!~MoOn ShInE & DaRkNeSs~! - !~MoOn ShInE & DaRkNeSs~! นิยาย !~MoOn ShInE & DaRkNeSs~! : Dek-D.com - Writer

    !~MoOn ShInE & DaRkNeSs~!

    ...เมื่อใดกันที่ความมืดจักมิต้องอ้างว้าง?... (นั่นสินะ...เมื่อใดกันนักเขียนตัวน้อยๆจะมิต้องอ้างว้างผู้อ่านถึงเพียงนี้)

    ผู้เข้าชมรวม

    960

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    960

    ความคิดเห็น


    33

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 เม.ย. 49 / 11:56 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

           "ท่านพ่อค่ะท่านพ่อ" น้ำเสียงกังวานใสเป็นของเด็กหญิงตัวน้อย ยามดวงตาสีครามสวยดุจห้วงสมุทรลึกจับจ้องขึ้นไปยังฟากฟ้าเบื้องบน "ข้าอยากฟังเรื่องเล่าของท่านพ่อ ท่านพ่อเล่าเรื่องหรือนิทานอะไรก็ได้ให้ข้าฟังก่อนนอนนะค่ะ"

             มือน้อยกำชายเสื้อของบิดาแนบแน่น แววตาใสแจ๋วบริสุทธิ์ฉายกระแสเว้าวอน ยามริมฝีปากจิ้มลิ้มสีกุหลาบแย้มรอยยิ้มเอาใจบุรุษร่างสูงซึ่งกำลังมองตอบเธอ

             ร่างสูงหากผอมบางกว่าคนทั่วไปทรุดกายลงคุกเข่าข้างบุตรีตัวน้อย มือใหญ่ลูบศีรษะของเด็กหญิงอย่างแผ่วค่อย "เอาสิ" น้ำเสียงนุ่มนวลเรียกรอยยิ้มกว้างขึ้นเผยให้เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ก่อนมือน้อยจะขยับเข้าโอบรอบคอของคนตัวใหญ่กว่ามากนัก มืออันแข็งแกร่งและใหญ่กว่ารวบรอบเอวของบุตรสาวขึ้นจากพื้นแล้วอุ้มขึ้นไว้แนบอก

             เด็กน้อยหัวเราะคิกคักเมื่อบิดาหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วพาเอาลมเย็นๆพัดปะทะใบหน้า เหวี่ยงเปียน้อยสีทองสุกสกาวทั้งคู่ไปตามแรง

             ร่างสูงก้าวย่างเข้าสู่ภายในตัวบ้านพาเด็กหญิงผู้เปรียบประดุจดวงใจเข้าสู่ห้องนอน ชายหนุ่มจุดตะเกียงอันเก่าที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแล้ววางร่างเล็กของบุตรีลงบนเตียงขนาดพอดีตัวเคียงหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งเปิดกว้างเผยให้เห็นท้องนภาสีดำสนิทราวผ้ากำมะหยี่ผืนงามซึ่งพร่างพราวไปด้วยแสงของหมู่ดาริกานับร้อยนับพัน

             "ท้องฟ้าคืนนี้สวยเหลือเกินนะคะท่านพ่อ ดวงดาวเกลื่อนกลาดเหมือนใครเอาเพชรมาโปรยไว้" เด็กหญิงเอื้อนเอ่ยเสียงเจื๋อยแจ๋ว ขณะที่บิดาดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาคลุมตัวของเด็กหญิง "แต่ถ้ามีพระจันทร์กลมๆ คงจะสวยกว่านี้ใช่ไหมคะท่านพ่อ"

             "จะนอนดูดาวหรือฟังนิทานดีครับ คุณลูกสาว" ท่านพ่อที่กำลังจะถูกชิงความเด่นขัดขึ้นด้วยน้ำเสียง...คล้ายน้อยใจ ผิดแต่ดวงตาเรียวสีเข้มราวกับรัตติกาลในเดือนดับซึ่งกำลังส่อประกายแพรวพราว ยามบุตรีทำตาโตเลิกลั่ก

             เด็กน้อยผู้ไม่อาจรู้ทันความคิดของผู้ใหญ่ส่ายหน้าไปมา "ไม่เอานะค่ะ ถึงอย่างไรดาวก็ไม่มีวันดีเท่าเรื่องเล่าของท่านพ่อ เล่าให้ข้าฟังนะค่ะ เรื่องอะไรก็ได้"

             ชายหนุ่มจัดแจงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างเตียง เขาหลับตาลงชั่วครู่เพื่อเรียบเรียงความคิด ก่อนที่จะเริ่มต้นเล่าด้วยน้ำเสียงเนิบช้า...นุ่มนวลยิ่ง "ครั้งหนึ่งเมื่อนานแสนนานมาแล้ว นับตั้งแต่โลกนี้ยังไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า หากเป็นเพียงทุ่งน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ไพศาล โลกที่มีแต่น้ำแข็งนั้นไม่เคยได้รู้จักความสว่างไสวของพระอาทิตย์...อันที่จริงแล้วตอนนั้นพระอาทิตย์ยังคงไม่เกิดขึ้น

             ดังนั้นดวงจันทราจึงต้องทำหน้าที่เพียงเดียวดายเคียงคู่กับความมืดมิดผู้แสนอ้างว้าง"

             "ทำไมดวงจันทร์กับความมืดถึงไม่ยอมเป็นเพื่อนกันเล่าคะ ในเมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกัน" เด็กหญิงถาม ดวงตากลมโตที่จับจ้องไปภายนอกหน้าต่างสะท้อนแต่ความสงสัยใคร่รู้ตามประสาของวัยเยาว์

             บิดาเพียงแต่ยิ้มไม่ยอมตอบคำถามปล่อยให้เด็กหญิงทำหน้านิ่วเมื่อถูกขัดใจ "วันแล้ววันเล่า ผ่านพ้นไปโดนที่ความมืดนั้นจะคอยเฝ้ายลความงดงามของดวงจันทราอยู่เสมอ...ทว่าพระจันทร์กลับชิงชังอนธกาลยิ่งนัก เพราะดวงจันทร์ไม่ชอบความมืด เธอเกลียดความเงียบ เธอรักแสงสว่างอันสดใส ซึ่งเธอไม่เคยจะได้เห็น...เธอได้แต่ใฝ่ฝันว่าสักวันเธอจะได้เห็นอะไรอย่างอื่นนอกความมืดและความหนาวเหน็บสุดหัวใจ...

             ...ถ้าหากว่าจันทราจะยอมเปิดตาขึ้นจากความฝันเหล่านั้น เธอคงจะได้เห็นสีหน้าอันเศร้าสร้อยของความมืดมิดเป็นแน่"

             "ความมืดนั้นหลงรักดวงจันทร์มาเนิ่นนานนัก...เขาเฝ้าโอบประคองดวงจันทราอันเป็นที่รักยิ่งเอาไว้ในอ้อมกอด คอยมอบความอบอุ่นอันน้อยนิดที่ตนมีให้แก่เธอ...ทั้งที่ตระหนักดีว่าเธอจะไม่มีวันเหลียวกลับมา เขาก็ไม่สนใจ...

             ...ความรักของเขาที่มอบให้แก่เธอนั้นแสนบริสุทธิ์และล้วนมาจากความจริงใจ ความมืดคิดเพียงแค่ว่า...ขอให้เขาได้มอบหัวใจนี้ให้แก่ใครสักคนแม้ว่าเธอจะไม่ยอมรับก็สุขใจมากเกินพอแล้ว และจะไม่ขอสิ่งใดตอบแทน"

      "วันเวลาเคลื่อนคล้อยล่วงเลย จนกระทั่งวันหนึ่งความเปลี่ยนแปลงก็มาถึง...ความมืดนั้นรู้สึกได้ก่อนเพราะว่าร่างกายของเขามีอย่างสิ่งแปลกไป และบนด้านหนึ่งของฟากฟ้า ได้บังเกิดจุดเล็กๆขึ้นโดยไม่ปรากฏที่มา จุดเล็กแสนเล็กนั้นมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ความมืดที่อยู่บริเวณนั้นสลายไป ...และบางที...สิ่งนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ดวงจันทร์ฝันใฝ่ว่าจะได้เห็น...แสงสว่าง"

             "นับวันจุดนั้นค่อยๆขยายตัวใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นจนในที่สุดมันก็ส่องแสงเจิดจรัสปกคลุมโลกน้ำแข็งอันเหน็บหนาวไปถึงครึ่ง...และแน่นอน บัดนี้ดวงจันทร์ก็สามารถรับรู้ได้แล้ว ความตื่นเต้นแทรกผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว เธอรีบพาตนเองตามแสงนั้นไปทันที ทว่า...ในทันทีที่ร่างของเธอสัมผัสกับแสงนั้นเอง...ความเจ็บปวดมหาศาลพลันแล่นวาบจนต้องร้องออกมา ฝ่ายความมืดนั้นจึงตกใจเป็นอันมาก เขาแผ่ร่างกายของตนออกหวังเข้ามาปกป้องเธอทว่า..ทันทีที่ร่างสัมผัสเข้ากับแสงมันก็สลายไป...และถูกแทนที่ด้วยแสงนั้นทันที"

             "ความมืดคงจะตายไปเสียแล้วถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายของความมืดนั้นมากมายเสียจนสามารถครอบคลุมไปได้ในทุกๆที่ซึ่งไม่มีแสง ผิดกับดวงจันทร์ซึ่งอาศัยอยู่กับความมืดมานานนักจึงไม่อาจทนแสงใดๆได้...

             ...ดวงจันทร์ร่ำไห้...เพราะเธอฝันเอาไว้มากนักและเมื่อความฝันนั้นเป็นจริงและปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้ว แต่เธอกลับไม่อาจไขว่คว้าเพราะมันไกลเกินจะเอื้อมถึง ความผิดหวังจึงมากมายเกินกว่าจะทนรับไหว...และสุดท้าย...เธอจึงปฏิเสธที่จะรับมัน

             นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาดวงจันทร์จะคอยไล่ตามดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนไปข้างหน้า และไม่มีวันที่จะได้พบ...ไม่ว่าจะนานเพียงไร...ไม่มีทางอย่างแน่นอน"

             น้ำเสียงที่เล่าหยุดลงชั่วครู่เปิดโอกาสให้ผู้ฟังถามขึ้น "ดวงจันทร์ก็น่าจะรู้ว่าตามไปอย่างไรก็ไม่มีวันทันแล้วทำไมถึงจะต้องตามล่ะคะ" พูดเสร็จเด็กน้อยก็หาวอ้าปากกว้างออกมา ดวงตาใสเริ่มปรือใกล้จะปิดลงเต็มที

             "ดวงจันทร์นั้นไม่อาจยอมรับความผิดหวัง จึงได้แต่หลงวนเวียนอยู่ในความฝันที่สร้างขึ้นมาหลอกลวงตนเอง ไม่ใส่ใจกับความเป็นจริงที่ว่ามีความมืดซึ่งเป็นห่วงเธอรอคอยอยู่เบื้องหลัง เฝ้าห่วงใยเธอไม่เคยแปรเปลี่ยน และเมื่อดวงตาของเธอมองเห็นแต่ความฝัน เธอจึงมิได้สังเกตถึงความเปลี่ยนของสรรพสิ่งรอบกาย...

             ...น้ำแข็งที่เคยปรากฏอยู่ทั่วทุกหนแห่งนั้นละลายหายไปเพราะความร้อนของแสงอันยิ่งใหญ่...ที่เรียกว่าดวงอาทิตย์... หยาดน้ำตาของเธอนั้นตกลงสู่พื้นดินสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมา เปลี่ยนโลกอันแสนอ้างว้างไปจนหมดสิ้น"

             "แม้ว่ากาลเวลาจะหมุนเวียนผ่านพ้นไปนานเพียงใด ดวงจันทร์นั้นมิเคยหลุดพ้นออกมาจากความฝันอันหลอกลวง แต่ว่าชีวิตของเธอไม่ได้สูญสลายไป เพียงเพราะความรักและความอ่อนโยนจากความมืดผู้มีดวงใจอันบริสุทธิ์งดงาม"

             น้ำเสียงนุ่มหยุดลงเมื่อดวงตาของบุตรสาวปิดสนิทลงพร้อมลมหายใจอันสม่ำเสมอ ดวงตาสีดำสนิทราวอนธกาลอันมืดมิดทอดกระแสอ่อนโยนยิ่งก่อนที่ร่างสูงจะเป่าให้แสงไฟจากตะเกียงดับลง แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องนอนของบุตรสาวแล้วเดินออกนอกบ้านไป

             ลมหนาวของยามดึกต้องกาย บาดลึกลงไปภายในใจ ดวงตาสีเข้มสะท้อนภาพดวงดาราเอาไว้ภายใน

             ยามที่อยู่เพียงเดียวดาย ความรู้สึกทั้งมวลที่ตนเพียรกลบซ่อนจึงเปิดเผย ความเหงา...ความอ้างว้างฉายชัดในดวงตา ลมหนาวบาดสะท้านลึกลงไปภายในจิต ฉุดรั้งความน้อยใจให้พุดพราย

             ...เมื่อใดกันที่ความมืดจักมิต้องอ้างว้าง?...

              

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×