คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ศพที่สอง
ไกล…ไกล
อยู่ในน้ำ…ไกล…ไกล
ฟองอากาศไหลผ่านไป
หญ้าใต้น้ำระผ่านใบหน้า
ร่างหนึ่งจมลง
เส้นผมกระเพื่อมไหวเหมือนสาหร่าย
ใกล้อีก…ใกล้อีก
กุญแจตกลงสู่ก้นสระ
ตกลงในกอหญ้าน้ำ...มองไม่เห็น
ร่างนั้นปิดหมุนกลับมา
ดวงตาเหลือกค้างว่างเปล่า
เสียงกรีดร้องโหยหวน
…ฆาตกร
...
แซมวลสะดุ้งตื่น ลุกพรวดขึ้นนั่ง
หัวใจเต้นรัว เสียงหอบดังผ่านซี่ฟันที่ขบกันแน่นออกมา
ศพ…ศพ
ชายหนุ่มเสยผมชื้นเหงื่อ รู้สึกตัวอีกครั้งว่าอยู่ในห้องนอน
ไฟในเตาผิงยังคุเรื่อแดง ข้างนอกมีเสียงฝน ท้องฟ้ามืดครึ้มจนไม่รู้เวลา
…ฝันไป…แซมวลสูดลมหายใจเข้าปอด…ฝันไปเท่านั้นเอง
ครั้นแล้วเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาตามทางเดิน
“คุณแซมวล”
เสียงแบตส์ดังอู้อี้ที่หน้าประตู “กระผมขอโทษขอรับ แต่…”
ชายชราหยุดไปชั่วขณะ
ดูเหมือนพยายามควบคุมตนเอง ถึงอย่างนั้นเสียงของเขาก็ยังสั่นเทา
“คุณแซมวล เฮนรี่คนสวนอยู่ที่สวนหลัง…ในสระน้ำ
เขาตายแล้วขอรับ”
แบตส์ลงมาเตรียมอาหารเช้าตอนตีห้า
เขาเห็นเงาคนตะคุ่มจากหน้าต่างครัว เมื่อแรกคิดว่าเป็นเฮนรี่…เฮนรี่ติดเหล้า บางทีก็แอบขโมยไวน์ในห้องใต้ดิน
แบตส์คิดจะไปปราม แต่เมื่อพ่อบ้านออกมา สิ่งที่เขาเห็นกลับมีเพียงร่างของคนสวนนอนคว่ำหน้าอยู่ในสระน้ำ
จมลงไปครึ่งตัว มีรอยเท้าลึกย่ำรอบสระจนเปรอะ ใครสักคนคงลากเฮนรี่มาที่นี่แล้วกดเขาจนสำลักน้ำตาย
แบตส์กับแซมวลเป็นคนตอบคำถามของตำรวจ
พวกเขาขอร้องสารวัตรว่าอย่ารบกวนย่าเพราะท่านสะเทือนใจเรื่องปู่มาเกินพอแล้ว
ส่วนลุงโรเบิร์ตนั้นไม่อยู่ ได้ความว่าออกไปที่แอชเบอร์รีแต่ยังไม่สว่าง
เมื่อแซมวลโทรศัพท์ไปแจ้งเรื่องที่โรงพยาบาล ลุงก็บอกว่าจะรีบกลับมา
สารวัตรให้วิดน้ำออกและให้คนส่งศพไปยังห้องทำงานนิติเวชของหมอแฮร์มันน์
“ไม่ใช่ฆาตกรรมหรอกคุณ”
สารวัตรบอกอย่างนี้ “เขาเมาแล้วคงพลัดลงไปมากกว่า ถ้าฆ่ากันต้องมีร่องรอยต่อสู้มากกว่านี้
รอยเท้านี่ก็มีรอยเดียว”
แซมวลไม่ได้พูดอะไร
เขาดีใจที่พวกตำรวจจากไปโดยเร็ว ชายหนุ่มไม่อยากให้ย่าสะเทือนใจไปกว่านี้แล้ว...ปู่เพิ่งเสียเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง
ถึงอย่างนั้นแซมวลก็ยังสงสัยในวินิจฉัยของสารวัตร
เมื่อแบตส์ปลีกตัวไปจัดการเรื่องในคฤหาสน์และตำรวจกลับไปหมดแล้ว ชายหนุ่มก็ยังคงถือร่มยืนดูสระน้ำ
ฝนยังตกแต่ไม่แรงเท่าเมื่อย่ำรุ่ง แม้สระจะถูกวิดแล้วแต่ยังคงสกปรกมีตะไคร่จับเขียว
เม็ดฝนตกลงไปและเริ่มขังเป็นแอ่งขึ้นอีกครั้ง
ชายหนุ่มค่อยๆ ก้มตัวลง
ไล่มือไปตามกอหญ้าน้ำ ลูบไป...ลูบไป ครั้นแล้วก็ปะเข้ากับวัตถุโลหะเล็กๆ
เขาหยิบกุญแจดอกหนึ่งขึ้นมา
มันตกอยู่ในลักษณะที่หากไม่สังเกตดีๆ
จะไม่มีทางเห็น เปื้อนเมือกและมีจอกแหนเกาะ แซมวลมองมันเงียบๆ ไม่รู้จะบอกว่าตนคาดหมายจะได้เจอกุญแจที่นี่หรือไม่ได้คาดหมายกันแน่
เขาจำความฝันของตนเองได้ แต่...ฝันว่ามีคนจมน้ำตาย ตื่นเช้าขึ้นก็มีคนตายจริงๆ
ฝันเห็นกุญแจก็พบกุญแจจริงๆ อย่างนี้ควรเรียกว่าบังเอิญหรืออย่างไร
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
ปะเข้ากับตราวงกลมสีแดงพอดี
มันประทับอยู่ใต้ขอบสระ
ซ่อนอยู่ใต้เงาของขอบปูนที่ล้ำเข้ามาเล็กน้อย แต่สายตาเขาไม่ผิดแน่…เป็นสัญลักษณ์ชุดเดียวกับที่แซมวลเคยเห็นตรงเชิงหอคอยที่ปู่ตาย
อักษรในวงกลมเหมือนกัน เพียงแต่อักษรภายในเป็นคนละตัว
แซมวลรู้สึกเหมือนตนเองตกอยู่ใต้มนตร์สะกด
เหมือนหลุดเข้าไปในดินแดนสนธยา ซึ่งทุกอย่างบิดเบี้ยวผันแปร หลอกลวง ไม่จริง
…แซม แซม…เสียงหัวเราะของคัธรินดังผ่านไป…ฉันรักบ้านของคุณ
แซม มันทำให้นึกถึงนางฟ้า นึกถึงเทพยดา นึกถึงพิกซี่ บราวนี่ เลปริคอน
นึกถึงว่าเราอยู่ในแดนมายา บ้านของคุณสวยเหลือเกิน แซม…
แซมวลจำได้ว่าตอนนั้นตนหัวเราะ
ครั้นแล้วก็ข่มขู่คัธริน อา…แม่สาวศิลปิน…รอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงสิขอรับ
รอถึงคืนที่ทั้งหนาวทั้งเปลี่ยว
มีเสียงลมกรีดหวีดหวิวชนิดที่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงลมหรือเสียงอะไรแน่ แม่สาวศิลปิน ถึงตอนนั้นคุณจะได้เห็นว่าอีกหน้าตาหนึ่งของพิกซี่
ของบราวนี่ ของเรื่องเล่าตำนานต่างๆ ในแถบนี้ว่าเป็นอย่างไร
คัธรินไม่กลัว
แต่คำดังกล่าวทำให้แซมวลนึกอะไรขึ้นได้อีกครั้ง…ที่นี่เคยเป็นดินแดนของมอร์เดรดผู้เป็นดรูอิด…ดินแดนของนักบวชแห่งธรรมชาติ
แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านมานานแสนนานแล้ว แต่บางที…บางทีมนตร์บางอย่างอาจจะยังคงอยู่
ยังคงสิงสู่ ยังคงหลอกหลอนอยู่
เขานำกุญแจเข้าไปในบ้าน เมื่อล้างแล้วก็ยื่นให้แบตส์ดู
ถามว่าเป็นกุญแจอะไร
“กุญแจเรือนกระจกขอรับ…แต่ที่จริงมันน่าจะอยู่กับตัวเฮนรี่”
พ่อบ้านแสดงความแปลกใจเล็กน้อย
ทว่าแซมวลไม่ได้ฟังเขาต่อ ชายหนุ่มรีบออกไปยังเรือนกระจกอีกครั้ง
สอดกุญแจจากก้นสระเข้ากับกลอนและไขมันเปิดออก
เรือนกระจกเคยเป็นที่ของปู่
ใช้เป็นสตูดิโอส่วนตัว เอารูปวาดมาเก็บไว้มากมาย เวลาวาดรูปก็มาวาดที่นี่ แซมวลจำได้ดีว่าสมัยเด็กเคยมานั่งบนม้านั่งขาสูง
เตะขาไปมา เฝ้าดูปู่ลงสีบนผืนผ้าใบทีละฝีแปรง ลอร์ดกอร์ดอนเป็นศิลปินสมัครเล่นที่มีพรสวรรค์
รูปของท่านเคยได้ไปแสดงที่ลอนดอนหลายครั้ง มีอยู่ภาพหนึ่งเคยขายได้ถึงพันปอนด์
ดังนั้นปู่จึงยินดีที่แซมวลพาคัธรินมา
…ผมวาดรูปไม่เป็น
ลุงโรเบิร์ตก็วาดรูปไม่เป็น…ชายหนุ่มจำได้ว่าตนพูดแบบนี้เมื่อแนะนำคัธรินครั้งแรก…แต่ปู่ครับ
ผมพาคนที่วาดรูปเป็นมาให้ปู่จนได้เห็นไหม นี่คือคัธรินครับ
กำลังเรียนศิลปะที่ปารีส ปู่ครับ ผมจะแต่งงานกับคัธริน…
ปู่จูบคัธรินที่หลังมือ
แกล้งทำตัวกรุ้มกริ่มกับเธอ พูดภาษาฝรั่งเศส เรียกคัธรินเป็นมาแชรี
ความทรงจำเหล่านั้นขมเกินไป
ไม่ผิดอะไรกับสภาพเรือนกระจกในเวลานี้เลย
เฮนรี่ไม่ได้ทำอะไรผิด
เขาทำหน้าที่คนสวนธรรมดา เรือนกระจกไม่ใช่สตูดิโอ และตามคำบอกเล่า
ปู่ก็ไม่ได้ลงมาในสวนนานแล้ว ดังนั้นเฮนรี่จึงเอาเครื่องมือทำสวน ถุงดินถุงปุ๋ย
ต้นไม้ต่างๆ มาไว้ข้างใน มีกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ อยู่ในอากาศ ซึ่งแซมวลทราบว่าคือกลิ่นเหล้าจากตัวคนสวนที่อยู่ที่นี่ประจำ
ข้าวของของเฮนรี่ดูเหมือนจะถูกเก็บไว้ในนี้ด้วย เขามีโต๊ะสำหรับตบแต่งต้นไม้ส่วนตัว…เรือนกระจกแห่งนี้กลายเป็นของเฮนรี่ไปแล้ว
ของที่เหลือและทำให้ระลึกถึงปู่มีเพียงสิ่งเดียว
คือแผ่นผ้าใบที่ยังคงตั้งอยู่กลางกระถางต้นไม้
แซมวลมองแผ่นผ้าใบ มันวาดมานานแล้ว เป็นรูปคฤหาสน์แบลคมิเรอร์จากมุมด้านหน้า
มองแวบแรกชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรขาดหายไป แต่เขาไม่รู้ว่าคืออะไร จนกระทั่งได้พิจารณาดีๆ
อีกครั้งจึงเห็นว่าภาพนี้ไม่มีท้องฟ้า...ท้องฟ้ายังไม่ได้ลงสี
เหนือตัวคฤหาสน์แบลคมิเรอร์มีเพียงความขาวว่างเปล่าของผ้าใบ แต่ว่าภาพนี้ประหลาด
แสงเงาบนตัวคฤหาสน์ดูคลุมเครือ ไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าควรมีท้องฟ้าอย่างไร
บอกไม่ได้ว่ามืดหรือสว่าง อากาศดีหรือมีฝนตกกันแน่
มีแปรงวางอยู่ตรงราง ขนแปรงติดสีจนแห้งกรังใช้ไม่ได้อีกแล้ว
แซมวลมองรูปนั้นอยู่ครู่หนึ่งครั้นแล้วก็เดินมาที่โต๊ะของเฮนรี่
คนสวนโกหกเขาไว้ไม่น้อย แซมวลเห็นแล้วว่ามีใบจำนำวางอยู่ที่โต๊ะเป็นปึก
และบนสุดของกระดาษทั้งหมดนั้นก็มีใบที่ระบุถึงวัตถุทรงกลมทำจากงาช้างซึ่งตรงกลางติดอัญมณีไว้
…อัญมณีหรือ
“แบตส์ ฉันจะไปวิลโลว์ครีก”
ชายหนุ่มบอกขณะสลัดน้ำฝนจากร่ม “ตอนนี้ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
“ผับยังเปิดบริการอยู่ขอรับ เมียตาไซมอนเจ้าของผับก็ยังทำสตูว์กระต่ายอร่อยเป็นที่หนึ่ง”
พ่อบ้านบอกเสียงเนิบๆ “แต่ตลาดปลาปิดไปแล้ว ร้านบางร้านก็ปิดไป คนหนุ่มๆ
ส่วนใหญ่พากันเข้าเมืองแสวงโชค ที่เหลืออยู่มีแต่คนเก่าๆ”
แซมวลหยุดมือ เขาวางร่มลง
พิจารณาพ่อบ้านที่ยืนจัดถาดอาหารเช้าของย่าอยู่ ที่จริงแบตส์ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก...แทบไม่เปลี่ยนเลยตั้งแต่เขาอายุหกขวบกระมัง
ถึงอย่างนั้น เหตุใดแซมวลจึงรู้สึกว่าพ่อบ้านของเขาแก่ชราลงมากเหลือเกิน
เหนื่อยเหลือเกิน
“แบตส์ได้พักบ้างไหม” ชายหนุ่มถาม
“ที่จริงแล้วแบตส์ควรจะได้ไปพักร้อนบ้าง ฉันจะคุยกับลุง ฉันคงทำงานสู้แบตส์ไม่ได้
แต่ถ้าให้ดูแลบ้านทำอาหารนิดหน่อยละก็…”
“ผมไม่ไปไหนเวลาแบบนี้หรอกขอรับ”
พ่อบ้านตอบ
แซมวลรู้สึกว่าในอกเต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ
มากมาย เขาบอกตนเองว่าเอาความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับที่นี่ใส่หีบปิดกุญแจ
ถ่วงทิ้งลงทะเลไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นวัยเด็กและวันเวลาที่เคยมีความสุขก็ไม่ใช่สิ่งซึ่งจะลืมกันได้ง่ายๆ
“แบตส์เป็นครอบครัวของฉันนะ
ฉันไม่อยากให้หักโหมไป” ชายหนุ่มบอก คำว่าครอบครัวช่างให้รสประหลาดยามพูด
ทำให้รู้สึกเหมือนมีอะไรสูญหาย...และได้คืนมา เขาไม่กล้าพูดคำอย่างนี้กับย่าหรือลุงโรเบิร์ตหรอก
แต่แซมวลก็ยังคงอยากชดเชยความเอาแต่ใจสิบสองปีของตน
“กระผมทราบขอรับ” แบตส์เบือนหน้าไปจัดของ
ไม่ทราบว่าจงใจหรือทำไปโดยอัตโนมัติ “กระผมทราบว่าคุณเป็นคนจิตใจดี
ทราบตั้งแต่ยังเป็นคุณหนูน้อยๆ ขอรับ แบตส์เองก็จะรักษาตัวเพื่ออยู่กับพวกคุณนานๆ
เหมือนกัน ตระกูลกระผมเป็นพ่อบ้านที่แบลคมิเรอร์มาตลอด กระผมไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณวิคตอเรีย
เซอร์โรเบิร์ต และคุณแซมวลแน่ ไม่ยอมแน่นอนขอรับ”
วิลโลว์ครีกไม่มีต้นวิลโลว์ ไม่สิ ที่จริงควรจะพูดว่ามี…มีเหลืออยู่ต้นหนึ่ง
แซมวลยืนดูวิลโลว์แก่ชราต้นนั้น
มันขึ้นค้อมคู้อยู่ข้างป้ายทางเข้า วิลโลว์เพียงต้นเดียวซึ่งเหลืออยู่นับตั้งแต่มาร์คัสสร้างที่นี่เป็นต้นมา
ดูเหมือนคนแก่ที่เหนื่อยล้ากับสภาพความเป็นไปของโลกเต็มที
วิลโลว์ครีกเป็นหมู่บ้านขนาดกลาง
สร้างอยู่สองฟากแม่น้ำเล็กๆ ที่ไหลผ่านที่ดินของแบลคมิเรอร์ ก่อนนี้…สมัยศักดินา
ที่นี่เป็นเขตแมเนอร์ของตระกูลกอร์ดอน แต่ตอนนี้ไม่มีระบบดังกล่าวอีกแล้ว
อังกฤษหลังสงครามโลกบอบช้ำ ผู้คนในชนบทหลั่งไหลเข้าเมือง วิลโลว์ครีกเองก็ได้แต่เฝ้าดูบุตรหลานเติบโตขึ้นและจากไป
“ดูอะไร” เสียงหนึ่งถามจากข้างหลัง
เมื่อหันกลับไปก็เห็นเด็กชายอายุสักสิบขวบคนหนึ่งยืนถือลูกบอลอยู่
“แม่น้ำไม่มีปลาหรอก” เด็กชายบอก
“ไม่มีตั้งนานแล้ว ถึงตาแก่จะบอกว่ามีก็เถอะ”
“อย่างนั้นหรือ” แซมวลถามยิ้มๆ เขารู้ดีว่าวิลโลว์ครีกไม่ค่อยมีเด็กเกิดใหม่
เจ้าหนูนี่คงไม่ค่อยมีเพื่อนเล่น เบื่อเซ็งนักจึงมาชวนคนแปลกหน้าคุยแบบนี้
เด็กชายดูเป็นมิตร ไม่ขี้อาย และออกจะห่ามไปนิดหน่อยด้วยซ้ำ
“เราชื่อวิค…วิคเตอร์” เด็กชายพูดต่อไป
“นายมาจากข้างนอกหรือ แถวนี้ไม่ค่อยมีคนนอกผ่านมา
พ่อบอกว่าก็ตั้งแต่ผีที่คฤหาสน์นั้นแผลงฤทธิ์นั่นละ”
นิ้วป้อมๆ ของเขาชี้ไปทางตะวันออก
สู่เนินสูงที่คฤหาสน์แบลคมิเรอร์ตั้งอยู่ แซมวลเห็นดังนั้นก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาอยากลืมแบลคมิเรอร์ แต่ไม่ได้ต้องการให้ใครมาว่าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านผีสิงหรืออะไร
พวกคนที่วิลโลว์ครีกเคยรู้จักปู่เป็นอย่างดี เหตุใดจึงมาเล่าเรื่องทำร้ายท่านเช่นนี้
“ฉันชื่อแซมวล” เขาบอก คิดอยากตัดบท
“ยินดีที่ได้รู้จัก วิค”
“เราไม่ค่อยเคยเห็นคนข้างนอก
แต่พอโตขึ้นเราจะออกไปข้างนอกบ้าง…แม่เราบอกว่าถ้าเราไปเรียนหนังสือจะยอมให้ไป
แต่เราไม่อยากเรียนหนังสือ เราอยากไปขึ้นเรือ ไปเป็นกะลาสี”
“อย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มถาม น้ำเสียงเป็นจริงเป็นจังไปด้วย
เขาเรียนรู้มาจากปู่ว่าไม่ควรดูถูกความฝันของเด็ก…ไม่ว่าจะเป็นเด็กคนไหนก็ตาม
เด็กชายเห็นผู้ฟังสนใจจริงจังถึงเพียงนั้นก็รู้สึกภูมิใจ
เกิดความอยากเป็นมิตรและอยากสร้างความประทับใจมากขึ้นอีก ดังนั้นจึงเอามือป้องปาก
ลดเสียงทำท่าเหมือนพูดเรื่องความลับ
“นายมาจากข้างนอก เราจะเล่าเรื่องดีๆ
ให้ฟัง” เขาว่า “โน่นๆ คฤหาสน์บนเนินนั่น…พ่อเราบอกว่ามีผีสิง…ถูกสาป คนบ้านนั้นจะต้องตายไปทีละคนจนกว่าจะหมด
สิบสองปีก่อน…มีไฟไหม้ใหญ่จนเมียของหลานเจ้าของคฤหาสน์ตาย ตัวหลานเลยหนีออกจากบ้าน
เตลิดหายสาบสูญไป”
วิคเตอร์เริ่มตื่นเต้น เขาคงได้แต่ฟังพวกผู้ใหญ่พูดกัน
ไม่เคยมีโอกาสพูดเรื่องนี้เองเลย พอได้พูดก็ลืมดูสีหน้าของคนฟัง…ซึ่งค่อยๆ
เปลี่ยนแปรไปแล้ว
“พอหลานหายไป ตาเจ้าของคฤหาสน์ก็เป็นบ้า…เป็นบ้านานมากๆ
สิบสองปีแน่ะ แล้วอาทิตย์ก่อนนี้เองละ แกก็กระโดดลงมาจากหอคอยฆ่าตัวตาย
ตัวแกปักกับเหล็กดัดข้างล่าง เป็นรูเลยนะ พ่อบอกว่าเลือดเต็มไปหมด น่ากลัวมาก พ่อเราบอกว่าอีกหน่อยคนอื่นๆ
คงเป็นไปด้วย ไม่ตายก็หายสาบสูญจนกว่าคฤหาสน์นี้จะร้าง พ่อเราบอกว่าคอยดู…”
เด็กชายชะงัก เพราะผู้ฟังเอื้อมมือมาจับไหล่ของเขา…บีบแน่น
“น่าสนใจมาก วิค”
เสียงของแซมวลเย็นชา ไม่มีความสนใจแท้จริงอยู่เลยแม้แต่น้อย…และมือนั้นก็บีบหนักขึ้นไปอีก
แน่นจนเจ็บ จนเด็กชายรู้สึกหวาดกลัว
“แซมวล เราเจ็บ” วิคเตอร์ร้อง
แต่แซมวลยังคงมองเขา ดวงตาสีดำยิ่งน่ากลัว
“เฮ้ย! นายคนนั้นทำอะไรน่ะ” เสียงหนึ่งตวาดมาจากข้างหลัง “ปล่อยเด็กนะโว้ย”
ชายหนุ่มชะงัก มือหลวมออก
เด็กชายจึงรีบสะบัดตัววิ่งหนีไปทันที
“วิค” แซมวลเพิ่งรู้สึกตัว
เขาพยายามเรียกเด็กไว้ แต่วิคเตอร์กลัวเกินกว่าจะอยู่ที่นั่นอีกต่อไปแล้ว
เด็กชายวิ่งลับมุมอาคารหายไป ชายหนุ่มจึงได้แต่ยกมือค้างอยู่ชั่วขณะ
ครั้นแล้วก็เอามือลง…ถอนหายใจ
…เมื่อครู่เราเป็นอะไรไป…เขามองพื้น
รู้สึกหวาดกลัว…พอฟังเด็กนั่นพูดถึงเรื่องครอบครัว เราร้อนในอก
โกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนเมื่อวานตอนที่ตวาดเฮนรี่ให้ทำความสะอาดสระน้ำ อาการโรคของเราไม่ดีแล้วกระมัง
ต้องปรึกษาลุงโรเบิร์ต ไม่อย่างนั้นเราอาจจะทำบ้าๆ อะไรอีก…
มือของใครอีกคนจับไหล่ของเขาไว้ กระชากกลับโดยแรง
“แกทำอะไรเด็ก”
ครั้นแล้วน้ำเสียงของคนจับก็เปลี่ยนไป…ประหลาดใจ
“แซมวลเองหรือนี่…”
แซมวลงุนงง เขามองหน้าชายดังกล่าว…เป็นคนร่างใหญ่
อายุมากกว่าเขาสักเจ็ดแปดปี ตัดผมเกรียน มีหนวดสากหรอมแหรมที่แก้ม ใส่เสื้อยืด
กางเกงผ้าใบเก่าๆ ท่าทางเหมือนคนทำงานใช้แรงงาน
“คุณ…” ชายหนุ่มงุนงงไปชั่วขณะ ครั้นแล้วก็นึกได้ ยกมือขึ้นจับไหล่ชายดังกล่าวเขย่า ยินดีในการพบกัน “ดิค
…ดิคใช่ไหม”
ดิคยิ้มเล็กน้อย
สีหน้าของเขายังคงมีลักษณะเนือยๆ เหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน
“ยินดีต้อนรับกลับสู่วิลโลว์ครีก แซมวล”
ดิคเป็นเด็กที่ท่านวิคาร์…บาทหลวงเฟรเดอริคเก็บมาเลี้ยง
คนทั่วไปบอกว่าเขาพิการ…ในหัว…เรียนรู้ช้าหรืออะไรอย่างนั้น
ตลอดหลายปีมานี้เขาอาศัยอยู่ที่วิหารวอร์มฮีล ช่วยงานพ่อเฟรเดอริค
เติบโตเป็นคนร่างใหญ่แข็งแรง ดิคทำงานขุดหลุมศพมาหลายปีแล้ว ดังนั้นคนอื่นๆ
จึงเรียกเขาว่า “คนขุดหลุมศพ”
ดิคเป็นคนเก็บตัว แต่ที่เขตคฤหาสน์แบลคมิเรอร์นี้มีเด็กน้อย
ดังนั้นแซมวลกับดิคจึงได้รู้จักกัน…เป็นเพื่อนกัน เมื่อยังเล็กแซมวลเคยหนีลุง
หนีเรียนหนังสือออกมาหาดิค พากันไปเที่ยวตามที่ต่างๆ
ทั่ววิลโลว์ครีกและเขตใกล้เคียง
ดิคนั่นเองที่เป็นคนพาเขาไปที่วงหินเก่า…โบราณสถานตั้งแต่สมัยดรูอิด
เป็นคนสอนเขาปีนต้นไม้ พาเขาเข้าไปในสุสานตอนกลางคืนและยืนยันว่าไม่มีอะไรน่ากลัว
ดิคเป็นคนดี แม้จะหัวช้าแต่ก็เป็นคนอ่อนโยน แซมวลนับถือเขาเหมือนพี่ชาย
ทว่าเส้นทางของทั้งสองไม่เหมือนกัน
ดิคไม่เคยคิดถึงอนาคต ไม่เชื่อว่าตนจะเรียนหนังสือได้ เขาออกจากโรงเรียนทันทีที่จบภาคบังคับและยืนยันว่าจะทำงานเป็นคนขุดหลุมศพ…ช่วยงานพ่อเฟรเดอริคที่เขารักเหมือนบิดาไปจนตาย
ดิคคิดว่าดีที่แซมวลเรียนหนังสือ ดีที่แซมวลไปอีตัน ไปเคมบริดจ์ เป็น “คนฉลาด”
แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อต่างกันเพียงนี้แล้ว ยิ่งเดือนปีผ่านพ้นไปเท่าไร
ยิ่งแซมวลจากบ้านไปอยู่ในวงวิชาการมากขึ้นเท่าไร ความเป็นเพื่อนของทั้งสองก็ยิ่งเลือนราง กลายเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของอดีต
แม้จะจดจำได้ว่าเป็นเพื่อน แม้ตอนแต่งงานแซมวลจะส่งบัตรเชิญให้ดิคมา
แต่เมื่อพบหน้า ทั้งสองก็มักจะทำได้เพียงยิ้มให้กัน จากนั้น…เพราะเป็นคนขี้อายทั้งคู่…ก็ไม่อาจนึกถึงบทสนทนาอื่นใดได้อีกเลย
“สบายดีหรือ ดิค” แซมวลถาม
“สบายดี” ดิคล้วงมือลงในกระเป๋า
“นายดูแย่ว่ะ แซมวล ทำไมต้องทำร้ายเด็กด้วย”
“ไม่ได้เจตนา
ฉัน…หลายปีนี้…ไม่ค่อยสบาย” ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก “ฉัน…เอ้อ…มางานศพปู่
เมื่อวานนี้ไม่เห็นนาย”
“เมื่อวานนี้เหนื่อย
ทำหลุมให้ปู่นายนั่นละ…แล้วเมื่อคืนก็กลบ” ดิคมองไปอีกทางหนึ่ง “เป็นคนดี…ปู่นาย
ฉันเสียใจ…”
“ขอบคุณ”
“ตอนนี้ฉันไม่ว่าง
ต้องไปซื้อของให้พ่อ แต่พูดถึงปู่นาย
บ่ายนี้ว่างไหม มาที่วอร์มฮีลหน่อย”
แซมวลทำหน้าฉงน
“เขาเคยให้ของฉันไว้ ฉันจะคืนให้นาย”
ดิคบอก “ไปก่อนนะ…ต้องรีบไป”
เมื่อแยกกับดิคแล้วแซมวลก็ไปร้านจำนำ
ไถ่เอาแผ่นงาช้างรูปกลมที่เฮนรี่เอาไปจำนำคืนมา แต่ปรากฏว่าบนแผ่นนั้นไม่มีอัญมณีดังที่เขียนไว้ในใบรับของ
พอถามว่าไปไหน เจ้าของร้านก็ว่าตกลงราคากับเฮนรี่ไม่ได้ คนสวนจึงแงะออกไป จำนำไว้แต่แผ่นงาช้าง
บอกว่าจะไปหาที่อื่นที่ให้ราคาดีกว่านี้ทีหลัง
“เฮนรี่มีกระเป๋าลับ” คนขายบอกแซมวลที่ทำท่าเหมือนสิ้นหวัง
“เขาชอบเก็บของดีไว้ในนั้น มันเย็บไว้ในกางเกงติดอยู่ข้างในกระเป๋ากางเกงจริงโน่น ปรกติของดีก็มักจะเก็บไว้ติดตัว
คุณลองไปดูได้”
ชายหนุ่มไม่แน่ใจนัก
เขารู้ว่าเสื้อผ้าที่เฮนรี่ใส่ต้องอยู่ที่บ้านของหมอแฮร์มันน์ในฐานะหลักฐาน และไม่แน่ว่าหมอชาวเยอรมันจะยอมให้ดูหรือไม่
ถึงอย่างนั้นแซมวลก็เอ่ยคำขอบคุณเจ้าของร้านจำนำและจากมา
แซมวลตัดสินใจไปวอร์มฮีลก่อน เขาผิดหวังเล็กน้อยที่ทราบว่าพ่อเฟรเดอริคไม่อยู่และคงไม่กลับมาจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้
แต่ดิคพอใจที่เขามา คนขุดหลุมศพดึงแขนชายหนุ่มไปยังกระท่อมเล็กๆ ของตน เอาของที่บอกว่าปู่เคยให้ไว้ออกมา
มันเป็นกล่องไม้เนื้อดีกล่องเล็กๆ ขัดมันและตกแต่งฝากล่องเป็นลวดลายงดงาม
“นี่…” แซมวลไม่แน่ใจนัก
รู้สึกคุ้นเคยประหลาด
ดิคเปิดกล่องนั้น ครั้นแล้วเสียงดนตรีอ่อนหวานก็หลั่งไหลออกมา…มันเป็นกล่องดนตรี
“เคยเป็นของเจมส์…เคยเป็นของนายด้วย”
คนขุดหลุมศพบอก “ฉันจำได้ ตอนนายมาโบสถ์ครั้งแรก ลอร์ดกอร์ดอนต้องถือมาด้วย ได้ยินท่านบอกพ่อว่าพ่อแม่ของนายตาย
บางทีร้องไห้ก็ต้องเปิดเพลงนี้ให้ฟัง”
“เจมส์หรือ” แซมวลแปลกใจ
เขาจำชื่อนั้นได้ คนในรูปถ่ายที่ปู่ฉีกทิ้ง…ที่มีชื่อในบันทึกของปู่
“เจมส์…เป็นใคร”
สีหน้าซื่อสัตย์ของดิคเปลี่ยนไป
“ไม่ได้เป็นใคร” เขาเบือนหน้าทันที
“ไม่…”
“ย่าบอกฉันแล้วว่าเคยมีคนชื่อเจมส์อยู่ที่บ้าน
แต่เขาเป็นบ้าลุงโรเบิร์ตจึงพาไปแอชเบอร์รี” แซมวลบอก “เขาอายุสิบสามตอนที่เป็นบ้า
นาย…รู้จักเขาใช่ไหม”
“ถ้าย่านายบอกเอง
ถ้าอย่างนั้นฉันก็…” ดิคมองมือของตนเอง “เจมส์เป็นคนดี วาดรูปสวย เขาเหมือนนายนิดหน่อย ตอนที่นายกลับมาจากอีตันตอนปิดเทอมแรก ฉันเกือบคิดว่าเป็นเจมส์ที่กลับมา
แต่ลอร์ดกอร์ดอนบอกว่าเจมส์จะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ลอร์ดกอร์ดอนบอกว่าทั้งนายและเจมส์ไม่มีใครต้องการกล่องนี้อีกแล้วเลยให้ฉัน แต่ลอร์ดกอร์ดอนตายแล้ว…จึงควรจะคืนให้นาย”
“ดิค…” แซมวลเรียก
“ฉันรู้ว่านายไม่โกหก…ปู่…ก่อนตายปู่มาที่วอร์มฮีลใช่ไหม ปู่เป็นอย่างไร”
“ลอร์ดกอร์ดอน…”
หลายเดือนก่อน ลอร์ดวิลเลียม กอร์ดอน
ปรากฏตัวที่วอร์มฮีลในยามดึก ทรุดโทรม ผมบนศีรษะที่เคยดกหนาเป็นสีเงินยวงบางลง ดวงตาลึกโหลราวกับกระโหลกผี
มาถึงแล้วก็อ้อนวอนบาทหลวงเฟรเดอริคขอให้เปิดสุสานโบราณ
หลังจากขอครั้งแล้วครั้งเล่าท่านวิคาร์จึงต้องยอม ลอร์ดกอร์ดอนลงไปในสุสานนั้นนานสองนานไม่ยอมขึ้นมา
เมื่อพ่อเฟรเดอริคให้ดิคไปตาม คนขุดหลุมศพก็พบว่าชายชรากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ที่เสาในสุดของสุสาน
“เสาในสุด…” แซมวลแปลกใจ
“ไปดูก็ได้ วันนี้ฉันเปิดทำความสะอาด…พอลอร์ดกอร์ดอนตายก็รู้สึกเหมือนต้องทำอย่างนั้น” ดิคบอก
วิหารวอร์มฮีลเป็นสิ่งก่อสร้างโบราณ…บางทีอาจจะย้อนกลับไปได้ถึงสมัยของมาร์คัสและมอร์เดรด
ผ่านมานานปี บางส่วนของวิหารจึงปิดไปเสียบ้าง
บริเวณใดมีคนใช้คนอยู่ก็มีแสงสว่างมีไฟอบอุ่น บริเวณใดไม่มีคนก็ปิดกุญแจลั่นดาล เมื่อเปิดเข้าไปย่อมได้กลิ่นอับชื้น…กลิ่นเก่าแก่
เหมือนบางห้องในคฤหาสน์แบลคมิเรอร์
ดิคชูตะเกียงขึ้นสูง
แม้ว่าเวลานี้ไฟฟ้าจะเริ่มเป็นที่แพร่หลายในอังกฤษ ทว่าความเจริญดังกล่าวก็ยังคงมาไม่ถึงวิหารแห่งนี้และอาจจะมาไม่ถึงตลอดกาล
ดังนั้นคนขุดสุสานจึงตามตะเกียงเข้ากับตะเกียงใหญ่อีกดวง
พลางชี้ให้แซมวลดูห้องเก่าแก่ซึ่งรายไว้ด้วยหีบศพหินโบราณ
แซมวลมองหีบเหล่านั้น
บนฝาสลักเป็นรูปคนนอน บางโลงก็เป็นรูปตบแต่งอื่นๆ …เขาทราบว่ากว่าครึ่งของคนสกุลกอร์ดอนนอนอยู่ที่นี่
บางทีคงจะเป็นบรรพบุรุษของเขาเอง ทว่าบรรยากาศในห้องกว้างก็ยังคงทำให้รู้สึกหนาวเยือกเย็น
“เสาในสุดตรงนั้น” คนขุดสุสานชี้
แซมวลเดินตาม
เขาเห็นเสาใหญ่ที่ฝังลงในผนังราวครึ่ง ครั้นลูบไปตามเนื้อเสา
ชายหนุ่มก็พบว่ามีรอยสลักอยู่ เขาเม้มปากมองมันเป็นครู่ก่อนจะหยิบแผ่นงาช้างทั้งสองแผ่น…ทั้งที่พบใต้หอคอยและที่เพิ่งไถ่จากโรงรับจำนำมาประกบเข้าหากัน
ก่อนจะยกขึ้นทาบไปบนรอยกลมที่เสานั้น รอยทาบทับได้สนิทราวกับเป็นเนื้อเดียวกัน
ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีอะไรหรือแซมวล” ดิคถาม
“ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มตอบ ซุกแผ่นงาช้างกลับเข้ากระเป๋า
“ดิค ฉันนึกได้ว่ามีธุระด่วนแต่อยากกลับมาดูห้องนี้อีกสักครั้ง
ถ้าฉันมาอีกทีตอนเย็นนายจะยังเปิดห้องอยู่ไหม”
“ที่จริงก็ไม่ควร…” คนขุดสุสานพูดตามตรง
“แต่ไม่เป็นไร แซมวลคงไม่ทำอะไรหรอก จะเปิดไว้ให้ แต่อย่าบอกพ่อแล้วกัน”
แซมวลไม่พูดอะไร เขารู้สึกเหมือนตนหลอกใช้ความสัตย์ซื่อของดิค
แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่อยากให้มีใครต้องมาเกี่ยวพันวุ่นวายกับเรื่องทั้งหมดอีกแล้ว
เขารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าหากผู้ใดยื่นมือเข้ามาในความวิบัตินี้ ผู้นั้นจะต้องพลอยหายนะไปด้วย
แซมวลคุ้ยถังขยะข้างบ้านหมอแฮร์มันน์ราวกับสุนัข
หมอแฮร์มันน์เป็นนายแพทย์นิติเวชเพียงคนเดียวในเขตนี้
ศพของเฮนรี่คนสวนจึงถูกส่งมาที่เขา แซมวลคิดจะมาขอตรวจกระเป๋าลับที่กางเกงของคนสวน
ทว่าเมื่อมาถึง สิ่งที่เห็นผ่านหน้าต่างคือหมอแฮร์มันน์กำลังรวบรวมของที่ไม่จำเป็นในการพิจารณาคดีรวมทั้งเสื้อกางเกงของเฮนรี่โยนใส่ถุงขยะ
ผูกปากถุงออกมาทิ้งในถังขยะนอกบ้าน แซมวลย่อมไม่สามารถไปบอกให้หมอหยุดได้เพราะทำเช่นนั้นดูน่าสงสัยเกินไป
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงได้แต่แอบรอจนหมอเอามาทิ้งและกลับเข้าบ้านเรียบร้อยจึงได้เปิดฝาถังขยะดู
เขาจะอาเจียน…หมอนิติเวชยังเป็นหมอนิติเวชวันยังค่ำ
ของที่ไม่ควรมีอยู่ในถังขยะบ้านคนอื่น ถังนี้ก็มี
แต่ในที่สุดแซมวลยังสามารถดึงเอาถุงออกมาจนได้
มีของอย่างอื่นตกออกมาด้วย แต่ชายหนุ่มมุ่งสนใจที่ถุงก่อน เขาแกะเชือกปากถุง เอากางเกงออกมาและใช้มีดเล็กที่ได้จากห้องทำงานของปู่มาตัดกระเป๋าลับให้เปิดออก
ในนั้นชายหนุ่มพบอัญมณีเม็ดหนึ่งจริงๆ เขาประกอบมันเข้ากับแผ่นงาช้างได้พอดี
ดังนั้นจึงยินดี รีบยัดทุกอย่างกลับเข้าคืนที่เดิม
ชายหนุ่มก้มลงจะเก็บของอื่นๆ
ที่ตกลงมาลงถังขยะด้วย แต่แล้วมือของเขาก็สะดุดเข้ากับกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนหลวมๆ
มีลักษณะคล้ายจดหมาย แซมวลจับมันคลี่ออกและเห็นข้อความที่น่าหลากใจ
เอช. เอช.
ของที่ได้ยังไม่ครบ กรุณาส่งมาเพิ่มเติม อย่าได้กลัว ทุกอย่างเป็นความลับและ
“ของ” ที่นำมาก็ไม่ได้ผิดกฎหมายเท่าที่คิด ไม่มีสิทธิ์คุ้มครอง “ของ” ทั้งไม่ควรถือว่ามีชีวิต
นี่เป็นการกระทำเพื่อความก้าวหน้าของวงวิชาการ
ซึ่งคุณก็ทราบว่าสำคัญกว่าซากหายใจได้หลายเท่า
อาร์. จี.
แซมวลแปลกใจ
เขานึกถึงจดหมายที่เจอในหนังสือพิมพ์ของลุงได้ทันที…แน่นอน อาร์. จี. ย่อมหมายถึงโรเบิร์ต
กอร์ดอน…ลุง แต่ว่าเอช. เอช. …เจอที่นี่
หมายถึงหมอไฮนซ์ แฮร์มันน์ หรืออย่างไร
…สองคนนี้ทำอะไรกัน อะไรคือความก้าวหน้าของวงวิชาการ…ซากหายใจได้ที่กฎหมายไม่คุ้มครอง
…มีเวลาสนใจเรื่องคนอื่นมากนักหรือ…ชายหนุ่มบอกตัวเอง
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงนำจดหมายซุกใส่กระเป๋า ก่อนจะกลับไปยังวอร์มฮีล
ความคิดเห็น