ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Black Mirror

    ลำดับตอนที่ #3 : มอร์เดรดกับมาร์คัส

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 274
      7
      25 ม.ค. 64

    “ปู่กับเจ้า เรามันเลือดมอร์เดรด” ปู่ชี้ไปยังรูปภาพเหนือเตาผิง รูปของผู้ชายที่สวมเครื่องแต่งกายเหมือนนักบวชโบราณ วางมือลงบนหัวของสุนัขดำสองตัวที่อยู่เคียงข้าง ชายผมยาวสีดำ ซึ่งมีนัยน์ตาและรูปหน้าราวกับหลุดออกมาจากดินแดนอันไม่มีจริง

    “พ่อสอนอะไรให้แซมวลกัน” ลุงโรเบิร์ตท้วงมา

    “ส่วนโรเบิร์ตเป็นมาร์คัส” ปู่หัวเราะ “ตระกูลเรามีสองอย่างเท่านั้น ไอ้หนูแซมวล ไม่มอร์เดรดก็มาร์คัส”

    ลุงโรเบิร์ตผู้เคร่งครัดถอนหายใจอย่างระอา ปู่ยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับเป็นเลปริคอน ส่วนแซมวลน้อยเงยหน้าขึ้นมองรูปภาพเหนือเตาผิง ข้างซ้ายเป็นรูปมอร์เดรดซึ่งแต่งชุดนักบวช ส่วนข้างขวาเป็นรูปมาร์คัส แต่งกายใส่เกราะคล้ายนักรบโรมัน พันผ้าพันแผลที่แขน มอร์เดรดถือดีไม่น่าไว้วางใจ แต่มาร์คัสเศร้า…แซมวลคิดมาตลอดว่าเขาไม่เคยเห็นรูปใดเศร้าเท่ารูปของมาร์คัสในห้องโถงใหญ่เลย

    มอร์เดรดกับมาร์คัสเป็นต้นสกุลกอร์ดอน นับย้อนไปได้แสนไกล…ตั้งแต่สมัยเคลติก สมัยที่โรมันเพิ่งมายึดครอง มอร์เดรดเป็นดรูอิด มาร์คัสเป็นนักรบ ปู่ชอบเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้เขาฟัง…ตำนานเก่าแก่โบราณ  

    “มอร์เดรดติดต่อกับผีร้าย” ปู่มักลดเสียงแทบเป็นกระซิบ ทำให้บรรยากาศดูน่ากลัว “มาร์คัสพยายามห้ามเขา แต่ไม่สำเร็จ ตำนานเล่าว่าวันหนึ่งมาร์คัสตัดสินใจลอบสังหารพี่ชายตนเองในวิหารใต้ดิน มาร์คัสแทงมอร์เดรดหลายแผล…หลายแผล แทงแล้วก็ร้องไห้ เลือดไหลนองเต็มพื้นหิน ไหลไปทั่ว จากสีแดงกลายเป็นสีดำ มอร์เดรดตายแล้ว มาร์คัสจึงขึ้นเป็นใหญ่ในตระกูลกอร์ดอน

    “ไม่มีใครรู้ว่าวิหารใต้ดินนั้นอยู่ที่ไหน ตำนานเล่าว่ามันอยู่ใต้คฤหาสน์แบลคมิเรอร์ ถูกปิดตายจากแสงตะวัน ผ่านไปร้อยปีพันปี ศพของมอร์เดรดก็ยังอยู่ที่นั่น เลือดยังไหลเนืองนองและเป็นสีดำ”

    “ถ้าอย่างนั้นมอร์เดรดก็เป็นคนไม่ดี” แซมวลท้วงปู่

    “ไม่ดีหรือ…ใช่ คงจะไม่ดี” นัยน์ตาของปู่เป็นประกายพราว “แต่เราสองคนนะเจ้าหนู…เรารู้ดีว่าทำอะไรแสบๆ แกล้งย่าบ้างก็สนุกดีใช่ไหมเล่า ใครจะอยากเป็นคนดีตลอดกาลเหมือนเจ้าโรเบิร์ตบ้าง เป็นมาร์คัสน่ะน่าเบื่อยิ่งกว่าอะไรนักเชียว”

    แล้วปู่ก็ยังคงเป็น “มอร์เดรด” ต่อไป ทำอะไรที่ขุนนางดีๆ ไม่ทำกัน คบหาคนแทบไม่เลือกหน้า หัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าใครๆ ทั้งที่ต้องใช้ไม้เท้าเดินแต่ก็ยังริหนีจากคฤหาสน์ไปเต้นรำ ดวลไพ่ข้ามคืนกับเจ้าของผับ เล่นได้มากแล้วก็หัวเราะ ผลักเงินที่ได้ไปกลางโต๊ะ บอกว่าคืนให้ทุกคนไปแบ่งกัน ปู่เล่นเพราะชอบเล่น เพราะอยากเจอคน ไม่เคยหวังเงิน ปู่ที่แซมวลจำได้เป็นคนรักเพื่อนมนุษย์และมีความสุขกับการทำอะไรแสบพอให้คนอื่นส่ายหน้ายิ่งนัก

    บางทีคงเพราะปู่เป็นคนแบบนี้ ลุงโรเบิร์ตจึงเคร่งครัดยิ่งกว่าใครๆ ปู่เล่าเรื่องตำนานโบราณ แต่ลุงโรเบิร์ตเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นแพทย์ผู้ดูแลโรงพยาบาลที่แอชเบอร์รี ปู่ทำให้แซมวลสนใจเรื่องเคลติก เรื่องรูน เรื่องโบราณทั้งปวง ลุงโรเบิร์ตก็ได้แต่ส่ายหน้าปวดหัว เขาไม่ได้หวังให้หลานชายคนเดียวเรียนอะไรแบบนั้นเลย ภรรยาของลุงตายนานแล้ว ลุงเองก็ไม่มีลูก แซมวลรู้ดีว่าลุงอยากให้เขารับช่วงแทน…รับช่วงแทนทุกอย่าง ไม่ว่าแบลคมิเรอร์ ที่ดินทั้งหมด หรือแม้แต่โรงพยาบาลบำบัดผู้ป่วยทางจิตแอชเบอร์รี

    แต่เมื่อไม่สำเร็จลุงก็มิได้พูดอะไร ถึงแม้จะเป็นพ่อลูกที่ต่างกันยิ่งนัก แต่ในความทรงจำของแซมวล ปู่กับลุงก็รักกัน คำที่ติดปากปู่คือต้องระวังตัวไม่ให้ทำอะไรเกินไปนักเพราะวิคตอเรียคือย่าจะเสียใจ และโรเบิร์ตจะโกรธเอา

    ส่วนลุงนั้นแม้ไม่พูดอะไรสักคำเดียว แต่ก็มักจะอยู่นี่นั่น แม้ไม่เคยแสดงความรัก ไม่เคยมีความรู้สึกทางสีหน้า แต่มักเป็นผู้แก้ไขให้ถูกต้อง เป็นที่พึ่งของปู่และย่า ลุงเป็นทายาทที่ดีของแบลคมิเรอร์ เป็นมาร์คัสคนหนึ่งจริงๆ

    แล้วเหตุใดเล่า เรื่องเหล่านี้จึงเกิดขึ้นมา

    แซมวลหงุดหงิดใจ สะบัดรูปถ่ายในมือ หลังจากที่ใช้กาวปะติดปะต่อมันบนแผ่นกระดาษอีกแผ่นแล้ว เขาก็ยังคงนึกไม่ออกว่าคนในรูปเป็นใคร เหตุใดจึงถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยซุกซ่อนอยู่ในเตาผิงเช่นนั้นได้…บางทีเขาควรจะถามย่าหรือไม่ก็ลุงโรเบิร์ต    

    แต่…ปู่ตายอย่างเป็นปริศนาเช่นนั้น แบลคมิเรอร์ก็ไม่ใช่ที่คนนอกเข้ามาโดยง่าย

    …เราสงสัยพวกย่าหรือ…แซมวลตกใจกับความคิดของตนเอง บางทีสิบสองปีที่จากบ้านไปคงทำให้ห่างเหินเกินไปจริงๆ …แซมวล กอร์ดอน แม้แต่ย่า ลุง และแบตส์ก็ไว้ใจไม่ได้หรืออย่างไร ถ้าอย่างนั้นนายจะไว้ใจใคร

    เขาชั่งใจอีกครั้ง…บางทีรูปถ่ายนี้อาจจะไม่มีความหมายเลยก็ได้ อาจจะเป็นเพียงรูปของใครสักคนที่เผอิญผู้ได้รับไม่ต้องการจึงฉีกทิ้ง เมื่อคิดดูแล้วเรื่องตัวอักษรรูนที่ผนังและวัตถุประหลาดที่พบในพุ่มไม้ใต้หอคอยอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เกี่ยวพันกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากกว่า แบตส์บอกให้เขาไปถามคนสวนดู เขาก็น่าจะทำ

    ดังนั้นแซมวลจึงลงไปที่สวน …สวนของแบลคมิเรอร์กว้างนัก กินอาณาบริเวณถึงโรงม้าและเรือนกระจก มีมุมต่างๆ เป็นอันมาก ชายหนุ่มจำได้ว่าสวนนี้เคยสวย จำได้ถึงสมัยที่เขาจับมือของคัธรินหนีออกมาจากงานเต้นรำและนั่งคุยกันเพียงสองคนกลางแสงจันทร์ บนเก้าอี้ที่มองไปเห็นสระน้ำพุ แซมวลคิดถึงเรื่องราวในครั้งนั้น เท้าของเขาจึงมุ่งไปยังมุมดังกล่าวเป็นแห่งแรกโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อถึงแล้วชายหนุ่มก็ยืนนิ่งขึงไป

    ต้นไม้ใหญ่ล้มลงมาทับเก้าอี้ที่เขาเคยนั่งกับคัธรินแหลกสลาย กิ่งและใบของต้นไม้นั้นปิดบังเก้าอี้ไว้ แห้งเหี่ยวบิดงอราวกับคนชราที่ล้มลงนอนตาย พื้นดินก็รกเรื้อไปด้วยหญ้าป่า ขึ้นสูงราวกับไม่มีใครดูแล ทั้งสระน้ำนั้น …สระที่เคยใสที่สุด   ที่เขาเคยมาเล่นช้อนแมลงน้ำและลูกอ๊อดเมื่อเด็ก ที่ที่เคยสะท้อนแสงจันทร์เวลามีงานเลี้ยงอาหารค่ำกลางแจ้ง บัดนี้ขุ่นเขียวมีตะไคร่ลอยเป็นฝาราวกับบึงน้ำเสีย ส่งกลิ่นเหม็นอับและทำให้แซมวลรู้สึกถึงความหมายของการได้เห็นของรักเสื่อมผุพังไปต่อหน้าต่อตา

    ชายหนุ่มหันหลังกลับทันที ออกตามหาคนสวนไปทั่ว โกรธราวกับคลั่ง ทันทีที่เขาเห็นใครคนหนึ่งเผาใบไม้อยู่แซมวลก็กรากเข้าไปหา ชายนั้นตกใจเล็กน้อย เลิกปีกหมวกออกแสดงให้เห็นใบหน้าที่บวมฉุขึ้นด้วยฤทธิ์สุรา

    “ฉันคือแซมวล กอร์ดอน” ชายหนุ่มบอกทันทีที่เจอตัว “นายคงเป็นเฮนรี่คนสวน ทำไมสระที่สวนตะวันออกถึงเป็นแบบนั้น”

    “ผมได้ยินว่าคุณจะมา” เฮนรี่พยายามปรับบทสนทนาให้นุ่มนวลลง

    “เกิดอะไรขึ้นกับสระที่สวนตะวันออก” แซมวลเกือบตวาด

    คนสวนถอนหายใจ ดูเนือยเต็มที

    “คุณแซมวลครับ ทั้งสวนออกกว้างขวางมีผมดูแลอยู่คนเดียว จะให้ทั่วถึงอย่างไรได้” เขาว่า “อีกอย่างหนึ่ง สระนั้นมองจากข้างนอกก็ไม่เห็นเพราะอยู่ด้านหลัง ผมเห็นว่า…”

    “ไปทำความสะอาดเสีย”

    “คุณครับ…”

    “ไปทำความสะอาดเสีย! หรือไม่อย่างนั้นก็เก็บข้าวของออกไปจากบ้านฉัน”

    คนสวนยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ บอกว่าจะทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แซมวลเห็นดังนั้นก็โกรธนัก โกรธราวกับจะชกคนตรงหน้าได้จริงๆ เขารีบสาวเท้าจากไป ลืมเลือนว่าจะหาตัวคนสวนทำไมจนกระทั่งในที่สุดก็ถึงหน้าเรือนกระจก ชายหนุ่มชะงักเท้าอยู่ชั่วครู่ พยายามสะกดอารมณ์ตัวเองสู่ภาวะปรกติ ขณะนั้นก็เหลือบชำเลืองไปยังเครื่องสำหรับบดกิ่งไม้เพื่อเตรียมเผาโดยไม่ได้ตั้งใจ

    …เลือด

    แซมวลตกใจ เขาเห็นเลือดแดงไปทั่วปากเครื่องมือดังกล่าวราวกับมีใครใส่อะไรที่มีโลหิต…ศพ....เข้าไปข้างในและปั่นให้มันหมุนย่อยจนเป็นเศษเนื้อ ชายหนุ่มมองอยู่ชั่วครู่ ตกตะลึงไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไร ครั้นแล้วเขาจึงหลับตาแน่น เมื่อลืมขึ้นมาอีกครั้งสมองก็มึนงง ตาพร่าพราย แต่ไม่มีเลือดบนเครื่องบดกิ่งไม้อีกแล้ว

    …ประสาทหลอนไป…ชายหนุ่มนึก ลูบเครื่องบดกิ่งไม้และรู้สึกหนาวเย็น หมอเคยบอกให้เขาดูแลตัวเองมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นอาการไมเกรนที่เป็นอยู่อาจร้ายแรงลุกลามมากขึ้น แซมวลไม่เคยสนใจจริงจัง เมื่อปวดนักก็เพียงกินยา…ใช่ กินยามากไม่ดีหรอก เขารู้ แต่แซมวลไม่ได้สนใจร่างกายนี้มานานมากแล้ว เขาไม่มีเหตุอะไรให้ต้องบำรุงรักษามัน อย่างน้อยก็จนกระทั่งถึงตอนนี้

    …เราจะอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีกนานเท่าไร…แซมวลคิดขณะล้วงมือสั่นเทาลงไปในกระเป๋า หยิบยาใส่ปาก ถึงจะรู้ว่ามันทำลายแต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจสงบใจลงได้เลยถ้าไม่กินยา เขารู้สึกกลัวตัวเอง ไม่รู้ว่าจะเห็นภาพหลอนอะไรแปลกประหลาดหรือไม่ บางทีควรจะระวังมากกว่านี้

    ครั้นแล้วชายหนุ่มก็นึกออกว่ามาในสวนทำไม เขากลับไปหาคนสวนอีกครั้ง ชายดังกล่าวยังคงเนือย ดูครึ่งหลับครึ่งตื่นจนรู้ว่าคงดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อยขณะทำงาน แซมวลถามเขาถึงเหรียญประหลาดที่พบ เมื่อแรกคนสวนไม่ยอมพูด แต่เมื่อขู่มากเข้า ชายนั้นก็ยอมรับว่าพบของที่คล้ายกันอีกชิ้นหนึ่งแต่จำนำไปเสียแล้ว

    “จำนำ” แซมวลตกใจ

    “ผมไม่รู้ว่าเป็นของท่านลอร์ด อีกอย่างหนึ่งตอนนี้ก็เงินขาดมือ” คนสวนบอกอย่างไร้ความรับผิดชอบ แซมวลนึกไม่ออกเลยว่าคนอย่างลุงโรเบิร์ตและแบตส์ยอมจ้างคนแบบนี้มาทำงานได้อย่างไร

    “งั้นเอาตั๋วจำนำมา ฉันจะไปไถ่คืน” ชายหนุ่มพยายามสะกดอารมณ์ไว้

    “ผมว่าคงอยู่ในเรือนกระจก แต่ตอนนี้ผมยังหากุญแจเรือนไม่เจอ” ชายนั้นบอกต่อไป

    “หมายความว่าอย่างไร”

    “ของของผมอยู่ในเรือนกระจก แต่กุญแจผมทำหายไป กำลังหาอยู่” คนสวนว่า

    แซมวลกัดฟัน คิดอยากเค้นคอคนเต็มที่แล้ว

    “เอาละ” เขาว่า “หาให้เจอ หาให้เจอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาตั๋วจำนำมาให้ฉัน แล้วฉันจะให้นายยี่สิบปอนด์ดีไหม”

    “ผมจะลองดู”

    ชายหนุ่มขุ่นเคืองแต่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดีกว่านี้ได้…เขาไม่อยากให้ถึงกับทำลายเรือนกระจก มันเคยเป็นที่ที่ปู่รักมากนัก อีกอย่างหนึ่งแซมวลก็รู้ว่าแบตส์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในสวน ไม่น่าจะมีกุญแจสำรอง

    …พูดถึงกุญแจ นอกจากที่ย่าทิ้งไปแล้วนั่นปู่ไม่มีกุญแจสำรองเลยเชียวหรือ แซมวลจำได้ว่าปู่เป็นคนชอบแอบทำเรื่องแผลงๆ น่าจะมีกุญแจสำหรับปิดล็อคพิเศษอะไรของตัวเองบ้าง

    “น่าจะลองถามหมอแฮร์มันน์ดู” แบตส์แนะนำเมื่อเขาไปถาม “หมอเป็นคนชันสูตรศพท่าน บางทีข้าวของอะไรคงยังอยู่กับหมอ”

    แซมวลจึงออกจากแบลคมิเรอร์ไปบ้านของหมอแฮร์มันน์ หมอเช่าบ้านโบราณอยู่เมื่อหลายปีก่อน ดัดแปลงห้องใต้ดินเป็นห้องชันสูตรศพและเก็บข้าวของหลักฐานอื่นๆ เมื่อชายหนุ่มไปถึง แนะนำตัวว่าตนเป็นใครและบอกความประสงค์ หมอชาวเยอรมันร่างเล็กก็ลูบคาง

    “ผมไม่แน่ใจว่าจะเอาของจากศพให้คุณได้ มันเป็นหลักฐาน อีกอย่างหนึ่งตอนนั้นลอร์ดกอร์ดอนก็ใส่ชุดนอน ไม่มีของอะไรติดตัวหรอกนะ” เขาว่า “แต่…ก่อนท่านสิ้นไม่นาน ท่านเคยเอาของมาฝากผมไว้หีบหนึ่ง ผมว่าหีบนั้นคงให้คุณได้    ไม่มีปัญหาอะไร”

    “หีบหรือครับ”

    “ใช่ ลอร์ดกอร์ดอนฝากผมไว้ บอกว่าถ้าท่านเป็นอะไรก็ให้ลองเปิดดู ตอนนั้นท่านพูดแปลกๆ ว่าไม่ให้บอกเซอร์โรเบิร์ตกับคุณวิคตอเรีย…ท่านคงเล่นอะไรอีกแล้วนั่นละ ที่จริงผมก็ตั้งใจจะเอาหีบไปคืนเหมือนกัน แต่ติดว่ากระชั้นกับงานศพแบบนี้คงไม่ค่อยเหมาะ”

    …ไม่ให้บอกลุงกับย่า

    ครั้นแล้วหมอก็เอาหีบเล็กๆ หีบหนึ่งมาให้แซมวล เมื่อเปิดออกแล้ว ชายหนุ่มก็พบนาฬิกาทองเรือนหนึ่ง และเมื่อเปิดนาฬิกาพลิกดู กระดาษแผ่นหนึ่งก็หล่นตกลงมา

    บนกระดาษนั้นมีเขียนข้อความไว้

     

    …ถึงสมองขี้หลงลืมของฉัน

    กุญแจสู่หอคอยนั้นอยู่บนโต๊ะหนังสือ

    เบื้องหลังม่านอันดำสนิท

    และดวงดาวทั้งเก้า


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×