ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เซรีญา The Dragon's Gate

    ลำดับตอนที่ #4 : ๓.

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ย. 56


    ๓.

    เมราลคัดเลือกชายหนุ่มหลายคน   เอาที่ลักษณะดีมีเสน่ห์  นิสัยซื่อสัตย์มั่นคง  เธอคิดว่าในโอกาสเช่นนี้ควรต้องเลือกคนที่ผู้หญิงจะต้องตาไว้ก่อน   ภายหน้าหากมีโอกาสได้พบคนลาตามากขึ้น  มีเวลาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน  รูปลักษณ์ภายนอกก็จะลดความสำคัญลง
     
    ยามเลือกไปเช่นนั้น  เธอก็นึกถึงเกจ  เขาอายุยี่สิบปี  ย่อมอยู่ในกลุ่มด้วย   แต่เกจกลายเป็นคนไม่มีสีเช่นเดียวกับเธอแล้ว  แม้ลักษณะดีไม่ถึงกับขี้ริ้วขี้เหร่  แต่ผิวเผือดและผมสีเงินก็แปลกตาสำหรับคนไม่ชินมากเสียจนตัวเขาเองยังไม่แน่ใจว่าหญิงลาตาจะสนใจตนหรือไม่   ดังนั้นยามถูกเรียกมาพร้อมคนอื่น ๆ ชายหนุ่มจึงไม่ได้คาดหมายอะไร   เขาก็ยืนคุยกับเพื่อนตามสบาย   รอจนเมราลออกมาแล้วจึงคำนับเธอ  แต่สีหน้าสีตาไม่กระตือรือร้นอย่างคนอื่น   ที่จริงแม้จะมีสีผิวแปลกอย่างนี้   แต่เพราะฐานะในเผ่าค่อนข้างดี  ชายหนุ่มจึงยังพอมีหวังว่าอาจได้สมรสกับผู้หญิงโคแรนนิอิดด้วยกัน  ไม่ถึงกับต้องดิ้นรนคับแค้นอะไร
     
    "เกจผมเงิน ไปไหม" เมราลถามยามคัดเลือกชายหนุ่มได้หลายคน
     
    "เกรงว่าผู้หญิงลาตาจะกลัวข้า  เห็นเข้าก็ร้องกรี๊ดหนีเสียก่อน" คนถูกถามอมยิ้ม
     
    "แต่ข้าคิดว่าเจ้าควรไป" หญิงสาวว่า "ข้าจะให้เจ้าเป็นองครักษ์ของท่านผู้เฒ่าที่จะถือหนังสือไปแจ้งเจ้าเกาะสิปา  ไปก่อนล่วงหน้าสักหน่อย  อาจมีสิทธิ์มากกว่าเดิม"
     
    ชายหนุ่มแปลกใจนิดหนึ่ง  แต่ก็คำนับรับคำ  แม้เขาจะไม่มีสีเหมือนเมราล  แต่ร่างกายกลับแข็งแรง  ปัญหาประการเดียวที่ปรากฏให้เห็นคือผิวเป็นผื่นไหม้ได้ง่าย   แต่แพทย์ในเผ่าดูแลเมราลเรื่องนี้มานานแล้ว  จึงปรุงยาพอกที่ให้ผลดีไว้ตั้งแต่หลายปีก่อน   หากเกจดูแลทายาให้ดีก็จะไม่มีปัญหาอะไร   เขาจึงสามารถทำงานในไร่นา  ฝึกอาวุธจนชำนาญหลายอย่าง   เขาเป็นคนเก่งคนหนึ่ง   หัวหน้านายทหารเคลเองก็ยอมรับเช่นกัน
     
    "หากท่านเมราลต้องการให้ข้าไป   ข้าจะเตรียมตัว" เขาว่า "แม้ใช้การอย่างอื่นไม่ได้   แต่จะคุ้มครองท่านผู้เฒ่าให้ดี"
     
    เมราลไม่ได้พูดอะไร   เธอยังไม่อยากให้เกจตกใจนัก   แต่ที่จริงแล้ว หญิงสาวคิดว่าแม้หัวหน้าโรงปลูกพืชจะมีฐานะดีมาก  ทั้งมีความสามารถ   นิสัยนั้นแม้ผู้เฒ่าบางคนจะติเตียนว่าเย่อหยิ่งอวดดี   แต่โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่ใช่คนเลวร้าย   คงมีหญิงสาวโคแรนนิอิดยินดีแต่งงานกับเขาหลายคน   แต่เมราลคิดว่าเกจแต่งงานกับคนเผ่าเดียวกันไม่ได้แล้ว   ...เช่นเดียวกับเธอ   ทั้งสองต่างมีความพิกลพิการในสายเลือดมากเกินไป   หากแต่งงานกับคนเผ่าเดียวกันอีก  เลือดจะยิ่งอ่อนแอไปมาก  ลูกหลานที่ออกมาจะมีความไม่สมประกอบในตัว
     
    พิธีจันทร์เพ็ญจัดในวันเพ็ญเดือนหน้า   แต่เมราลถือโอกาสนี้แต่งหนังสือไปหาผู้ปกครองเกาะสิปา   เธอตั้งให้ผู้เฒ่าที่มีความสามารถในการเจรจาเป็นทูต   และในขบวนนั้น  หญิงสาวก็ให้ชายหนุ่มหลายคนที่เธอเลือกไว้รวมทั้งเกจไปด้วยกัน  เธอบอกทุกคนว่าให้พยายามเป็นมิตรกับคนสิปาเข้าไว้   หากพบหญิงที่ต้องใจก็เจรจาด้วยได้   แต่อย่าเพิ่งถึงขั้นเกี้ยวพาราสี   พวกหนุ่ม ๆ ย่อมกระตือรือร้นที่จะได้พบหญิงสาวต่างเผ่า   คนในหมู่เกาะลาตาผิวสีน้ำผึ้ง  ผมดำ  ตาคม  แต่คนละแบบกับพวกอันเซลมา   ผู้หญิงลาตาชอบแต่งกายฉูดฉาด   ให้ความรู้สึกเหมือนดอกไม้งดงาม
     
    "ท่านคิดว่าคนลาตาจะเลือกเราไหม" คนของเธอคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ "ข้าได้ยินว่าที่เมืองลาตา  ผู้ชายเป็นใหญ่   ผู้หญิงจะไม่ออกหน้า   หากบิดาและพี่ชายของพวกนางบอกไม่ให้เลือกคนโคแรนนิอิด  ก็อาจไม่มีใครเลือกเราเลยก็ได้   อีกอย่างหนึ่ง เราก็เป็นคนแปลกหน้า  ไม่มีทรัพย์สินเงินทองจะให้   ทั้งรูปร่างหน้ายังประหลาดมากสำหรับเขา"
     
    "คนโคแรนนิอิดก็มีความดีอย่างที่คนโคแรนนิอิดมี" เมราลตอบ "แต่ข้าก็คิดเรื่องนี้เช่นนั้น   จึงต้องส่งขบวนทูตล่วงหน้าไป"
     
    ...
     
    คนเกาะสิปาเองย่อมได้รับสาสน์จากเจ้าเกาะลาตาล่วงหน้า   ที่จริงแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่พอใจมาก  พิธีจันทร์เพ็ญเป็นพิธีสำคัญ   แต่ละปีจัดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น   ถือเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ที่แม่แห่งแผ่นดินจะอวยพรให้คนหนุ่มสาว  เจ้าเกาะลาตายอมให้คนต่างเผ่ามาแปดเปื้อนเช่นนี้   ควรถือว่าลบหลู่ดูหมิ่นศักดิ์ศรีกันมาก
     
    อย่างไรก็ตาม เพราะเกาะสิปาถูกลาตาปราบเป็นเมืองขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว   จึงไม่มีใครกล้าคัดค้านโต้แย้งอะไร  กระนั้นเมื่อข่าวแพร่ออกจากเรือนเจ้าเกาะสิปาสู่ชาวบ้านร้านถิ่น  คนทั้งหลายก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้  ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าคนโคแรนนิอิดประหลาดจากเกาะมังกรขาวไม่ควรได้หญิงสิปาดี ๆ ไป   ผู้คนจึงพากันห้ามปรามไม่ให้บุตรหรือพี่สาวน้องสาวตนคิดเลือกคนเหล่านั้น   แต่งเรื่องราวมาขู่เสียมากมาย  เช่น ได้ยินว่าคนโคแรนนิอิดเป็นเผ่าชั่วร้าย   เคยจะยึดครองดินแดนอื่น   อาจคิดไม่ดีกับเกาะสิปาก็ได้    หรือว่าคนโคแรนนิอิดหน้าตาประหลาดอย่างยิ่ง   รูปร่างก็เล็ก   ผมหรือตาล้วนสีประหลาดพิลึก   หากแต่งงานด้วยคงมีเด็กประหลาด ๆ ออกมา   ชั่วไม่นานข่าวร่ำลือดังกล่าวก็ถูกใส่สีตีไข่   คนโคแรนนิอิดในเรื่องเล่าจึงเริ่มเหมือนยักษ์มารหนักข้อขึ้นทุกที
     
    "พวกประหลาดอย่างนั้นหากอยากได้ผู้หญิงของเรา  ก็เอาที่ขี้ริ้วขี้เหร่ดูไม่ได้  หรือที่เป็นสาวเทื้อไม่มีใครต้องการไปแล้วกัน" คนเกาะสิปาพากันหัวเราะเช่นนั้น   เพียงสัปดาห์เดียวคำว่าโคแรนนิอิดก็กลายเป็นคำล้อเลียนกระทบกระเทียบขึ้นมา  เช่นว่าแต่งตัวดูไม่ได้ กิริยามารยาทไม่ดีเช่นนี้  จะแต่งงานกับคนโคแรนนิอิดหรืออย่างไร   หรือนางทำตัวไม่อยู่กับร่องกับรอยมาก  คงไม่มีใครรับไปเป็นภรรยา   แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ  ถึงอย่างไรพวกโคแรนนิอิดก็คงจะเอา
     
    กระนั้น ยิ่งคำเช่นนี้กระพือพัดไปทั่วเกาะสิปามากเท่าไร   ผู้คนก็อยากเห็นหนักขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกันว่าที่แท้คนโคแรนนิอิดรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่   จะเหมือนปีศาจน่าเกลียดพิกลพิการจริงดังคำชาวบ้านร้านตลาดลือกันหรือไม่   ด้วยเหตุนี้  ยามมีข่าวแจ้งว่ามีทูตโคแรนนิอิดมา   ชาวเกาะสิปาจึงพากันแห่แหนไปมุงดูที่ท่าเรือแทบมืดฟ้ามัวดิน
     
    ขณะที่พวกชาวสิปาตื่นเต้นอยากเห็นคนประหลาดเช่นนี้   หนุ่ม ๆ จากโคแรนนิอิดซึ่งแล่นเรือมาใกล้เกาะแล้วก็ตื่นเต้นเช่นกัน   ผู้เฒ่าซีเกที่มาเป็นทูตจึงปล่อยให้คนของตนไปชุมนุมตรงดาดฟ้าเรือตามชอบใจ  คราวนี้พวกเขาเดินทางด้วยเรือขนาดเล็กเสาเดียว  ซึ่งต่อขึ้นภายหลังเรือมังกรขาว   แต่ก็ทำหัวเรือเป็นรูปมังกรเช่นกัน
     
    พวกชายหนุ่มโคแรนนิอิดส่วนใหญ่ค่อนข้างกังวลไม่น้อย   ความกังวลก็ทำให้บางคนเงียบขรึม   บางคนคุยโม้โอ้อวดมากเป็นพิเศษ   มีบางคนที่ตึงเครียดกดดันเช่นกัน   ส่วนหนึ่งก็เพราะรู้สึกว่าเป็นหน้าที่สำคัญ และส่วนหนึ่งเพราะไม่เคยมีใครติดต่อกับคนต่างเผ่าจริงจังมาก่อนเลย
     
    "เกจ  คนเผ่าอื่นเป็นอย่างไร" วิเทนจากครอบครัวช่างต่อเรือถามขึ้น  เขามาจากตระกูลต่อเรือก็จริง  แต่เพราะหลายปีนี้ไม่มีการใช้เรืออย่างจริงจัง   พวกช่างต่อเรือจึงแยกย้ายกันไปทำงานอื่น ๆ หลากหลาย  ส่วนใหญ่เป็นช่างก่อสร้าง  วิเทนเองนอกจากก่อสร้างแล้วก็ช่วยเกจวางแผนเพาะปลูกพืชพรรณ   เขายังมีความรู้เรื่องหนังสือดีมากเพราะชอบอ่านแต่เยาว์วัย  อาลักษณ์ใหญ่ของเผ่าก็ชอบใช้ให้ช่วยทำบันทึกต่าง ๆ
     
    "เหตุใดมาถามข้า" เกจเลิกคิ้ว
     
    "ก็มีแต่เจ้าที่เคยพบคนเผ่าอื่นนาน ๆ ...เจ้าหญิงปักษาเพลิงแห่งอันเซลมานั่น"
     
    คนอื่น ๆ ได้ยินเขาพูดจากัน   ก็สนใจเร่เข้ามามุงฟัง   เกจมองไปรอบ ๆ ออกจะมึนขึ้นมาเหมือนกัน...สรุปแล้วเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเผ่าอื่นแต่เมื่อไร
     
    "เจ้าหญิงเซรี...ก็เป็นคนพอใช้ได้  ตอนนั้นนางเด็กเกินไป  ตัดสินใจผิดพลาดบ้าง  แต่..."
     
    ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วขณะ  แม้จนบัดนี้เขาก็ยังบอกไม่ถูกว่ารู้สึกกับเจ้าหญิงแห่งอันเซลมาอย่างไร   ในใจเขายังคงมีความโกรธแค้นและผิดหวังหลงเหลืออยู่   แม้จะไม่มากนัก  ทว่าก็เจือให้มีรสขมขื่นจาง ๆ  เซรีทรยศเขา  ที่จริง...คิดฆ่าเขาด้วยซ้ำกระมัง   สิ่งที่เธอทำส่งผลให้เขากลายเป็นคนไม่มีสีมาจนบัดนี้   ไม่มีทางแก้ไขได้   แต่อีกใจหนึ่ง  ชายหนุ่มก็เข้าใจเจ้าหญิง   เขาเองเคยคิดทรยศเธอเช่นกัน   การเป็นสหายระหว่างศึกเป็นเรื่องยากลำบาก  จะว่าเธอผิดเต็มปากก็ไม่ได้   ตอนนั้นเธออายุสิบเจ็ดปี   แม้เมื่อยามเกจอายุสิบสาม   เธอจะดูเป็นผู้ใหญ่   แต่เมื่ออายุยี่สิบปีและมองกลับไปเช่นนี้   เขาก็เห็นความทุกข์ใจของเซรีที่ต้องแบกสิ่งซึ่งแทบเกินกำลังตน
     
    "แต่นางเป็นคนดี" ชายหนุ่มตัดสินใจบอกในที่สุด "ข้าคิดว่าคนต่างเผ่าส่วนใหญ่ก็เหมือนเรา   แม้ต้องใช้เวลาพูดคุยเจรจาให้เข้าใจกันบ้าง   แต่เรื่องอื่น ๆ ก็คล้าย ๆ กัน   พวกเจ้าอย่าเป็นห่วงเลย"
     
    พวกเพื่อน ๆ พากันโห่ว่าพูดอะไรไม่เห็นมีประโยชน์สักอย่าง   เกจก็โบกมือไปมา   บอกเรื่องอะไรพวกเจ้ามาถามข้าเล่า   คนลาตาเหมือนคนอันเซลมาเมื่อไรกัน   อยากจะเกี้ยวหญิงก็ไปพยายามกันเอง   พึ่งพาคนอื่นได้อย่างไร
     
    "เจ้าไม่คิดเกี้ยวใครหรือ" วิเทนถาม "ผู้หญิงลาตาสวยดี   เขาว่าพวกนางทำอาหารอร่อยด้วย   อาหารลาตามีรสดีมาก"
     
    "ข้าไม่ได้เห็นแก่กินอย่างเจ้า" เกจหัวเราะ   ที่จริงเขาก็ยังไม่คิดแต่งงาน   ยังมีเรื่องต้องทำมากเกินกว่าจะตั้งครอบครัวมีบุตรธิดา   เกจมาจากบ้านที่บิดามารดาแยกกัน   ครอบครัวแตกสลาย  เขาไปทางหนึ่ง  น้องสาวก็ไปอีกทาง  ดังนั้นลึก ๆ จึงค่อนข้างกังวล   ชายหนุ่มหวังว่าจะมีครอบครัวที่ดีให้ได้   เขาต้องการความสมบูรณ์แบบมากเกินกว่าจะคิดลองผิดลองถูกอะไร
     
    "พวกเขาคงเห็นเราเป็นตัวประหลาดจริง ๆ" วิเทนบอก  ป้องตามองฝั่งที่เริ่มเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ "มาชุมนุมกันมากมายราวกับจะมีพิธี"
     
    เกจยิ้ม  ไม่พูดอะไร   สายตาเขามองฝั่ง  แต่ในใจนึกถึงเจ้าหญิงเซรี   ป่านนี้เจ้าหญิงก็คงเติบโตแล้วไม่ใช่หรือ  คงเปลี่ยนไปมาก   แม้มีความขมขื่นอยู่   แต่เขาก็อยากทราบว่าเธอจะเป็นอย่างไร   ท่านเมราลไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย
     
    ..................................................................................................................................................................
     
    เซรีอยู่บนเรือ
     
    เมื่อแรกที่เทรมิสมองไป   เขายังไม่เห็นเจ้าหญิง   เขาเห็นหัวเรือลำนั้นเสียก่อน...มันเป็นหัวเรือที่ชวนให้ระลึกถึงความหลัง   แกะสลักเป็นนกไฟตัวใหญ่   แผ่ปีกไปด้านหลังตามแนวลำเรือทั้งสองด้าน   ทาสีแดงเพลิง  ส้ม  และเหลืองสดเป็นเปลว   ดวงตาสีเขียวที่มองมาทำให้เทรมิสนึกถึงฟินน์   ฟินน์จากไปนานปีแล้ว   แต่ราวจะหวนกลับมา
     
    ยามวินาทีดังกล่าวผ่านพ้นไป  เทรมิสจึงเห็นเซรีชัดตา   เธอเพิ่งปีนพ้นจากหลังหัวเรือดังกล่าว  ไต่บันไดเชือกลงมาข้างล่าง   เส้นผมยาวปลิวไปตามสายลม   พ่อมดก็เร่งแหวกคนไปหา   ร้องเรียกท่านเซรีเสียงดัง   เซรีจึงได้หันกลับมา   ยามเห็นเป็นใคร   เธอก็หัวเราะ   ผลักร่างจากเชือก   กางแขนทิ้งตัวลงกลางอากาศราวกับนกทันที
     
    พ่อมดอุทาน   เร่งวิ่งไปข้างหน้า   เขายื่นมือออกรับเธอไว้   รวบร่างที่ตกลงกระทบร่างตน   ได้กลิ่นเส้นผมสะอาดแตะผ่านจมูกแผ่วเบา   
     
    "อันตราย" ชายหนุ่มบอกทันทีที่ได้สติ   ดึงอีกฝ่ายออก  ขมวดคิ้วใส่
     
    "ไม่อันตรายหรอก  เทรมิสรับข้าได้ทุกที"
     
    พ่อมดอ้าปากจะโต้   แต่แล้วกลับได้ยินเสียงหัวเราะโห่ร้องจากรอบด้านเสียก่อน   ยามเงยหน้าขึ้นหันไป  จึงค่อยได้สติว่าตนกำลังอยู่ต่อหน้าธารกำนัล   คนเรือมากมาย  ไหนจะคนขนของและพ่อค้า   ต่างคนต่างหันมามองเป็นตาเดียว   ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนทราบว่าเจ้าหญิงแห่งอันเซลมากับพ่อมดแห่งหอกาลเป็นใคร   ยามเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็พรายยิ้ม   คนที่กล้าหน่อยยังถึงกับเป่าปากปรบมือ
     
    "เจ้าหญิงเซรี   เมื่อไรท่านจะแต่งงานเสียที" คนเรือคนหนึ่งตะโกนมา
     
    "ยังแต่งไม่ได้   ให้อันเซลมาเจริญกว่านี้ก่อน" เจ้าหญิงร้องกลับไปอย่างร่าเริง    เธอเป็นหญิงสาวผมยาวสีดำ  ดวงตาดำ  เครื่องหน้าคมเข้มอย่างคนอันเซลมา  แต่ผิวไม่คล้ำเท่าคนทราย  แม้หน้าตาน่ารักแต่ก็มีลักษณะจริงจังมาก   ร่างเล็กประเปรียวราวกับนกในทุ่ง   เห็นได้ชัดว่าเป็นคนมีพลังว่องไว
     
    "เช่นนั้นเมื่อไรอันเซลมาจะเจริญจนพอใจท่าน   พวกข้าอยากเห็นเจ้าชายเจ้าหญิงรัชทายาทน้อยโดยไว" คนเรือที่เป็นผู้หญิงอีกคนว่า "พ่อมดเทรมิส   ท่านเร่งลักพาตัวเจ้าหญิงไปสักทีเถอะ   นางบ้างานเกินไปแล้ว"
     
    เทรมิสเองก็หัวเราะเช่นกัน
     
    คนทั้งปวงล้วนทราบดีว่าเหตุใดเจ้าหญิงแห่งอันเซลมาจึงยังไม่ได้แต่งงาน   หลายปีก่อน เมื่อเธอบอกเรื่องต้องการคบหากับพ่อมดแห่งหอกาลกับท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านอา  ผู้ใหญ่ทั้งสามในครอบครัวต่างบอกเธอว่าการรักเทรมิสไม่ใช่ไม่ดี   อย่างไรก็ตาม  ไม่ใช่ว่าไม่มีปัญหาเช่นกัน   ท่านพ่อพูดเรื่องนี้ไม่ได้   ท่านแม่จึงเป็นคนอธิบายในภายหลังเอง   ท่านว่า...เซรี  พ่อเจ้าประกาศไว้ว่าถึงอย่างไรก็จะให้น้องชายได้เป็นรัชทายาท  แม้ยาเรฟเองไม่ต้องการ   แต่พ่อเจ้าเป็นพระราชาย่อมไม่คืนคำ   อย่างไรก็ตาม  เมื่อยาเรฟแสดงความตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่แต่งงาน   และจะไม่มีลูกของตนเอง   คนที่ควรได้เป็นพระราชาต่อจากเขาจึงควรเป็นลูกของพ่อเจ้า   แต่เมื่อพ่อเจ้ามีเพียงลูกสาว   ทุกคนจึงคิดไว้ว่าเจ้าจะแต่งงานกับคนมีความสามารถ   และคนมีความสามารถนั้นคือคนที่จะได้เป็นพระราชาต่อจากยาเรฟสืบไป
     
    ทั้งพ่อและอาล้วนไม่อยากบีบคั้นเจ้าก่อนเวลาอันควร   ถึงอย่างนั้นก็มองคนที่ควรสมรสกับเจ้าไว้บ้างเช่นกัน   แต่หลังจากเหตุการณ์โคแรนนิอิดเป็นต้นมา   เจ้าเป็นวีรสตรี   ธรรมเนียมย่อมไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกนั้น  คนทั้งปวงจะยอมให้เจ้าเป็นราชินีได้  ซึ่งทั้งพ่อเจ้าและยาเรฟต่างดีใจ  แต่แม่ต้องบอกเจ้าว่าหากเลือกเป็นราชินี  จะมีชีวิตยากลำบาก   แม้แต่งงานกับใครก็ได้   แต่ก็จะต้องทำทุกอย่างให้ได้เท่าผู้ชาย   แบกภาระหนักซึ่งเจ้าเองก็ไม่ได้เตรียมตัวจะมารับไว้แต่แรก   เจ้าเองจะว่าอย่างไร
     
    แน่นอนว่ามีทางที่สามเช่นกัน   คือเซรีทั้งเลือกเทรมิส  และทั้งไม่เป็นราชินี   เช่นนี้เธอก็จะผลักภาระออกจากตัวไป   บางทีรัชกาลของท่านพ่อและท่านอาอาจจะยืนยาวพอที่เธอจะมีลูก  และลูกจะโตพอเป็นพระราชาหรือพระราชินีโดยข้ามเซรีไปเลยก็ได้    แต่บางทีก็อาจเกิดเรื่องไม่คาดหมายขึ้นได้เช่นกัน   เดิมพันกับอนาคตย่อมมีแต่ความไม่แน่นอน
     
    หลังจากฟังคำอธิบายดังกล่าวแล้ว   เซรีก็คิดเป็นเวลานาน   เมื่อแรกเธอไม่กล้าบอกเทรมิส   เกรงว่าเขาจะเสียใจ  แต่ไม่ช้าพ่อมดก็จับได้   ถามว่ามีอะไรหรือ   ยามเจ้าหญิงบอกให้ฟัง  ชายหนุ่มจึงนิ่งไป
     
    "ข้า..." เขาบอกในที่สุด "ต้องการเห็นท่านเซรีมีความสุขใจ   ขอให้ท่านเซรีเลือกชีวิตที่ท่านจะอยู่อย่างสุขใจ"
     
    "ข้าก็อยากให้เทรมิสมีความสุขใจเหมือนกัน"
     
    "เทรมิสทราบนานปีแล้วว่ารักผู้หญิงที่ไม่อาจเป็นของตัวเองคนเดียว  ท่านเซรี" พ่อมดยิ้มบาง ๆ  ก่อนจะหัวเราะยามเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วนิ่วหน้า "อะไรกัน  ท่านเซรีอย่าทำหน้ายุ่งไป  นี่เป็นกรรมพันธุ์หรอกจะบอกให้  ไปดูพี่สิงโตข้าก็ได้"
     
    สุดท้าย เซรีจึงไปหาท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านอาอีกครั้ง
     
    "ข้ารักเทรมิส  และข้ารักอันเซลมา" เจ้าหญิงบอก "ข้ารู้ว่าอยู่กับเทรมิสแล้วจะมีความสุข   เขาเป็นคนดี   หากข้าแต่งงานกับคนอื่น   ละทิ้งความรับผิดชอบ   ข้าก็จะต้องพึ่งพาเขาตลอดไป  แม้ช่วยเหลือดูแลอันเซลมาด้วยมือตัวเองยังอาจทำไม่ได้   ข้าไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาคนอื่น  ไม่เป็นตัวของตัวเองตลอดไป   เทรมิสจะยินดียามข้าเป็นตัวเอง"
     
    ตอนนั้นเซรีเห็นท่านอาเม้มปากจนซีดขาว   เธอจะทราบภายหลังว่าถ้อยคำตนกระทบความทรงจำเก่าแก่ของท่าน   แต่ในเวลาดังกล่าว เจ้าหญิงไม่ทราบก็ตกใจ  คิดว่าท่านอาอาจไม่เห็นด้วย  แต่เธอก็คิดว่าตนเองต้องเป็นผู้ใหญ่   หากไม่เข้มแข็งยืนยันการตัดสินใจของตนเองให้ได้ในตอนนี้   ต่อไปก็จะไม่เหลือความน่าเชื่อถือใด ๆ เลย
     
    "ข้าไม่อยากทิ้งความรับผิดชอบ  และไม่ต้องการอยู่กับความประมาทเช่นกัน   ข้าอยากเติบโตไปกว่านี้   เข้มแข็งไปกว่านี้" เธอบอกต่อไป "เพราะอย่างนั้น ข้าจึงขอร้องท่านพ่อกับท่านอา...ได้โปรดสอนข้าเป็นราชินี   ความรุ่งเรืองใดที่ข้าทำให้อันเซลมาได้   ข้าจะทำด้วยตัวเอง"
     
    เซรีก็เป็นคนเช่นนี้  เธอจะมีชีวิตอย่างที่ตนไม่ละอายใจ  หนทางใดไม่มีตรงหน้า   เจ้าหญิงก็จะแผ้วถางเอาเอง
     
    "เช่นนั้นพ่อจะอวยพรเจ้า" กษัตริย์ตรัสในที่สุด "และขอให้เจ้าเตรียมตัว"
     
    เซรีไม่เลือกทางง่าย   ท่านอากับท่านพ่อก็ไม่ให้ทางง่ายกับเธอเช่นกัน   แต่นั้นมาเจ้าหญิงจึงทำงาน   เหยียบไปแทบจะทั่วทุกหนแห่งในอันเซลมา  เข้าดูทุกหน่วยราชการ  รับรู้ทุกเรื่องราว  พบแขกเมืองทุกคน  การงานใดทำผิดพลาดต้องถูกตำหนิอย่างเข้มงวด   ไม่มีการผ่อนปรนอีกต่อไป   เซรีไม่มีเวลา  ทั้งท่านพ่อท่านอายังไม่บอกว่ายอมรับ   ย่อมไม่อาจแต่งงานได้   แต่เทรมิสให้แหวนเธอวงหนึ่งไว้   เจ้าหญิงเป็นคนบอกเขาเองว่าขอให้ถือแหวนวงนี้เป็นการหมั้นหมาย   เธอคงหมั้นเป็นทางการไม่ได้จนกว่าท่านพ่อจะอนุญาต   แต่ก็ให้รู้กันสองคนแล้วกัน   ให้เขารู้ว่าเธอจะรอ
     
    "ผิดจากท่าน  ข้าจะไม่แต่งงานกับใคร" เซรีว่า "ส่วนคนอื่นว่าอย่างไร  ก็ช่างหัวคนอื่นแล้วกัน"
     
    ในเวลาปัจจุบัน  พ่อมดแสร้งถอนหายใจ  ก่อนจะพรายยิ้มพลางโค้งคำนับและเสนอแขนให้เจ้าหญิง  เซรีจึงหัวเราะ  ถอนสายบัวตอบ  แล้วยึดแขนเขาเช่นกัน   คนทั้งปวงก็พอใจ ยิ่งเป่าปากสนับสนุนเป็นการใหญ่   แม้จะแตกต่างจากธรรมเนียม  แต่ความรักของพวกเขาก็อยู่ในแสงตะวัน   เจ้าหญิงและพ่อมดต่างเคยยอมตายเพื่อจะปกป้องเกาะนี้ไว้   สิ่งที่ทำนั้นมีค่าพอให้ผู้คนอยากเห็นพวกเขามีความสุขใจ
     
    "เรือของท่านเซรีหรือ   ต่อเรือใหญ่โตเช่นนี้จะเล่นอะไร" พ่อมดว่า  แหงนหน้ามองหัวเรือที่สูงพ้นศีรษะไปหลายวา
     
    "ไม่ได้เล่นสักหน่อย   นี่เงินเก็บทั้งหมดของข้าหรอก   จนจะแย่อยู่แล้ว" เจ้าหญิงบอก   แต่ยังไม่ทันได้อธิบายอะไร  สิงโตทรายก็แหวกผู้คนตามมาแล้วเช่นกัน   เขาว่าเทรมิสคำหนึ่งที่ละทิ้งม้า  ไม่ดูแลหาที่ผูกให้เรียบร้อยก่อนจึงค่อยมาหาเซรี   แต่คำตำหนิก็ไม่ใคร่จริงจังอะไร   เขาย่อมรู้อยู่ว่าในสถานการณ์แบบนี้  ใจของน้องชายย่อมไม่มีวันอยู่ที่ม้าหรอก
     
    "ว่าอย่างไร  เซรี" ชายหนุ่มทักเจ้าหญิงง่าย ๆ "ให้มาหาถึงที่นี่มีอะไรหรือ"
     
    "ข้ามีอะไรจะให้ท่านดู" อีกฝ่ายตอบทันที "เชิญขึ้นเรือก่อนก็แล้ว"
     
    ...
     
    มันเป็นเรือขนาดกลาง  มีสามเสา  เหมาะสำหรับการออกทะเลใหญ่   นอกจากหัวเรือที่เป็นฟินน์แล้ว   ข้างเรือยังเขียนชื่อไว้ว่า "ปักษาเพลิง"  อย่างชัดเจน  ไม้เรือลงน้ำมันกันน้ำจนดำมัน   ดาดฟ้าค่อนข้างกว้างใหญ่  ทางลงใต้ท้องเรือมีสองทาง  และใต้ท้องมีสามชั้น  หากลงบันไดไปทางที่ใกล้หัวเรือกว่า  ชั้นแรกจะพบห้องพังงา  ห้องพัก  และห้องของเซรี  ชั้นที่สองไว้เก็บเสบียงเป็นที่ของฝีพาย  ส่วนชั้นล่างสุดก็เช่นเรือทั่วไป   เป็นช่องให้น้ำเข้า  และไว้ถ่วงอับเฉาเวลาที่เรือเบา  จะได้ไม่เสียสมดุลล่มไป
     
    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจไม่ได้อยู่ตรงนั้น   หากแต่อยู่ตรงทางลงอีกทางมากกว่า   ยามเซรีพาชายหนุ่มทั้งสองลงบันไดไปทางท้ายเรือ  ลอร์คานก็หรี่ตา   เขาพบว่าชั้นล่างนี้มีการทำหน้าต่างให้แสงลอดได้มากกว่าที่คิดไว้   และในท่ามกลางแสงเหล่านั้น   สิงโตทรายก็แปลกใจที่เห็นคอกซองเรียงกันไปจนสุดทาง
     
    "นี่คอกม้าไม่ใช่หรือ" เขาอดถามไม่ได้
     
    "ใช่" เจ้าหญิงตอบ
     
    "เหตุใดมีคอกม้าอยู่บนเรือได้   ข้าได้ยินว่าขนส่งสัตว์ทางเรือทั้งเป็น ๆ ไม่ได้ไกล   ส่วนใหญ่มักตายกลางทาง"
     
    "แต่ข้าทำได้" อีกฝ่ายหันมาบอก "ข้าเพิ่งส่งม้ายี่สิบตัวไปเกาะข้าง ๆ   และขายหมดภายในวันเดียว   ได้กำไรทั้งหมดเก้าร้อยเหรียญทอง"
     
    "ห้าเท่า..." ลอร์คานหรี่ตา
     
    "สองเท่าครึ่งสำหรับอันเซลมา   สองเท่าครึ่งสำหรับเมืองทราย" เจ้าหญิงบอกทันที
     
    "เจ้าคิดทำอย่างนี้แต่เมื่อไร" สิงโตทรายถาม  สะดุดใจกับวิธีหารกำไรดังกล่าว
     
    "ปีก่อนนี้  ข้าเสนอเรื่องให้ท่านอา..."
     
    ที่จริงเซรีคิดเรื่องดังกล่าวมานานแล้ว   เพียงแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างถึงเพียงนี้   เธอไปกลับแดนเหนือโดยผ่านเมืองทรายหลายครั้ง   ย่อมเห็นเช่นเดียวกับลอร์คานว่าเมืองทรายยังแห้งแล้งอยู่มาก   มีเผ่าที่ยากจนมาก  และยังคงมีผู้คนอดตาย  เซรีอยากจะช่วยอะไรสักอย่าง   เธอเห็นด้วยกับลอร์คานว่ามีแต่ต้องพยายามทำให้เผ่าทั้งหมดผนึกกำลังกัน  แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
     
    ปีก่อน  เซรีถูกส่งไปกรมการค้า   ตอนนั้นเธอไปตามกรมต่าง ๆ เพื่อเรียนงาน   พอทำงานที่กรมการค้านาน ๆ เข้าก็คิดอะไรได้   จึงมาบอกท่านอา   เธอว่าถึงแม้บัลซอร์กับเมืองอื่น ๆ อีกหลายเมืองของอันเซลมาจะเป็นเมืองท่า   แต่ส่วนใหญ่พ่อค้าอันเซลมามักเป็นพ่อค้าคนกลาง  รับสินค้าอื่นมาแล้วก็ขายต่อไป  หรือไม่เช่นนั้นก็ทำงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวพันกับเรือและการขนส่งสินค้า   แต่ที่จริงแล้วกลับไม่ค่อยมีการขายสินค้าในเกาะเสือเองเท่าไรเลย
     
    "สินค้าเกาะเสือในความคิดของเจ้าคืออะไร" ท่านยาเรฟถาม
     
    "ม้าเมืองทราย" เจ้าหญิงตอบทันที
     
    จริงของเธอ  พืชผลทางเกษตรของอันเซลมายังไม่มากพอจะส่งขาย   ของป่าและเครื่องเทศก็ไม่ถึงกับน่าสนใจเป็นพิเศษ   ที่จริงแล้ว อันเซลมาเป็นเมืองพ่อค้ามากกว่าเมืองผู้ผลิตเอง   แต่ถ้าหากเกาะเสือจะมีของดีพอขายอยู่บ้าง  ก็คงเป็นม้าเมืองทราย   อีกอย่างหนึ่ง  หากขายของเมืองทรายได้ย่อมดีมาก   เพราะเงินทองสามารถแลกเป็นอาหารส่งเข้าไป   ช่วยให้ไม่ต้องพึ่งพาการเพาะปลูกเพียงอย่างเดียว   นอกจากนั้น หากมีการค้าในรูปแบบนี้เกิดขึ้น   หัวหน้าเผ่าคนทรายอาจเริ่มเห็นความสำคัญของการรวมตัวกันอย่างจริงจัง    ก็จะช่วยแผนการต่าง ๆ ของลอร์คานได้ไม่น้อยเลย
     
    เซรีบอกท่านอาไปอย่างนั้นทั้งตื่นเต้นว่าแผนการของตนไม่เลว   อาจนำไปเสนอกรมการค้าให้ลองพิจารณาดูได้  แต่หลังจากพูดไปแล้ว   ปรากฏว่าแทนที่ท่านอาจะบอกว่าดีหรือไม่ดี   และจะเสนอต่อไปหรือไม่   ท่านกลับบอกว่า "ดี เจ้าก็ลองทำดูสิ  เซรียาห์"
     
    "คะ?" เจ้าหญิงงง
     
    "ในเมื่อมันเป็นโครงการของเจ้า  เจ้าก็ควรจะทำ   ให้ตั้งงบประมาณเสนอกับกรมการค้าเสีย   และจัดการเรื่องต่าง ๆ เอาเอง   จัดการเอาเองก็คือ..." เจ้าชายยาเรฟอธิบายอย่างสงบต่อไป "หาคนเอาเอง  หาทุนเอาเองถ้าที่กรมการค้าให้เจ้ายืมไม่พอ   ติดต่อเอาเอง  และขายเอง   ถ้าหากล้มเหลวก็หาทางแก้ไขด้วยตัวเอง   ถ้าสำเร็จ...เจ้าก็รับผลไปตามส่วน"
     
    จากนั้นเจ้าชายรัชทายาทและเสนาบดีกลาโหมก็แบมือออกทั้งสองข้าง   ส่งรอยยิ้มที่ไม่ใคร่น่าไว้ใจให้หลานสาวคนโปรดของตน
     
    "ว่าอย่างไร"
     
    จะให้ว่าอย่างไรได้   เซรีย่อมรู้ว่าท่านอาพูดอย่างนี้คือท้าแล้ว   แม้ไม่เคยทำมาก่อนก็ถอยไม่ได้   เซรีทั้งตื่นเต้นทั้งกลัว   แต่ก็ตอบ "ทำค่ะ" ไปเต็มปากเต็มคำ   เธอไม่ได้บอกให้ใครรู้   แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็มาทราบทีหลัง  ใจหนึ่งเพราะกลัวจะทำไม่ได้   และอีกใจเพราะทราบว่าถ้าสามารถพิสูจน์ตัวเองคราวนี้  อาจจะมีบางอย่างเปลี่ยนไป   ดังนั้นจึงให้ใครช่วยไม่ได้เด็ดขาด  ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่บอกเทรมิสหรือลอร์คาน  รอจนกว่าจะได้ผลในระดับหนึ่งแล้ว จึงค่อยอธิบายว่าอะไรเป็นอะไร
     
    "ท่านเห็นว่าอย่างไร" เจ้าหญิงถามลอร์คานหลังจากอธิบายทุกอย่างหมดสิ้น "น่าจะดีใช่ไหม  ถ้าหากมาร่วมมือกันทดลอง..."
     
    "ข้าคงต้องขอกลับไปคิดดูก่อน" สิงโตทรายบอกช้า ๆ ทอดตามองดูคอกซองตรงหน้า "ม้าและอูฐเป็นสัตว์ของเทพเจ้า   จะทำอะไรก็ต้องใคร่ครวญหลายอย่างให้ดี"
     
     
    ...
     
    เซรีอยู่ที่ห้องบนเรือกับเทรมิส  ส่วนลอร์คานขอตัวกลับไปก่อนแล้ว  ...ซึ่งก็ดีแล้ว   เพราะเจ้าหญิงแห่งอันเซลมากำลังโมโหอารมณ์บูดได้ที่ทีเดียว
     
    "สัตว์ของเทพเจ้าอะไรกัน   ทีขายให้คนอันเซลมายังขายได้" เซรีเอาหมอนที่กอดไว้ฟาดโต๊ะทำงานหนึ่งเปรี้ยง
     
    "อันเซลมาก็ไม่ใช่คนนอก  ถึงอย่างไรยังเป็นลูกหลานของเซยาร์ต ทัสมุตเหมือนกัน" เทรมิสว่า
     
    เจ้าหญิงเถียงเขาไม่ได้   และที่จริงก็เข้าใจทุกอย่างดีมากอยู่แล้ว   อย่างไรก็ตาม เธออุตส่าห์เตรียมทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี  หวังเต็มที่ว่าคราวนี้ลอร์คานจะยอมร่วมมือด้วย   จะได้ทำเรื่องขั้นต่อไป   พอเจออุปสรรคที่ไม่ได้คาดหมายอย่างนี้ย่อมต้องหงุดหงิดเป็นธรรมดา   ระหว่างที่โมโหไม่หายนึกอะไรไม่ออกก็ขอฟาดโต๊ะสักหลาย ๆ เปรี้ยงแก้แค้นแล้วกัน
     
    ระหว่างที่เจ้าหญิงกำลังประทุษร้ายโต๊ะทำงานอยู่นั้น   เทรมิสก็มองไปรอบ ๆ  ห้องนี้อยู่อีกด้านของเรือ   เป็นส่วนที่เซรีใช้ทำงาน  มีเบาะยาวนุ่มหนา  หุ้มผ้าปักงดงามสำหรับรับแขก  มีโต๊ะทำงานตัวใหญ่  กองเต็มไปด้วยเอกสาร  แผนที่  เครื่องเขียน และเครื่องมือเดินเรือ  ...ซึ่งเซรีกวาดไปข้าง ๆ แล้วจะได้เอาหมอนฟาดได้สะดวก   บนชั้นด้านหลังมีเอกสารต่าง ๆ มากมาย   นอกจากนั้นยังมีฉากกั้นบริเวณส่วนตัวออกจากบริเวณทำงานด้วย   ตอนนี้ฉากพับไว้ครึ่งหนึ่ง  จึงพอเห็นว่าด้านในมีเตียงเล็กแคบเช่นเดียวกับบนเรือ  สร้างโดยร้อยโซ่กับผนังให้ชักเก็บได้   นอกจากนั้นก็มีเสื้อผ้าแขวนอยู่กับราว  และมีตู้ใส่ของจุกจิกหนึ่งตู้   บนตู้วางอ่างโลหะไว้หนึ่งอ่าง  คงใช้ล้างหน้า   เหนือตู้ก็ติดกระจกเงาสำหรับแต่งตัว
     
    พ่อมดเห็นทั้งหมดนั้นแล้วก็แอบรู้สึกสมใจ  เขาสงสัยว่าท่านเซรีคงติดต่อกับเมราลถามเรื่องวิธีต่อเรือบ้างเหมือนกัน  ปักษาเพลิงลำนี้สร้างได้ดีมากทีเดียว
     
    "ท่านเซรี" เขาเอ่ยขึ้น
     
    "หือ" เจ้าหญิงเงยหน้าขึ้นมา  เธอวางหมอนไปแล้วและกำลังพยายามนึกหาวิธีโน้มน้าวลอร์คาน
     
    "ข้าจะไปเกาะมังกรขาว   ไปกับข้าไหม" ชายหนุ่มว่า
     
    เจ้าหญิงถูกถามดื้อ ๆ แบบนี้ก็เบิกตากลมโต   อย่างไรก็ตาม คบหากันมาหลายปี  เทรมิสย่อมรู้ใจเซรีเป็นอย่างดี
     
    "ไป!" เจ้าหญิงบอกทันทีที่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
     
    "งานหลวงไม่ทำหรือ" พ่อมดแหย่
     
    "งั้นขอจัดการอะไรให้เรียบร้อยหน่อยแล้วค่อยไป" เซรีผู้รักการผจญภัยบอก "ได้ไหม   ตอนนี้ข้าไม่มีงานอะไรมากหรอก   ที่สำคัญก็เรื่องขายม้า  แต่ลอร์คไม่เล่นด้วยแบบนี้  ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร   ข้ายังไม่อยากติดต่อกับเผ่าเลี้ยงม้าอื่น ๆ นอกจากรูฮาห์   ...ไม่อยากข้ามหน้าลอร์คไป"
     
    "ข้าว่า..." เทรมิสลูบคาง "...ก่อนอื่น...ท่านเซรีจะเอาม้าไปขายที่ไหน"
     
    "ก็ยังไม่ไกลมาก   ยังไม่อยากทำอะไรเกินตัว" เจ้าหญิงหยิบแผนที่เดินเรือมากาง   เธอลากเส้นทางจากเกาะเสือไปยังเกาะขนาดย่อมกว่ามากที่อยู่ไม่ไกล   เป็นเกาะเพื่อนบ้านที่ค้าขายกันมาเป็นร้อยปี
     
    "ไปเกาะนี้แทนได้ไหม" พ่อมดลากอีกเส้นไปทางตะวันออก
     
    "หือ  ไปก็ได้   เรามีความสัมพันธ์ทางการค้ากับเขาเหมือนกัน" เซรีงงเล็กน้อย "น่าจะได้ราคาไม่ต่างกันด้วย  เกาะนั้นมีม้าแล้ว   แต่ยังไม่ดีเท่าม้าเมืองทราย   ว่าแต่...ทำไมต้องไปทางนั้นหรือ"
     
    "เพราะว่า..." พ่อมดพรายยิ้ม  ลดเสียงลงกระซิบพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน   
     
    ตอนแรกเซรียังงง ๆ อยู่   แต่หลังจากฟังอีกฝ่ายอธิบายไม่นานนัก   เธอก็เข้าใจ  พรายยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาเช่นกัน
     
    ...
     
    หลังจากนั้นตลอดสามวัน  ลอร์คานไม่ได้พบเซรีอีกเลย
     
    ที่จริงเขากลับไปคิดเรื่องม้าแล้ว  แม้จะเป็นเรื่องผิดจากธรรมเนียมที่ทำกันมาค่อนข้างมาก   แต่สิ่งที่เจ้าหญิงพูดก็เป็นความจริงทุกประการ   เขาใคร่ครวญแล้วย่อมเห็นว่ามันเป็นหนทางที่ดี   สมควรทำได้   และสมควรพูดคุยรายละเอียดให้ชัดเจนยิ่งกว่านี้   อย่างไรก็ตาม เทรมิสบอกเขาว่าเซรีไม่ว่าง  เธอต้องทำงาน  ลอร์คานยังมีเรื่องอื่น ๆ ต้องทำจึงบอกน้องไว้เพียงว่าหากเจ้าหญิงว่างเมื่อไรขอให้แจ้งด้วย   จะได้ไปหา   หลังจากนั้นเขาก็ไปเยี่ยมคนที่ควรเยี่ยมหลายคน   และตรวจเรื่องที่ควรตรวจอีกหลายเรื่อง  ลอร์คานเป็นเบรุคคอลีฟห์   ยามเดินทางแต่ละครั้งย่อมวางแผนไว้แล้วว่าต้องทำอะไร   ตลอดสามวันจึงค่อนข้างมีกิจธุระวุ่นวายมากทีเดียว
     
    เขาคิดไว้ว่าจะอยู่ที่บัลซอร์สักหนึ่งสัปดาห์   จากนั้นหากไม่มีกิจเร่งด่วนกะทันหันก็ควรกลับได้แล้ว  แต่หลังจากสามวันแรก  เรื่องที่ควรทำก็แทบไม่เหลืออะไร   ลอร์คานจึงคิดว่าจะไปดูในเมือง   ฟังข่าวสารใหม่ ๆ   อย่างไรก็ตาม พอถึงคืนที่สาม  พวกคนของเขาก็ชวนสังสรรค์กัน   สิงโตทรายค่อยนึกได้ว่าตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่ได้กินอาหารกับคนของตนสักมื้อ  จึงตอบรับโดยง่าย  วันนั้นเทรมิสก็ไปด้วย   ไม่ทราบมันเอาเหล้ามาจากไหนหลายขวด  บอกว่าเป็นเหล้าแดนเหนือ   พวกคนทรายก็ตื่นเต้นแปลกใจ
     
    เหล้าแดนเหนือดีกรีแรง  แต่หมักจากผลไม้จึงมีรสออกหวาน   คนดื่มไปทีแรกล้วนแทบสำลัก   แต่ครั้นผ่านไปสองสามอึกก็ชักติดใจ   เทรมิสเปิดขี้ผึ้งที่ลนปิดฝาขวดไปเรื่อย ๆ   ลอร์คานตั้งใจมาสนุกสนานแล้ว  จึงปล่อยให้ทั้งน้องชายทั้งคนของตนรินเหล้าให้   ประกอบกับเขาติดนิสัยการดื่มเหล้าแบบเมืองทรายซึ่งดีกรีอ่อนกว่ามาก   จึงไม่ได้ยับยั้งตัวเองเท่าไร   ดื่มไปจนดึกแล้วจึงค่อยขอตัวกลับที่พักก่อน  เพราะไม่อยากเมาหนักจนต้องหลับตลอดเช้า  คนของเขาคนอื่น ๆ ก็ยังอยู่ในร้านอาหาร  กินเหล้าหัวเราะกับพวกผู้หญิง   มีแต่เทรมิสที่ตามออกมาดู
     
    "อย่าขี่ม้ากลับเลย  ให้ข้าเรียกรถให้ดีกว่า" พ่อมดบอก
     
    "อืม" ลอร์คานรับในคอ  ไม่ได้ว่าอะไร  จากนั้นเทรมิสจึงได้ช่วยพยุงเขาขึ้นรถรับจ้าง  สิงโตทรายก็จำได้ราง ๆ ว่าตนคงหลับไป
     
    เขาตื่นอีกครั้งในยามเกือบสาง   พบว่าตนเองอยู่บนเตียง   ในหัวยังมึนตื้ออยู่บ้าง  ห้องยังมืดอยู่  สิงโตทรายก็ไม่ได้จุดตะเกียง   เขาคิดว่าจะหาน้ำเย็นล้างหน้าล้างตา   จึงได้ลุกขึ้นเปิดประตูออกไป   ปรกติเรือนพักแขกเมืองบัลซอร์มักมีคนรับใช้ประจำชั้น   หากออกจากห้องเลี้ยวไปเคาะประตูทางขวาก็จะเจอ
     
    ลอร์คานก็ออกจากห้อง  ยังปวดหัวลืมตาไม่ขึ้นจึงหรี่ตาครึ่งปิดครึ่งเปิด  เขาเลี้ยวไปทางขวา  ออกสู่ระเบียง  แต่แล้วกลับต้องแปลกใจว่าไม่มีห้องคนรับใช้อยู่ตรงนั้นแต่อย่างใด
     
    ระเบียงทอดยาวไปข้างหน้า   ด้านหนึ่งเป็นผนังไม้   อีกด้านเป็นผืนน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา   พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น  ผืนน้ำตรงขอบฟ้าจึงสว่างเรื่อเรือง
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×