ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เซรีญา The Dragon's Gate

    ลำดับตอนที่ #2 : ๑.

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ย. 56


    ๑.
     
    เมราลกลับมายังที่อยู่ของตน   เธอไม่ได้อยู่บนเรือนานแล้ว   ทั้งยังเป็นคนแรก ๆ ที่ประกาศลงเรือมาอาศัยบนฝั่งด้วย   เธอทราบดีว่าหากยังอยู่บนเรือต่อไป   คนของตนก็จะผูกพันกับเรือ   จะไม่คิดว่าเกาะแห่งนี้เป็นดินแดนใหม่   แต่แม้พยายามทำอย่างนั้น   ผ่านไปหลายต่อหลายปีก็ยังคงมีคนที่กลัวบกไม่ยอมลงมา  
     
    เธอเป็นคนเลือกเกาะแห่งนี้เอง   มันเป็นเกาะร้างขนาดไม่ใหญ่นัก   ห่างไกลจากเกาะเสือมาทางทิศตะวันออก  เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซึ่งอยู่ไม่ห่างจากทวีปใหญ่   เกาะนี้อยู่แยกจากหมู่เกาะที่เหลือ  จึงไม่มีใครจับจองเว้นแต่ชาวประมงจำนวนหนึ่งที่มาสร้างที่พักชั่วคราวไว้   นอกจากนั้นก็มีนักบวชพวกที่ปรารถนาจะอยู่ห่างไกลจากคนทั้งหลายอีกสองสามคน   เมราลกับพวกผู้เฒ่าที่เห็นด้วยกับเธอต่างช่วยกันใช้พลังหยั่งรู้ของโคแรนนิอิดสำรวจดินแดนนี้   หลังจากทำแผนที่เรียบร้อยแล้วจึงตกลงปลงใจว่าจะปักหลักที่นี่เอง   ผืนดินมีแร่ธาตุ   มีป่า  มีภูเขาสูง   มีเวิ้งอ่าวสามารถจอดเรือได้   และมีที่มากพอจะขยับขยายออกไป
     
    หลังจากนั้นเธอจึงลงจากเรือ   เธอเป็นหนึ่งในคนโคแรนนิอิดไม่กี่คนที่เคยอยู่บนแผ่นดินเป็นเวลานานพอสมควร   คนอื่น ๆ ตามเธอลงมา   อัศจรรย์ใจยามเธอขึ้นไปบนที่สูง   และทอดตามองรอบ ๆ   เธอบอกเขาว่าสร้างหมู่บ้านกันตรงนี้เถิด   และคงต้องขอให้เขาสร้างกระท่อมให้เธอสักหลังด้วย   แต่พวกเขาบอกว่าไม่ได้   ท่านเมราลอย่าได้อยู่ในกระท่อมเด็ดขาด   จากนั้นก็สร้างบางสิ่งที่เกือบใหญ่โตเท่าพระราชวังให้เธอ   ปิดไว้ไม่ให้เธอรู้ว่าการก่อสร้างเป็นอย่างไรบ้าง   รอให้เธอลงเรือมาเห็นและตกใจเอง   ตอนนั้นเมราลงุนงง  ถามว่าที่ใหญ่โตแบบนี้จะอยู่ได้อย่างไร   พวกโคแรนคนอื่นก็นิ่งอึ้งไปเหมือนกัน   พวกเขาเคยอยู่แต่บนเรือ   ห้องหับมักเล็กแคบอย่างยิ่ง  ไม่มีอาคารสูงเกินสองชั้น    หลังจากเมราลถามอย่างนั้น   หัวหน้านายช่างจึงได้เกาศีรษะแกรก ๆ   เขาว่าท่านเมราล   ข้าอยากให้ท่านอยู่วังยิ่งใหญ่กว่าของกษัตริย์อันเซลมา   แต่ที่จริงก็ไม่รู้หรอกว่าข้างในมีอะไร
     
    ช่วงนั้นเองที่มีนกทะเลตัวหนึ่งบินมาจากทางตะวันตก   มันเป็นนกทะเลปีกกว้างยาว   เมื่อถึงก็เกาะลงตรงระเบียงหน้าต่างห้องของเมราล   ตอนนั้นเธอยังอยู่ทั้งบนเรือและบนบก   นกมาเยือนเธอบนเรือ
     
    นกนำจดหมายมาสองฉบับ   ใส่ซองซ้อนกันไว้    เพียงจดหมายในซองด้านนอกก็ทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วแปลกใจ   มันเป็นลายมืองดงามของเทรมิส นิ รูฮาห์  ...เทรมิสแห่งหอกาล   พ่อมดแห่งกาลเวลาผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าสัตว์ร้าย   เขาเป็นนักเขียนหนังสือสวย   ลายมือจึงงามเช่นนี้   อย่างไรก็ตาม เนื้อหาของจดหมายก็ยังกึ่งเล่นกึ่งจริงสมนิสัยพ่อมดอยู่นั่นเอง   เขาบอกว่าท่านเมราล  พี่สิงโตของข้าใกล้บ้าแล้ว   ขอท่านเมราลช่วยสงเคราะห์ด้วยเถิด
     
    หญิงสีขาวอ่านจดหมายแล้วจึงมองนกทะเลอีกครั้ง   ค่อยเห็นว่ามันเป็นสัตว์ภูตสายลม   เทรมิสคงขอมันจากญาติของเขาในหอสัตว์ภูต  จดหมายของเทรมิสสั้น  เพียงนำความไปถึงจดหมายฉบับที่สองว่าเป็นมาอย่างไร   ยามเมราลเปิดจดหมายอีกฉบับ   จึงพบว่ามันยาวกว่ามาก   เป็นลายมือตัวโตกดจนหมึกเข้มเส้นหนา...ลายมือลอร์คาน  เขาเป็นคนมีกำลัง   ยามเขียนหนังสือก็กดแรงไม่ได้เจตนา   ถ้อยคำของเขาทื่อแข็ง   ปราศจากลูกเล่นโดยสิ้นเชิง   ต่างกับเทรมิสราวฟ้ากับเหว   กระนั้นถ้อยคำทั้งปวงก็มีแต่ความจริงใจ
     
    เขาถามว่าเธอสบายดีไหม   หากมีอะไรให้รีบติดต่อมา   เขาว่าเธอจากไปไกลมากแล้ว   ไม่มีพ่อมดแม่มดใดบนเกาะเสือจะพาเขาไปถึงเธอได้   มีเพียงสัตว์ภูตสายลมที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงอาจข้ามทะเลใหญ่   แต่ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น   เขาจะรีบลงเรือไปช่วยเหลือ   จากนั้นลอร์คานคงไม่รู้จะเล่าอะไร   จึงกล่าวถึงเรื่องราวฝั่งตนบ้าง  เขาว่าเป็นเบรุคคอลีฟห์แล้วก็มีงานมาก   ทะเลาะกับพ่อก็หลายครั้ง   ขัดแย้งกับคนในสภาเผ่าก็หลายหน   แต่เขาพยายามควบคุมตนเอง   เขาอยากให้พ่อสบายใจ  หากมีเหตุต้องคัดง้างกันจึงพยายามข่มตนให้พูดจาด้วยเหตุผลอย่างสงบ   นับว่ายากเย็นเอาการเพราะสองคนคิดต่างกันหลายเรื่องทีเดียว
     
    ...แต่พ่อหายโกรธแล้วก็บอกว่าไม่เป็นไร   ให้โต้เถียงกันดีกว่า   เพื่อจะได้วิธีที่ดีที่สุดออกมา...ลอร์คานอธิบาย  จากนั้นเมราลก็เห็นลายมือเขียนด้วยแท่งถ่านของเทรมิสอยู่ตรงขอบกระดาษว่า "สองคนก็เลยทะเลาะกันกระโจมแทบแตกทุกวัน"   คาดว่าพ่อมดอาจจะชะโงกดูตอนลอร์คานเขียนอยู่   และเกิดทนไม่ไหวต้องขอเติมสักคำ   แต่ก็คาดได้อีกเหมือนกันว่าทำอย่างนี้กับสิงโตทราย   ชะตากรรมของพ่อมดคงไม่ออกมาดี
     
    เธอนึกจินตนาการได้อย่างนั้นแล้วก็ยิ้ม   จิตใจที่ไม่สบายผ่อนคลายลงมาก   ก่อนนี้เธอเคยคิดว่าต้องขาดจากลอร์คานชั่วกาลนาน   แทบไม่มีความหวังใด ๆ    แต่นับว่าโชคดีที่มีเทรมิสอยู่ตรงนั้น   เขาเป็นคนไม่สนใจกฏเกณฑ์ใด ๆ   เพียงทำให้คนทั้งปวงมีความสุขก็พอแล้ว 
     
    ...ท่านเมราลอย่าได้สนใจพี่ชายข้า   เขาชอบทำตัวน้ำเน่าเหมือนตัวเอกชะตากรรมรันทดในเทพนิยาย...พ่อมดเขียนต่อท้ายจดหมายลอร์คานดื้อ ๆ อย่างนี้...ภายหน้าท่านอยากทำอะไร  ขอให้ทำให้สมใจ  อยากเขียนจดหมายก็เขียน  หากต้องการให้พี่ข้าไปหา  ให้บอกมา   รับรองพี่ข้าจะโลดลิ่วไปหาท่านไวกว่าสายลม   เอาละ  ข้าจะเลิกยุ่งกับจดหมายของพวกท่านเท่านี้แล้ว   ท่านเมราลรักษาตัวให้ดี...
     
    เทรมิสไม่ใช่คนโง่หรอก  เขาย่อมเข้าใจว่าเธอกับลอร์คานแบกอะไรไว้บนบ่า   แต่เพราะเป็นอย่างนี้  เขาจึงช่วยเท่าที่ทำได้   ไม่ต้องการให้บางสิ่งที่สำคัญต้องสูญเสียไป   นับแต่นั้นมา เมราลจึงติดต่อกับลอร์คานอย่างสม่ำเสมอ  เธอเขียนจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่า   เล่าเรื่องราวทางฝั่งตน   เรื่องการเพาะปลูก  ปราบถางแผ่นดิน เรื่องงุนงงว่าสร้างบ้านแล้วก็ไม่ทราบจะเอาอะไรไปยัดให้เต็มได้   เรื่องน่าขำของคนเรือที่ต้องไปอยู่บนบก  เรื่องลำบากใจของการต้องต่อสู้ทางการเมือง
     
    ลอร์คานตอบจดหมายเสมอ   นอกจากนั้น บางครั้งก็มีจดหมายของเทรมิสด้วย   และนาน ๆ หนถึงกับมีจดหมายของเซรี   เซรีฟ้องเมราลว่าเธอไม่มีเวลา   ไม่ใคร่ได้พบลอร์คานหรือเทรมิส  กว่าจะเจอหน้าพวกเขาก็ส่งจดหมายไปแล้ว   เธออยากเขียนหาเมราลบ้าง   แต่กว่าจะดักจับตัวคนส่งสารได้ก็ต้องวางแผนกันหลายชั้น  น่าหมั่นไส้เสียจริง
     
    จดหมายฉบับแรก ๆ   ทั้งเมราลและเจ้าหญิงแห่งอันเซลมาต่างเกร็ง   ทว่าเมื่อติดต่อกันนานเข้า  ก็มีความรู้สึกเป็นมิตรสหาย   เซรีเป็นคนเปิดเผย   ข้อความในจดหมายก็เล่านั่นเล่านี่ตามแต่จะนึกออก   เธอบอกเมราลว่าเดี๋ยวนี้ถูกจับเข้าร่วมสภา   ต้องทำงานราชกิจเพิ่มขึ้น   ทำให้ชักหนีไปขี่ม้าหรือหาเพื่อน ๆ ยากขึ้นทุกที   พอบ่นกับท่านพ่อท่านแม่ท่านอา   ทุกคนก็พร้อมใจกันทำเป็นไม่ได้ยิน
     
    ...เขาบอกว่าข้าจะเป็นราชินี   ข้าฟังแล้วกลุ้มใจพิลึก...เซรีฟ้องมา...ข้าไม่เป็นได้ไหม  จะหนีไปอยู่กับท่านเมราล...
     
    แต่เธอก็เพียงพูดเล่นเท่านั้น   เพราะที่จริงเซรียังคงเป็นคนจริงจัง   หากรับทราบแล้วว่าตนต้องรับผิดชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้   เธอจะพยายามสุดกำลังปัญญา บางครั้งเมราลอ่านจดหมายแล้วก็รู้สึกว่าเซรีน้อยกับตนมีหลายอย่างคล้ายกัน  ยามเซรีเติบโตขึ้น   เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเมือง  ราชกิจ  การดูแลประชาชน   เมราลก็เติบโตไปในทางเดียวกัน   เซรีไม่ใช่เซรีน้อยแล้ว   เมราลก็ค่อย ๆ ได้รับความเชื่อถือจากคนในเผ่าเพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
     
    เธอไม่มี "เพื่อน" ในเผ่า   ไม่หรอก...ก็มีคนสนิท  มีผู้เฒ่าที่สนับสนุน  มีคนอย่างเกจที่จงรักภักดี   แต่เมราลไม่มีเพื่อนเสมอกัน   ไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้นเพราะแต่แรกมาเธอถูกมองว่าเป็นเทพเจ้า   บางครั้งเมราลก็รู้สึกโดดเดี่ยวมากเช่นคนเป็นหัวหน้าทั้งหลาย   ดังนั้นจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่าของเพื่อนจากเกาะเสือจึงทำให้เธอมีกำลังใจ   พวกเขาพยายามแนะนำช่วยเหลือเสมอหากเธอมีปัญหา   ยามที่ผู้เฒ่าหลายคนลุกออกจากสภาไปดื้อ ๆ ไม่รับฟังเธอ   ยามที่คนทั้งหลายเรียกร้องรุมเร้าให้แก้ปัญหาให้    เมราลจะเขียนจดหมายหาลอร์คาน   เธอต้องการเพียงที่ระบาย   เพื่อตนจะได้ลุกขึ้นเดินต่อไปได้   บางทีเธอก็รู้สึกกลัวว่าจะทำให้ลอร์คานรำคาญใจ   แต่ลอร์คานว่าไม่เป็นไร   เขาดีใจ   เขาเองยามมีปัญหาก็เล่าให้เธอฟัง
     
    ...อย่าได้หวังพึ่งเพียงฐานะราชินีเกล็ดเงิน   ตำแหน่งนั้นจับต้องไม่ได้   ควรสร้างบารมี  ให้น้ำใจ...ลอร์คานบอกเธอ...ให้น้ำใจให้มาก   ทำงานให้หนัก   เห็นแก่คนของเจ้าก่อนคนอื่นใด   ถึงเวลานั้นคนทั้งปวงจะฟังเจ้าเพราะเจ้าเป็นเมราล เชอยิน  ไม่ใช่เพราะเป็นเทพเจ้าที่บางครั้งก็เลื่อนลอยเกินไป...
     
    คนทั้งปวงว่าลอร์คานไม่มีสติปัญญา   แต่ที่จริงเขาก็รู้เรื่องบางเรื่องดีจริง ๆ   เธอเรียนจากเขา  และเรียนจากที่เคยสังเกตแชลลัมมา   พยายามทำงานเท่าที่ทำได้   พยายามคิดยิ่งกว่าเคยคิดมาก่อน   พยายามจะดีกับคนทั้งปวง   หลายปีผ่านไป เมราลจึงได้รับผลตอบแทน   เธอมีบารมี  ผู้คนเชื่อฟังไม่ใช่เพียงเพราะเป็นราชินีเกล็ดเงิน   จิตใจเธอเข้มแข็งขึ้นแม้ร่างกายจะยังอ่อนแอ   ปีหลังนี้แม้เด็กรุ่นใหม่อย่างเกจที่ช่วยงานเธอมาแต่ต้นจะเป็นห่วง  เมราลก็รู้สึกว่าตนยังไม่เป็นอะไร  เธอสามารถเล่นเกมการเมืองได้อย่างคมคาย   สามารถทนคำเสียดสีเหน็บแนมและเห็นเป็นสิ่งไร้แก่นสาร   เรียนรู้ที่จะเฉียบขาดและนุ่มนวลในกาละเทศะอันควร   เธอเป็นราชินี...บางทีคงดังที่แชลลัมฝันว่าเธอจะเป็น
     
    กระนั้นบางครั้งบางคราว  เมราลก็คิดถึงลอร์คานอย่างสาหัส   ความคิดถึงจะทำให้เธอเฝ้ามองท้องทะเล  จะทำให้เธอเผลอมองกำไลที่ข้อมือซ้าย   และบางครั้งบางคราว   จะทำให้เธอใช้พลังของรัดเกล้าดาวเหนือที่ไม่ใคร่ได้ใช้แล้ว   สร้างรูปมายาของลอร์คานขึ้นมา   ราวเขามีเลือดเนื้อจริง ๆ ปรากฏตรงหน้า  ...เขาคงเปลี่ยนไปจากมายานั้นแล้วเพราะผ่านไปหลายปี   แต่ในความทรงจำของเมราล   เธอมีเพียงภาพของลอร์คานสมัยก่อนนี้เท่านั้นเอง
     
    "ผ่านไปหลายปีแล้ว   ท่านจะยังเหมือนเดิมอยู่ไหม" เธอมักถามรูปเงานั้น   ผมยาวดำสนิทราวแผงคอสิงโต   ผ้าที่คาดหน้าผากไว้ลวก ๆ เพียงไม่ให้ผมเกะกะใบหน้า  หนวดเคราที่โกนบ้างไม่โกนบ้างตามความพอใจ   ดวงตาทรงอำนาจ  คิ้วเป็นพุ่มหนาเกือบต่อกัน    หลังไหล่แขนขาแข็งแกร่งราวเหล็กไหล   สามารถดึงม้าตื่นพยศให้หยุดได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว   ความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้สบายใจ...ซื่อสัตย์อย่างยิ่ง  จริงใจอย่างยิ่ง  ไม่โกหกหลอกลวง
     
    รูปเงาดังกล่าวมักเพียงยิ้มเล็กน้อยให้กับคำพูดของเธอ   ราวกับจะบอกว่า หากอยากรู้ว่าเปลี่ยนไปหรือไม่   เหตุใดไม่มาดู
     
    "ยังไปไม่ได้หรอก" เธอบอกเขา "ยังไปไม่ได้"
     
    แต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไรจะไปได้   เมราลถูกพันรัดไว้ด้วยเรื่องราวมากมายที่เธอเองเป็นผู้ริเริ่มไว้   เธอไม่รู้ว่าจะวางมันได้เมื่อไรหรือตรงไหนจริง ๆ
     
    "ท่านเมราลเจ้าคะ" เสียงนางกำนัลเรียกมา
     
    เมราลสะดุ้ง   เพิ่งรู้ตัวว่ายืนเหม่อมองไปทางทะเลเป็นเวลานาน   เธอหันกลับไป   เห็นนางกำนัลคนสนิทยืนอยู่ตรงประตู   ท่าทางไม่ใคร่สบายใจ  เธอคงเคาะประตูหลายครั้งแต่ไม่ได้รับคำตอบ   เป็นห่วงมากจึงได้เข้ามา  บางครั้งเมราลก็ไม่สบาย   หลับสลึมสลือไปไม่ได้สติ   จึงอนุญาตให้นางกำนัลเข้ามาในห้องส่วนตัวได้หากเธอไม่ตอบรับจนน่าสงสัยว่าจะเป็นอะไร
     
    "หือ มีอะไรหรือ" หญิงสาวถาม
     
    "ทูตจากลาตา..."
     
    "อ้อ" อีกฝ่ายเพิ่งนึกได้   แม้จะมาก่อนกำหนดก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอไม่ได้คาดหมายไว้ "เชิญท่านทูตนั่งที่โถงหน้าก่อนเถอะ   ข้าจะแต่งตัวออกไป   รับรองเขาให้ดี   ให้ใครสักคนมาคุยเป็นเพื่อนเขาก่อน...เกจก็ได้   หรือผู้เฒ่าสักคน"
     
    ลาตาคือเกาะใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะนี้   แต่สำหรับชาวลาตาเอง   เขาถือว่าหมู่เกาะเกือบทั้งหมดก็คือ "หมู่เกาะลาตา"  คนลาตาอาศัยอยู่ในเกาะส่วนใหญ่   แต่สำหรับเกาะน้อยที่เมราลอยู่   คนลาตาไม่ใคร่มีใครมา  เพราะห่างไกลเกินไป   เมราลเคยได้ยินคนเหล่านั้นเรียกที่นี่ว่าเกาะปีศาจ   แต่เธอกับพวกโคแรนนิอิดเรียกมันว่าเกาะมังกรขาว   ตามชื่อเรือที่ทั้งเผ่าเคยอาศัยมานับพันปี
     
    เมื่อแรกที่มาที่นี่ชาวประมงและนักบวชบนเกาะนี้ต่างยืนยันกับเธอว่ามันเป็นดินแดนร้าง   ไม่มีคนจับจอง   และไม่ได้อยู่ในอาณัติของจ้าวเกาะลาตาแต่อย่างใด   ถึงอย่างนั้นเมราลก็ยังคงส่งสาสน์ไปหาจ้าวเกาะตามมารยาท  เธอไม่ได้ไปหาด้วยตนเอง   เพราะขณะนั้นไม่ค่อยสบาย   อีกประการหนึ่ง การไปหาด้วยตนเองอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเธอต้องการอ่อนน้อม   เมราลไม่มีความคิดจะอ่อนน้อมแต่อย่างใด   เธอต้องการให้โคแรนนิอิดมีประเทศของตนเองอย่างแท้จริง
     
    จ้าวเกาะลาตารับทราบการมาเยือนของเธอ   เขาส่งสาสน์กลับมาว่าไม่ได้มีความคิดขัดขวาง   ทว่าผู้คนทั้งหลายบนลาตาต่างทราบทั่วกันว่าเกาะปีศาจแห่งนี้มีเรื่องลึกลับต้องสาป จึงขอให้เธอพิจารณาให้ดีก่อนจะตั้งรกราก เมราลก็ตอบขอบคุณไปอย่างดี   แต่ไม่ได้จากไป...เธอทราบว่าจ้าวเกาะลาตาคงไม่รู้เรื่องนี้   แต่เหตุสำคัญที่ทำให้เกาะดังกล่าวกลายเป็นเกาะปีศาจก็เป็นเหตุสำคัญที่เธอเลือกที่นี่นั่นเอง...มันมีประตูเปิดไปสู่มิติเวทมนตร์   แม้จนถึงบัดนี้เมราลจะยังไม่อาจเข้าใจเวทมนตร์นั้นได้เต็มที่   และการทดลองของพวกที่ใช้เวทมนตร์ได้จะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามากก็ตาม   ...โคแรนเป็นเผ่าเวทมนตร์   คราวที่คิดไปยึดเกาะเสือก็เพราะดินแดนนั้นมีประตูเปิดไปยังมิติเวทมนตร์เช่นกัน
     
    เมื่อมาถึงที่นี่แรก ๆ   ผู้เฒ่าบางคนยังดีใจ   คิดว่าหากค้นพบเวทมนตร์แล้ว   ก็อาจขยายดินแดนต่อไปได้  ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปจริง ๆ  ทุกคนจึงค่อยตระหนักว่าโคแรนมีคนน้อยเกินไป   นอกจากนั้นก็ควรว่ามีปัญหามากมายเกินกว่าจะคิดยึดดินแดนใครในเวลาอันใกล้   บางทีสักวันในอนาคตอาจมีกำลังพอจะทำเช่นนั้นได้  และอาจมีหัวหน้าที่ต้องการทำ    แต่เมราลหวังว่าวันดังกล่าวจะไม่มาถึง   เธอกลัวว่ามันจะไม่จบที่โคแรนยึดครองดินแดนมากมายได้   แต่จะจบลงเหมือนอดีตอาณาจักรในดินแดนทางเหนือของเกาะเสือ   หรือเหมือนเผ่าโคแรนในอดีตนั่นเอง   ใช้พลังเกิดขีดจำกัดก็กลายเป็นรบราฆ่าฟันกันเองจนทุกสิ่งพินาศไป   ทั้งยังทำให้ประตูมิติปิดลงโดยสิ้นเชิงอีกด้วย
     
    อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังนี้เมราลเริ่มต้องการสิ่งอื่นจากเกาะลาตา   เธอพบว่าเผ่าของตนเริ่มไม่มีลูกหลาน  นอกจากนั้นที่มีลูกหลานก็มีจำนวนหนึ่ง...แม้จะไม่มากนัก  ที่มีความผิดปรกติต่าง ๆ   พวกเธอไม่ได้อยู่บนเรือแล้ว   ก็ยกเลิกประเพณีเอาเด็กจุ่มน้ำมิดศีรษะเพื่อทดสอบว่าจะอยู่รอดไหม    แต่เมื่อเธอปรึกษาเรื่องนี้ไปทางเทรมิส   ถามเขาว่าทำอะไรได้หรือไม่  เขาก็ค้นตำรากลับมาบอกเธอ...อธิบายว่าหากคนเผ่าเดียวกันแต่งงานกันเองนานเกินไป   เลือดเนื้อจะไม่สมบูรณ์
     
    ...ข้าทราบว่าท่านคงอยากรักษาเลือดโคแรนบริสุทธิ์ไว้    แต่บางทีควรพิจารณาแต่งงานข้ามเผ่าบ้าง   คนทางเหนือเองก็ถือเรื่องแต่งงานเช่นกัน   ไม่มีการสมรสในหอเดียวกัน   หรือแม้จำเป็นต้องมี   อย่างน้อยเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต้องไม่ร่วมทวดเดียวกัน  และทวดไม่ได้เป็นพี่น้องกัน   ขอให้เสนอเรื่องนี้กับผู้เฒ่าของท่าน  ค่อย ๆ อธิบายให้เขาเข้าใจ   อาจจะมีการต่อต้านในทีแรกบ้าง   แต่หากเด็กที่ออกมาแข็งแรงก็จะช่วยได้มาก...
     
    เมราลนำเรื่องที่รับทราบมาใคร่ครวญ   เธอย่อมไม่บอกพวกผู้เฒ่าว่าเทรมิสสัตว์ร้ายเป็นผู้วิเคราะห์เรื่องนี้   หญิงสาวจึงสืบสาแหรกคนของตนเอง   และพบว่าสมมุติฐานของเทรมิสอาจเป็นจริงอย่างน้อยก็เจ็ดแปดสิบส่วน  ด้วยเหตุนี้เธอจึงนำสิ่งที่ค้นพบไปอภิปรายในสภา   พวกผู้เฒ่าฟังแล้วต่างงุนงง   แต่ไม่ช้าความงุนงงก็กลายเป็นความกลัว
     
    "เช่นนี้โคแรนนิอิดจะสูญเผ่าหรือ" พวกเขาถาม
     
    "ข้าคิดว่า...เราคงต้องการเลือดใหม่มาผสมบ้าง" เมราลค่อย ๆ บอกช้า ๆ 
     
    ข้อเสนอของเธอทำให้ทุกคนนิ่งงันไปทันที   มันผิดประเพณีเกินไป   แตกต่างจากที่เชื่อกันมากเกินไป   โคแรนนิอิดเป็นเผ่าปิดมานานนับพันปี   พวกเขาก็เหมือนเผ่าปิดทั้งหลาย   ระแวงคนนอก  ไม่เข้าใจคนที่ต่างจากตน
     
    "ไม่เช่นนั้นก็อาจต้องปล่อยให้สูญเผ่าไป" หญิงสีขาวบอกเรียบ ๆ "ที่จริงหลายปีหลังนี้  มีเด็กหนุ่มไม่ได้แต่งงานหลายคน   พวกเราจำกัดจำนวนประชากรติดต่อกันเป็นเวลานาน   ให้แต่ละคู่มีลูกได้เพียงสองคน   คนหนึ่งแทนพ่อ  คนหนึ่งแทนแม่   แต่ประชากรส่วนใหญ่มักคลอดเป็นลูกชาย   หลายครอบครัวมีลูกชายสองคนจึงไม่สมดุล   จำให้ผู้ชายหลายคนสมรสกับผู้หญิงคนเดียวก็ออกจะมากเกินไป   อีกอย่างหนึ่ง  มันจะยิ่งทำให้เลือดของคนรุ่นต่อไปยิ่งใกล้ชิดสนิทหนักขึ้นอีก   อาจนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงกว่าเดิมได้"
     
    "เช่นนั้น...ท่านเสนออย่างไร" พวกผู้เฒ่าได้แต่ถาม
     
    "ข้าเสนอว่าให้คนหนุ่มที่สมัครใจลองสมรสกับคนลาตา" เมราลยังคงเอ่ยอย่างสงบ "ลาตาเป็นเผ่าแข็งแรง   จะมีลูกหลานที่แข็งแรงเช่นกัน"
     
    "แบบนี้ไม่ดีแน่   มันจะมากลืนเผ่าเรา   ทำให้เราแปดเปื้อน!"
     
    เมราลก็รู้อยู่หรอกว่าต้องได้ยินถ้อยคำเช่นนั้น
     
    "แปดเปื้อนกับสูญเผ่า   ข้าคิดว่าควรเลือกแปดเปื้อนดีกว่า" หญิงสาวบอก "ข้าไม่เคยมีความคิดร้ายต่อเผ่าโคแรน  พวกท่านเองก็ทราบ   ดังนั้นจึงต้องขอให้ทุกคนไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วย"
     
    หลังจากนั้นไม่นานก็มีเด็กพิการเกิดมาติดกันถึงสามคน   ทำให้พวกผู้เฒ่าไม่อาจทนต่อไปได้เช่นเดียวกัน  พวกเขาจึงยินยอมทำตามแผนของเมราล   แม้จะลำบากใจอยู่บ้าง    หญิงสาวก็ติดต่อไปยังจ้าวเกาะลาตาตามมารยาท   เธอคิดว่าหากบุ่มบ่ามเอาคนเขามาโดยไม่แจ้ง   ภายหลังจะมีปัญหากันได้   จากนั้นจ้าวเกาะจึงได้ส่งทูตมา...ก็คือทูตคนนี้ที่เมราลขอให้นางกำนัลเชิญเกจหรือผู้เฒ่าคนใดก็ได้มาต้อนรับก่อนนั่นเอง
     
    เธอเข้าไปในห้องเก็บเสื้อผ้า   หญิงสาวเลิกให้นางกำนัลมาช่วยเหลือตนนานแล้ว    เธอไว้ผมยาวเกือบเท่าเมื่อก่อนจะตัดผมไว้ทุกข์ให้แชลลัม   ก่อนนี้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เมราลเคยคิดว่าจะตัดผมสั้นตลอดไป   และจะไม่แต่งตัวให้งดงาม   แต่แล้วเธอกลับพบว่าภาพอันงดงามของตนนั่นเองที่ช่วยให้พวกโคแรนมีกำลังใจ   หญิงสาวจึงกลับแต่งตัวและไว้ผมอีกครั้ง   เธอเคยคิดเหยียดหยามคนที่มาหลงรูปตน...เป็นความเห็นแก่ตัว   แต่เวลานี้เธอสิ้นความเห็นแก่ตัวนั้นแล้ว   ไม่ว่าทำสิ่งใดก็ตั้งใจทำให้เผ่าโคแรน
     
    ...
     
    ทูตลาตานั่งอยู่ในโถงหน้า   เขาเจรจากับชายหนุ่มผมสีเงินและผิวเผือดประหลาดคนหนึ่ง   ซึ่งแนะนำตัวว่าชื่อเกจ   มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคนปลูกพืช   เมื่อแรกทูตไม่พอใจและไม่เข้าใจ   เหตุใดราชินีแห่งโคแรนนิอิดจึงส่งชาวสวนธรรมดามารับเขา   ทว่าไม่ช้าเมื่อได้เจรจากันนานเข้า   ทูตจึงรับทราบว่าตำแหน่งคนปลูกพืชเป็นตำแหน่งสำคัญของเผ่าอันแปลกประหลาดนี้    ชายหนุ่มชื่อเกจอายุเพียงประมาณยี่สิบปี   ทว่าฉลาดคมคาย  คาดว่าคงจะมีอนาคตไกลทีเดียว
     
    เขาพิจารณาชายหนุ่มคนนั้นต่อไป   ก่อนจะนึกถึงเรื่องเผ่าโคแรนนิอิดที่ตนได้ยินมา...ได้ยินว่าเผ่านี้เคยดุร้ายยิ่งนัก   ตั้งใจจะยึดครองเกาะอีกเกาะหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป   แต่ไม่ทราบว่าพ่ายแพ้หรือเพราะอะไร  กลับมาตั้งรกรากที่นี่   จ้าวเกาะไม่ใคร่ไว้ใจพวกนี้   ก็ให้ตั้งกองกำลังรอไว้   ทว่าหลายปีที่ผ่านมา  พวกโคแรนไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร   เพียงตั้งใจก่อสร้างบ้านเมือง  เพาะปลูก   และเริ่มทำการค้าบ้างประปราย   คนส่วนใหญ่ที่เขาถามมาล้วนบอกว่าคนโคแรนค่อนข้างถือตัว   แต่อื่น ๆ นอกจากนั้นก็ไม่เลวร้ายนัก    คนโคแรนเชื่อถือราชินีของตนมากเช่นกัน   เรียกว่าราชินีเกล็ดเงิน   ได้ยินว่าเป็นแม่มดมีอำนาจมากทีเดียว
     
    มาถึงยามนี้  ราชินีเกล็ดเงินขอหญิงสาวลาตาไปสมรสกับชายหนุ่มโคแรน   จ้าวเกาะไม่ทราบว่ามีความนัยอะไรหรือไม่   จึงให้เขามาดู
     
    "ราชินีของข้ามาแล้ว" ชายหนุ่มผมเงินข้างตัวเร่งลุกขึ้น    ทูตเพิ่งได้สติ   จึงลุกตามเช่นกัน
     
    ครั้นแล้วเขาก็นิ่งไป
     
    หญิงนั้นไม่ใช่สาวแรกรุ่นแล้ว   แต่ก็ไม่ได้เป็นหญิงมีอายุดังที่เขาเคยคิดไว้   เธอน่าจะอายุปลายยี่สิบ   เรียกว่าอยู่ในวัยเต็มสาว   เป็นผู้ใหญ่แล้ว   ไม่หลงเหลือความไร้เดียงสาของวัยรุ่น  ทว่าเต็มไปด้วยความมั่นใจและมั่นคงของคนที่ต้องแบกรับสิ่งต่าง ๆ มากมาย    นอกจากนั้น...เธอยังงาม   งามจนทูตลืมหายใจ   งามจนเขามึนงง   เกือบไม่ได้ยินเสียงเธอที่ขอร้องให้นั่งลงเถิด    ที่จริงแม้ทิ้งตัวนั่งแล้ว   เขาก็ยังคงงุนงงอยู่นั่นเอง
     
    "ข้าชื่อเมราล เชอยิน" เขาได้ยินเธอพูดดังนี้ "เป็นราชินีของเผ่าโคแรนนิอิด"
     
    ตอนนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในใจของทูตแห่งลาตา
     
    ..................................................................................................................................................................
     
    ท้องฟ้าเหนือทะเลทรายกระจ่างยิ่งนัก  แสงแดดแผดเผารุนแรงจนทุกคนต้องสวมเสื้อยาวและผ้าคลุมป้องกัน   ลอร์คานเองก็สวมผ้าคลุมเช่นกัน   เขาขัดดาบใหญ่ไว้ข้างหลัง   มีมีดสั้นด้ามทองเสียบตรงเข็มขัด  สวมเกราะอ่อนทำจากหนัง  กำลังอยู่บนหลังม้าสีน้ำตาลพันธุ์ทะเลทราย   ม้าวิ่งเหยาะไม่ได้เร่งรีบอะไร   พวกเขากำลังอยู่บนเส้นทางการค้าที่นำสู่อันเซลมา
     
    ลอร์คานล่วงเข้าวัยฉกรรจ์แล้ว   แม้ลักษณะโดยรวมไม่มีอะไรเปลี่ยนไป   ก็ให้ความรู้สึกว่าแข็งแกร่งขึ้น...และสงบลงบ้าง   หลายปีที่ผ่านมา พ่อยกเรื่องให้เขารับผิดชอบเพิ่มเติมขึ้นเรื่อย ๆ  จนในที่สุดก็โอนงานของเบรุคคอลีฟห์ให้หมดสิ้น   คนในเผ่าเลิกเรียกเขาว่าลอร์คานหรืออัสซาร์ค   แต่เรียกว่าเบรุคคอลีฟห์   และเรียกพ่อของเขาว่า "อัลคอลีฟห์" ซึ่งหมายถึงอดีตคอลีฟห์    ที่เป็นอย่างนั้นเพราะพ่อก็มีชื่อตัวว่าอัสซาร์คเหมือนเขานั่นเอง   ทั้งยังไม่มีความคิดจะเปลี่ยนชื่อใหม่เหมือนทามีห์ด้วย   หากกลับไปเรียกพ่อว่าอัสซาร์ค  และเรียกเขาว่าเบรุคคอลีฟห์คงจะเกิดเรื่องงุนงงวุ่นวายกันมาก
     
    บางทีเขาก็รู้สึกแปลก   เป็นเบรุคคอลีฟห์แล้วราวกับกลายเป็นคนละคน   ฐานะตำแหน่งแปรเปลี่ยนจากตอนเป็นลอร์คานและอัสซาร์คราวหน้ามือเป็นหลังมือ   แต่เพราะลอร์คานไม่ใช่คนคิดมาก   เขาจึงตั้งใจทำงาน  เขายังคงไม่ละทิ้งความฝันเรื่องการรวมเมืองทราย   ทว่ายามนี้ก็มองอะไรตามความเป็นจริงมากขึ้น   ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะรวมมันเป็นปึกแผ่นอีกแล้ว   หากแต่เริ่มคิดสร้างกลุ่มพันธมิตรขึ้นมาเพื่อให้เกิดอำนาจต่อรอง   บางทีสักวันหนึ่งเมืองทรายอาจจะกลายเป็นกลุ่มรัฐที่แม้ปกครองแยกกัน   แต่จะร่วมมือกันตัดสินใจเรื่องใหญ่หากมีความจำเป็น   ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าบรรลุสิ่งที่ลอร์คานต้องการ   เขาชังการรบพุ่งไร้สาระซึ่งเกิดจากความแตกแยก   มันทำให้เมืองทรายไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าที่ควร
     
    เมื่อคิดการณ์ใหญ่ถึงเพียงนี้  ย่อมมีบางคราวที่เหนื่อยยาก  แต่ดูเหมือนโชคยังดีที่เขามีเพื่อนมาก และหลายคนก็ยังเรียกเขาว่าลอร์คานหรือลอร์ค ที่จริงเรียกชื่อไหนสิงโตทรายก็หันอยู่นั่นเอง แต่ยามถูกเรียกว่าลอร์ค บางทีเขาก็รู้สึกผ่อนคลายลง
     
    ปีที่แล้วกับปีนี้อุดมสมบูรณ์   เผ่ารูฮาห์จึงมีม้ามากเป็นพิเศษ   ลอร์คานจึงให้คนต้อนม้ารุ่น ๆ ไปขาย   ปรกติแล้วเขาจะขายให้พ่อค้าคนกลางที่ผ่านไปมา   แต่ปีนี้มีหนังสือขอสั่งซื้อเป็นพิเศษจากอันเซลมา   ลอร์คานไม่ได้ไปอันเซลมานานแล้ว   ก็ติดขบวนม้าไปด้วย   เขาอยากรับทราบข่าวสารทางนั้น   และอยากพบคนหลายคนเช่นท่านแม่ทัพ   ซึ่งเคารพเป็นเพื่อนกันมานานปี   ระหว่างที่ตระเตรียมเดินทางนั่นเอง   ชายหนุ่มก็พบเทรมิสมาโผล่ที่เผ่าตน   หัวเราะว่าได้ข่าวมาตามสายลม...พี่ลอร์คจะไปอันเซลมา   ขอเป็นกาฝากติดไปด้วยสักคนคงไม่หนักแรงนักกระมัง
     
    เทรมิสทำท่ารู้มากน่าหมั่นไส้   จึงถูกสิงโตทรายสมนาคุณด้วยเท้าไปทีหนึ่ง   แต่ในที่สุดแล้วเขาก็หาม้าให้พ่อมด  บอกว่าอยากมาก็มาด้วยกัน   ที่จริงไอ้พ่อมดมันมีสัตว์ภูตสายลม   ย่อมไปถึงอันเซลมาได้รวดเร็วกว่าเขาหลายเท่า   แต่ท่าทางมันคงมีเรื่องอยากคุยกระมัง   จึงมาขี่ม้าสบายใจอยู่ข้างตัวเขานี่เอง
     
    "ท่านเซรีบอกว่าอยากฝึกกองม้า   แต่ข้าสงสัยว่าจะเป็นโรคแบบเดียวกับพวกผู้หญิงที่เห็นเสื้อผ้าสวยไม่ได้มากกว่า" พ่อมดเปรยขึ้น "พอเห็นม้าทีไรก็ร้องกรี๊ดจะซื้อ   เงินปีพระราชทานไม่พอก็หนีไปไถท่านอาทุกที"
     
    "ยาเรฟเองก็ซื้อม้าทะเลทรายบ่อยเหมือนกัน" 
     
    "ถ้าอย่างนั้นคงเป็นโรคกรรมพันธุ์สินะ" พ่อมดให้ความเห็น
     
    สิงโตทรายไม่ได้เรียกเจ้าชายยาเรฟเป็น 'ท่าน' หรือ 'เจ้าชาย' เพราะรู้จักอีกฝ่ายในขณะปลอมตัวเป็นคนสามัญ   จึงเรียกด้วยชื่อสามัญจนชินปาก  เจ้าชายยาเรฟเองก็ไม่มีความคิดเรื่องถือยศศักดิ์อะไร   อีกอย่างหนึ่งแม้คนทั้งสองจะไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้   ลอร์คานเองที่เป็นถึงเบรุคคอลีฟห์ก็มีศักดิ์ศรีไม่ด้อยกว่าเจ้าชายแห่งอันเซลมาเลย  อาจจะเหนือกว่าขั้นหนึ่งด้วยซ้ำไป
     
    "แต่บางทีท่านเซรีอาจจะเครียดก็ได้  นาน ๆ ทีเลยใช้เงินเก่งเป็นพิเศษ" เทรมิสลูบคาง
     
    "เธอยังถูกเรียกให้เข้าสภาอยู่สินะ"
     
    พ่อมดรับคำฮื่อในคอ   นึกถึงครั้งสุดท้ายที่ไปเยี่ยมอีกฝ่ายที่อันเซลมา   ท่านเซรีถูกจับใส่กระโปรงยืนเหม่อรับแขกบ้านแขกเมืองติดกันทั้งวัน   พอหลุดออกมาได้ก็ชูแขนขอบคุณสวรรค์   ถอดกระโปรงและเครื่องประดับทิ้งโดนด่วน   เผ่นเข้าห้องน้ำล้างเครื่องสำอาง  จากนั้นก็ออกมาลากเขาไปเที่ยวในเมือง   สรุปแล้วแม้ผ่านไปหลายปี   ท่านเซรีอาจจะพัฒนาหลายด้าน   แต่ก็ยังคงเติบโตขึ้นมาเป็นเจ้าหญิงประหลาดหาความเป็นกุลสตรีไม่ค่อยจะเจออยู่ดี
     
    เงียบไปพักหนึ่ง   ลอร์คานจึงได้เอ่ยขึ้นมา
     
    "มีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าหรือเปล่า"
     
    "แหม รู้ทันดีจังนะขอรับ" พ่อมดหันไปแยกเขี้ยวกวนประสาทใส่   แต่ครั้นเห็นแววตาดุร้ายมองกลับมา   ก็แสร้งทำเป็นกลัว   ดึงคอเสื้อซี้ดปากนิดหนึ่งคล้ายเกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายฆ่าปาดคอ
     
    "ข้าจะไปหาท่านเมราล" ชายหนุ่มบอกหลังจากนั้น  สีหน้าจริงจังขึ้น "เลยมาถามท่าน...พี่ชาย  ไปด้วยกันไหม"
     
    ลอร์คานนิ่งไป   แม้ไม่แสดงออกทางสีหน้าก็พอเดาได้ว่าเขาทั้งตกใจและประหลาดใจ
     
    "ไปหาทำไม"
     
    "ข้ากับท่านเมราลช่วยกันสืบค้นเรื่องประตูมิติของเกาะที่เผ่าโคแรนไปตั้งรกราก   ที่จริงไม่ค่อยมีความคืบหน้าเท่าไร   แต่ระยะหลังนี้อาจจะมีเบาะแสเพิ่มเติมบ้าง   ข้าอยู่ทางนี้ก็บอกไม่ถูก   จึงต้องไปดูเอง  หากเห็นแล้วก็คงกลับมาปรึกษาคนหออื่น ๆ ได้ว่ามันเป็นประตูมิติแบบไหนกันแน่"
     
    "อย่างนั้นหรือ" สิงโตทรายรับในคอ
     
    จากนั้นเขาก็เงียบไป
     
    "ที่นั่นอยู่ไกลมากเอาการ   ข้าขี่เสือไปทีเดียวไม่ได้   คงต้องลงที่นั่นที่นี่หลายครั้ง   ดังนั้นไปทางเรือก็คงใช้เวลาพอ ๆ กัน   อาจจะเดือนเศษ...หรือกว่านั้นนิดหน่อย" พ่อมดบอกต่อไป "ข้าบอกบาล์ซแล้ว  บาล์ซว่าอยากไปก็ไปเถอะ   บาล์ซก็ช่วยข้าค้นคว้าเรื่องประตูมิติเหมือนกัน"
     
    "ที่จะไปอันเซลมานี่   จะไปบอกเซรีหรือ" ลอร์คานถาม   ครั้นได้รับคำตอบรับในคอ  เขาก็เอ่ยต่อ "เซรีจะว่างหรือ  มีแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้นละที่ว่างตลอดกาล"
     
    "เนอะ" พ่อมดแยกเขี้ยวยียวนกลับมา
     
    สิงโตทรายเห็นอย่างนั้นก็เงื้อแส้ฟาดใส่สะโพกม้าของเทรมิส   ทำให้มันตกใจตื่นเตลิดพร้อมกับพ่อมดบนหลังที่ร้องเฮ้ยดังลั่น   พวกคนทรายอื่น ๆ ที่คุมขบวนด้วยกันเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะครืน   แต่ลอร์คานไม่ได้หัวเราะแต่อย่างใด   
     
    เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรไปหรือไม่ควรไป    เขาอยากพบเธอ   แต่กลัวว่าจะห้ามตนเองไม่ไหว   จะกลายเป็นผิดสัญญาบังคับพาเธอกลับมา
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×