหอยได้อยู่แล้ว
“ ใช้เวทย์ลมพัดพวกมันให้พ้นทางแล้วตามด้วยเวทย์น้ำแข็งตรึงข้อเท้าเอาไว้ ”  นิมฟ์ร้องบอกอย่างนึกสงสารเต็มที
“ ก็บอกให้อยู่เงียบๆไง! ”
“ ยอมแพ้ซะเถอะเจ้าหนู... ”  เสียงหนึ่งดังมาจากกลุ่มเงาตรงหน้า
“ เรื่อง!! ”
เฟอร์โรเรนใช้สายตากะปริมาณคนได้สามคน  จำนวนเท่านี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับสองคนที่จะฝ่าออกไป  เขาดึงแขนหญิงสาวเข้าหาตัว  “ ขอโทษนะ ”
ยามิวมองหน้าเขาเอ๋อๆ  และก่อนจะทันได้งงเฟอร์โรเรนก็จับไหล่เธอเหวี่ยงไถลไปกับพื้น  ในขณะที่ตัวเองใช้มือเพียงข้างเดียวคว้าไหล่ร่างกำยำแล้วเหวี่ยงตัวเองลอยข้ามหัวไปง่ายดายก่อนจะก้มลงฉวยข้อมือร่างบางที่เพิ่งจะพุ่งไถลลอดผ่านหว่างขาที่ยืนจังก้าออกมาให้ลุกขึ้นวิ่งต่อ 
“ เจ้านี่เจ๋งเป็นบ้าเลย ”
“ เรื่องหนีน่ะขอให้บอกเถอะ...  ”  เฟอร์โรเรนตอบพลางกดศีรษะเธอจนหัวเกือบทิ่มเมื่อมีดสั้นเล่มหนึ่งเพิ่งจะบินฉิวผ่านไป  “ เริ่มเล่นสกปรกแล้วแฮะ ”
เฟอรโรเรนวิ่งหนีเข้าตลาดแล้วเขาก็ได้รู้ตัวว่าคิดผิดเป็นครั้งที่สองในรอบวัน  ไม่ใช่แค่พวกมันยังไล่ตามเขาไม่เลิก  แต่ความไม่ชำนาญในพื้นที่และข้าวของที่วางเรียงรายเต็มสองข้างทางนั้นเป็นยิ่งกว่ากับดักชั้นดี  ...แต่ในเมื่อมันขวางเขาได้มันก็ต้องขวางกลุ่มคนที่ตามมาได้เช่นกัน
ถึงตาคนถูกไล่เล่นสกปรกบ้างแล้ว...  เฟอร์โรเรนใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่และสองเท้าให้เป็นประโยชน์ทั้งผลักทั้งถีบข้าวของบนแผงลอยให้ร่วงกระจายเกลื่อนถนน  เข่งส้มสองใบล้มกลิ้ง  ผลส้มอวบสวยเทกระจาย  ก่อนจะหันไปเทกระจาดไข่พร้อมทั้งปาใส่พวกมันจนเลอะไปทั้งตัว  กลิ่นเหม็นคาวโชยคลุ้ง  ...อย่างนี้ต้องดับกลิ่นซะหน่อย...
ร้านขายบะหมี่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ถัดออกไป  เฟอร์โรเรนพุ่งใส่ทันทีเมื่อฝ่ามือแข็งแรงคว้าหมับเข้าที่ไหล่  หม้อก๋วยเตี๋ยวจึงกลายเป็นบะหมี่น้ำใสสองชามเหมาะมือโปะเข้ากลางศีรษะ  มันปล่อยมือจากเขาพร้อมกับกรีดร้องด้วยความแสบร้อน  ชามเปล่าร่วงกระแทกพื้นแตกเป็นเสี่ยงทิ้งให้เส้นกลมเหลืองอร่ามน่ากินห้อยระย้าอยู่บนเรือนผมแซมสลับท่อนขาวอวบของถั่วงอก
“ เจ้ากะไม่มาเหยียบเมืองนี้อีกแล้วใช่ไหมนี่ ” นิมฟ์ถามพลางเหลียวมองความพินาศตลอดเส้นทางหลบหนี  ...บรรดาพ่อค้าแม่ค้ายืนเท้าเอวด่ากันเสียงขรม
“ ทำนองนั้นแหละ ” เขาตอบสบายๆ  พลางเบี่ยงศีรษะหลบมีดโต้สับหมูที่ลอยควงสว่านมา  ...ท่าทางจะได้ศัตรูนอกระบบเพิ่มขึ้นอีกแล้วแฮะเรา
ทั้งสองไปจนมุมที่ท่าเรือ  กระแสน้ำเชี่ยวกรากกว้างใหญ่ซัดสาดคลื่นลูกใหญ่เข้ากระทบฝั่งลูกแล้วลูกเล่าราวกับจะตอกย้ำจุดจบของทางหนี  ฝูงนกน้ำวิ่งย่ำไปบนผิวน้ำก่อนจะกระแทกตัวลงลอยนิ่งหากในปากมีปลาแม่น้ำตัวใหญ่บ้างเล็กบ้างขึ้นกับความสามารถเฉพาะตัว
นกน้ำกลืนปลาลงคอพร้อมกับโก่งคอร้องอย่างดีใจเช่นเดียวกันกับชายฉกรรจ์ตรงหน้าที่ฉีกยิ้มเหี้ยมเกรียมพร้อมกับย่างสามขุมเข้ามาอย่างใจเย็นเมื่อเห็นว่าพวกเขาไปไหนไม่รอดแน่
“ เลิกหนีอย่างไร้ประโยชน์ได้แล้ว ”
...ก็ไม่ไร้เท่าไหร่หรอกนะ...
เฟอร์โรเรนคิด  ภาพตรงหน้าเขาคงชวนหวาดผวาน่าดูถ้าไม่ติดตรงเส้นบะหมี่พร้อมลูกชิ้นที่พันกันยุ่งอยู่บนศีรษะชายสองคน  อีกทั้งคราบไข่พร้อมเปลือกทั้งขาวและแดงตามเนื้อตัวที่เยิ้มหนืดกันไปคนละนิดคนละหน่อย
มีดสั้นสองเล่มลอยหวือมา  เฟอร์โรเรนดึงตัวหญิงสาวหลบข้างหลัง  มีดเล่มหนึ่งเฉียดเอาเนื้อที่แก้มของเขาไปได้หน่อย  เฟอร์โรเรนกัดฟันกรอด  ไม่ใช่เพราะเจ็บแต่เขาต้องรวบรวมสมาธิอย่างแรงกล้าเพื่อยับยั้งเวทมนตร์แห่งการรักษาที่กำลังจุดประกายขึ้นต่างหาก  ...ถ้าพวกมันรู้ว่าเขาเป็นอะไรเรื่องมันไม่จบแค่นี้แน่  แล้วมหกรรมการล่าครั้งยิ่งใหญ่จะตามมา 
...ไม่เข้าใจเลยจริงๆ  ว่าทำไม  ...ตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นเด็กตัวน้อยจนโตป่านนี้และสามารถควบคุมพลังเวทย์ในกายได้ดีแล้ว  หากประกายแสงแห่งการรักษานี้เท่านั้นที่เขาควบคุมแทบไม่ได้เลยและยังต้องใช้พลังมากเสียยิ่งกว่าการใช้เวทย์รักษาเสียด้วยซ้ำเพื่อยับยั้งมันไว้  ...แถมอำนาจของมันก็เป็นยิ่งกว่าปาฏิหาริย์  ขนาดบาดแผลที่ว่าสาหัสที่สุดจนเรียกได้ว่าไม่สมควรรอดยังสมานสนิทดีในชั่วข้ามคืน
ชายผมน้ำตาลทองยกมือกั้นชายผมดำที่ทำท่าจะลงมืออีกครั้งก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้าหาพร้อมกับยกดาบขึ้นจ่อที่คอหอยของเขา
“ ได้เวลาไปลงนรกแล้ว ”
เฟอร์โรเรนเหลือบตาลงมองแสงสะท้อนจากคมมีดที่ข้างคอก่อนจะตวัดกลับมาพร้อมกับหยักยิ้มที่มุมบางปากอย่างเจ้าเล่ห์  “ ถ้าคิดว่าทำได้ก็เชิญเลย... ”
ร่างสูงตรงหน้านึกพิศวงเล็กน้อย  ไม่ใช่กับคำพูดที่อวดดีแต่เป็นแววตามั่นใจจนน่าหมั่นไส้นั่น...  มันไม่ได้เพ่งมองมาที่เขาหากพุ่งข้ามไหล่เลยออกไป
“ หรือว่าเจ้าต้องการจะผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อข้า... ” ดวงตากลมโตตวัดกลับมาสบกับนัยน์ตาสีดำตรงหน้า  “ อย่างนั้นรึ? ”
“ เฮ้ย! อย่ามัวโอ้เอ้สิเฟ้ย...  รีบๆ  จับตัวมันมาแล้วจะได้รีบกลับกันเสียที  ป่านนี้นายใหญ่รอแย่แล้ว ”  คนหนึ่งในกลุ่มร้องบอกพร้อมกับเดินเข้ามากับชายอีกสองคนที่เฟอร์โรเรนจำได้แนบสนิทใจ  ...จะใครซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่คนเฝ้าห้องที่พยายามจะพรากพรหมจรรย์เขาไป 
“ มัวแต่ยืดยาดแบบนี้เดี๋ยวก็อดลองของใหม่หรอกแก!...  ” 
“ ยังสดๆ  ซิงๆ  แถมยังแสบใสอย่างเจ้านี่สมัยนี้หายากจะตายข้าไม่อยากพลาดโอกาสงามนี้ไปหรอกนะ... ”
“ ข้าไม่หวังว่าเจ้าจะทำอย่างที่ปากพล่าม ” ชายผมดำรีบดักคอ
“ ...ก็แค่ชิมๆ  ”  เขาบอกท่าทางกระหายเต็มที  “ ผิวงี้เรียบลื่น...  ทั้งเนียนทั้งละเอียดเป็นบ้าเลย...  โธ่เว้ย!! พูดแล้วเปรี้ยวปากรีบๆ  หน่อยเถอะจะได้ถึงมือนายก่อนมืดค่ำ ”  ไม่พูดเปล่ายังถือวิสาสะยื่นมือเข้ามาแตะไล้ผิวแก้มเล่น  เฟอร์โรเรนเบี่ยงตัวหลบอย่างขยะแขยงเต็มทนแต่ก็ติดคมดาบที่แนบอยู่ข้างซอกคอ 
“ ปล่อยเรนเดี๋ยวนี้นะ ”  หญิงสาวที่หลบอยู่ข้างหลังพุ่งออกมาพร้อมกับผลักอกเต็มแรง  “ ไอ้คนชั่วช้าสกปรกอย่างพวกแกน่ะไม่มีสิทธิ์แตะต้องเธอหรอก ”
“ อย่านะยามิว!! ”  เฟอร์โรเรนร้องเสียงหลง  พยายามจะจะเข้าขวางหากคมดาบข้างคอยังกดหลอดลมไว้แน่นเมื่อร่างบางตรงหน้าถูกตบอย่างไม่ใยดีแล้วกระชากผมยกลอยขึ้นจากพื้น
“ โอ๊ย!! ”
“ เฮ้ย!! ” อีกคนร้องเตือน  “ เบาๆ  หน่อย...  ถึงของจะไม่สดแล้วแต่ก็ยังไม่เสียนะเฟ้ย...  ถึงหมู่นี้จะราคาตกไปหน่อยแต่ก็ลูกค้าก็ยังจองตัวมันกันข้ามวันข้ามคืนขืนแกทำมันโทรมไปมากกว่านี้เสียรายได้ตายเลย ”
“ ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้นะ!! ”  เฟอร์โรเรนตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว  ไม่สนแล้วว่าอะไรจะตามมาถ้าต้องลงมือกันด้วยเวทย์มนตร์จริงๆ
ริมฝีปากบางของชายผมน้ำตาลทองกระตุกขึ้นยิ้มปนขำ  ดาบยาวในมือเงื้อออกอีกครั้งพร้อมกับฟันลงมา “ ปากดีนักนะ...  คิดว่าจะทำอะไรได้เหรอไงเจ้าหนู ”
เฟอร์โรเรนยกสองแขนขึ้นตั้งรับกำลังจะเรียกสายลมมาทำเกราะหากร่างบางถูกลำแขนแข็งแรงรวบเข้าแนบอกรวดเร็ว  เลือดสดๆ  สีแดงฉานสาดกระเซ็นเป็นสายตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนเมื่อเห็นความตายรอยู่ตรงหน้า
ร่างหนึ่งทรุดกระแทกพื้นแน่นิ่งจมกองเลือดตัวเอง 
เฟอร์โรเรนเบี่ยงศีรษะออกจากอกกว้างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวข้างกาย
ผู้คุมหน้าห้องคนหนึ่งนอนตายจมกองเลือด  แผลฉกรรจ์ที่กลางหน้าอกเป็นรูกว้างมีเศษชิ้นเนื้อที่ไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้เป็นหัวใจห้อยขาดรุ่งริ่ง  เละคาอยู่บนซี่โครงท่ามกลางความสับสนปนตะลึงของทุกสายตาที่จับจ้อง
“ เจ้า...  ”  เฟอร์โรเรนพูดลอดไรฟันที่สั่นกระทบกันด้วยความหวาดกลัว  “ เจ้าไม่ใช่เอลาเทลหรอกเหรอ ”
ร่างสูงคลายวงแขนสบตาเขาชั่วครู่  “ เจ้าพูดถึงใครกัน ”  คิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัยแล้วตามด้วยรอยยิ้มกลุ้มกริ่มที่ก้มลงประกบปิดปากร่างบางในอ้อมแขนรวดเร็ว
“ อุบ! ”
เฟอร์โรเรนถึงกับดิ้นไม่หลุดเมื่อถูกจู่โจมด้วยอาวุธลับอ่อนนุ่มในปากที่ราวกับจะดูดกลืนทุกอย่างไปจากตัวเขา  ...ทั้งเร่าร้อนเหมือนกับถูกไฟเผาในขณะเดียวกันก็เหยียบเย็นราวกับอยู่ท่ามกลางพายุหิมะอันหนาวเหน็บ  ลมหายใจหอบถี่กระชั้นพาลจะหายใจไม่ออก  ภาพตรงหน้าพร่ามัวด้วยหยาดน้ำที่เอ่อขึ้นเต็มเบ้าตา
ในที่สุดเขาก็เป็นอิสระจากพันธนาการที่รัดรึง  ความเหนื่อยทำให้เฟอร์โรเรนต้องใช้สองมือที่สั่นระริกจิกเสื้อร่างสูงไว้แน่น 
ชายผมทองยกนิ้วโป้งขึ้นปาดริมฝีปากฉ่ำน้ำ  นัยน์ตาเป็นประกายกระหายหิวจนอดใจแทบไม่ไหวทั้งที่น่าจะอิ่มได้แล้ว  “ อร่อยเป็นบ้าเลยพลังชีวิตมนุษย์เนี่ย...  ” เขาพึมพำ  “ ...ยิ่งมีกลิ่นอายจอมเวทย์ปนยิ่งอร่อย ”
“ ฮ...  แฮ่ก!...  เจ้า...  เจ้าทำอะไรข้า...  ”  เฟอร์โรเรนหอบหายใจถาม  แก้มเป็นสีอมชมพูระเรื่อในขณะที่ริมฝีปากที่เผยอออกน้อยๆ  เป็นสีแดงสดจากการบดขยี้รุนแรงเมื่อครู่
“ ถ้ายังไม่รู้จะลองอีกครั้งไหมล่ะ...  ”
ใบหน้าคมเริ่มก้มลงต่ำอีกครั้งพร้อมกับช้อนคางร่างเพรียวตรงหน้าขึ้นไม่ให้ขัดขืน 
“ หยุดแค่นั้นแหละวูล์ฟ! ”
สติของเฟอร์โรเรนกลับมาสมบูรณ์เต็มที่อีกครั้ง  เขาดีดตัวออกจากแผ่นอกกว้างเมื่อภูตน้อยในกระเป๋าเสื้อโผบินออกมาคั่นกลางระหว่างทั้งสอง  มือถือคันธนูแสงสีเขียวอมฟ้าที่ขึ้นศรเล็งเรียบร้อย
“ อย่าเตะต้องเด็กคนนี้! ”  มันเน้นทุกพยางค์ชัดเจน
วูล์ลีเฟรยิ้มกว้างพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากนึกเสียดายเหยื่ออันโอชะจับใจ  “ นึกว่าใคร...  ที่แท้ก็เจ้าเองเหรอนิมฟ์...  แหม! ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดขนาดตัวเจ้าก็ยังไม่เปลี่ยนเหมือนเดิมเลยนะ ”
“ และดูเหมือนว่าเวลายี่สิบปีก็ไม่ได้ทำให้ความชั่วในกายเจ้าลดลงเช่นกัน...  ”
ยามิววิ่งเข้ามาหาเฟอร์โรเรนที่ค้อมตัวลงเอามือยันเข่าพ่นของเหลวขุ่นเหนียวสีแดงสดออกมาจากลำคอที่ร้อนผ่าว
“ เป็นอะไรหรือเปล่าเรน ”
เฟอร์โรเรนอาเจียนเอาเลือดออกมาอีกก้อนใหญ่เมื่อเสียงฝีเท้าและเสียงดาบดังขึ้นใกล้ตัว  เขาผวาหันไปมอง
ณ ท่าเรือซึ่งเคยคลาคล่ำไปด้วยชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่บัดนี้เหลือเพียงชายผมดำที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลาง...  กองเศษซากชิ้นเนื้อที่มนุษย์กระจัดกระจายเต็มพื้น  เลือดสดๆ  ไหลนองเป็นทางหยดลงสู่ผืนน้ำทะเล  เปลี่ยนสีฟ้าครามให้กลายเป็นสีแดงข้นดูน่ากลัว
“ เจ้า!...  หรือว่า... ”
ชายผมดำส่งยิ้มเหยียบเย็นให้เขา  “ เจอกันอีกแล้วนะเจ้าหนู... ”  ฉับพลันเรือนผมนุ่มสลวยสีดำสนิทดุจราตรีกาลก็ค่อยๆ  งอกยาวลงปรกหน้า...  มันยาวขึ้นทุกที...  ทุกที...  จนแผ่สลายลงเต็มกลางหลัง  และเพียงแค่สะบัดปอยผม  ชุดเสื้อเชิ้ตเก่าปอนก็กลับกลายเป็นชุดเกราะพร้อมเสื้อคลุมหรูหราสีดำประดับพู่ขนกาสีดำสนิท
ควอร์ซิสในชุดแม่ทัพโลกปิศาจเต็มยศใช้มือข้างขวาที่เฟอร์โรเรนแน่ใจว่ามันแหลกสลายไปแล้วด้วยพลังของศิลาปฐพีล้วงหยิบเอาของสิ่งหนึ่งออกจากเสื้อคลุม
“ อย่าห่างจากตัวข้านะ ”  เฟอร์โรเรนพูดพร้อมกับเอาตัวเองบังหญิงสาวข้างกายเมื่อควอร์ซิสค่อยบรรจงสวมหน้ากากเงินลงบนในหน้าซีกซ้ายและทันทีมันกลับเข้าที่เขาจะมีอำนาจปิศาจเต็มเปี่ยมอีกครั้ง  ในขณะที่ชายผมทองยังคงยืนสบตานิมฟ์นิ่ง  ...ดูเหมือนว่าบัดนี้ทั้งสองกำลังสื่อสารกันด้วยจิตแทนการพูด
“ ด้วยสัตย์แห่งฟาร์มิลลา... ”  จู่ๆ  นิมฟ์ก็โพล่งขึ้นมา
“ เจ้าว่าอะไรนะ ”  เฟอร์โรเรนหันไปมอง  คิ้วขมวดมุ่นด้วยความเครียดจากความหวาดกลัวระคนตกใจ
“ ไม่มีเวลาแล้วรีบพูดตามข้าเร็วเข้า ”
ถึงจะยังงงๆ  อยู่แต่เฟอร์โรเรนก็ยอมทำตามโดยดี
“ ...ขอทวงสัตย์สาบานแก่เอเกอร์  จงสนองตอบต่อวิญญาณมนุษย์ในกายข้า... ” นิมฟ์พูดต่อเมื่อเขาทวนประโยคแรกจบ “ ขอจงมอบพลังแห่งพื้นพสุธาปกปักษ์รักษาสายเลือดจอมเวทย์คนสุดท้าย...  อีกครึ่งชีวิตที่สถิตแห่งข้า... ”
“ แล้วทำยังไงต่อ...  ”  เฟอร์โรเรนถามอย่างร้อนรนควอร์ซิสสวมหน้ากากเสร็จแล้วและกำลังมองมาทางเขา  ดวงตาคมข้างที่ไม่มีหน้ากากเงินปกปิดเป็นประการกระหายเลือด
“ นี่!...  ถ้า!...  โอ๊ย!! ”  ฉับพลันผิวเนื้อภายใต้เศษผ้าที่พันรอบแขนซ้ายก็ร้อนระอุราวกับกำลังลุกไหม้  เขาทิ้งตัวลงกับพื้นด้วยความปวดแสบทรมานจนลุกไม่ขึ้น  เกิดความปั่นป่วนขึ้นทั่วทั้งร่างเหมือนเลือดในกายกำลังเดือดพล่าน  หัวใจเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกจากอก    ลำคอที่แสบร้อนแข็งเกร็งทำท่าจะขย้อนเอาเลือดก้อนใหญ่ออกมาอีกระลอก 
“ เป็นอะไรไปเรน ”  ยามิวนั่งลงประคองด้วยความเป็นห่วง
“ ม...  ไม่รู้...  จู่ๆ  มันก็...  อึก! ”
“ อย่าดิ้นรนไปเลย... ” ควอร์ซิสพูดเสียงเย็น “ จะเหนื่อยซะเปล่า...  เจ้าคิดว่ารสจูบของวูล์ลีเฟรมันธรรมดานักหรือไงล่ะ...  ยอมไปกับข้าซะเจ้าสายเลือดต้องสาปเอ๋ยแล้วนังหนูคนนี้จะได้ตายสบาย...  นี่ถือเป็นความเมตตาจากข้านะ ”
“ อย่าไปฟังมัน ” นิมฟ์กระซิบ  ภายใต้สถานการณ์คับขันนี้ไม่มีใครทันสังเกตเห็นเหงื่อกาฬของมันที่ชุ่มโชกและรอยรีดบนข้อมือทั้งสองซึ่งง้างคันศรไว้  “ ตั้งสมาธิให้มั่นแล้ว... ”
“ ข้าไม่เจ้าฟังอีกแล้ว!! ” เฟอร์โรเรนตะคอกกลับก่อนจะหันไปหาหญิงสาว “ เชื่อใจข้านะยามิว ” พร้อมกับรวบรวมพลังเท่าที่มีลุกขึ้นยืนแล้วใช้มือขวากอดร่างบางเข้าแนบอก  ในขณะที่ปากพึมพำคาถาแรกที่นึกออกในหัว  ...ถึงจะเสี่ยงแต่ก็มันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
...เวทย์เคลื่อนย้าย!...  เจ้านี่นะ!...  มัน...
นิมฟ์ขบริมฝีปากแน่นเมื่อรู้ตัวว่าพลาดไปเสียแล้ว
...ชิ!  พลังของข้าตอนนี้ก็ยังฟื้นคืนมาไม่มากพอเสียด้วยสิ!...
ร่างของสองค่อยขยับลอยขึ้นสูงจากพื้น  ชายผมทองอาศัยจังหวะที่ภูตจิ๋วตรงหน้าเผลอกระโดดขึ้นฉวยข้อเท้าเฟอร์โรเรน  แต่นิมฟ์ที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนมากพอๆ  กับโชกเลือด(ศัตรู)ผวาหันมาปล่อยธนูแสงใส่มือวูล์ลีเฟรได้ทัน  เขาปล่อยมือจากขาเฟอร์โรเรนและกรีดร้องไม่เป็นภาษาฟันเขี้ยวคู่หน้างอกยาวขึ้นเต็มปากอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อคลื่นอาคมในกายปั่นป่วนรุนแรง  นิมฟ์อาศัยจังหวะนั้นบินฉิวผ่านหน้าวูล์ลีเฟรหายเข้าไปในกลุ่มแสงเมื่อควอร์ซิสสะบัดข้อมือเสกลำแสงพุ่งตรงเข้าจู่โจมแต่วงลมแสงสีอ่อนจางที่ห่อหุ้มร่างทั้งสามไว้ก็หายวับไปเสียก่อนคาถาจึงพุ่งผ่านอากาศไประเบิดกลางทะเล  มวลอัดอากาศมหาศาลจึงซัดคลื่นเป็นกำแพงสูงไม่ต่ำกว่าสามเมตรเข้าโถมฝั่ง  หอบเอาเศษซากชิ้นเนื้อพวกนักเลงคุมซ่องกลืนหายลงทะเลไปสิ้น  ในขณะที่กระแสน้ำแหวกออกเป็นสองทางเมื่อพุ่งผ่านแม่ทัพโลกปิศาจ
แรงระเบิดทำให้ชายผมทองที่กำลังร่วงลงพื้นลอยละลิ่วไปไกลหลายเมตรแต่เขาก็สามารถตีลังกากลับลงพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำได้อย่างสวยงาม
“ ชิ! ปล่อยให้หนีไปซะได้ ”  ชายผมทองสบถ  “ เสียเวลาเปล่าจริงๆ ”  พร้อมกับยกมือขึ้นลูบเขี้ยวหมาป่าที่งอกยาวลงถึงคอเสื้อ
“ บ่นอะไรวูล์ลีเฟร... ” ควอร์ซิสว่าพร้อมกับหัวเราะลงคอ “ น่าขำจริงเรื่องแบบนี้ทำเจ้าอารมณ์เสียได้ยังไงกัน...  ไม่เห็นหรือว่ามันน่าสนุกจะตายที่ความเมตตาของเจ้าเมื่อสี่ปีก่อนกำลังจะนำความหายนะมาสู่พงศ์พันธุ์พ่อมดอย่างไม่น่าเชื่อ ” 
“ ก็มัน... ”
วูล์ลีเฟรพูดได้เท่านั้นเมื่อถูกร่างสูงใหญ่กว่าดึงตัวเข้าแนบชิดและมอบจุมพิตดูดดื่มเร่าร้อนให้  ควอร์ซิสจูบไล้เลียเขี้ยวคู่สวยเบาๆ  และเมื่อถอนริมฝีปากออกเขี้ยวที่เคยงอกยาวก็กลับลดขนาดลงเท่าเดิม
“ มาเถอะ!  ข้ายังมีอะไรสนุกๆ  ให้เจ้าทำอีกเยอะ  เจ้าเพิ่งตื่นขึ้นมาหลังจากหลับไปนานคงยังเซ็งไม่หายสินะ  ”
“ จริงเหรอครับท่านควอร์ซิส ”  สีหน้าเซ็งโลกของชายหนุ่มเปลี่ยนไปในบัดดลเจ้าของนามกรีดยิ้มบางขำขันให้กับท่าทีเหมือนเด็กๆ  แล้วโอบไหล่เดินเลียบชายหาดหายลับไปกับสายลมและหมู่นกนางนวล
                                                                      ~Ж Ж=== ===Ж Ж~
   
“ เจ้าก็รู้นี่นาว่าข้าไม่มีเวลาเลือกเอาลูกแก้วของเจ้าออกจากถุงเงินและกองเพชรพลอยพวกนั้น ”  เขาตอบยิ้มๆ  พลางฉีกขนมปังส่งให้นิมฟ์ที่ทำหยิ่งไม่รับแต่พอเขาดึงกลับจะเอาใส่ปากมันกลับคว้าหมับไปเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วยังมีหน้ามาขอเพิ่มอีกแน่ะ
   
“ แล้วตกลงว่าเราจะไปไหนกัน ” ยามิวถามพลางมองสำรวจแผนที่ซึ่งเขากางออกเต็มโต๊ะจนแทบไม่มีที่ว่างให้สัมภาระอื่น
   
“ ยังไม่รู้เลย ”  เขาตอบตามตรงพลางเอาหนังสือพิมพ์ที่ซื้อมาขึ้นมาอ่านหน้าแรก  เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะใช้ดินสอวงลงบนแผนที่ตามจุดต่างๆ  “ เมื่อวันที่สามสิบเอ็ดตุลาฮิวเมริจบุกวังหลวงและพื้นที่ใกล้เคียงอีกเล็กน้อยเท่านั้น...  เท่าที่ทางการสำรวจความเสียได้ก็มีแค่เมืองที่มีอาณาเขตติดต่ออย่างการ์ทากับเบอร์เรียน่านี่เท่านั้น... แล้ววิหารทั้งห้าก็...  ”  พูดพร้อมกับวงกลมอีกห้าวงลงบนแต่ละมุมของแผนที่แล้วลากเส้นเชื่อมกันเป็นรูปดาวห้าแฉก  “ จากที่นี่ที่ที่ใกล้ที่สุดคือวิหารลมกับวิหารไฟ... และอย่างที่ยามิวบอกวิหารไฟมันเสี่ยงเกินไปแต่ทางไปวิหารลมก็... ” เขาใช้ปลายดินสอจิ้มลงตรงกลางระหว่างเมืองที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้กับวิหารลมซึ่งเป็นแนวเทือกเขาสูงยาว  “ คาร์เรมเดอคาร์เวน...  หรือที่รู้จักกันดีในนาม‘หลังคาสวรรค์’ด้วยความสูงเสียดฟ้าที่ว่ากันว่าเมื่อขึ้นไปยืนบนยอดแล้วแค่ยื่นมือออกไปก็จะสามารถสัมผัสท้องฟ้า  เอื้อมถึงสวรรค์ได้...  ถ้าข้ามไปคงใช้เวลาเป็นเดือนหรือถ้าจะอ้อมไปคงไม่ต่างกัน...  ดังนั้นทางที่ใกล้ที่สุดในตอนนี้ของเราเห็นจะเป็นวิหารน้ำ ”
   
“ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องข้ามทะเลน่ะสิ... ว่าแต่ไม่ใช่ใกล้ๆ  เลยนะเนี่ย ”  ยามิวอุทานอย่างกังวลเพราะพอลองเอามือวางทาบดูแล้วต้องใช้มือของเธอถึงสองมือถมจึงจะเต็ม  หนำซ้ำอัตราส่วนนั่นก็ไม่ใช่น้อยๆ  กะเอาว่าคงไปถึงไวกว่าวิหารลมอย่างมากก็ไม่เกินสามวัน
   
“ โอ้ทะเลแสนงาม... ”  นิมฟ์ร้องเป็นเพลงอย่างอารมณ์ดี  “ ก็ดีเหมือนกันนะข้าไม่ได้เห็นทะเลมาเป็นชาติแล้ว  ตาบื้อนั่นชอบบ่นว่าเมาคลื่น...  อึกอักๆ  ก็โดดขึ้นหลังม้าตลอด...  ไม่รู้มั่งเลยว่าคนที่ต้องบินตามน่ะมันเหนื่อยแค่ไหน ”
   
“ ท่าทางเจ้าสนิทกับพ่อข้ามากเลยนะ ”  เฟอร์โรเรนถามอย่างนึกอิจฉาชั่วชีวิตนี้เขาได้เห็นหน้าพ่อจริงๆ  แค่ครั้งเดียวตอนที่ซิริอัสแอบพาไปเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว  ...จำได้เพียงรางๆ  ว่าร่างของเฟอร์รันถูกผนึกไว้ในผลึกแก้วสีน้ำเงินใสในห้องทรงกลมมืดๆ  กว้างๆ  กับของประดับหน้าตาแปลกๆ  และรอยยิ้มอบอุ่นบนเรียวปาก  เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันตั้งอยู่ที่ไหนแต่คลับคล้ายคลับคาว่าจะอยู่ในฟีเลซวิลนั่นล่ะนะ
   
“ ก็นิดหน่อย ”  นิมฟ์ยักไหล่  “ แต่ถึงยังไงก็สู้เจ้าซิริอัสตัวดีนั่นไม่ได้หรอก  คู่เนี้ยนะติดกันแจซะยิ่งกว่ารูจมูกซ้ายขวาของเจ้าอีก...  ถ้าตาบื้อนั่นไม่ไปหลงแม่เจ้าซะก่อนนะป่านนี้คงแต่งงานมีลูกหลานเต็มบ้านไปแล้ว ”
   
“ พ่อข้าข้าไม่ใช่พวกผิดเพศสักหน่อย ”
   
“ ใครจะไปรู้เล่า!...  อีแอบน่ะรู้จักมะ...  แต่รู้สึกว่าลูกไม้แถวๆ  นี้จะไม่แอบเลยแฮะ... ”
   
“ เจ้าว่าอะไรนะ!! ”
   
“ ปล๊าว~... ”  นิมฟ์ผิวปากไม่รู้ไม่ชี้  “ ใครจะไปกล้ามีปัญหากับกะเทยกันเล่า ”
   
“ ทำไมนิมฟ์ไปว่าเรนเค้าแบบนั้นล่ะ ”  ยามิวเถียงแทนอย่างนึกหงุดหงิดเต็มทน  “ เรนเค้าออกจะน่ารักขนาดนี้! ”  พร้อมกับลุกขึ้นยืนและชี้มือมาที่ร่างบางซึ่งนั่งตาแป๋วกระพริบตามองเธอปริบๆ  “ ดูสิ!!  ตากลมโตบ้องแบ๊ว  ขนตาก็เป็นแพงอนยาวกว่าข้าซะอีก  แล้วไหนจะผมสีน้ำตาลเข้มสวยรับกับสีตานี่อีกล่ะ ”
   
เฟอร์โรเรนทำหน้าปั้นยากไม่รู้จะภูมิใจหรือเสียใจดีที่ถูกชมแบบนี้  ...อย่างว่าแหละยามิวยังปักใจเชื่อเต็มที่นี่นาว่าเขาเป็นผู้หญิง  ถึงแม้เธอจะรู้ว่าชื่อจริงของเขาคือเฟอร์โรเรน  วีกส์  แต่ข่าวลือนับจากวันที่เขาลืมตาดูโลกก็มีเพียงสิงห์ขวาแห่งฟีเลเซียให้กำเนิดสายเลือดต้องสาปกับหญิงสาวชาวมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น  ที่เหลือล้วนเป็นนิยายที่ปั้นแต่งกันไปเอง  น้อยคนนักที่จะรู้ความจริงว่าเด็กต้องสาปคนนั้นเพศอะไรและไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร 
‘เฟอร์โรเรน’ นั้นเป็นชื่อที่เฟอร์รันตั้งให้เขาในคืนวันที่ลืมตาดูโลกและกระซิบบอกแก่ซิริอัสเพียงผู้เดียว ( ...นั่นก็ตามที่เขารู้มาจากซิริอัสนะ ) ซึ่งเขาเคยลองเปิดหาความหมายจากพจนานุกรมเล่มแล้วเล่มเล่าแต่ก็ไม่พบเลยแม้แต่ในภาษาโทรลล์  เดาว่าเฟอร์รันคงเอาคำว่า ‘เฟอร์โรน’ ที่แปลว่าสิ้นหวังกับคำว่า ‘เรน’ ที่แปลว่าสายฝนในภาษาเก่าแก่ของพวกพ่อมดมาผสมรวมกันได้เป็น‘สายฝนแห่งความสิ้นหวัง’หรือ‘ความสิ้นหวังในสายฝน’อะไรทำนองนี้ล่ะมั้ง
   
ถึงจะฟังดูแล้วไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่เคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจอะไร  ในเมื่อมันเป็นความจริงเพราะแม่ตายตอนเขาเกิด  ...ไม่แปลกหรอกที่พ่อจะเศร้าเสียใจและสิ้นหวัง  ...และอีกสามวันต่อมาพ่อก็ตายตามแม่ไปโดยทิ้งของต่างหน้าไว้ให้เป็นมนตร์มอบชีวิตที่ต้องขอบอกตามตรงจากหัวใจเลยว่าเขาไม่เคยนึกชอบหรือขอบคุณมันเลยสักนิดที่ทำให้ชีวิตนี้ยังคงมีลมหายใจอยู่จนถึงวนาทีนี้  ...เพราะมันเทียบกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาต้องสูญเสียไปชั่วนิรันดร์...  มันเป็นการแลกที่ไม่คุ้มค่าแม้สักนิด... 
   
“ สะใจหรือยังเจ้าเปี๊ยก!! ”  เขากระซิบถามลอดไรฟันที่ขบกันดังกรอดๆ    ยามิวยังคงพรรณนาสรรพคุณความงามของเขาไม่เลิก  ในขณะที่เจ้าจิ๋วตัวจุดชนวนกำลังหัวเราะท้องคัดท้องแข็งลงไปนอนกลิ้งตบโต๊ะเอาเป็นเอาตายชนิดไม่เกรงอกใจเกรงใจกันเลย
   
“ ยังอ่ะนะแต่เกือบแล้วล่ะ‘คุณแอบ’ขา... ”  นิมฟ์ยังล้อเลียนไม่เลิกเมื่อยามิวพูดขึ้นว่า
   
“ ...เสียอย่างเดียวที่เรนไม่มีหน้าอกไม่งั้นพวกหนุ่มๆ  คงมารุมจีบกันให้ตรึม ”
   
“ ฮะๆๆ!...  แค่นี้ก็สวยจะตายแล้วล่ะจ๊ะคุณหนูยามิวจ๋า... ”  นิมฟ์หัวเราะจนเริ่มสำลักน้ำลายตัวเองแล้วตอนนี้  “ โอ๊ย!...  หน้าอกงั้นเรอะ...  อยากจะบ้าตาย...  ให้พรายชอบมนุษย์เถอะ!!...  แม้แต่โทรลล์ไร้สมองยังน่าจะคิดได้เลยนะนี่...  ฮ่าๆๆ... ”
   
“ อยากตายนักใช่ไหมเนี่ย ”
   
“ อุ๊ยต๊าย!!....”  นิมฟ์กรีดเสียงร้องล้อเลียน  “ ฝีมืออย่างเจ้าน่ะรึจะมีปัญญาฆ่าข้า...  น่าขำ!...  ต่อให้เก่งขึ้นกว่านี้สักล้านล้านเท่ายังไงเจ้าก็หมดสิทธิ์อยู่ดี...  อ้อ! แล้วก็จะขอเตือนไว้อีกนิดนะว่าข้าน่ะเป็นอมตะพันธุ์แท้ไม่เหมือนพวกพันทางอย่างเจ้า...  ฆ่ายังไงก็ไม่ตายหรอก ”
“ เจ้าเลิกย้ำเรื่องสายเลือดข้าสักทีได้ไหม ”  เฟอร์เรนบอกเสียงแผ่ว  ถึงหัวใจของเขามันจะชินชาเสียแล้วกับการถูกเรียกอย่างเหยียดหยาม  แต่มันก็อดเจ็บแปลบลึกๆ  ไม่ได้สักครั้งสิน่า...  ยิ่งเป็นคนใกล้ตัวแบบนี้ด้วยแล้วความเจ็บยิ่งเท่าทวีคูณ “ ...ได้โปรดเถอะนิมฟ์...  ข้าไม่ขออะไรเจ้ามากไปกว่านี้อีกแล้ว...  เจ้าจะด่าว่าข้า  จะเรียกข้าเสียๆ หายๆ  ว่าอะไรก็ตามใจ...  อยากจะเรียกกะเทยก็ตามสบายแต่อย่าเรียกข้าแบบนี้ได้ไหม... ”
“ เลือดต้องสาปน่ะเหรอ ”  นิมฟ์เอียงคอถามหน้าตายเหมือนไม่รู้สำนึก  คำสารภาพและขอร้องจากใจนั่นไม่อาจซึมผ่านเกราะหัวใจหินหนาเข้าสู่เนื้ออ่อนไหวข้างในนั้นได้เลย  “ เอ...  จะว่ายังไงดีล่ะ  ข้ามันก็เป็นพวกปากตรงกับใจนึกอยากจะพูดอะไรก็พูดซะด้วยสิ ”
สถานการณ์ทำท่าว่าจะตึงเครียดขึ้นทุกทีโดยเฉพาะกับเฟอร์โรเรนที่เริ่มจะหมดความอดทนแล้ว  เขากัดริมฝีปากไว้แน่นสะกดอารมณ์ที่เริ่มพลุ่งไม่ให้โต้ตอบในขณะที่พับหนังสือพิมพ์เก็บก่อนจะรวบแผนที่ลวกๆ  ไม่สนใจว่าจะยับหรือจะยังไงท่ามกลางสายตาประหลาดใจของหญิงสาวที่ไม่ได้ยินบทสนทนานั่นและสายตานิ่งเฉยไร้อารมณ์ของภูตจิ๋วที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนลูกแก้ว
พลันสายตาของเขาก็เหลือบไปกระทบเข้ากับบางสิ่งที่ทำเอาหัวใจเกือบหยุดเต้น
ชายร่างสูงผมสีดำกรีดยิ้มเหี้ยมเกรียมพร้อมกับกวักมือเรียกพรรคพวกกลุ่มใหญ่ให้กลับมาเมื่อเห็นแล้วว่าเป้าหมายที่ตามล่าตัวมาตั้งแต่เมื่อวานอยู่ที่ไหน
“ วิ่ง ”  เฟอร์โรเรนพูดรวดเร็ว
“ เจ้าว่าอะไรนะ ”  ยามิวถามซ้ำ
“ ข้าบอกให้วิ่ง!! ” 
คราวนี้เสียงดังจนเกือบตวาด  เฟอร์โรเรนยัดแผนที่ใส่กระเป๋าพร้อมกับดึงมือหญิงสาวที่เพิ่งจะสังเกตเห็นพระยายมถืออาวุธครบมือทั้งมีดทั้งดาบวิ่งกรูกันเข้ามา  และถึงจะทะเลาะกันอยู่แต่เฟอร์โรเรนก็ไม่ลืมที่จะฉวยลูกแก้วของนิมฟ์ยัดใส่กระเป๋าไปด้วย
“ เร็วเข้ามันหนีไปแล้ว ”
ชายผมดำร้องบอก  คนที่เหลือเร่งฝีเท้าขึ้นอีกพร้อมกับกระชับอาวุธในมือ  เฟอร์โรเรนวิ่งลัดเลาะไปตามแม่น้ำ ก่อนจะเลี้ยวหลบเข้าซอกแคบๆ  ของตัวตึกสองหลังที่สร้างเบียดกันอยู่  แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ยังคงตามมาไม่ลดละ  ขนาดตัวที่ใหญ่บึกของพวกมันชนกระทบกล่องลัง  และถังขยะล้มระเนระนาด
“ ใช้เวทมนตร์สิเจ้าเซ่อ ”  นิมฟ์ร้องบอกออกมาจากกระเป๋าเสื้อ  “ อาวุธก็ไม่มีแบบนี้  อยากตายนักหรือไง ”
“ มันเรื่องของข้า ”  เขาบอกพร้อมกับใช้นิ้วดันหัวของมันให้กลับลงไป
“ งั้นก็เชิญวิ่งหนีจนเหนื่อยตายไปเถอะ ”
แสงสว่างของทางออกเรืองรองขึ้นตรงหน้าความหวังเริ่มผุดพรายขึ้นฉับพลันเงามืดก็เคลื่อนกายเข้าบดบัง  เฟอร์โรเรนใจหายวาบ  เมื่อทางหนีกลับกลายเป็นทางตันและทางรอดกลายเป็นทางตาย  เขาเพิ่งจะขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ !! 
“ ทำยังไงดีเรน ” ยามิวร้องอย่างตระหนก  เมื่อเหลียวหลังกลับไปมองคมดาบของพวกมันก็เกือบจะจ่อคอหอยได้อยู่แล้ว
“ ใช้เวทย์ลมพัดพวกมันให้พ้นทางแล้วตามด้วยเวทย์น้ำแข็งตรึงข้อเท้าเอาไว้ ”  นิมฟ์ร้องบอกอย่างนึกสงสารเต็มที
“ ก็บอกให้อยู่เงียบๆไง! ”
“ ยอมแพ้ซะเถอะเจ้าหนู... ”  เสียงหนึ่งดังมาจากกลุ่มเงาตรงหน้า
“ เรื่อง!! ”
เฟอร์โรเรนใช้สายตากะปริมาณคนได้สามคน  จำนวนเท่านี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับสองคนที่จะฝ่าออกไป  เขาดึงแขนหญิงสาวเข้าหาตัว  “ ขอโทษนะ ”
ยามิวมองหน้าเขาเอ๋อๆ  และก่อนจะทันได้งงเฟอร์โรเรนก็จับไหล่เธอเหวี่ยงไถลไปกับพื้น  ในขณะที่ตัวเองใช้มือเพียงข้างเดียวคว้าไหล่ร่างกำยำแล้วเหวี่ยงตัวเองลอยข้ามหัวไปง่ายดายก่อนจะก้มลงฉวยข้อมือร่างบางที่เพิ่งจะพุ่งไถลลอดผ่านหว่างขาที่ยืนจังก้าออกมาให้ลุกขึ้นวิ่งต่อ 
“ เจ้านี่เจ๋งเป็นบ้าเลย ”
“ เรื่องหนีน่ะขอให้บอกเถอะ...  ”  เฟอร์โรเรนตอบพลางกดศีรษะเธอจนหัวเกือบทิ่มเมื่อมีดสั้นเล่มหนึ่งเพิ่งจะบินฉิวผ่านไป  “ เริ่มเล่นสกปรกแล้วแฮะ ”
เฟอรโรเรนวิ่งหนีเข้าตลาดแล้วเขาก็ได้รู้ตัวว่าคิดผิดเป็นครั้งที่สองในรอบวัน  ไม่ใช่แค่พวกมันยังไล่ตามเขาไม่เลิก  แต่ความไม่ชำนาญในพื้นที่และข้าวของที่วางเรียงรายเต็มสองข้างทางนั้นเป็นยิ่งกว่ากับดักชั้นดี  ...แต่ในเมื่อมันขวางเขาได้มันก็ต้องขวางกลุ่มคนที่ตามมาได้เช่นกัน
ถึงตาคนถูกไล่เล่นสกปรกบ้างแล้ว...  เฟอร์โรเรนใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่และสองเท้าให้เป็นประโยชน์ทั้งผลักทั้งถีบข้าวของบนแผงลอยให้ร่วงกระจายเกลื่อนถนน  เข่งส้มสองใบล้มกลิ้ง  ผลส้มอวบสวยเทกระจาย  ก่อนจะหันไปเทกระจาดไข่พร้อมทั้งปาใส่พวกมันจนเลอะไปทั้งตัว  กลิ่นเหม็นคาวโชยคลุ้ง  ...อย่างนี้ต้องดับกลิ่นซะหน่อย...
ร้านขายบะหมี่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ถัดออกไป  เฟอร์โรเรนพุ่งใส่ทันทีเมื่อฝ่ามือแข็งแรงคว้าหมับเข้าที่ไหล่  หม้อก๋วยเตี๋ยวจึงกลายเป็นบะหมี่น้ำใสสองชามเหมาะมือโปะเข้ากลางศีรษะ  มันปล่อยมือจากเขาพร้อมกับกรีดร้องด้วยความแสบร้อน  ชามเปล่าร่วงกระแทกพื้นแตกเป็นเสี่ยงทิ้งให้เส้นกลมเหลืองอร่ามน่ากินห้อยระย้าอยู่บนเรือนผมแซมสลับท่อนขาวอวบของถั่วงอก
“ เจ้ากะไม่มาเหยียบเมืองนี้อีกแล้วใช่ไหมนี่ ” นิมฟ์ถามพลางเหลียวมองความพินาศตลอดเส้นทางหลบหนี  ...บรรดาพ่อค้าแม่ค้ายืนเท้าเอวด่ากันเสียงขรม
“ ทำนองนั้นแหละ ” เขาตอบสบายๆ  พลางเบี่ยงศีรษะหลบมีดโต้สับหมูที่ลอยควงสว่านมา  ...ท่าทางจะได้ศัตรูนอกระบบเพิ่มขึ้นอีกแล้วแฮะเรา
ทั้งสองไปจนมุมที่ท่าเรือ  กระแสน้ำเชี่ยวกรากกว้างใหญ่ซัดสาดคลื่นลูกใหญ่เข้ากระทบฝั่งลูกแล้วลูกเล่าราวกับจะตอกย้ำจุดจบของทางหนี  ฝูงนกน้ำวิ่งย่ำไปบนผิวน้ำก่อนจะกระแทกตัวลงลอยนิ่งหากในปากมีปลาแม่น้ำตัวใหญ่บ้างเล็กบ้างขึ้นกับความสามารถเฉพาะตัว
นกน้ำกลืนปลาลงคอพร้อมกับโก่งคอร้องอย่างดีใจเช่นเดียวกันกับชายฉกรรจ์ตรงหน้าที่ฉีกยิ้มเหี้ยมเกรียมพร้อมกับย่างสามขุมเข้ามาอย่างใจเย็นเมื่อเห็นว่าพวกเขาไปไหนไม่รอดแน่
“ เลิกหนีอย่างไร้ประโยชน์ได้แล้ว ”
...ก็ไม่ไร้เท่าไหร่หรอกนะ...
เฟอร์โรเรนคิด  ภาพตรงหน้าเขาคงชวนหวาดผวาน่าดูถ้าไม่ติดตรงเส้นบะหมี่พร้อมลูกชิ้นที่พันกันยุ่งอยู่บนศีรษะชายสองคน  อีกทั้งคราบไข่พร้อมเปลือกทั้งขาวและแดงตามเนื้อตัวที่เยิ้มหนืดกันไปคนละนิดคนละหน่อย
มีดสั้นสองเล่มลอยหวือมา  เฟอร์โรเรนดึงตัวหญิงสาวหลบข้างหลัง  มีดเล่มหนึ่งเฉียดเอาเนื้อที่แก้มของเขาไปได้หน่อย  เฟอร์โรเรนกัดฟันกรอด  ไม่ใช่เพราะเจ็บแต่เขาต้องรวบรวมสมาธิอย่างแรงกล้าเพื่อยับยั้งเวทมนตร์แห่งการรักษาที่กำลังจุดประกายขึ้นต่างหาก  ...ถ้าพวกมันรู้ว่าเขาเป็นอะไรเรื่องมันไม่จบแค่นี้แน่  แล้วมหกรรมการล่าครั้งยิ่งใหญ่จะตามมา 
...ไม่เข้าใจเลยจริงๆ  ว่าทำไม  ...ตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นเด็กตัวน้อยจนโตป่านนี้และสามารถควบคุมพลังเวทย์ในกายได้ดีแล้ว  หากประกายแสงแห่งการรักษานี้เท่านั้นที่เขาควบคุมแทบไม่ได้เลยและยังต้องใช้พลังมากเสียยิ่งกว่าการใช้เวทย์รักษาเสียด้วยซ้ำเพื่อยับยั้งมันไว้  ...แถมอำนาจของมันก็เป็นยิ่งกว่าปาฏิหาริย์  ขนาดบาดแผลที่ว่าสาหัสที่สุดจนเรียกได้ว่าไม่สมควรรอดยังสมานสนิทดีในชั่วข้ามคืน
ชายผมน้ำตาลทองยกมือกั้นชายผมดำที่ทำท่าจะลงมืออีกครั้งก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้าหาพร้อมกับยกดาบขึ้นจ่อที่คอหอยของเขา
“ ได้เวลาไปลงนรกแล้ว ”
เฟอร์โรเรนเหลือบตาลงมองแสงสะท้อนจากคมมีดที่ข้างคอก่อนจะตวัดกลับมาพร้อมกับหยักยิ้มที่มุมบางปากอย่างเจ้าเล่ห์  “ ถ้าคิดว่าทำได้ก็เชิญเลย... ”
ร่างสูงตรงหน้านึกพิศวงเล็กน้อย  ไม่ใช่กับคำพูดที่อวดดีแต่เป็นแววตามั่นใจจนน่าหมั่นไส้นั่น...  มันไม่ได้เพ่งมองมาที่เขาหากพุ่งข้ามไหล่เลยออกไป
“ หรือว่าเจ้าต้องการจะผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อข้า... ” ดวงตากลมโตตวัดกลับมาสบกับนัยน์ตาสีดำตรงหน้า  “ อย่างนั้นรึ? ”
“ เฮ้ย! อย่ามัวโอ้เอ้สิเฟ้ย...  รีบๆ  จับตัวมันมาแล้วจะได้รีบกลับกันเสียที  ป่านนี้นายใหญ่รอแย่แล้ว ”  คนหนึ่งในกลุ่มร้องบอกพร้อมกับเดินเข้ามากับชายอีกสองคนที่เฟอร์โรเรนจำได้แนบสนิทใจ  ...จะใครซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่คนเฝ้าห้องที่พยายามจะพรากพรหมจรรย์เขาไป 
“ มัวแต่ยืดยาดแบบนี้เดี๋ยวก็อดลองของใหม่หรอกแก!...  ” 
“ ยังสดๆ  ซิงๆ  แถมยังแสบใสอย่างเจ้านี่สมัยนี้หายากจะตายข้าไม่อยากพลาดโอกาสงามนี้ไปหรอกนะ... ”
“ ข้าไม่หวังว่าเจ้าจะทำอย่างที่ปากพล่าม ” ชายผมดำรีบดักคอ
“ ...ก็แค่ชิมๆ  ”  เขาบอกท่าทางกระหายเต็มที  “ ผิวงี้เรียบลื่น...  ทั้งเนียนทั้งละเอียดเป็นบ้าเลย...  โธ่เว้ย!! พูดแล้วเปรี้ยวปากรีบๆ  หน่อยเถอะจะได้ถึงมือนายก่อนมืดค่ำ ”  ไม่พูดเปล่ายังถือวิสาสะยื่นมือเข้ามาแตะไล้ผิวแก้มเล่น  เฟอร์โรเรนเบี่ยงตัวหลบอย่างขยะแขยงเต็มทนแต่ก็ติดคมดาบที่แนบอยู่ข้างซอกคอ 
“ ปล่อยเรนเดี๋ยวนี้นะ ”  หญิงสาวที่หลบอยู่ข้างหลังพุ่งออกมาพร้อมกับผลักอกเต็มแรง  “ ไอ้คนชั่วช้าสกปรกอย่างพวกแกน่ะไม่มีสิทธิ์แตะต้องเธอหรอก ”
“ อย่านะยามิว!! ”  เฟอร์โรเรนร้องเสียงหลง  พยายามจะจะเข้าขวางหากคมดาบข้างคอยังกดหลอดลมไว้แน่นเมื่อร่างบางตรงหน้าถูกตบอย่างไม่ใยดีแล้วกระชากผมยกลอยขึ้นจากพื้น
“ โอ๊ย!! ”
“ เฮ้ย!! ” อีกคนร้องเตือน  “ เบาๆ  หน่อย...  ถึงของจะไม่สดแล้วแต่ก็ยังไม่เสียนะเฟ้ย...  ถึงหมู่นี้จะราคาตกไปหน่อยแต่ก็ลูกค้าก็ยังจองตัวมันกันข้ามวันข้ามคืนขืนแกทำมันโทรมไปมากกว่านี้เสียรายได้ตายเลย ”
“ ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้นะ!! ”  เฟอร์โรเรนตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว  ไม่สนแล้วว่าอะไรจะตามมาถ้าต้องลงมือกันด้วยเวทย์มนตร์จริงๆ
ริมฝีปากบางของชายผมน้ำตาลทองกระตุกขึ้นยิ้มปนขำ  ดาบยาวในมือเงื้อออกอีกครั้งพร้อมกับฟันลงมา “ ปากดีนักนะ...  คิดว่าจะทำอะไรได้เหรอไงเจ้าหนู ”
เฟอร์โรเรนยกสองแขนขึ้นตั้งรับกำลังจะเรียกสายลมมาทำเกราะหากร่างบางถูกลำแขนแข็งแรงรวบเข้าแนบอกรวดเร็ว  เลือดสดๆ  สีแดงฉานสาดกระเซ็นเป็นสายตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนเมื่อเห็นความตายรอยู่ตรงหน้า
ร่างหนึ่งทรุดกระแทกพื้นแน่นิ่งจมกองเลือดตัวเอง 
เฟอร์โรเรนเบี่ยงศีรษะออกจากอกกว้างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวข้างกาย
ผู้คุมหน้าห้องคนหนึ่งนอนตายจมกองเลือด  แผลฉกรรจ์ที่กลางหน้าอกเป็นรูกว้างมีเศษชิ้นเนื้อที่ไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้เป็นหัวใจห้อยขาดรุ่งริ่ง  เละคาอยู่บนซี่โครงท่ามกลางความสับสนปนตะลึงของทุกสายตาที่จับจ้อง
“ เจ้า...  ”  เฟอร์โรเรนพูดลอดไรฟันที่สั่นกระทบกันด้วยความหวาดกลัว  “ เจ้าไม่ใช่เอลาเทลหรอกเหรอ ”
ร่างสูงคลายวงแขนสบตาเขาชั่วครู่  “ เจ้าพูดถึงใครกัน ”  คิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัยแล้วตามด้วยรอยยิ้มกลุ้มกริ่มที่ก้มลงประกบปิดปากร่างบางในอ้อมแขนรวดเร็ว
“ อุบ! ”
เฟอร์โรเรนถึงกับดิ้นไม่หลุดเมื่อถูกจู่โจมด้วยอาวุธลับอ่อนนุ่มในปากที่ราวกับจะดูดกลืนทุกอย่างไปจากตัวเขา  ...ทั้งเร่าร้อนเหมือนกับถูกไฟเผาในขณะเดียวกันก็เหยียบเย็นราวกับอยู่ท่ามกลางพายุหิมะอันหนาวเหน็บ  ลมหายใจหอบถี่กระชั้นพาลจะหายใจไม่ออก  ภาพตรงหน้าพร่ามัวด้วยหยาดน้ำที่เอ่อขึ้นเต็มเบ้าตา
ในที่สุดเขาก็เป็นอิสระจากพันธนาการที่รัดรึง  ความเหนื่อยทำให้เฟอร์โรเรนต้องใช้สองมือที่สั่นระริกจิกเสื้อร่างสูงไว้แน่น 
ชายผมทองยกนิ้วโป้งขึ้นปาดริมฝีปากฉ่ำน้ำ  นัยน์ตาเป็นประกายกระหายหิวจนอดใจแทบไม่ไหวทั้งที่น่าจะอิ่มได้แล้ว  “ อร่อยเป็นบ้าเลยพลังชีวิตมนุษย์เนี่ย...  ” เขาพึมพำ  “ ...ยิ่งมีกลิ่นอายจอมเวทย์ปนยิ่งอร่อย ”
“ ฮ...  แฮ่ก!...  เจ้า...  เจ้าทำอะไรข้า...  ”  เฟอร์โรเรนหอบหายใจถาม  แก้มเป็นสีอมชมพูระเรื่อในขณะที่ริมฝีปากที่เผยอออกน้อยๆ  เป็นสีแดงสดจากการบดขยี้รุนแรงเมื่อครู่
“ ถ้ายังไม่รู้จะลองอีกครั้งไหมล่ะ...  ”
ใบหน้าคมเริ่มก้มลงต่ำอีกครั้งพร้อมกับช้อนคางร่างเพรียวตรงหน้าขึ้นไม่ให้ขัดขืน 
“ หยุดแค่นั้นแหละวูล์ฟ! ”
สติของเฟอร์โรเรนกลับมาสมบูรณ์เต็มที่อีกครั้ง  เขาดีดตัวออกจากแผ่นอกกว้างเมื่อภูตน้อยในกระเป๋าเสื้อโผบินออกมาคั่นกลางระหว่างทั้งสอง  มือถือคันธนูแสงสีเขียวอมฟ้าที่ขึ้นศรเล็งเรียบร้อย
“ อย่าเตะต้องเด็กคนนี้! ”  มันเน้นทุกพยางค์ชัดเจน
วูล์ลีเฟรยิ้มกว้างพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากนึกเสียดายเหยื่ออันโอชะจับใจ  “ นึกว่าใคร...  ที่แท้ก็เจ้าเองเหรอนิมฟ์...  แหม! ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดขนาดตัวเจ้าก็ยังไม่เปลี่ยนเหมือนเดิมเลยนะ ”
“ และดูเหมือนว่าเวลายี่สิบปีก็ไม่ได้ทำให้ความชั่วในกายเจ้าลดลงเช่นกัน...  ”
ยามิววิ่งเข้ามาหาเฟอร์โรเรนที่ค้อมตัวลงเอามือยันเข่าพ่นของเหลวขุ่นเหนียวสีแดงสดออกมาจากลำคอที่ร้อนผ่าว
“ เป็นอะไรหรือเปล่าเรน ”
เฟอร์โรเรนอาเจียนเอาเลือดออกมาอีกก้อนใหญ่เมื่อเสียงฝีเท้าและเสียงดาบดังขึ้นใกล้ตัว  เขาผวาหันไปมอง
ณ ท่าเรือซึ่งเคยคลาคล่ำไปด้วยชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่บัดนี้เหลือเพียงชายผมดำที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลาง...  กองเศษซากชิ้นเนื้อที่มนุษย์กระจัดกระจายเต็มพื้น  เลือดสดๆ  ไหลนองเป็นทางหยดลงสู่ผืนน้ำทะเล  เปลี่ยนสีฟ้าครามให้กลายเป็นสีแดงข้นดูน่ากลัว
“ เจ้า!...  หรือว่า... ”
ชายผมดำส่งยิ้มเหยียบเย็นให้เขา  “ เจอกันอีกแล้วนะเจ้าหนู... ”  ฉับพลันเรือนผมนุ่มสลวยสีดำสนิทดุจราตรีกาลก็ค่อยๆ  งอกยาวลงปรกหน้า...  มันยาวขึ้นทุกที...  ทุกที...  จนแผ่สลายลงเต็มกลางหลัง  และเพียงแค่สะบัดปอยผม  ชุดเสื้อเชิ้ตเก่าปอนก็กลับกลายเป็นชุดเกราะพร้อมเสื้อคลุมหรูหราสีดำประดับพู่ขนกาสีดำสนิท
ควอร์ซิสในชุดแม่ทัพโลกปิศาจเต็มยศใช้มือข้างขวาที่เฟอร์โรเรนแน่ใจว่ามันแหลกสลายไปแล้วด้วยพลังของศิลาปฐพีล้วงหยิบเอาของสิ่งหนึ่งออกจากเสื้อคลุม
“ อย่าห่างจากตัวข้านะ ”  เฟอร์โรเรนพูดพร้อมกับเอาตัวเองบังหญิงสาวข้างกายเมื่อควอร์ซิสค่อยบรรจงสวมหน้ากากเงินลงบนในหน้าซีกซ้ายและทันทีมันกลับเข้าที่เขาจะมีอำนาจปิศาจเต็มเปี่ยมอีกครั้ง  ในขณะที่ชายผมทองยังคงยืนสบตานิมฟ์นิ่ง  ...ดูเหมือนว่าบัดนี้ทั้งสองกำลังสื่อสารกันด้วยจิตแทนการพูด
“ ด้วยสัตย์แห่งฟาร์มิลลา... ”  จู่ๆ  นิมฟ์ก็โพล่งขึ้นมา
“ เจ้าว่าอะไรนะ ”  เฟอร์โรเรนหันไปมอง  คิ้วขมวดมุ่นด้วยความเครียดจากความหวาดกลัวระคนตกใจ
“ ไม่มีเวลาแล้วรีบพูดตามข้าเร็วเข้า ”
ถึงจะยังงงๆ  อยู่แต่เฟอร์โรเรนก็ยอมทำตามโดยดี
“ ...ขอทวงสัตย์สาบานแก่เอเกอร์  จงสนองตอบต่อวิญญาณมนุษย์ในกายข้า... ” นิมฟ์พูดต่อเมื่อเขาทวนประโยคแรกจบ “ ขอจงมอบพลังแห่งพื้นพสุธาปกปักษ์รักษาสายเลือดจอมเวทย์คนสุดท้าย...  อีกครึ่งชีวิตที่สถิตแห่งข้า... ”
“ แล้วทำยังไงต่อ...  ”  เฟอร์โรเรนถามอย่างร้อนรนควอร์ซิสสวมหน้ากากเสร็จแล้วและกำลังมองมาทางเขา  ดวงตาคมข้างที่ไม่มีหน้ากากเงินปกปิดเป็นประการกระหายเลือด
“ นี่!...  ถ้า!...  โอ๊ย!! ”  ฉับพลันผิวเนื้อภายใต้เศษผ้าที่พันรอบแขนซ้ายก็ร้อนระอุราวกับกำลังลุกไหม้  เขาทิ้งตัวลงกับพื้นด้วยความปวดแสบทรมานจนลุกไม่ขึ้น  เกิดความปั่นป่วนขึ้นทั่วทั้งร่างเหมือนเลือดในกายกำลังเดือดพล่าน  หัวใจเต้นแรงราวกับจะระเบิดออกจากอก    ลำคอที่แสบร้อนแข็งเกร็งทำท่าจะขย้อนเอาเลือดก้อนใหญ่ออกมาอีกระลอก 
“ เป็นอะไรไปเรน ”  ยามิวนั่งลงประคองด้วยความเป็นห่วง
“ ม...  ไม่รู้...  จู่ๆ  มันก็...  อึก! ”
“ อย่าดิ้นรนไปเลย... ” ควอร์ซิสพูดเสียงเย็น “ จะเหนื่อยซะเปล่า...  เจ้าคิดว่ารสจูบของวูล์ลีเฟรมันธรรมดานักหรือไงล่ะ...  ยอมไปกับข้าซะเจ้าสายเลือดต้องสาปเอ๋ยแล้วนังหนูคนนี้จะได้ตายสบาย...  นี่ถือเป็นความเมตตาจากข้านะ ”
“ อย่าไปฟังมัน ” นิมฟ์กระซิบ  ภายใต้สถานการณ์คับขันนี้ไม่มีใครทันสังเกตเห็นเหงื่อกาฬของมันที่ชุ่มโชกและรอยรีดบนข้อมือทั้งสองซึ่งง้างคันศรไว้  “ ตั้งสมาธิให้มั่นแล้ว... ”
“ ข้าไม่เจ้าฟังอีกแล้ว!! ” เฟอร์โรเรนตะคอกกลับก่อนจะหันไปหาหญิงสาว “ เชื่อใจข้านะยามิว ” พร้อมกับรวบรวมพลังเท่าที่มีลุกขึ้นยืนแล้วใช้มือขวากอดร่างบางเข้าแนบอก  ในขณะที่ปากพึมพำคาถาแรกที่นึกออกในหัว  ...ถึงจะเสี่ยงแต่ก็มันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
...เวทย์เคลื่อนย้าย!...  เจ้านี่นะ!...  มัน...
นิมฟ์ขบริมฝีปากแน่นเมื่อรู้ตัวว่าพลาดไปเสียแล้ว
...ชิ!  พลังของข้าตอนนี้ก็ยังฟื้นคืนมาไม่มากพอเสียด้วยสิ!...
ร่างของสองค่อยขยับลอยขึ้นสูงจากพื้น  ชายผมทองอาศัยจังหวะที่ภูตจิ๋วตรงหน้าเผลอกระโดดขึ้นฉวยข้อเท้าเฟอร์โรเรน  แต่นิมฟ์ที่ผ่านสนามรบมาโชกโชนมากพอๆ  กับโชกเลือด(ศัตรู)ผวาหันมาปล่อยธนูแสงใส่มือวูล์ลีเฟรได้ทัน  เขาปล่อยมือจากขาเฟอร์โรเรนและกรีดร้องไม่เป็นภาษาฟันเขี้ยวคู่หน้างอกยาวขึ้นเต็มปากอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อคลื่นอาคมในกายปั่นป่วนรุนแรง  นิมฟ์อาศัยจังหวะนั้นบินฉิวผ่านหน้าวูล์ลีเฟรหายเข้าไปในกลุ่มแสงเมื่อควอร์ซิสสะบัดข้อมือเสกลำแสงพุ่งตรงเข้าจู่โจมแต่วงลมแสงสีอ่อนจางที่ห่อหุ้มร่างทั้งสามไว้ก็หายวับไปเสียก่อนคาถาจึงพุ่งผ่านอากาศไประเบิดกลางทะเล  มวลอัดอากาศมหาศาลจึงซัดคลื่นเป็นกำแพงสูงไม่ต่ำกว่าสามเมตรเข้าโถมฝั่ง  หอบเอาเศษซากชิ้นเนื้อพวกนักเลงคุมซ่องกลืนหายลงทะเลไปสิ้น  ในขณะที่กระแสน้ำแหวกออกเป็นสองทางเมื่อพุ่งผ่านแม่ทัพโลกปิศาจ
แรงระเบิดทำให้ชายผมทองที่กำลังร่วงลงพื้นลอยละลิ่วไปไกลหลายเมตรแต่เขาก็สามารถตีลังกากลับลงพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำได้อย่างสวยงาม
“ ชิ! ปล่อยให้หนีไปซะได้ ”  ชายผมทองสบถ  “ เสียเวลาเปล่าจริงๆ ”  พร้อมกับยกมือขึ้นลูบเขี้ยวหมาป่าที่งอกยาวลงถึงคอเสื้อ
“ บ่นอะไรวูล์ลีเฟร... ” ควอร์ซิสว่าพร้อมกับหัวเราะลงคอ “ น่าขำจริงเรื่องแบบนี้ทำเจ้าอารมณ์เสียได้ยังไงกัน...  ไม่เห็นหรือว่ามันน่าสนุกจะตายที่ความเมตตาของเจ้าเมื่อสี่ปีก่อนกำลังจะนำความหายนะมาสู่พงศ์พันธุ์พ่อมดอย่างไม่น่าเชื่อ ” 
“ ก็มัน... ”
วูล์ลีเฟรพูดได้เท่านั้นเมื่อถูกร่างสูงใหญ่กว่าดึงตัวเข้าแนบชิดและมอบจุมพิตดูดดื่มเร่าร้อนให้  ควอร์ซิสจูบไล้เลียเขี้ยวคู่สวยเบาๆ  และเมื่อถอนริมฝีปากออกเขี้ยวที่เคยงอกยาวก็กลับลดขนาดลงเท่าเดิม
“ มาเถอะ!  ข้ายังมีอะไรสนุกๆ  ให้เจ้าทำอีกเยอะ  เจ้าเพิ่งตื่นขึ้นมาหลังจากหลับไปนานคงยังเซ็งไม่หายสินะ  ”
“ จริงเหรอครับท่านควอร์ซิส ”  สีหน้าเซ็งโลกของชายหนุ่มเปลี่ยนไปในบัดดลเจ้าของนามกรีดยิ้มบางขำขันให้กับท่าทีเหมือนเด็กๆ  แล้วโอบไหล่เดินเลียบชายหาดหายลับไปกับสายลมและหมู่นกนางนวล
                                                                      ~Ж Ж=== ===Ж Ж~
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น