ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Last Wizard

    ลำดับตอนที่ #11 : ณ ที่แห่งนี้นิทราในฝัน : นักพยากรณ์ขนฟู

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 64
      0
      2 เม.ย. 48

    เป็นเวลากว่าสามวันเต็มที่เฟอร์โรเรนถูกขังอยู่ในห้องแคบๆ มืดๆ โดยได้รับขนมปังที่ทั้งแข็งและเย็นเพียงเล็กน้อย  กับน้ำบาดาลรสชาติเฝื่อนคอที่ส่งผ่านมาตรงช่องประตูเป็นอาหารวันละสองมื้อ  ตามปกติแล้วพวกพ่อมดจะทนกับสภาพเช่นนี้ได้ไม่นานนัก  พวกเขาต้องการพลังงานจำนวนมากจากอาหาร  น้ำสะอาดและอากาศบริสุทธิ์   เพื่อรักษาสมดุลเวทมนตร์ในร่างกายให้ไหลเวียนคงที่อย่างสม่ำเสมอ  โดยเฉพาะแสงสว่างซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ขนาดพ่อมดที่ว่ามีอำนาจกล้าแข็งที่สุดในประวัติศาสตร์ยังอ่อนเปลี้ยสิ้นเรี่ยวแรงภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ถูกปิศาจจับไปขังไว้ในคุกใต้ดินที่มืดมิด  



    ทั้งที่น่าจะเริ่มอ่อนแอและอึดอัดจนต้องหอบหายใจแรงๆ  ได้แล้วแต่เฟอร์โรเรนกลับไม่ปรากฏอาการใดๆ  สักนิดนอกจากเซื่องซึมไปบ้าง อันที่จริงดูเขาแค่เบื่อๆ  และอึดอัดรำคาญใจที่ต้องอยู่ในที่แบบนี้เท่านั้น  ...ที่นี่เงียบสงบเหมือนไม่มีใครทั้งที่จริงมีทหารยามอดีตจอมเวทย์เฝ้าระวังอยู่เต็มไปหมด  แต่บางครั้งเขาก็จะแว่วได้ยินเสียงเอะอะเหมือนมีใครกำลังพยายามจะบุกเข้ามา  



    เฟอร์โรเรนไม่อยากรู้ว่าเขาคนนั้นมีจุดประสงค์ใดและไม่ต้องการล่วงรู้แม้เพียงสักนิดว่าใครกันคือที่มาของน้ำเสียงกราดเกรี้ยวนั่น  ที่เขารู้และต้องการคือเจ้าของเสียงนั้นจะไม่กลับมาอีก  แต่เสียงนั่นก็ยังคงดังก้องอยู่ทุกวันและดังเป็นพิเศษจนปลุกให้เขาตื่นขึ้นกลางดึกในคืนวันที่เจ็ดนับแต่ถูกจับตัวมา



    “  ...เอาอาวุธสั่วๆ  ของพวกเจ้าหลบไปให้พ้นทางข้า...  ”

    “  ...เวลาไม่มีแล้ว  และข้าต้องได้พบเธอ...  ”

    “  ...พวกเจ้าอยากตายมากนักรึไง!  ...ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้...   ปล่อย!!  ”



    ตามมาด้วยเสียงโลหะสะท้อนเบาๆ   และเสียงของหนักกระทบกับอะไรบางอย่างแล้วทุกอย่างก็พลันเงียบลงจนน่าใจหาย  เฟอร์โรเรนซบหน้าลงกับเข่าที่ชันขึ้น...   ถึงจะไม่ต้องการ...  แต่เขาก็ภาวนาจนหมดใจขอให้มันเป็นเช่นนี้ตลอดไป...



    ตามคาดเดาของเขานี่น่าจะเป็นเวลาใกล้เที่ยงของวันที่แปดแล้วแต่อาหารก็ยังไม่ถูกส่งมา  ที่จริงเขาไม่ได้รู้สึกหิวเท่าไหร่และไม่นึกอยากด้วยซ้ำแต่มันผิดสังเกตจนน่าสงสัย   บางทีพวกนั้นอาจคิดว่าเขาถูกทรมานไม่มากพอจึงตัดมื้ออาหาร...   หรือไม่ก็...  บางทีมันอาจเกี่ยวกับเสียงประหลาดเมื่อคืน



    จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ตอนสายของวันที่สิบอาหารก็ยังไม่ถูกส่งมา  เฟอร์โรเรนที่อดอาหารมานานสามวันลุกขึ้นยืนและเคาะประตูเหล็กเสียงดังพร้อมกับร้องตะโกนด้วยความโมโหหิว   แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบรับ  เขาลองเอาหูแนบฟังกับพื้น  มันเงียบมาก...  เงียบจนน่ากลัว...



    เขายกมือขึ้นแนบประตู  จุดแสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นในแววตาพร้อมกับที่บานประตูเหล็กล้มลงกระแทกพื้นส่งเสียงดังสนั่น  เฟอร์โรเรนเตรียมใจรอรับคมดาบไว้แล้วแต่ทางเดินมืดสลัวตรงหน้านั้นร้างผู้คน ( และที่ไม่ใช่คน ) โดยสิ้นเชิง  



    ...ชักไม่ชอบมาพากลเสียแล้วสิ...

                                                                               ~Ж Ж=== ===Ж Ж~



    เฟอร์โรเรนวิ่งพล่านไปทั่วคุกเพราะหลงทาง  ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นคนละที่กับที่องค์ชายเคยพามา  เขาวิ่งวนอยู่หลายชั่วโมงแต่ก็ไม่พบใครจนกระทั่งหลุดออกจากทางเดินวกวนเหมือนเขาวงกตมาพบกับลูกกรงเหล็กสูงใหญ่ที่ทอดยาวสุดสายตาไปตามทางเดินแคบๆ  มืดสนิท  กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งโชยมาแตะจมูก  มันรุนแรงชวนสะอิดสะเอียดจนแทบจะอาเจียนออกมา...  กลิ่นคาวเลือดและเนื้อเน่าเหม็นยิ่งกว่าที่เคยเผชิญตอนที่วิญญาณถูกพาไปยังประตูเมืองปิศาจ



    เมื่อลูกไฟถูกจุดขึ้นในมือสิ่งที่เขามองเห็นภายใต้แสงสลัวนั้นทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ   ขนอ่อนที่คอลุกขึ้นตั้งชัน  สองขาและมือไม้สั่นเมื่อความหวาดสะพรึงกลัวและหนาวเย็นเริ่มคืบคลานเข้ากัดกินหัวใจ



    ร่างที่เหลือแต่เนื้อหนังแห้งติดโครงกระดูกห้อยระโยงรยางค์อยู่บนกำแพงหินหลังลูกกรงด้วยโซ่ตรวนเส้นหนาฝังตะปูเหล็กที่ทิ่มแทงตรึงแขนขาลึกจนเห็นรอยถลอกจางๆ  ทิ้งไว้บนกระดูก  และมันไม่ใช่แค่ร่างเดียวหากแต่มีจำนวนไม่ต่ำกว่าหลักร้อย กับอีกกลาดเกลื่อนจนกะปริมาณไม่ได้ที่กองท่วมอยู่ตามพื้น  บางร่างยังมีอาวุธสังหารคาให้เห็นเด่นชัด  อย่างลูกตุ้มเหล็กที่เจาะฝังอยู่บนกะโหลก  ตะปูตัวเท่านิ้วโป้งที่เจาะเข้าตามแขนขาตรึงร่างให้ติดกับพื้น  และเครื่องในที่ถูกแหวะออกมากองไว้  ซึ่งยังเห็นเศษซากลำไส้เน่าเละที่ลากไปพันรอบคอเจ้าของแล้วตรึงด้วยมีดซึ่งปักลงกลางคอหอย  ตามพื้นมีแต่รอยเลือดแห้งกรังไม่เว้นแม้แต่ซี่ลูกกรงและทางเดินที่เขายืนอยู่นี้



    ...ที่นี่คือคุกสังหารสายเลือดต้องสาปในตำนาน...



    เสี้ยววินาทีที่มองเหม่อก็ดูราวกับว่าภาพบางสิ่งกำลังสาดใส่เข้ามาในหัวมากมายราวกับสายน้ำ...   สับสน...   ไม่ปะติดปะต่อ...   มันเป็นความทรงจำของทุกชีวิตที่ร่างถูกจองจำ  ณ  ที่แห่งนี้   ...ภาพวันคืนที่ทุกข์ทรมาน   ถูกทำร้ายทารุณ  วันแล้ว...  วันเล่า...  แม้แต่หัวใจและความนึกคิดยังไร้ซึ่งอิสระ  ถูกบีบคั้น...  กักขัง...   ไว้ในความทุกข์ระทมและความเศร้าหมองที่กัดกินหัวใจจนมอดไหม้...   แล้วใครเล่าจะทนได้...  ในเมื่อแม้แต่หัวใจยังไม่ให้อภัยตัวเอง...



    ภาพซ้อนของวิญญาณรางเลือนฉายขึ้นซ้ำความคิดในแววตา   ร่างที่แตกต่างจากห้าสายพันธุ์  กำลังกรีดร้องโหยหวน...  และเมื่อดวงตาฉ่ำน้ำและเลือดของพวกเขาเหล่านั้นหันมาสบเข้ากับร่างที่ยืนนิ่งมอง  ต่างก็คืบคลานเข้าหาและร้องขอความเมตตา



    ...ช่วยด้วย...   ช่วยด้วย...

    ...ได้โปรด...   ช่วยพวกเราด้วย...

    ...ใครก็ได้ช่วยด้วย...

    ...ได้โปรด...

    ...ทรมานเหลือเกิน !!...

    ...ได้โปรดช่วยเราด้วย !!...

    ...ช่วยปลดปล่อยเรา...

    ...ช่วยฆ่าพวกเราที...

    ...ฆ่าให้ตาย!!...



    “ ไม่ม่ม่ม่ม่ม่ม่ ”

    เฟอร์โรเรนบังคับสองขาที่จู่ๆ  ก็หนักอึ้งราวกับกับก้อนตะกั่วให้ออกวิ่งได้ทันก่อนที่มันจะทรุดลงกับพื้น  หลับหูหลับตาวิ่งไม่สนใจสิ่งใดจนกระทั่งมาชนโครมเข้าเต็มแรงกับประตูบานหนึ่งที่สุดทางเดินจนหงายหลังล้มลงพื้นก้นจ้ำเป้า  เขาตาลีตาเหลือกตะกายเปิดมันออกและผลุบเข้าไปทันทีโดยไม่ทันเอะใจสักนิดว่าทำไมมีประตูในที่แบบนี้และที่สำคัญคือมันไม่ได้ลงกลอน...  เอาหลังยันประตูแล้วหอบหายใจแรงจึงไม่มีโอกาสได้เห็นบางสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นด้านนอก



    บานประตูค่อยเลือนหายช้าๆ  ทันทีที่ถูกดึงปิดราวกับถูกกลืนเข้าไปในกำแพง



    จะยังไงก็ตามตอนนี้เขาก็เข้ามาอยู่ในห้องมืดดูว่างเปล่าไม่มีผนังราวกับหลุดออกมาอยู่ในห้วงจักรวาลอันไร้ขอบเขต  

    “ ตายเป็นตายฟะ ”  



    เฟอร์โรเรนบอกตัวเองพลางสืบเท้าเดินต่อไป  พื้นใต้ฝ่าเท้าดำมืดดูโหวงเหวงเหมือนเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาทำให้รู้สึกประหม่าทุกฝีเท้าที่ย่างก้าว  ราวกับกำลังเดินอยู่ในอากาศ  ฉับพลันแสงหนึ่งสีส้มจางก็สว่างวูบขึ้นเหนือหัว  เขาเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่ามันมาจากเทียนสีขาวเล่มหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ  เขาจ้องมันอยู่พักใหญ่เพราะรู้สึกว่ามียังบางสิ่งอยู่อีกในความมืดที่อยู่สูงขึ้นไป



    “ สวัสดีเด็กน้อย ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นพร้อมกับร่างหนึ่งเคลื่อนกายออกมาจากเงามืดครึ่งๆ  ทำให้เห็นเพียงชายเสื้อคลุมสีเทาขาวอมส้มดูมอซอกับเส้นผมสีซีดที่ปลิวระใบหน้าและเสียงกระพรวนดังแว่วมาเบาๆ  “ ยินดีต้อนรับสู่ห้องของข้า ”



    “ ท่านคือตัวแทนสัตว์วิเศษ ” เฟอร์โรเรนเอ่ย  “ เซนต์แอนน์ ”



    “ ถูกต้องแล้วเด็กน้อย ” เซนต์แอนน์ตอบ



    “ ท่านมีธุระอะไรกับข้างั้นหรือ ”



    “ ข้ามีคำถามบางข้อที่อยากให้เจ้าตอบ ”



    “ ในเมื่อเผ่าพันธุ์ของท่านล่วงรู้ทุกสิ่งแล้วจะมามัวถามข้าทำไมให้เสียเวลา ” เขาพูดกวนๆ  ไม่นึกอยากจะเสวนากับใครเท่าใดนักแต่แล้วกลับนึกอะไรขึ้นได้ “ บางที...  ถ้าท่านมีข้อแลกเปลี่ยนข้าอาจยอมตอบก็ได้นะ ”



    “ การพยากรณ์ของข้าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์...  เป็นความลับของโชคชะตาที่มิอาจเปิดเผย...  คนจำนวนมากดั้นด้นมาเพื่อค้นหาสิ่งเหล่านั้น...  บางคนก็ถึงกับยอมแลกด้วยชีวิต  เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งการล่วงรู้เศษเสี้ยวของอนาคตที่มิอาจแก้ไข ” เซนต์แอนน์พูด “ มันมีค่าเกินกว่าที่ข้าจะบอกเจ้าได้เด็กน้อย ”



    “ คงงั้น...  เห็นว่าท่านจะยอมทำนายแค่ปีละครั้ง  แต่... ” เขาเว้นวรรคอย่างมีเลศนัยน์ “ ไม่ใช่เพราะท่านรู้อยู่แล้วหรอกหรือถึงไม่ยอมใช้อำนาจนั้นเพื่อยับยั้งแผนการของเจ้าชายดำ...  เพราะท่านรู้ว่าต้องใช้มันเพื่อ...  ” ยักไหล่ครั้งหนึ่ง “ ไม่งั้นคงไม่เตรียมไว้พร้อมอย่างนี้หรอก ”  ตอนนี้เขาพอจะเดาได้แล้วว่าที่ลอยอยู่เหนือหัวนั้นคือไพ่ทั้งสำรับ



    เซนต์แอนน์แอบทึ่งกึ่งชื่นชมในความเฉลียวฉลาดช่างสังเกตของเด็กหนุ่มแต่นางยังต้องการข้อพิสูจน์อีกสักเล็กน้อยเพื่อแน่ใจว่ามันจะคุ้มกับการแลก...  การบอกเล่าอนาคตจะต้องใช้พลังงานมหาศาล  จิตใจที่เข้มแข็ง  อายุขัยของนาง  และ...  ความหายนะของบางสิ่ง...  มันอาจฟังดูโหดร้ายแต่นั่นก็เสมือนบทลงโทษของนรกและสวรรค์  เมื่อโชคชะตาที่ถูกลิขิตโดนเปิดเผย   “ เจ้าคิดว่าสายเลือดต้องสาปพรรค์นั้นจะมีค่ามากแค่ไหนกันเชียว ”  แกล้งพูดแทงใจดำหวังยั่วให้โกรธ  แต่ผิดคาดเฟอร์โรเรนอมยิ้มมุมปากและย้อนกวนๆ ที่ทำให้หญิงชรานักพยากรณ์ตัดสินใจได้เด็ดขาดในวินาทีนั้น...  



    “ ไม่รู้สิ... คงไม่มีเลยมั้ง  ไม่งั้นใครบางคนคงไม่ยอมเอาชีวิตกับอนาคตมาแลกหรอก ”



    “ แต่อีกไม่ช้าชีวิตนั้นก็จะต้องจบลงอย่างน่าสังเวช ”



    “ จะตายอนาถหรือไม่มีหลุมฝังข้าก็ไม่สนหรอก ”  เฟอร์โรเรนว่าทีเล่นทีจริง  “ แต่มันต้องไม่ใช่ตอนนี้...  ”  น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป   จนแม้แต่เจ้าตัวยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันออกมาจากปากของเขาเอง...  หนักแน่น...  และมั่นคง  “ จนกว่าจะใช้ชีวิตที่ได้มานี้คุ้มค่าต่อให้ต้องกลับมาจากนรกข้าก็จะทำ... ถ้าหมดข้อข้องใจก็เริ่มได้แล้วมั้ง... ”  เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเงยหน้าขึ้นมองแผ่นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำทั้ง 53 ใบที่ลอยตัวออกมาจากความมืด  “ ข้าต้องทำยังไงบ้างล่ะนี่  ”  เขาถามเพราะมันอยู่สูงจนเกินเอื้อม



    “ เจ้าเป็นพ่อมดก็ต้องใช้เวทมนตร์สิ ”  นักพยากรณ์บอก  “ ทำใจให้สงบ  แผ่เวทย์บางๆ  ออกคลุมร่างพร้อมกับตั้งจิตมั่นคิดถึงสิ่งที่เจ้าต้องการรู้มากที่สุด...  อะไรก็ได้...   ”



    “ ใครว่าล่ะ ”  เฟอร์โรเรนเถียง   “ ข้าเป็นลูกครึ่งต่างหาก ”  หลับตาลงและทำตาม  เกิดกระแสลมแรงแผ่พุ่งออกตัวเป็นสายม้วนตัวหลบหลีกไพ่ใบแล้วใบเล่าก่อนจะกระแทกเข้าที่ไพ่ในทิศทางต่างๆ กันสามใบซึ่งลอยลงต่ำมาอยู่เบื้องหน้า  เขาจึงได้เห็นว่าหน้าไพ่ทั้งสามนั้นว่างเปล่าเป็นเหลื่อมเงิน ในขณะที่ไพ่ใบอื่นๆ  กลับมารวมกลุ่มกันแล้วลอยสูงขึ้นไปอีก



    เซนต์แอนน์โคลงศีรษะเล็กน้อยอย่างฉงน  “ เท่านี้เองรึ ”  นางถาม  ชั่วชีวิตการพยากรณ์ของนางไม่เคยประสบเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนไม่ว่าจะเป็นการพยากรณ์แบบใดหรือในกรณีใด  เพราะต่างคนล้วนมีความคิดที่สับสนอยากรู้นู่นรู้นี่ไม่มีที่สิ้นสุดวุ่นวายไปหมด  จนนางคิดอยู่เสมอๆ  ว่าอีกหน่อยคงต้องเปลี่ยนมาใช้เม็ดทรายในการทำนาย  แต่เจ้าหนูนี่กลับเลือกแค่สาม...  ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีใครที่รู้จักมากพอให้รักก็ถือได้ว่าเจ้าเด็กนี่ไม่เลวทีเดียว...  เพราะมีจิตใจที่มั่นคงและ...  ที่สำคัญคือ ‘เลือก’ เป็น  



    “ ทำไมเหรอฮะ”



    “ แค่แปลกใจนิดหน่อยน่ะ...  เรามาเริ่มกันเถอะ  ก่อนอื่นเรามาตกลงกันก่อนว่าข้าจะถามคำถามเจ้าหนึ่งข้อและเจ้าต้องตอบตามความจริงโดยไม่ปิดบัง...  หนึ่งคำถามต่อหนึ่งคำพยากรณ์...  ตกลงไหม ”  

    เฟอร์โรเรนพยักหน้า  



    “ เปิดไพ่สิ ”



    ไพ่ใบหนึ่งเลื่อนล้ำออกมาข้างหน้าเขายกมือขึ้นสัมผัสผิวหน้าที่กระเพื่อมเป็นระลอกเหมือนผิวน้ำนิ่งถูกกระทบแล้วเปลี่ยนเป็นภาพท้องฟ้าสีดำสนิทที่มีดาวแปดดวงเรียงพร่างพราวระยับและหนึ่งในนั้นทอแสงสกาวสุกสว่างมากกว่าดาวดวงไหน  



    “ หัวใจเจ้าร่ำร้องหาคนผู้นี้อยู่ตลอดเวลา ”  เซนต์แอนน์บอก  “ และยอมแลกด้วยชีวิตเพื่อความสุขแม้เพียงน้อยนิดของเขา...  แต่คนผู้นี้จะปฏิเสธทุกความหวังดีที่เจ้ามอบให้อย่างไม่ใยดี   และท้ายที่สุดเขาจะทอดทิ้งเจ้าไว้เบื้องหลังพร้อมกับคราบน้ำตาที่ไม่มีวันแห้งเหือด...  เจ้าลองบอกข้าสิว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าตัดสินใจเลือกทุกครั้งที่เขาถาม... ”



    “ เดี๋ยวก่อน... ”  เฟอร์โรเรนขัด  “ ถ้านั่นเป็นคำถามแล้ว... ”



    “ คำพยากรณ์แรกจบลงแล้วเด็กน้อย...  ถึงตาเจ้าตอบข้าแล้ว...  เจ้าเลือกเพราะอะไร...  เพราะรักหรือ...  ปรารถนา...  ”



    เฟอร์โรเรนหรี่ตามองอย่างพินิจ  เขารู้ดีอยู่เต็มอกว่าหญิงชราจะไม่มีวันพยากรณ์ซ้ำสองแต่เขายังไม่เข้าใจอะไรสักนิด  แม้แต่คำถามนั่นเขาเองยังไม่รู้เลยว่ามันหมายความว่าอะไร



    “ เจ้าคงยังไม่เข้าใจสินะ... ”   นักพยากรณ์เฒ่าเอ่ยเบาๆ  หลังจากเห็นเขาเงียบไปนาน   “ ...ข้าจะไม่เอ่ยนามของผู้ถูกพยากรณ์เพราะจะเป็นการฝืนชะตามากเกินไปและข้าก็ได้บอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าให้นึกถึงสิ่งที่เจ้าต้องการรู้มากที่สุด  ไพ่ของข้าไม่ใช่ยิปซีที่เหมือนกันทุกสำรับ  แต่จะเปลี่ยนไปตามใจของผู้ทำนาย  ...มันเป็นตัวแทนสิ่งของหรือผู้ที่เจ้าต้องการจะรู้  ...ทีนี้เจ้ารู้หรือยังว่าข้ากำลังพยากรณ์ถึงใคร ”  เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับช้าๆ  จึงพูดต่อ   “ ทั้งหมดคือเรื่องราวของเขาและเจ้ารวมทั้งคำถามซึ่งมันอาจเป็นสิ่งที่เจ้าต้องเผชิญในอนาคต...  ไม่ต้องรีบร้อนที่จะตอบ...  ค่อยๆ  คิดแล้วเจ้าจะเข้าใจว่าข้าหมายถึงอะไร ”  



    เฟอร์โรเรนพยายามคิดตามแต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี  โดยเฉพาะคำถามนั่น  

    ...เลือก...   อะไรกัน...  



    “ คำถามแรกข้าไม่คิดหวังคำตอบในวันนี้  ดังนั้นเจ้าจงเก็บไปคิดทบทวนดูให้ดีและเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงเจ้าจะตอบคำถามข้าได้ด้วยหัวใจของเจ้าเอง...  เปิดไพ่ใบที่สองสิ  ”



    เมื่อระลอกคลื่นจางหายภาพที่ปรากฏขึ้นคือร่างหนึ่งที่ถูกสายโซ่สีทองเส้นหนาพันธนาการรัดตรึงจนแทบไม่เห็นผิวเนื้อ



    “ พันธะสัญญาชั่วนิรันดร์  ”  เซนต์แอนน์กล่าว  “ ต่อจากนี้เจ้าจงตั้งใจฟังและจดจำทุกถ้อยคำที่ข้ากำลังจะบอกนี้ไว้ให้ดี... ‘ สิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ในใจถ้าไม่พูดออกมาสักวันมันจะกลายเป็นอาวุธร้ายย้อนมาทำลายตัวเอง  ...เมื่อเวลานั้นมาถึงเขาจะเหมือนอยู่บนทางสองแพร่ง  ทางหนึ่งนั้นทอดนำสู่ที่พำนักชั่วนิรันดร์  อีกทางหนึ่งนั้นต้องแลกด้วยสิ่งสูงค่า  แต่ค่าของผลตอบแทนนั้นมีเพียงหัวใจเท่านั้นจะเป็นผู้ตัดสิน  ...บอกเขาว่าจงเลือกให้ดีแล้ววันที่ทอดกายาลง ณ พสุธาสีขาวจะได้หลับตาลงอย่างเป็นสุข  ’...เจ้าจงเก็บไพ่ใบนี้ติดตัวไปด้วยและมอบมันให้แก่เขาพร้อมกับคำพยากรณ์นี้  ”



    “ ท่านบอกว่าไพ่เปลี่ยนไปตามใจผู้ทำนายไง ”  เฟอร์โรเรนแย้งเขาพอจะเดาได้แล้วว่าไพ่ใบนี้น่าจะหมายถึงใคร  “ แล้วไหงมันดันกลายเป็นเรื่องของเขาไปได้ล่ะ...   ทำไมท่านไม่พยากรณ์สิ่งข้าต้องการรู้...  เรื่องราวระหว่างข้ากับเขา ”



    “ นั่นตรงประเด็นที่สุดแล้วหนุ่มน้อย ”  เซนต์แอนน์บอก  “ ทีนี้ก็ได้เวลาของคำถามแล้ว...  เจ้าคิดว่าตัวเองเชื่อใจเขามากแค่ไหน ”



    “ เท่าที่เขาจะไม่ทรยศข้า ” เขาตอบห้วนๆ  พร้อมกับเก็บไพ่ใส่กระเป๋า



    “ แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ได้เป็นการทรยศหักหลัง ”  เซนต์แอนน์ถามต่อ   “ หรือเขาเขียนใส่กระดาษแปะไว้บนหน้าผากว่า...  เฮ้! นี่ข้าหวังดีต่อเจ้านะ... หรือ...  ไอ้หน้าโง่เอ๊ย!  ถูกหลอกแล้วยังไม่รู้ตัวอีก...  ข้าจะทรยศเจ้าแล้วนะเตรียมใจไว้รึยัง...   ”



    “ ข้าไม่รู้  ”  เขาตอบสั้นๆ   “ และข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยเพราะข้ามั่นใจว่าเขาจะไม่มีวันทำเช่นนั้นเด็ดขาด  ”



    “ จำคำพูดตัวเองเอาไว้ให้ดีแล้วกัน ”



    “ ของมันแน่อยู่แล้ว...  ว่าแต่ท่านถามคำถามข้าครบสามแล้วนา...  แล้วคำพยากรณ์สุดท้ายของข้าล่ะ ”



    เซนต์แอนน์อมยิ้มมุมปากให้กับความฉลาดของเด็กหนุ่ม  “ ข้าไม่ลืมหรอกและข้าจะมีบริการแถมพิเศษให้เจ้าได้ดูไว้คิดเล่นๆ  ด้วย ”  พร้อมกับโบกมือครั้งหนึ่งแล้วความว่างเปล่าเบื้องหลังเฟอร์โรเรนก็แปรเปลี่ยนเป็นจุดหลากสีสันที่บิดรวมกันเป็นเกลียวหมุนวนก่อนจะคลี่ออกเป็นภาพของชายคนหนึ่งที่เขารู้จักดี



    “ ลิมินท์ยู ”



    “ อ้าว...  รู้จักกันด้วยรึ ”  เซนต์แอนน์แกล้งถาม  “ ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงรู้สินะว่าชายคนนี้คือผู้ที่เพิ่งจะสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์สืบราชวงศ์คนสุดท้ายของฟีเลเซีย ”



    คำพูดของนางรู้สึกสะดุดหูเขาไม่น้อย  “ ท่านใช้คำผิดซะแล้ว ” เขาแก้  “ ต้องเรียกว่า ‘ ล่าสุด’ ไม่ใช่ ‘ สุดท้าย ’  ”



    “ นั่นถูกที่สุดแล้ว ” เซนต์แอนน์ตอบ “ เลโอเรียน  ลิมินท์ยู  เอ.  ฟีเลโดเรีย  จะเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ฟีเลโดเรีย ”



    “ ท่านโกหก...”  เฟอร์โรเรนพูดช้าๆ  “  คนดีอย่างลิมินท์ยูไม่มีทางอายุสั้นหรอก...  ต่อให้ไม่มีความสามารถอย่างท่านข้าก็ทำนายได้เลยว่าเขาจะต้องเป็นกษัตริย์ที่องอาจ  เข้มแข็ง  เป็นศูนย์รวมหัวใจของชนทั้งผองเพราะหัวใจของเขาถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติทุกประการที่ราชันย์พึงมียิ่งกว่าใครๆ ...” ทุกถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากนั้นเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่สะกดให้นักพยากรณ์สูงวัยนิ่งฟังดังต้องมนตร์  “ ...หัวใจที่เปี่ยมด้วยรัก  ...และเชื่อมั่นในคนของเขา ”



    “ เจ้ากล้าพูดแบบนั้นเพียงเพราะชายผู้นี้เมตตาเจ้าที่เป็นสายเลือดต้องสาป...   เขาไม่ได้เพียบพร้อมอย่างเจ้าคิดหรอกนะ ”



    เฟอร์โรเรนกระตุกมุมปากขึ้นน้อยๆ   “ แต่เขาจะเป็นยิ่งกว่า ”



    “ ก็อาจใช่...  แต่ ณ เวลานี้เขายังขาดสิ่งสำคัญอยู่สองสิ่ง ”  เซนต์แอนน์โบกมืออีกครั้งแล้วภาพก็เปลี่ยนไป มันเป็นภาพมุมสูงของสิ่งปลูกสร้างสวยงามที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่าลึกใต้เชิงผาสูง  “ ‘นิทราในฝัน’... มันเป็นแท่นบรรทมของราชันย์แห่งฟีเลเซีย...  เป็นสถานที่ซึ่งกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวงทอดกายหลับอย่างสงบหลังจากที่ต้องกรำงานหนักเพื่อความผาสุกของปวงชนมานานนับปี...  จนถึงวันนี้ที่นั่นมีราชันย์เพียงพระองค์เดียวที่ทอดกายนิทราอยู่อย่างสงบ...  ”  นางเงียบไปอึดใจเพื่อวิเคราะห์ท่าทีของเด็กหนุ่ม  “ เมื่อครู่เจ้าเรียกลิมินท์ยูว่าราชันย์   เจ้ามั่นใจแล้วรึว่าเขาจะได้เป็น ”



    “ ข้ามิได้บอกท่านแล้วหรือ ” เฟอร์โรเรนแกล้งแหย่ “ ว่าเขาจะเป็นยิ่งกว่าราชันย์  ”



    “ เจ้าคงรักเขามากสินะถึงได้กล้าพูดอย่างมั่นใจแบบนั้น ”



    “ ถึงไม่รักข้าก็รู้ว่าเขาจะได้เป็น ”



    “ เจ้ายอมแลกได้แม้ชีวิตเพื่อรักษาชีวิตของเขา ”



    “ ชีวิตต้องสาปพรรค์นี้ถ้าเอาไปแลกกับสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ได้มันก็โคตรจะคุ้มไม่ใช่หรือท่าน”



    “ เจ้าบอกข้าว่าจนกว่าจะใช้ชีวิตนี้คุ้มต่อให้ต้องกลับมาจากนรกก็จะทำไม่ใช่หรือ  ...แล้วทำไมถึงยอมเอามันมาแลกกับใครก็ไม่รู้ที่ในมือมีบัญญัติที่ตราโทษตายของเจ้าไว้ชัดเจน ”



    เฟอร์โรเรนสะอึกอึ๊กกับคำพูดของตัวเองที่ถูกย้อนเข้าให้แต่ยังฝืนปั้นหน้านิ่งเหมือนไม่สะทกสะท้าน

    ดูท่าเซนต์แอนน์จะมีความสุขนักที่ได้เล่นสงครามประสาทกับเด็กหนุ่ม  ดูภายนอกแล้วเขาเป็นเด็กที่เข้มแข็งก็จริงแต่นางรู้ดีว่าภายในนั้นซ่อนงำหัวใจที่อ่อนแอเอาไว้...  



    สายเลือดหนึ่ง...  ที่เกิดมาด้วยความตายของสองชีวิต...  

    สายเลือดหนึ่ง...  ที่โตมาด้วยอนาคตอันรุ่งโรจน์ที่ต้องดับมอดลงของหนึ่งชีวิต...  

    สายเลือดหนึ่ง...  ที่นำความอัปยศมาสู่วงวานไม่จบไม่จบไม่สิ้น...  

    สายเลือดหนึ่ง...  ที่ต้องสาป...  

    นางอยากจะรู้นักว่าเด็กคนนี้จะเป็นได้แค่ไหน...  จะคุ้มไหมกับที่หลายชีวิตยอมแลก...  และตอนนี้นางเองก็เดิมพันอนาคตเอาไว้กับสายเลือดต้องสาปนี้...  

    ...อนาคตของทุกเผ่าพันธุ์...



    “ ...ถ้าไม่รักแล้วทำแบบนั้นทำไม ”



    “ ข้าไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับคำพยากรณ์ตรงไหน ”



    “ จริงอยู่ว่ามันไม่เกี่ยวแต่ข้าพอใจที่จะถาม ”



    “ งี่เง่า! ”



    “ แล้วถ้าแบบนี้ล่ะเจ้าว่ายังไง ” เซนต์แอนน์โบกมือเป็นครั้งที่สามแล้วภาพข้างหลังก็เปลี่ยนมุมมองไป  



    ตอนนี้ภาพกำลังฉายให้เห็นทางเดินศิลาสีอมแดงที่ทั้งเล็กและแคบ   ชายคนหนึ่งที่เลือดโทรมกาย  ถือดาบด้วยมือข้างซ้ายเพราะมือขวานั้นตกห้อยอยู่ข้างลำตัวในลักษณะที่เบี้ยวผิดรูปกำลังวิ่งมาราวกับหนีตายจากอะไรสักอย่าง   อึดใจต่อมาชายที่กำลังตกเป็นหัวข้อโต้แย้งก็วิ่งพรวดตามออกมา  เขามีบาดแผลไม่ฉกรรจ์เท่าชายคนแรกแต่จำนวนของมันก็ไม่น้อยไปกว่ากันเลย  แต่จู่ๆ  เขาก็กลับวิ่งเลี้ยวไปอีกทางที่กว้างใหญ่กว่ากันมาก



    “ ท่านจะไปไหนฝ่าบาท ”  องครักษ์หนุ่มตะโกนถามพลางหมุนตัวกลับ       “ ทางนั้นมีแต่พวกปิศาจท่านไปก็เท่ากับไปตายชัดๆ  ”



    “ แต่คัมภีร์ยังอยู่ในนั้น ”  ลิมินท์ยูว่า  “ เจ้าหนีไปก่อนคลาก... ไปสิแล้วข้าจะตามไป ”



    ฉับพลันปิศาจตาเดียวสูงเท่าทางเดินตัวหนึ่งก็พังกำแพงเข้ามาขวางระหว่างทั้งสอง   มันควงลูกตุ้มเหล็กหุ้มหนามคู่ในมือแล้วสะบัดเข้าใส่โดยไม่รอช้า



    ลิมินท์ยูยกดาบขึ้นตั้งรับ  “ ข้าสั่งให้เจ้าไปไม่ได้ยินหรือไง!! ” เขาตวาดเสียงดังขึ้นอีกเมื่อองครักษ์คู่กายวิ่งเข้าใกล้และกระโจนฟันกลางหลังปิศาจอย่างไม่กลัวเกรง



    “ คนที่ไปต้องเป็นท่านไม่ใช่ข้า ”  เขาบอกพร้อมกับผลักอกชายหนุ่ม  “ ข้าจะต้านมันไว้เองท่านรีบไปรีบมานะ... ”  ขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง  “ ...อัญเชิญคัมภีร์น่ะมันหน้าที่ท่านไม่ใช่เหรอ ”  . . .

    --------------------------------------------------------------------------

    “ ท่านให้ข้าดูอะไรเนี่ย ” เฟอร์โรเรนลากเสียงถามเซ็งๆ



    “ ไม่รู้สิ...  ” เซนต์แอนน์ตอบ  “ บางทีข้าอาจแค่อยากพิสูจน์อะไรเล่นๆ  นิดหน่อย...  พิสูจน์ว่าถ้าข้าบอกเจ้าว่าภาพที่เจ้าเห็นตรงหน้านี้เป็นอาณาเขตเวทย์ที่สามารถพาเจ้าทะลุผ่านไปหาเขาได้...  พิสูจน์ว่าเจ้าจะทำอย่างไรเมื่อเห็นเขาตกอยู่ในอันตราย... ”



    ภาพกลายเป็นสีดำมืดและหลายนาทีต่อมาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้เป็นภาพในห้องกว้างมีเสาเรียงรายนับสิบต้นและเพดานสูง  ลิมินท์ยูกำลังยืนประจันหน้าอยู่กับปิศาจตาเดียวที่ไม่ได้มีแค่ตัวเดียว  แต่เป็นทั้งฝูงที่มีเกือบยี่สิบตัว   เบื้องหลังคือนายทหารคนเดิมที่นั่งหมอบอยู่กับพื้น  ผมสีเข้มตกระใบหน้าซีกหนึ่งที่มีเลือดไหลโชก  มือข้างซ้ายโอบประคองห่อผ้าที่พันมัดของสิ่งหนึ่งไว้แน่น



    “ จงเปิดตาของเจ้าให้กว้างแล้วดูให้ดี... ”  เซนต์แอนน์บอก “ เพราะนี่เป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอยู่ในขณะนี้... ณ นิทราในฝัน... ระหว่างการปฏิบัติภารกิจอัญเชิญคัมภีร์ของลิมินท์ยูและคณะผู้ติดตามซึ่งเป็นองครักษ์ฝีมือดีที่สุดในอาณาจักรสิบนาย  ”

    -----------------------------------------------------------------------

    “ ข้าจะล่อพวกมัน ”  ลิมินท์ยูกระซิบ



    องครักษ์หนุ่มพยักหน้าเข้าใจในแผนการและทันทีที่พวกปิศาจพุ่งเข้าใส่เขาก็ลุกพรวดขึ้นวิ่งรวดเดียวไปถึงผนังด้านหนึ่งที่มีตุ๊กตารูปเทวดาตัวน้อยติดอยู่   เมื่อหมุนมันทวนเข็มนาฬิกาประตูกลก็ค่อยๆ  เลื่อนเปิดออก  เขาพุ่งออกไปและเบียดตัวหลบตรงช่องแคบๆ  หลังประตูรอคอยอยู่ตรงนั้น   อึดใจต่อมาลิมินท์ยูก็วิ่งตามออกมาโดยมีพวกปิศาจตามมาติดๆ  เขารอให้ชายหนุ่มวิ่งผ่านเลยธรณีประตูลงบันไดวนแคบๆ  ไปแล้วจึงก้าวออกจากที่ซ่อน



    “ ข้าบอกให้เจ้าหนีไปไม่ใช่รึไง ”  ลิมินท์ยูชะงักฝีเท้าและหมุนตัวกลับเมื่อเห็นปิศาจตัวที่วิ่งนำมาใกล้เข้ามาทุกทีและองครักษ์คู่กายยังยืนอยู่ที่เดิม  



    “ องครักษ์มีหน้าที่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้ถูกอารักขาปลอดภัย  ...แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม ”



    “ นั่นเจ้าพูดอะไรคลาก...  เราสัญญากันไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไปด้วยกัน...  เจ้าคิดจะทิ้งลูก  ทิ้งเมีย  ทิ้งครอบครัวตายไปหน้าด้านๆ  อย่างนั้นหรือไง!  ถ้าเจ้าตายแล้วใครจะดูแลพวกเขา!! ”



    ชายหนุ่มหันมายิ้มกว้างพร้อมกับโยนห่อของในมือส่งให้  “ ท่านไง...  ”  เขาบอกพร้อมกับยกมือซ้ายขึ้นจุมพิตหนักหน่วงลงบนนิ้วกลางซึ่งสวมแหวนหัวพลอยสีน้ำเงินเข้มอันเป็นตราสัญลักษณ์เกียรติยศแห่งหน่วยองครักษ์ส่วนพระองค์  วินาทีนั้นใบหน้าเหนื่อยอ่อนที่เต็มไปด้วยบาดแผลพลันอิ่มเอิบด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่าเก่าและแววตาอ่อนโยนมุ่งมั่น



    “ อย่าทำอะไรโง่ๆ  น่า !! ”



    ลิมินท์ยูกระโจนขึ้นบันไดมาทีละสามขั้นมาแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อองครักษ์หนุ่มดึงดาบออกจากฝักแล้วฟันตุ๊กตาหินที่เหมือนกันกับตัวข้างในขาดเป็นสองท่อนทำให้ประตูกลค่อยขยับทำงาน  ก่อนจะฟันแขนข้างขวาของตัวเองที่ใช้การไม่ได้ทิ้ง  แล้วโยนไปให้ฝูงปิศาจที่กำลังจะเข้าถึงตัว  พวกมันยื้อแย่งกันแทะกินอย่างหิวกระหายและในจังหวะนั้นเอง  เขาก็กระโจนกลับเข้าไปในห้องแล้วฟันดาบเดียวที่ตุ๊กตาหินรูปเทวดา   ประตูกลเลื่อนลงปิดตายทันที



    ลิมินท์ยูยืนคว้างทำอะไรไม่ถูก   เมื่อผู้ที่ยืนเคียงข้างกายเขามานานนับแต่เริ่มจำความได้กระโดดเข้าหาความตายเพื่อช่วยให้เขามีชีวิตรอด...  ขาของเขาแข็งและหนักราวกับมีเหล็กถ่วงไว้ให้ก้าวไม่ออก   ทุกวินาทีที่หมุนไปเนิ่นนานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์เมื่อคำพูดหนึ่งยังคงดังก้องตอกย้ำความจง ‘ รัก ’ อยู่ในโสตประสาตซ้ำแล้วซ้ำเล่า...



    “ รักษาตัวด้วยนะ... กษัตริย์ของข้า  ”



    ร่างสูงกอดห่อของในมือแน่นแล้วหมุนตัววิ่งลงบันไดไปตามทางที่มืดสลัว  แต่แล้วอึดใจต่อมาเสียงโครมดังสนั่นก็ดังสะท้อนมาจากทางด้านหลังพร้อมกับที่ปราสาททั้งหลังสั่นครืนจนลิมินท์ยูเซถลา   เขาเหลียวกลับไปมองเร็วๆ  แล้วกัดฟันวิ่งต่อไป

    -----------------------------------------------------------------

    รอยจางๆ  ปรากฏขึ้นบนผิวของแผ่นประตูหินหนาแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าแล้ววินาทีต่อมาประตูก็ทลายลงราวกับตัวต่อไม้



    ร่างสูงสะบัดปอยผมดำยาวให้พ้นจากสายตาเผยให้เห็นใบหน้าคมสันที่ครึ่งหนึ่งถูกซ่อนไว้หลังหน้ากากเงิน  เขาขยับดาบยาวเก็บใส่ฝักข้างเอวพร้อมยกมือให้สัญญาณกับปิศาจตาเดียวตีอกชูขวานอย่างคึกคะนองแล้ววิ่งกรูกันลงบันไดไปอย่างบ้าคลั่ง  



    “ ใจเย็นๆ  ที่รัก ”



    ควอร์ซิสกระซิบบอกร่างโปร่งใสราวไข่มุกเบื้องหลังที่แยกเขี้ยวขู่ฟ่อยืนรอเวลาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ  

    ---------------------------------------------------------------------

    กษัตริย์หนุ่มยังคงออกแรงฝืนวิ่งต่อไปแม้ขาทั้งสองจะปวดร้าวระบมจากรอยแผลลึกยาวที่หน้าแข้ง  ในที่สุดเขาก็มาถึงประตูบานสุดท้ายของนิทราในฝันที่กั้นระหว่างเขากับคัมภีร์



    ลิมินท์ยูไม่รอให้หายเหนื่อยเขาปลดห่อผ้าออกรวดเร็วและหยิบเอาลูกแก้วออกมายัดใส่ปากหัวสิงโตบนบานประตู   มันขยับอ้าปากกรีดร้องคำรามเหมือนมีชีวิตแล้วกระโจนออกจากกำแพงตะครุบเข้าที่อกลิมินท์ยู



    “ เจ้าเป็นใคร ”



    สิงโตถาม  กรงเล็บเกร็งจิกตรงตำแหน่งหัวใจพร้อมทั้งก้มหน้าลงต่ำใช้ดวงตาด้านๆ ที่เป็นหินแกรนิตของมันเพ่งลึกเข้าไปดวงตาคม



    “ ข้า...  เลโอเรียน  ลิมินท์ยู  เอ.  ฟีเลโดเรีย  กษัตริย์องค์ปัจจุบันของฟีเลเซีย ”



    “ น่าขำ!! ”  สิงโตร้องหยัน  “ ฟีเลเซียต้อยต่ำลงถึงขนาดให้เด็กหนุ่มกิ๊กก๊อกอย่างเจ้าขึ้นครองราชย์แล้วหรือนี่ ”  . . .

    -------------------------------------------------------------------------

    “ ไอ้สิงโตปากหมานี่เป็นใครน่ะยาย ” เฟอร์โรเรนที่เฝ้าดูอยู่นานกระซิบถามเคืองๆ  



    “ วิญญาณแห่งปฐพีที่เฝ้ารักษาคัมภีร์ ”  เซนต์แอนน์ตอบ  ดูนางไม่นึกโกรธสักนิดที่ถูกเรียกว่ายายเพราะกำลังอารมณ์ดีกับการเป็นเดือดเป็นแค้นแทนใครบางคนของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกาย

    ------------------------------------------------------------------------

    “ โปรดมอบคัมภีร์สันติภาพให้ข้าท่านผู้เฝ้ารักษา...  ตอนนี้ฟีเลเซียกำลังถึงกาลวิบัติมีเพียง...  ”



    “ เจ้าคิดมาอัญเชิญกลับแล้วใยไม่คิดปกป้องก่อนจะสูญเสีย... ” สิงโตแทรกขึ้นทำเอาลิมินท์ยูพูดอะไรไม่ออก  “ ...คัมภีร์สันติภาพอาจเปี่ยมด้วยอำนาจที่สามารถต่อกรทุกสิ่ง  หากสิ่งที่เจ้าค้นหามิได้อยู่ที่นี่กษัตริย์เอ๋ย...  จงนำมันมาแล้วเจ้าจะได้อำนาจทั้งปวงมาไว้ในมือ ”



    ฉับพลันร่างของสิงโตถูกดูดกลับเข้าไปในบานประตูก่อนที่มันจะเลื่อนเปิดออกช้าๆ  ก่อนจะปิดลงตามหลังทันทีที่ร่างสูงก้าวเข้ามาสู่สะพานหินแคบที่ทอดยาวข้ามหุบเหวลึกที่เบื้องล่างเป็นกระแสธารหินหนืดภูเขาไฟร้อนฉ่าแตกเปรี๊ยะเป็นฟองปุด  ละไอความร้อนและพวยควันสีขาวคละคลุ้งเป็นดั่งสายหมอกที่บดบังทัศนียภาพรอบด้านให้พร่ามัว



    สุดปลายสะพานอีกด้านคือแท่นสูงที่รองรับร่างไร้วิญญาณของผู้ซึ่งได้นามราชันย์แห่งฟีเลเซียเป็นพระองค์แรกและอาจเป็น...  องค์สุดท้าย...



    ลิมินท์ยูไปได้ครึ่งทางแล้ว เมื่อประตูศิลาพังครืนลงมา  และเมื่อฝุ่นควันสีแดงเริ่มจางลงฝูงปิศาจตาเดียวก็ปรากฏกายขึ้น  พวกมันยิ้มเหี้ยมเกรียมและก้าวข้ามสะพานมาประจันหน้ากับกษัตริย์หนุ่ม



    ตัวหนึ่งที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าก้าวออกมา  ชุดเกราะเหล็กของมันถูกอาบไปด้วยเลือดสดๆ   ที่มุมปากข้างหนึ่งกำลังคาบเคี้ยวกระดูกมนุษย์มีเศษชิ้นเนื้อติดกร้วมๆ   ราวกับจะเย้ยหยันก่อนจะคายเศษกระดูกทิ้งแล้วถ่มเอาของสิ่งหนึ่งออกมา



    แหวนทองคำเกลี้ยงประดับหัวพลอยสีน้ำเงินเข้มตกกระทบพื้นก่อนจะกลิ้งมาหยุดอยู่แทบเท้าลิมินท์ยู  

    ความโกรธเกลียดเจ็บแค้นมากมายมหาศาลถาโถมขึ้นในหัวใจของกษัตริย์หนุ่ม  เขาย่อกายลงหยิบแหวนขึ้นแตะริมฝีปากบางที่ถูกขบเม้มจนห้อเลือดแผ่วเบาเมื่อหยาดน้ำใสเอ่อไหลลงสัมผัสหัวพลอยสีน้ำเงินเข้มที่ยังคงส่องประกายวาววับดุจความจงรักที่ยังมั่นคงไม่เสื่อมคลายแม้ชีวาจะหาไม่ของผู้เคยเป็นเจ้าของ  

    ลิมินท์ยูกำกระชับดาบในมือแน่นแล้วกระโจนเข้าใส่อย่างไม่คิดชีวิต  . . .

    ------------------------------------------------------------------------------------

    “ อย่างงั้นแหละองค์ชายจัดการมันเลย ” เฟอร์โรเรนร้องเชียร์เมื่อเห็นลิมินท์ยูกำลังเป็นต่อแต่วินาทีต่อมาเขาก็ต้องยืนตัวแข็งอย่างตระหนกเมื่อร่างสูงถูกจับเหวี่ยงกระแทกสะพานที่แตกยุบลงเป็นหลุมกว้าง  หยดเลือดสดๆ  ไหลรินออกมาตามไรผม    ลิมินท์ยูใช้ดาบยันตัวเองลุกขึ้นยืนช้าๆ  ร่างกายกายอ่อนเปลี้ยเต็มทีจากการต่อสู้    



    “ ข้าจะบอกอะไรให้ฟังเอาไหม...  ”  เซนต์แอนน์เริ่มช้าๆ เมื่อควอร์ซิสปรากฏกายขึ้นแล้วสอดดาบเข้าข้างลำคอของกษัตริย์หนุ่มที่ถูกปิศาจตาเดียวสองตัวจับตรึงท่อนแขนกดให้คุกเข่าลงกับพื้น  “ ...สาเหตุที่ลิมินท์ยูไม่อาจขึ้นเป็นราชันย์ได้  ...คุณสมบัติสองข้อที่ราชันย์พึงมีแต่เขาจะไม่มีวันมี... ” นางจ้องตาเขาแน่วนิ่งพร้อมกับสืบเท้าเข้าหาจนห่างกันแค่สองสามก้าวจึงล้วงเอาของสิ่งหนึ่งออกจากเสื้อคลุมแล้วส่งให้เฟอร์โรเรน ที่จ้องตาตอบนางดังต้องมนตร์และรับมาใส่กระเป๋าโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร  “ แต่ก่อนหน้านั้น...  ข้าอยากให้เจ้าเปิดไพ่ใบสุดท้าย ”



    เฟอร์โรเรนเอื้อมมืออันสั่นเทาไปสัมผัสหน้าไพ่ช้าๆ  มันกระเพื่อมออกเป็นวงกว้างจากจุดที่ปลายนิ้วสัมผัสเนิบช้า  เมื่อนักพยากรณ์สูงวัยพึมพำบอกอะไรบางอย่าง



    “ ...สิ่งที่เขาขาดไป...  ข้อแรก...  คือ...  ”

    หน้าไพ่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำก่อนจะปรากฏรูปพญามัจจุราชถือเคียวเล่มโต



    “ ชีวิต  ”



    ไม่ต้องเสียเวลาคิดอีกแล้ว  เฟอร์โรเรนหมุนตัวกลับแทบจะในทันทีและวิ่งพุ่งพรวดเข้าใส่แผ่นภาพที่กำลังฉายให้เห็นคนคนหนึ่งถูกชายร่างสูงอีกคนหนึ่งชักดาบออกมาจ่อที่คอหอยเตรียมจะปลิดชีวิต



    ภาพกระเพื่อมไหวเป็นระลอกคลื่นเมื่อเขาสัมผัส  มันให้ความรู้สึกเหมือนผืนน้ำ...  เย็นเยียบ...  และเขาก็อยู่ข้างในนั้น  พยายามจะว่ายโผล่พ้นมันขึ้นมา...  แต่ก็มีแรงหนักๆ  มาหน่วงไว้ให้ก้าวไม่ออก...  อึดอัด...  เหมือนกำลังจะขาดใจ...  ทั้งที่ผิวน้ำอยู่แค่เอื้อมแต่สองขาที่พุ้ยไม่หยุดนั้นหมดแรงเสียแล้ว...  แค่ปลายนิ้ว...  ปลายนิ้วเท่านั้น...  อีกนิดเดียว...  แค่นิดเดียว...  เท่านั้น..



    แล้วเขาก็ทำสำเร็จ   เฟอร์โรเรนหลุดออกจากแผ่นภาพในห้องของเซนต์แอนน์มาสู่ทางเดินทำจากหินภูเขาไฟมืดสลัวใน ‘ นิทราในฝัน’ ที่อยู่ห่างออกไปราวสองร้อยกิโลเมตร   มาอยู่ตรงหน้าแม่ทัพแห่งโลกปิศาจที่กำลังเงื้อดาบเตรียมจะฟันคอกษัตริย์แห่งฟีเลเซีย...  เพื่อนของเขา...



    เซนต์แอนน์ก้าวเข้ามายืนหน้าไพ่พร้อมกับโบกมือ พลันภาพการต่อสู้ที่ฉายอยู่ก็หายไป  “ สายเลือดต้องสาปเอ๋ย... ”  นางรำพึง  “ เจ้าเดินมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจเลือกแล้ว...   สองเส้นทางที่เท่าเทียมหากจะแปรเปลี่ยนวิถีชีวิตของเจ้าและประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล...  ไม่ว่าจะดีหรือร้าย...  ตอนนี้เจ้าก็ได้เลือกที่จะเลี้ยวแล้ว  เหลือเพียงเจ้า...  จะก้าวต่อไป...  หรือหันหลังย้อนกลับไปอีกทาง... ”  นางผ่อนลมหายใจออกยาวนานอย่างเหนื่อยอ่อนแต่ก็ยังฝืนหยักยิ้มอ่อนโยนที่มุมปาก  “ แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน...   ก็ขอให้เจ้าก้าวอย่างมั่นคงและเดินทางโดยปลอดภัย...  ”  



    นางหันมามองหน้าไพ่ใบที่สามที่เฟอร์โรเรนเพิ่งเปิดเมื่อครู่  ฝ่ามือยกเลื่อนผ่านหน้าไพ่ช้าๆ  เกิดระลอกคลื่นขึ้นไหววาบแล้วภาพพญามัจจุราชก็เลือนหายไป   เซนต์แอนน์ยิ้มกับตัวเองอย่างพอใจ   นางสะบัดผ้าคลุมครั้งหนึ่งแล้วที่ที่นางเคยยืนก็กลายเป็นห้องๆ  หนึ่งในปราสาทที่มีเพียงความว่างเปล่ากับแมวขนฟูชี้โด่ชี้เด่สีส้มมอซอที่เดินสะบัดหางเบาๆ  ผ่านหน้าห้องไปอย่างเชื่องช้า



    ไพ่ใบหนึ่งปลิวช้าๆ  ตามสายลมอ่อนมาร่วงลงกลางห้อง   ภาพของมันคือตราอรัญจกรประจำราชวงศ์ฟีเลโดเรียสีทองส่องประกายระยิบระยับล้อแสงแดดอ่อนๆ  ยามเย็นที่ทอลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา

    -----------------------------------------------------------------------------

    ( กว่าตอนนี้จะสมบูรณ์จริงๆ  เล่นเอาเหนื่อเลยแฮะ....  ขอบคุณนะค้าสำหรับทุกคำติชม)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×