ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ๒.
๒.
"ท่านเมราลจะว่าอะไรหรือไม่ หากข้าให้คนวาดภาพของท่านไป" ทูตลาตาเอ่ยถามหลังจบการเจรจา
ที่จริงจะว่าเป็นการเจรจาก็ไม่ถูกนัก ทูตไม่ใช่ผู้ตัดสินใจเรื่องนี้ เขาเพียงแต่มีหน้าที่มาฟังว่าทางโคแรนนิอิดต้องการอะไรกันแน่ นอกจากนั้นก็สำรวจรายละเอียดต่าง ๆ ว่าเผ่านี้จะมีลับลมคมในเป็นอันตรายหรือไม่ เท่าที่ฟังมาตลอด ทูตก็ยังคงไม่เห็นอันตรายร้ายแรงอะไร พวกโคแรนเพียงขาดแคลนผู้คนจึงต้องการแรงงานเพิ่มเติม ต้องการหญิงสาวไปให้กำเนิดลูกหลาน พวกเขาสุภาพพอที่จะไม่ก่อสงครามกวาดต้อนเอา...อาจเพราะไม่มีกำลังพอจะทำอย่างนั้นก็ได้ แต่ถือว่าแสดงความเป็นมิตรมากทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ตลอดการเจรจาดังกล่าว ทูตก็ยังคงสนใจเรื่องอื่นมากกว่า เขามองราชินีแห่งโคแรนนิอิด เธอเป็นคนน่าสนใจ นอกจากความงามที่ปรากฏตรงหน้าแล้ว ข้างในกลับไม่อาจถือได้ว่าเป็นหญิงในอุดมคติเท่าไรนัก แต่ก็เหมาะสมกับตำแหน่งราชินี เป็นคนฉลาด ทรนง ไม่มีความคิดจะลงให้ใครโดยง่าย แม้พูดจาสุภาพอ่อนน้อมก็เห็นได้ชัดว่าไม่คิดยอมเสียเปรียบแต่อย่างใด ชวนให้นึกว่าเผ่าเล็ก ๆ นี้คงมีเวทมนตร์หรืออะไรดีซ่อนไว้จริง ๆ จึงได้มีความกล้าถึงเพียงนี้ ยิ่งมองหญิงตรงหน้ามากเท่าไร ทูตก็ยิ่งสนใจ ปรกติยามเดินทางมาต่างถิ่น เขาจะมีคนวาดภาพประจำตัว สำหรับร่างภาพบางอย่างกลับไปเสนอจ้าวเกาะในภายหลัง ที่จริงเขาก็ตั้งใจจะขอวาดภาพเมราลแต่แรกเช่นกัน ทว่าเวลานี้คงมีสาเหตุอื่น ๆ อีกนอกจากเพียงเพราะเธอเป็นราชินีประหลาดของเผ่าลึกลับที่มาตั้งรกรากใกล้ ๆ กระมัง
ผลที่ได้รับน่าสนใจ ...เมราลเลิกคิ้วนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว ก่อนจะแย้มริมฝีปากว่าตนไม่ขัดข้อง อย่างไรก็ตาม เธอออกตัวอย่างสุภาพและแนบเนียนหลังจากนั้นไม่นานว่าตนปวารณาตัวถือพรหมจรรย์ ซึ่งทูตย่อมแปลความหมายได้เองทันทีว่าเธอขอให้เขาเสนอรูปดังกล่าวในฐานะราชินีแห่งโคแรนนิอิด ไม่ใช่หญิงสาวที่น่าสนใจ
"เหตุใดท่านเมราลจึงปวารณาตัวเช่นนั้น แล้วภายหน้าท่านจะสืบทอดตำแหน่งอย่างไร" ทูตอดถามไม่ได้
"ผู้ใดมีความสามารถก็จะมอบตำแหน่งให้ผู้นั้น ที่จริงเผ่าเราก็เป็นเช่นนี้มานานแล้ว" อีกฝ่ายตอบอย่างสงบ
"เช่นนั้นหรือ น่าสนใจ..."
อย่างไรก็ตาม ทูตก็หาโอกาสเรียกช่างประจำตัวมาวาดภาพเธออยู่ดี ...เป็นแต่ภาพลายเส้นไม่ได้ลงสีสัน มีภาพใบหน้าตรง และภาพทั้งตัวที่นั่งเอียงไปด้านข้างเล็กน้อย เมราลใส่เกราะเกล็ดและกระโปรง ปิดมิดชิดแทบจะตั้งแต่คอจนถึงข้อเท้า เธอบอกว่าตนไม่ทนแสงไม่ทนลมแรง จึงต้องสวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้เอง
ทูตอยู่ที่เผ่าโคแรนนิอิดได้สามวันก็บอกลา ลงเรือใหญ่ของตนข้ามกลับไป แจ้งว่าไม่ช้าจะส่งข่าวการตัดสินใจของเจ้าเกาะมา
"ข้าทราบมาว่าจ้าวเกาะลาตาชื่อทัคทวา มีสนมหลายคน มีบุตรธิดาจากหญิงเหล่านั้นรวมแล้วประมาณหกเจ็ดคนได้ แต่เขายังไม่ได้ยกย่องสนมคนใดเป็นราชินี ไม่ได้ยกบุตรคนใดเป็นทายาทเช่นกัน" อาสลา ผู้รวบรวมข่าวของเมราลบอกเธอในภายหลัง "เขาเป็นคนห้าวหาญ ผู้คนเรียกว่าทัคทวา นกอินทรี ปีนี้เกิดความไม่สงบที่เกาะมัสสุลาทางใต้ ทัคทวาไปที่นั่น ชั่วสามวันก็ปราบได้ราบคาบ หัวหน้าผู้ก่อความไม่สงบนั้นถูกเขาโยนให้จระเข้กิน"
เมราลพยักหน้า แต่นอกจากเอ่ยขอบคุณแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ในใจเพียงคิดว่าต่อไปต้องวางแผนความสัมพันธ์ให้ดี หญิงสาวคิดว่าตนเลยวัยแต่งงานตามปรกติไปแล้ว ทั้งทราบอยู่ก่อนว่าทัคทวามีผู้หญิงหลายคน และชอบเด็กสาวอายุน้อยหัวอ่อน จึงค่อนข้างแน่ใจหลายส่วนว่าตนคงไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับจ้าวเกาะเท่าไรนัก ...สมรสกับเธอก็ไม่ได้อะไร โคแรนนิอิดยังเป็นเผ่ายากจนอยู่มาก เธอเองก็มีเพียงความงามที่เปราะบาง
แต่ยามได้ฟังคำรายงานนั้น หญิงสีขาวอดนึกถึงลอร์คานไม่ได้ เธอเชื่อว่าหากเกิดความไม่สงบใด ลอร์คานคงปราบได้ในชั่วไม่นานเช่นกัน เขาเป็นคนทราย จึงฆ่าคนที่สมควรฆ่าเสมอ ไม่มีลักษณะประนีประนอมมากเท่าคนอันเซลมา แต่ลอร์คานไม่ฆ่าคนโดยไร้เหตุผล ทั้งไม่ใช้วิธีโหดร้ายให้ผู้คนสยดสยองหวั่นเกรง เขาเป็นคนหมดจดอย่างยิ่ง เมราลก็ชอบเขาตรงนี้เอง
...
จากเกาะมังกรขาวไปยังเกาะใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะลาตา ใช้เวลาประมาณสามวัน ทั้งนี้หมายถึงมีการลัดเลาะเลียบเกาะเล็กเกาะน้อย และมีการขึ้นบกพักค้างแรมบ้าง แต่ถ้าหากเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน ก็อาจใช้เวลาน้อยกว่านั้น คราวนี้ทูตลาตารู้สึกว่าต้องเร่งสักหน่อย จึงใช้วิธีแวะพักสั้น ๆ ตามเกาะรายทางเพียงเพื่อเปลี่ยนฝีพาย เขาเปลี่ยนฝีพายสองครั้ง ก็ถึงเกาะใหญ่ในเวลาสองวัน
หมู่เกาะลาตามีวัฒนธรรมของตนเอง ค่อนข้างแตกต่างจากคนบนแผ่นดินใหญ่ เมื่อห่างไกลจากเกาะเสือมาทางตะวันออกเป็นอันมาก อากาศจึงร้อนชื้นกว่า ผู้คนใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น แต่ชอบสวมเครื่องประดับงดงาม ของประดับของคนธรรมดาอาจจะทำจากเปลือกหอย ลูกปัด และไม้ ส่วนของคนร่ำรวยมีฐานะจะทำจากอัญมณี ตลอดจนเงินและทองซึ่งหาในเกาะไม่ได้ ต้องใช้วิธีแลกเปลี่ยนกับพ่อค้าจากต่างแดน
ลาตาเป็นเกาะอุดมสมบูรณ์มาก ควรว่าอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าอันเซลมา เพราะอากาศไม่ใคร่เปลี่ยนแปลงนัก จึงมีพืชผลตลอดปี เกาะใหญ่ ๆ จะถูกปราบที่ทางเป็นไร่นาหมดแล้ว แต่เกาะเล็กไม่น้อยก็ยังคงเป็นป่า ทัคทวาเป็นคนทะเยอทะยาน หลายปีนี้เขายังเกณฑ์คนให้ปราบเกาะน้อยบางแห่ง ตัดป่าทำเป็นไร่นา สะสมอาหาร เขาอยู่ห่างไกลทวีปจนเกินกว่าจะคิดปกครองแผ่นดินใหญ่ได้โดยง่าย ดังนั้นจึงเริ่มด้วยการปราบเกาะรอบ ๆ ที่ยังไม่อยู่ใต้ปกครอง มีเพียงเกาะปีศาจหรือเกาะมังกรขาวของเมราลเท่านั้นที่ยังไม่ได้แตะต้องทำอะไร ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะก่อนนี้บนเกาะแทบไม่มีใคร ทั้งยังห่างไกลจากเกาะอื่น ๆ จนไม่ใคร่มีประโยชน์เท่าไรนัก อีกประการหนึ่ง เกาะปีศาจก็มีตำนานประหลาดพิลึกมากมาย ทัคทวาทะเยอทะยานย่อมคิดเอาน้ำใจผู้คน ไม่ต้องการบุ่มบ่ามทำผิดจากจารีตประเพณีโดยไม่จำเป็น
วันนั้นทัคทวาอยู่ที่วัง วังของเขาตั้งอยู่บนเขา ชาวลาตานับถือนกอินทรี บนภูเขาสูงที่สุดบนเกาะใหญ่ ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ดับไปแล้ว เชื่อกันว่าเป็นรังของนกอินทรีจ้าว นกอินทรีเหล่านี้ได้รับความคุ้มครองจากจ้าวเกาะเสมอ ทัคทวาเองยามเป็นเด็กหนุ่มก็เคยปีนขึ้นไปถึงยอดเขา และกลับลงมาพร้อมกับลูกนกอินทรีโดยอมไว้ในปาก เขาเลี้ยงนกอินทรีแต่นั้นมา มีโรงเลี้ยงใหญ่โต มีนกอินทรีและเหยี่ยวหลายคู่ ยามอยู่นอกวัง ผู้คนมักเห็นทัคทวามีนกอินทรีเกาะบ่า เขาทราบดีว่ามีสัญลักษณ์เช่นนี้กับตัว ผู้คนจะรู้สึกว่าน่าเกรงขาม ให้ความรู้สึกว่าเป็นจ้าวเกาะจริง ๆ
วังของทัคทวาแผ่ออกไปตามสันเขา ลักษณะคล้ายนกอินทรีกางปีกเช่นกัน มีอาคารกลาง อาคารซ้ายขวา และเรือนด้านหลัง ปรกติทัคทวาจะพบปะผู้คนในอาคารกลาง วันนั้นทูตก็ไปพบเขาที่นั่นเอง
ทูตเร่งเดินทางมา ย่อมเหนื่อยอยู่บ้าง แต่เขาก็เร่งกลับบ้านไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ก่อนจะมาพบจ้าวเกาะแทบจะในทันที ตอนนั้นยังเช้าอยู่ ทัคทวาออกว่าราชการตามปรกติทั่วไป เขาเป็นคนสูงปานกลาง หากดูผาด ๆ จะรู้สึกผอม แต่ที่จริงแล้วกล้ามเนื้อแน่นอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรขาดเกินแม้แต่นิดเดียว ปีนี้เขาอายุสามสิบห้า รูปร่างสง่างาม มีหญิงไม่น้อยพอใจมากหากเขาเลือกเป็นสนมกำนัล ผู้คนอยากให้เขาตั้งใครสักคนเป็นราชินี และตั้งบุตรสักคนเป็นทายาท แต่ทัคทวายังไม่คิดอะไรเช่นนั้น เขาคาดหมายว่าตนจะใช้ชีวิตทำการใหญ่ไปได้อีกหลายปี อีกประการหนึ่ง เขากำลังดูบุตรตนว่าคนใดจะหน่วยก้านดีบ้าง เขาคิดว่าหากตั้งทายาท ต้องตั้งที่ความสามารถ ตั้งคนอ่อนแอไม่เด็ดขาดจะเกิดปัญหา การแย่งชิงอำนาจเป็นเรื่องธรรมดาในเกาะลาตา หากตั้งคนอ่อนแอขึ้นมา การแย่งชิงก็จะยิ่งนองเลือด ไม่มีผลดีอะไร
"ไปถึงเกาะปีศาจมา เป็นอย่างไร" จ้าวเกาะเอ่ยถามทูตทันทีที่เห็นหน้า
"ข้าแต่จ้าวเกาะ คนเหล่านั้นยังดูไม่มีพิษภัย"
ทูตยืนพูดอยู่ตรงหน้า ข้าราชการอื่น ๆ ก็ยืนอยู่ด้านข้าง มีเพียงทัคทวาที่นั่งบนที่สูง วันนี้เขาสวมชุดลำลอง ใส่กางเกง ไม่ใส่เสื้อ เพียงประดับสร้อย ใส่ปลอกแขน สวมคาดหน้าผากประดับขนนกอินทรี ทูตรายงานเขาเรื่องความเป็นไปในหมู่โคแรนนิอิดคร่าว ๆ เท่าที่ทราบ ...คนเหล่านั้นหน้าตาแปลกประหลาด ร่างกายไม่ใหญ่ ผิวสีอ่อน ผมสีอ่อน ดวงตาเป็นสีฟ้าบ้างเทาบ้าง สวมเครื่องแต่งกายทอจากใยพืช ข้างเกาะยังคงมีเรือลำใหญ่ที่พวกเขาใช้เดินทางมา เรือมโหฬารอย่างยิ่ง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะจุคนมากมายได้ แต่คนโคแรนนิอิดเองอธิบายว่าเรือนั้นมีเวทมนตร์ ทูตไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเรือดังกล่าว เขาจึงเพียงสังเกตการณ์บนเกาะเท่าที่จะทำได้
"ผู้คนยังยากจนอยู่มาก คิดว่าอีกนานกว่าจะเพาะปลูกหรือทำสินค้าใดมาค้าขายได้ บนเกาะส่วนใหญ่ยังเป็นป่า ปราบถางกันไม่ไหว คนไม่สนใจสินแร่ ไม่สนใจเครื่องประดับหรือสิ่งงดงามอะไรเป็นพิเศษ ที่จริง...บางส่วนคล้ายคนคลั่งศาสนา พวกนั้นนับถือราชินีของตนมาก ราชินีชื่อ เมราล เชอยิน ข้าคิดว่านางเป็นทั้งราชินีและนักบวชหญิงในเวลาเดียวกัน ปีนี้นางอายุยี่สิบเก้าปี ถือเพศพรหมจรรย์"
ทูตพูดเช่นนั้นแล้วก็ส่งม้วนภาพของเมราลให้ทัคทวา เกาะลาตาทำกระดาษใยพืชได้แล้ว ค่อนข้างคุณภาพดีมาก จ้าวเกาะคลี่ภาพออกดู เมื่อแรกยังไม่คิดอะไร แต่ครั้งคลี่สุดแล้วก็สะดุ้งนิดหนึ่ง
"งามยิ่งนัก ราวกับไม่ใช่คน" เขาว่า
"นางมีสิ่งผิดคนทั้งปวงอยู่มาก ผิวนางขาวเป็นสีน้ำนม ผมก็สีขาวเงิน ดวงตาเป็นสีแดงราวทับทิม" ทูตรายงาน "ผู้คนในเผ่าเชื่อว่านางเป็นหญิงวิเศษ เขาไม่ได้พูดให้ข้าฟังเท่าไร...ยังระแวงคนแปลกหน้าไม่น้อย แต่เท่าที่ฟังมา คิดว่านางเป็นแม่มดมีคาถาอาคม อาจมีฤทธิ์อยู่บ้าง นางเป็นคนถือดี คงมีดีในตัว"
"อืม"
ทูตอธิบายต่อไปว่าพวกโคแรนนิอิดต้องการหญิงสาวไปทำไม เขาว่าเท่าที่เห็นก็ไม่น่าเสียหาย เพราะพวกโคแรนนิอิดดูไม่มีฤทธิ์เดช ต่อให้มีเวทมนตร์จริง คนก็น้อยจนแม้ใช้กำลังเข้ารบคงเอาชนะได้ อีกอย่างหนึ่ง ให้คนลาตาไปสมรสกับพวกนั้น ไม่ช้าอาจสามารถกลืนทั้งเผ่าให้เป็นส่วนหนึ่งของลาตา สิ่งดีใดที่โคแรนนิอิดเก็บซ่อนไว้ ก็คงจะเอามาได้ด้วยวิธีนั้นเอง
"อีกประการหนึ่ง ข้าคิดว่า..." ทูตเอ่ยในที่สุด "พวกนั้นมาตั้งรกรากที่เกาะปีศาจ แต่ไม่รู้ว่าทราบเรื่องประตูมังกรหรือไม่"
ทัคทวาเงยหน้าขึ้นมา คนอื่น ๆ ในโถงท้องพระโรงก็มองหน้าทูตเช่นกัน
เรื่องประตูมังกรนี้เป็นเรื่องเก่าแก่ เล่ากันมาหลายร้อยปีแล้ว เขาว่าครั้งหนึ่งเกาะปีศาจไม่ได้มีชื่อเช่นนี้ หากแต่ชื่อประตูมังกร ที่นั่นมีของวิเศษทรงฤทธิ์อำนาจยิ่ง ไม่มีใครทราบว่าเป็นอะไร ของนั้นมีสตรีพรหมจารีรักษาไว้ ต่อมาจ้าวเกาะลาตาได้สมรสกับสตรีพรหมจารีคนหนึ่ง ก็ได้ของวิเศษมา เขาใช้ของดังกล่าวปราบทั่วทั้งหมู่เกาะ เป็นใหญ่ในเขตนี้ได้ ตำนานเล่าขานว่ายามเขาเป็นใหญ่ ก็ทำการผิดสัญญากับสตรีผู้รักษาของ นางจึงนำสิ่งวิเศษดังกล่าวจากไป พร้อมกล่าวสาปแช่งว่าจ้าวเกาะลาตาผู้ใดกล้าเหยียบแผ่นดินนี้จะต้องตาย
ภายหลังเคยมีจ้าวเกาะที่ไม่เชื่อ เดินทางไปเกาะปีศาจ และสาบสูญไปจากค่ายพักอย่างปริศนา คนของเขาไปตามพบอีกครั้งก็เป็นศพอยู่กลางป่า ร่างกายแขวนอยู่บนกิ่งไม้ ดูราวหลับไป ไม่ทราบว่าตายด้วยวิธีใด แต่นั้นผู้คนจึงเชื่อว่าที่นี่เป็นเกาะปีศาจ ไม่อาจอยู่อาศัยได้ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทัคทวาไม่ยึดครองเกาะดังกล่าวสักที
"นางเป็นสตรีพรหมจารี มาถึงเกาะนี้ก็ตั้งชื่อว่าเกาะมังกรขาว ทั้งยังเป็นแม่มด" ทูตอธิบายต่อไป "ข้าคิดว่า...ควรจับตาดูนางไว้ สิ่งวิเศษนั้นอาจจะยังหลับใหลอยู่ในป่าประตูมังกร"
ทัคทวามองภาพในมืออีกครั้ง เขาชอบหญิงอายุน้อย สนมคนใดพ้นยี่สิบสองปีไปแล้ว จ้าวเกาะมักเลิกสนใจ แต่หญิงในภาพนี้เป็นของแปลกใหม่สำหรับเขา ...ดูราวไม่มีอายุเลยแม้แต่น้อย แววตาถือดีจริงอย่างที่ทูตว่า ทั้งยังเป็นสิ่งแปลกประหลาดน่าสนใจ
"ได้ยินว่ามีพิธีจันทร์เพ็ญที่เกาะชื่อสิปาข้าง ๆ นั่นไม่ใช่หรือ อนุญาตให้พวกโคแรนนิอิดไปร่วมที่เกาะนั้นได้" เขาว่า พิธีจันทร์เพ็ญเป็นวันที่หนุ่มสาวจะมาพบกันเพื่อเลือกคู่ครอง บางคนก็พบรักกันก่อนหน้านั้นแล้ว เพียงมาจับมือกันในพิธีนี้ตามธรรมเนียม แต่บางคนก็ได้คู่ในพิธีจริง ๆ
"เช่นนั้น..." ทูตไม่ใคร่แน่ใจ
"เช่นนั้นข้าจะไปร่วมพิธีด้วย" ทัคทวาม้วนภาพ โยนคืนให้เขา "แจ้งไปทางเผ่าโคแรนนิอิดว่าขอให้ราชินีคนนั้นมาร่วมด้วย หากนางไม่มา ก็ไม่ต้องพูดจากันเรื่องขอหญิงสาวอีกต่อไป ข้าอยากไปดูหน้าสตรีพรหมจารีผิวขาวนั่น ดูทีหรือว่าตัวจริงจะเหมือนหรือแตกต่างจากรูปอย่างไรบ้าง"
...
เมราลได้รับสาสน์เป็นทางการหลังจากนั้นห้าวัน ส่งมาโดยคนส่งสาสน์ของลาตา ซึ่งเชิญหนังสือลงเรือหลวงมาอย่างหรูหรามาก ยามเขาอ่านข้อความ เธอก็ไม่พูดไม่แสดงปฏิกิริยาใด เพียงบอกให้เลี้ยงดูต้อนรับเขาอย่างดี แต่พอกลับเข้ามาภายในแล้ว คนอื่น ๆ ในเผ่าต่างแสดงความไม่พอใจ เมราลเองก็ครุ่นคิดอะไรมากมายเช่นกัน
"ถึงอย่างไรเราก็ต้องอยู่ที่เกาะนี้ เราลงแรงไปมากแล้ว หากโยกย้ายอีกจะลำบากมาก" เธอบอกในที่สุด "เขาขอมาก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ข้าจึงคิดว่าควรไป"
"แต่เขาขอดูตัวท่านเมราลหรือไม่ใช่ บังอาจมาก" หัวหน้านายทหารชื่อเคลท้วง "ทัคทวามีเมียสิบกว่าคนแล้ว ลูกอีกก็ไม่น้อย ผู้ใดจะยอมให้มันคิดจ้วงจาบหยาบคาย"
"ผู้ใดคิดจ้วงจาบหยาบคายข้า ผู้นั้นต้องตาย" เมราลเอ่ยช้า ๆ
เธอหลุบตาอยู่ ไม่ได้มองใครเป็นพิเศษ แต่ยามเอ่ยคำนั้น มากาที่อยู่กับเธอเสมอก็เลื้อยขึ้นมา แลบลิ้นแปลบอยู่ข้างคอของเมราล งูเกล็ดเงินตัวนั้นยังคงเป็นงูเล็ก ไม่ใหญ่ไปกว่าเชือกพันเอวสักเท่าไร แต่ผู้คนทั้งปวงต่างทราบว่ามันมีพิษร้ายแรงมาก และมันเตือนให้พวกเขาทราบว่า แม้ร่างกายจะอ่อนแอ ราชินีเกล็ดเงินก็ยังคงเป็นคนน่ากลัว
"ข้าจะสวมรัดเกล้าดาวเหนือ" หญิงสีขาวบอกในที่สุด "ขอให้เรียกชายหนุ่มในเผ่าอายุระหว่างสิบหกถึงสามสิบห้าปีที่ยังไม่ได้แต่งงานมาพบข้า จะต้องเลือกคนไปด้วยกัน นอกจากนั้นขอให้ท่านเคลกับทหารไปกับข้าด้วย เราจะพูดกันเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกที"
ผู้คนรับคำเธอพร้อมเพรียงแล้วก็จากไป นางกำนัลจึงพยุงเธอเข้าห้อง เมราลออกไปรับสาสน์ ตากแดดลมและยังนั่งประชุมเป็นเวลานาน จึงจำเป็นต้องพัก เธอนอนลงแล้วก็ขอให้นางกำนัลออกไป บอกว่าตนไม่เป็นอะไร หากตื่นแล้วจะเรียกเอง
แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสีขาวก็ไม่ได้หลับ เธอมองไปยังหลังคาเตียง เกาะแถบนี้ไม่เหมือนอันเซลมา แม้อากาศอบอุ่นกว่า แต่ยามกลางคืนมีแมลงมาก คนพื้นเมืองสอนให้คนโคแรนนิอิดทำเตียงมีหลังคา ติดผ้าบาง ๆ ไว้ ยามนอนให้ดึงผ้าลงมาคลุมเตียง ถ่วงที่ชายจะได้ไม่เผยอขึ้น เช่นนี้แมลงก็จะเข้าไม่ได้ ทั้งไม่ร้อนเกินไป
มากาเลื้อยมาข้าง ๆ พันมือเธอไว้ หนูขายาวตัวนั้นที่ลอร์คานเคยให้ก็อยู่บนเตียงเช่นกัน เธอเรียกมันว่าเจ้าทราย เพราะมันเป็นหนูเมืองทราย มันอายุยืนกว่าสัตว์ภูตกลายพันธุ์ประเภทเดียวกันมาก เพราะเมราลให้พลังมันตลอดเวลา
เจ้าหนูทรายมองมากา แม้อยู่กันมาหลายปีก็ยังไม่ใคร่ไว้ใจอยู่ดี มันจึงอยู่เพียงที่หมอน เช็ดหนวดขยุกขยิกพลางมองนายหญิง เมราลก็ตะแคงมองมันเช่นกัน มันทำให้เธอนึกถึงลอร์คาน
เธอย่อมทราบดีว่าทัคทวาเป็นคนอย่างไร คนทะเยอทะยานและเหี้ยมหาญเช่นนั้น แม้ทีแรกจะไม่สนใจเกาะมังกรขาวด้วยเหตุผลอะไร เวลานี้ก็อาจสนใจขึ้นมาแล้วก็ได้ เมราลคิดว่าตนสู้เขาได้ แต่ไม่อยากให้เกิดเรื่องบานปลายใหญ่โต คนโคแรนนิอิดไม่ควรต้องเร่ร่อนอีกแล้ว พวกเขาควรได้มีชีวิตที่ดี ทว่าถ้าหากเกิดเรื่องขึ้น เมราลก็ไม่รู้ว่าตนจะปกป้องคนได้สุดกำลังปัญญาเพียงไร เธอกลัวการตัดสินใจพลาด ทั้งยังกลัวว่าตนจะมีความสามารถไม่พอ ชั่วเวลานั้น หญิงสาวนึกว่าควรเขียนจดหมายถึงลอร์คาน หรือเซรี สองคนนั้นมักให้คำแนะนำเรื่องอย่างนี้ได้ดี
แต่ในที่สุด เธอก็ไม่ได้เขียนอยู่นั่นเอง เธอทราบว่าหากเขียนเรื่องทัคทวา บอกว่าเขาอาจคิดดูตัวเธอด้วยเหตุผลอื่นนอกเหนือจากการเมือง ลอร์คานต้องไม่พอใจ เซรีเองหากทราบเรื่องนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องบอกให้สิงโตทรายทราบเช่นกัน
มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ เธออาจจะเพียงคิดไปเอง
..................................................................................................................................................................
เทรมิสกับลอร์คานข้ามภูเขายาเรฟมาแล้ว ทางด่านกองเกวียนแบบเมืองทรายจึงกลายเป็นถนนใหญ่ อันเซลมาสร้างถนนแข็งแรงเชื่อมต่อกันทั้งประเทศ ซึ่งมีผลดีอย่างยิ่งกับการคมนาคมและการค้า ด้วยเหตุนี้แม้ระยะทางจะไม่ต่างกันเท่าไร จากชายแดนมาถึงบัลซอร์จึงใช้เวลาน้อยกว่าจากรูฮาห์ถึงชายแดนเป็นอันมาก
"พี่ลอร์ค ท่านคิดอะไรอยู่หรือ" เทรมิสเอ่ยถามขึ้น
"คิดถึงเมราล"
พี่สิงโตของเขาก็ยังคงเป็นคนตรงอย่างยิ่งอยู่นั่นเอง
ตลอดทางมานี้ ลอร์คานไม่พูดเรื่องเดินทางไปเกาะมังกรขาวอีกแม้แต่คำเดียว เทรมิสเองก็ไม่เซ้าซี้เช่นกัน เขาคิดว่าพี่ชายคงคิดเรื่องนี้ไปมาในใจ ลอร์คานมีเรื่องต้องคิดมาก ไปเร่งเอาคำตอบก็ไม่เกิดอะไร พ่อมดจึงหันไปคิดเรื่องท่านเซรีแทน
"ตลอดหลายปีนี้ ข้าคิดถึงเธอมาก"
เทรมิสสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงนั้น เสียงของลอร์คานแทบพ้นเขตความคิดถึง...กลายเป็นความทรมานจนเกือบคลั่ง ปรกติเขาไม่แสดงออกถึงเพียงนี้ พ่อมดจึงเพิ่งทราบว่าพี่ชายอาการหนักขนาดไหน เขาได้ยินเสียงนั้นก็เสียใจ รู้สึกว่าไม่น่าไปยั่วแหย่ลอร์คานเรื่องเมราล
"แต่ข้าคิดว่า...คงไม่ไป" สิงโตทรายเอ่ยต่อช้า ๆ "หากข้าไป หากได้เห็นหน้าอีกครั้ง คิดว่าคงไม่มีสติเหลือ อาจจะทำอะไรที่ไม่ควรทำก็ได้ เมราลยังไม่ได้บอกว่าถึงเวลา..."
เทรมิสนิ่งเงียบชั่วขณะ หลังจากนั้นจึงได้พูดทีเล่นทีจริง...เขาไม่ชอบบรรยากาศเช่นนี้ มันออกจะหนักหน่วงเกินไป
"พี่ชายข้าเท่ยิ่งนัก ราวกับอัศวินผู้อุทิศตัวในเทพนิยาย"
"ข้ารักเมราล" อีกฝ่ายตอบง่าย ๆ
...สิงโตบางตัวก็ไม่ค่อยเหมือนสิงโตเท่าไร ออกจะเหมือนเสือมากกว่า...เทรมิสนึกในใจ...อย่างน้อยก็เรื่องมีคู่ตัวเดียว...
"ข้าขอโทษที่ชวนท่าน คงทำให้ลำบากใจมากจริง ๆ" เขาบอกในที่สุด
ลอร์คานโบกมือ ไม่ได้เห็นว่าเป็นความผิดของน้องชาย ไม่ช้าหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงคนดูทางหน้าขบวนร้องตะโกนต่อ ๆ กันมา...เห็นกำแพงเมืองบัลซอร์แล้ว
"เร่งเข้าไปแจ้งนายประตู บอกว่าเรานำม้ามาให้เจ้าหญิงเซรี" สิงโตทรายร้องตอบไป
"ไม่รู้ว่าท่านเซรีจะว่าอย่างไร เห็นม้าดีทีเดียวยี่สิบตัวเช่นนี้อาจจะดีใจจนเป็นลมก็ได้" เทรมิสหัวเราะหึ ๆ
แต่แล้วพวกเขาก็ได้รับแจ้งว่าเจ้าหญิงเซรีไม่ได้อยู่ที่วัง เธอขอให้พ่อมดกับลอร์คานไปพบที่ท่าเรือ
"เจ้าหญิงขอให้ท่านเบรุคคอลีฟห์และท่านพ่อมดเทรมิสไปพบที่ท่าเรือ" นายประตูบอก "คนอื่น ๆ เมื่อนำม้าไปยังคอกแล้วก็ให้พักผ่อนได้ เจ้าหญิงจะชำระค่าม้ากับท่านเบรุคคอลีฟห์เอง"
"หือ" ลอร์คานแปลกใจ "เหตุใดต้องไปจ่ายค่าม้าที่ท่าเรือ"
อีกฝ่ายแจ้งว่าเขาไม่ทราบ แต่ถ้าหากพร้อมเมื่อไร เขาจะเป็นผู้นำทั้งสองไปยังท่าเรือเอง เมื่อได้ยินดังนั้น เทรมิสกับลอร์คานก็มองหน้ากัน พ่อมดยักไหล่ ออกตัวว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไร
"ท่านเซรีไม่ได้บอกมาในจดหมาย" ชายหนุ่มว่า "แต่พี่ลอร์ค ท่านเคยไปท่าเรือไหม"
"เคยสองครั้ง" สิงโตทรายบอก "แต่หากเซรีต้องการอย่างนั้น ก็เชิญนำทางเถิด"
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสองครั้งนั้นคือไปรอรับเมราลเมื่อเรือมังกรขาวเข้าเทียบท่าหลังแชลลัมตาย และไปส่งเมราลตอนที่เธอจากไป เพราะหลังจากสองเรื่องนี้แล้ว ลอร์คานก็ไม่มีความสนใจเรื่องเรืออีกด้วยประการทั้งปวง เขาเติบโตมาในเมืองทราย บริเวณที่ติดทะเลของเมืองทรายเป็นผาสูงชัน สิงโตทรายไม่มีความรู้เรื่องทะเลเลยแม้แต่นิดเดียว เขารับทราบเพียงว่าท่าบัลซอร์ได้รับการซ่อมแซมแล้ว และกลับคึกคักเหมือนสมัยก่อนอีกครั้งเท่านั้นเอง
ยามขี่ม้าผ่านเมืองบัลซอร์ ลอร์คานก็อดนึกเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ทำเช่นนี้ไม่ได้ ...บัลซอร์อุดมสมบูรณ์ร่ำรวย คึกคักยิ่งนัก มีประชาชนหลากหลาย ซึ่งไม่ได้มีเพียงคนอันเซลมาแท้เท่านั้น หากแต่ยังมีคนต่างชาตินอกเกาะที่หลั่งไหลเข้ามาหางานทำและค้าขายเช่นเดียวกัน ความเข้มแข็งนี้เองที่ทำให้บัลซอร์ฟื้นตัวจากคราวถูกแชลลัมทำลายได้อย่างรวดเร็ว...ตลาดเต็มไปด้วยสินค้า ทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ ของฟุ่มเฟือย และอาหาร ลอร์คานเห็นสินค้าเช่นนั้นยังอดคิดไม่ได้ว่าอาหารมากมายขนาดนี้อาจพอเลี้ยงคนทรายทั้งเผ่าได้หลายสัปดาห์ หากว่าสามารถทำให้เมืองทรายคึกคักได้เพียงครึ่งของบัลซอร์ ก็อาจจะมีคนอดตายในยามแล้งน้อยลงมากทีเดียว
ทางไปยังท่าเรือบัลซอร์เป็นถนนใหญ่ ลาดลงไปเพราะเมืองหลวงแห่งอันเซลมาตั้งอยู่บนเนิน มีวังหลวงและวิหารอยู่สูงสุด ส่วนท่าเรือนั้นเป็นจุดที่ต่ำสุดของเมือง จึงมีปัญหามากคราวน้ำท่วม เมื่อแรกสองข้างถนนเป็นตึกรามบ้านช่อง แต่ไม่ช้าบ้านช่องก็เริ่มกลายเป็นตลาดและโรงเก็บสินค้า ถนนหนทางยิ่งวุ่นวายขึ้นเรื่อย ๆ ยามใกล้ถึงท่าเรือก็จะเริ่มได้กลิ่นเค็ม กลิ่นปลา เสียงผู้คน เสียงรถขนของ ตลอดจนเสียงสัตว์ต่าง ๆ เช่นนกทะเล สุนัข ม้าและลาปะปนกันอึ้งอึง ยิ่งเวลานี้หมดหน้ามรสุมแล้ว เรือทั้งหลายเริ่มเดินทางอีกครั้ง บริเวณท่าเรือจึงยิ่งอลหม่านจนคนไม่เคยเห็นถึงกับหูตาลาย มองไปทางไหนก็มีแต่การขนถ่ายสิ่งของไปกลับโรงสินค้า หีบห่อ ถุง ลัง รถเข็นผ่านวูบวาบ ท่าเรือที่รายไปตลอดอ่าวทรงครึ่งวงกลมเต็มไปด้วยเสากระโดงแน่นขนัดราวกับป่า แม้เรือลำที่เข้ามาเทียบฝั่งไม่ได้ก็ยังมีคนขนของใส่เรือเล็กไปส่งให้ ลอร์คานมัวแต่สนใจมองคนปีนป่ายเสากระโดง ชักรอกนำสินค้าขึ้นมา เทรมิสเรียกให้ลงม้าแต่เมื่อไรยังแทบไม่รู้ตัว
"ลงม้ากันเถอะ ต้องเดินเข้าไปแล้ว" พ่อมดบอกเขา
แต่ว่าตอนนั้นเอง นายทหารผู้นำทางมาก็ชี้มือ
"นั่นอย่างไรขอรับ เจ้าหญิงเซรี"
เทรมิสลืมพี่ชายของตนทันที เร่งหันตามนิ้วไป ไม่สนใจใครคนอื่นอีกเลย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น