ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ๑.
๑.
เมราลกลับมายังที่อยู่ของตน เธอไม่ได้อยู่บนเรือนานแล้ว ทั้งยังเป็นคนแรก ๆ ที่ประกาศลงเรือมาอาศัยบนฝั่งด้วย เธอทราบดีว่าหากยังอยู่บนเรือต่อไป คนของตนก็จะผูกพันกับเรือ จะไม่คิดว่าเกาะแห่งนี้เป็นดินแดนใหม่ แต่แม้พยายามทำอย่างนั้น ผ่านไปหลายต่อหลายปีก็ยังคงมีคนที่กลัวบกไม่ยอมลงมา
เธอเป็นคนเลือกเกาะแห่งนี้เอง มันเป็นเกาะร้างขนาดไม่ใหญ่นัก ห่างไกลจากเกาะเสือมาทางทิศตะวันออก เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซึ่งอยู่ไม่ห่างจากทวีปใหญ่ เกาะนี้อยู่แยกจากหมู่เกาะที่เหลือ จึงไม่มีใครจับจองเว้นแต่ชาวประมงจำนวนหนึ่งที่มาสร้างที่พักชั่วคราวไว้ นอกจากนั้นก็มีนักบวชพวกที่ปรารถนาจะอยู่ห่างไกลจากคนทั้งหลายอีกสองสามคน เมราลกับพวกผู้เฒ่าที่เห็นด้วยกับเธอต่างช่วยกันใช้พลังหยั่งรู้ของโคแรนนิอิดสำรวจดินแดนนี้ หลังจากทำแผนที่เรียบร้อยแล้วจึงตกลงปลงใจว่าจะปักหลักที่นี่เอง ผืนดินมีแร่ธาตุ มีป่า มีภูเขาสูง มีเวิ้งอ่าวสามารถจอดเรือได้ และมีที่มากพอจะขยับขยายออกไป
หลังจากนั้นเธอจึงลงจากเรือ เธอเป็นหนึ่งในคนโคแรนนิอิดไม่กี่คนที่เคยอยู่บนแผ่นดินเป็นเวลานานพอสมควร คนอื่น ๆ ตามเธอลงมา อัศจรรย์ใจยามเธอขึ้นไปบนที่สูง และทอดตามองรอบ ๆ เธอบอกเขาว่าสร้างหมู่บ้านกันตรงนี้เถิด และคงต้องขอให้เขาสร้างกระท่อมให้เธอสักหลังด้วย แต่พวกเขาบอกว่าไม่ได้ ท่านเมราลอย่าได้อยู่ในกระท่อมเด็ดขาด จากนั้นก็สร้างบางสิ่งที่เกือบใหญ่โตเท่าพระราชวังให้เธอ ปิดไว้ไม่ให้เธอรู้ว่าการก่อสร้างเป็นอย่างไรบ้าง รอให้เธอลงเรือมาเห็นและตกใจเอง ตอนนั้นเมราลงุนงง ถามว่าที่ใหญ่โตแบบนี้จะอยู่ได้อย่างไร พวกโคแรนคนอื่นก็นิ่งอึ้งไปเหมือนกัน พวกเขาเคยอยู่แต่บนเรือ ห้องหับมักเล็กแคบอย่างยิ่ง ไม่มีอาคารสูงเกินสองชั้น หลังจากเมราลถามอย่างนั้น หัวหน้านายช่างจึงได้เกาศีรษะแกรก ๆ เขาว่าท่านเมราล ข้าอยากให้ท่านอยู่วังยิ่งใหญ่กว่าของกษัตริย์อันเซลมา แต่ที่จริงก็ไม่รู้หรอกว่าข้างในมีอะไร
ช่วงนั้นเองที่มีนกทะเลตัวหนึ่งบินมาจากทางตะวันตก มันเป็นนกทะเลปีกกว้างยาว เมื่อถึงก็เกาะลงตรงระเบียงหน้าต่างห้องของเมราล ตอนนั้นเธอยังอยู่ทั้งบนเรือและบนบก นกมาเยือนเธอบนเรือ
นกนำจดหมายมาสองฉบับ ใส่ซองซ้อนกันไว้ เพียงจดหมายในซองด้านนอกก็ทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วแปลกใจ มันเป็นลายมืองดงามของเทรมิส นิ รูฮาห์ ...เทรมิสแห่งหอกาล พ่อมดแห่งกาลเวลาผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าสัตว์ร้าย เขาเป็นนักเขียนหนังสือสวย ลายมือจึงงามเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เนื้อหาของจดหมายก็ยังกึ่งเล่นกึ่งจริงสมนิสัยพ่อมดอยู่นั่นเอง เขาบอกว่าท่านเมราล พี่สิงโตของข้าใกล้บ้าแล้ว ขอท่านเมราลช่วยสงเคราะห์ด้วยเถิด
หญิงสีขาวอ่านจดหมายแล้วจึงมองนกทะเลอีกครั้ง ค่อยเห็นว่ามันเป็นสัตว์ภูตสายลม เทรมิสคงขอมันจากญาติของเขาในหอสัตว์ภูต จดหมายของเทรมิสสั้น เพียงนำความไปถึงจดหมายฉบับที่สองว่าเป็นมาอย่างไร ยามเมราลเปิดจดหมายอีกฉบับ จึงพบว่ามันยาวกว่ามาก เป็นลายมือตัวโตกดจนหมึกเข้มเส้นหนา...ลายมือลอร์คาน เขาเป็นคนมีกำลัง ยามเขียนหนังสือก็กดแรงไม่ได้เจตนา ถ้อยคำของเขาทื่อแข็ง ปราศจากลูกเล่นโดยสิ้นเชิง ต่างกับเทรมิสราวฟ้ากับเหว กระนั้นถ้อยคำทั้งปวงก็มีแต่ความจริงใจ
เขาถามว่าเธอสบายดีไหม หากมีอะไรให้รีบติดต่อมา เขาว่าเธอจากไปไกลมากแล้ว ไม่มีพ่อมดแม่มดใดบนเกาะเสือจะพาเขาไปถึงเธอได้ มีเพียงสัตว์ภูตสายลมที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงอาจข้ามทะเลใหญ่ แต่ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น เขาจะรีบลงเรือไปช่วยเหลือ จากนั้นลอร์คานคงไม่รู้จะเล่าอะไร จึงกล่าวถึงเรื่องราวฝั่งตนบ้าง เขาว่าเป็นเบรุคคอลีฟห์แล้วก็มีงานมาก ทะเลาะกับพ่อก็หลายครั้ง ขัดแย้งกับคนในสภาเผ่าก็หลายหน แต่เขาพยายามควบคุมตนเอง เขาอยากให้พ่อสบายใจ หากมีเหตุต้องคัดง้างกันจึงพยายามข่มตนให้พูดจาด้วยเหตุผลอย่างสงบ นับว่ายากเย็นเอาการเพราะสองคนคิดต่างกันหลายเรื่องทีเดียว
...แต่พ่อหายโกรธแล้วก็บอกว่าไม่เป็นไร ให้โต้เถียงกันดีกว่า เพื่อจะได้วิธีที่ดีที่สุดออกมา...ลอร์คานอธิบาย จากนั้นเมราลก็เห็นลายมือเขียนด้วยแท่งถ่านของเทรมิสอยู่ตรงขอบกระดาษว่า "สองคนก็เลยทะเลาะกันกระโจมแทบแตกทุกวัน" คาดว่าพ่อมดอาจจะชะโงกดูตอนลอร์คานเขียนอยู่ และเกิดทนไม่ไหวต้องขอเติมสักคำ แต่ก็คาดได้อีกเหมือนกันว่าทำอย่างนี้กับสิงโตทราย ชะตากรรมของพ่อมดคงไม่ออกมาดี
เธอนึกจินตนาการได้อย่างนั้นแล้วก็ยิ้ม จิตใจที่ไม่สบายผ่อนคลายลงมาก ก่อนนี้เธอเคยคิดว่าต้องขาดจากลอร์คานชั่วกาลนาน แทบไม่มีความหวังใด ๆ แต่นับว่าโชคดีที่มีเทรมิสอยู่ตรงนั้น เขาเป็นคนไม่สนใจกฏเกณฑ์ใด ๆ เพียงทำให้คนทั้งปวงมีความสุขก็พอแล้ว
...ท่านเมราลอย่าได้สนใจพี่ชายข้า เขาชอบทำตัวน้ำเน่าเหมือนตัวเอกชะตากรรมรันทดในเทพนิยาย...พ่อมดเขียนต่อท้ายจดหมายลอร์คานดื้อ ๆ อย่างนี้...ภายหน้าท่านอยากทำอะไร ขอให้ทำให้สมใจ อยากเขียนจดหมายก็เขียน หากต้องการให้พี่ข้าไปหา ให้บอกมา รับรองพี่ข้าจะโลดลิ่วไปหาท่านไวกว่าสายลม เอาละ ข้าจะเลิกยุ่งกับจดหมายของพวกท่านเท่านี้แล้ว ท่านเมราลรักษาตัวให้ดี...
เทรมิสไม่ใช่คนโง่หรอก เขาย่อมเข้าใจว่าเธอกับลอร์คานแบกอะไรไว้บนบ่า แต่เพราะเป็นอย่างนี้ เขาจึงช่วยเท่าที่ทำได้ ไม่ต้องการให้บางสิ่งที่สำคัญต้องสูญเสียไป นับแต่นั้นมา เมราลจึงติดต่อกับลอร์คานอย่างสม่ำเสมอ เธอเขียนจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่า เล่าเรื่องราวทางฝั่งตน เรื่องการเพาะปลูก ปราบถางแผ่นดิน เรื่องงุนงงว่าสร้างบ้านแล้วก็ไม่ทราบจะเอาอะไรไปยัดให้เต็มได้ เรื่องน่าขำของคนเรือที่ต้องไปอยู่บนบก เรื่องลำบากใจของการต้องต่อสู้ทางการเมือง
ลอร์คานตอบจดหมายเสมอ นอกจากนั้น บางครั้งก็มีจดหมายของเทรมิสด้วย และนาน ๆ หนถึงกับมีจดหมายของเซรี เซรีฟ้องเมราลว่าเธอไม่มีเวลา ไม่ใคร่ได้พบลอร์คานหรือเทรมิส กว่าจะเจอหน้าพวกเขาก็ส่งจดหมายไปแล้ว เธออยากเขียนหาเมราลบ้าง แต่กว่าจะดักจับตัวคนส่งสารได้ก็ต้องวางแผนกันหลายชั้น น่าหมั่นไส้เสียจริง
จดหมายฉบับแรก ๆ ทั้งเมราลและเจ้าหญิงแห่งอันเซลมาต่างเกร็ง ทว่าเมื่อติดต่อกันนานเข้า ก็มีความรู้สึกเป็นมิตรสหาย เซรีเป็นคนเปิดเผย ข้อความในจดหมายก็เล่านั่นเล่านี่ตามแต่จะนึกออก เธอบอกเมราลว่าเดี๋ยวนี้ถูกจับเข้าร่วมสภา ต้องทำงานราชกิจเพิ่มขึ้น ทำให้ชักหนีไปขี่ม้าหรือหาเพื่อน ๆ ยากขึ้นทุกที พอบ่นกับท่านพ่อท่านแม่ท่านอา ทุกคนก็พร้อมใจกันทำเป็นไม่ได้ยิน
...เขาบอกว่าข้าจะเป็นราชินี ข้าฟังแล้วกลุ้มใจพิลึก...เซรีฟ้องมา...ข้าไม่เป็นได้ไหม จะหนีไปอยู่กับท่านเมราล...
แต่เธอก็เพียงพูดเล่นเท่านั้น เพราะที่จริงเซรียังคงเป็นคนจริงจัง หากรับทราบแล้วว่าตนต้องรับผิดชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้ เธอจะพยายามสุดกำลังปัญญา บางครั้งเมราลอ่านจดหมายแล้วก็รู้สึกว่าเซรีน้อยกับตนมีหลายอย่างคล้ายกัน ยามเซรีเติบโตขึ้น เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเมือง ราชกิจ การดูแลประชาชน เมราลก็เติบโตไปในทางเดียวกัน เซรีไม่ใช่เซรีน้อยแล้ว เมราลก็ค่อย ๆ ได้รับความเชื่อถือจากคนในเผ่าเพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
เธอไม่มี "เพื่อน" ในเผ่า ไม่หรอก...ก็มีคนสนิท มีผู้เฒ่าที่สนับสนุน มีคนอย่างเกจที่จงรักภักดี แต่เมราลไม่มีเพื่อนเสมอกัน ไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้นเพราะแต่แรกมาเธอถูกมองว่าเป็นเทพเจ้า บางครั้งเมราลก็รู้สึกโดดเดี่ยวมากเช่นคนเป็นหัวหน้าทั้งหลาย ดังนั้นจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่าของเพื่อนจากเกาะเสือจึงทำให้เธอมีกำลังใจ พวกเขาพยายามแนะนำช่วยเหลือเสมอหากเธอมีปัญหา ยามที่ผู้เฒ่าหลายคนลุกออกจากสภาไปดื้อ ๆ ไม่รับฟังเธอ ยามที่คนทั้งหลายเรียกร้องรุมเร้าให้แก้ปัญหาให้ เมราลจะเขียนจดหมายหาลอร์คาน เธอต้องการเพียงที่ระบาย เพื่อตนจะได้ลุกขึ้นเดินต่อไปได้ บางทีเธอก็รู้สึกกลัวว่าจะทำให้ลอร์คานรำคาญใจ แต่ลอร์คานว่าไม่เป็นไร เขาดีใจ เขาเองยามมีปัญหาก็เล่าให้เธอฟัง
...อย่าได้หวังพึ่งเพียงฐานะราชินีเกล็ดเงิน ตำแหน่งนั้นจับต้องไม่ได้ ควรสร้างบารมี ให้น้ำใจ...ลอร์คานบอกเธอ...ให้น้ำใจให้มาก ทำงานให้หนัก เห็นแก่คนของเจ้าก่อนคนอื่นใด ถึงเวลานั้นคนทั้งปวงจะฟังเจ้าเพราะเจ้าเป็นเมราล เชอยิน ไม่ใช่เพราะเป็นเทพเจ้าที่บางครั้งก็เลื่อนลอยเกินไป...
คนทั้งปวงว่าลอร์คานไม่มีสติปัญญา แต่ที่จริงเขาก็รู้เรื่องบางเรื่องดีจริง ๆ เธอเรียนจากเขา และเรียนจากที่เคยสังเกตแชลลัมมา พยายามทำงานเท่าที่ทำได้ พยายามคิดยิ่งกว่าเคยคิดมาก่อน พยายามจะดีกับคนทั้งปวง หลายปีผ่านไป เมราลจึงได้รับผลตอบแทน เธอมีบารมี ผู้คนเชื่อฟังไม่ใช่เพียงเพราะเป็นราชินีเกล็ดเงิน จิตใจเธอเข้มแข็งขึ้นแม้ร่างกายจะยังอ่อนแอ ปีหลังนี้แม้เด็กรุ่นใหม่อย่างเกจที่ช่วยงานเธอมาแต่ต้นจะเป็นห่วง เมราลก็รู้สึกว่าตนยังไม่เป็นอะไร เธอสามารถเล่นเกมการเมืองได้อย่างคมคาย สามารถทนคำเสียดสีเหน็บแนมและเห็นเป็นสิ่งไร้แก่นสาร เรียนรู้ที่จะเฉียบขาดและนุ่มนวลในกาละเทศะอันควร เธอเป็นราชินี...บางทีคงดังที่แชลลัมฝันว่าเธอจะเป็น
กระนั้นบางครั้งบางคราว เมราลก็คิดถึงลอร์คานอย่างสาหัส ความคิดถึงจะทำให้เธอเฝ้ามองท้องทะเล จะทำให้เธอเผลอมองกำไลที่ข้อมือซ้าย และบางครั้งบางคราว จะทำให้เธอใช้พลังของรัดเกล้าดาวเหนือที่ไม่ใคร่ได้ใช้แล้ว สร้างรูปมายาของลอร์คานขึ้นมา ราวเขามีเลือดเนื้อจริง ๆ ปรากฏตรงหน้า ...เขาคงเปลี่ยนไปจากมายานั้นแล้วเพราะผ่านไปหลายปี แต่ในความทรงจำของเมราล เธอมีเพียงภาพของลอร์คานสมัยก่อนนี้เท่านั้นเอง
"ผ่านไปหลายปีแล้ว ท่านจะยังเหมือนเดิมอยู่ไหม" เธอมักถามรูปเงานั้น ผมยาวดำสนิทราวแผงคอสิงโต ผ้าที่คาดหน้าผากไว้ลวก ๆ เพียงไม่ให้ผมเกะกะใบหน้า หนวดเคราที่โกนบ้างไม่โกนบ้างตามความพอใจ ดวงตาทรงอำนาจ คิ้วเป็นพุ่มหนาเกือบต่อกัน หลังไหล่แขนขาแข็งแกร่งราวเหล็กไหล สามารถดึงม้าตื่นพยศให้หยุดได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้สบายใจ...ซื่อสัตย์อย่างยิ่ง จริงใจอย่างยิ่ง ไม่โกหกหลอกลวง
รูปเงาดังกล่าวมักเพียงยิ้มเล็กน้อยให้กับคำพูดของเธอ ราวกับจะบอกว่า หากอยากรู้ว่าเปลี่ยนไปหรือไม่ เหตุใดไม่มาดู
"ยังไปไม่ได้หรอก" เธอบอกเขา "ยังไปไม่ได้"
แต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไรจะไปได้ เมราลถูกพันรัดไว้ด้วยเรื่องราวมากมายที่เธอเองเป็นผู้ริเริ่มไว้ เธอไม่รู้ว่าจะวางมันได้เมื่อไรหรือตรงไหนจริง ๆ
"ท่านเมราลเจ้าคะ" เสียงนางกำนัลเรียกมา
เมราลสะดุ้ง เพิ่งรู้ตัวว่ายืนเหม่อมองไปทางทะเลเป็นเวลานาน เธอหันกลับไป เห็นนางกำนัลคนสนิทยืนอยู่ตรงประตู ท่าทางไม่ใคร่สบายใจ เธอคงเคาะประตูหลายครั้งแต่ไม่ได้รับคำตอบ เป็นห่วงมากจึงได้เข้ามา บางครั้งเมราลก็ไม่สบาย หลับสลึมสลือไปไม่ได้สติ จึงอนุญาตให้นางกำนัลเข้ามาในห้องส่วนตัวได้หากเธอไม่ตอบรับจนน่าสงสัยว่าจะเป็นอะไร
"หือ มีอะไรหรือ" หญิงสาวถาม
"ทูตจากลาตา..."
"อ้อ" อีกฝ่ายเพิ่งนึกได้ แม้จะมาก่อนกำหนดก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอไม่ได้คาดหมายไว้ "เชิญท่านทูตนั่งที่โถงหน้าก่อนเถอะ ข้าจะแต่งตัวออกไป รับรองเขาให้ดี ให้ใครสักคนมาคุยเป็นเพื่อนเขาก่อน...เกจก็ได้ หรือผู้เฒ่าสักคน"
ลาตาคือเกาะใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะนี้ แต่สำหรับชาวลาตาเอง เขาถือว่าหมู่เกาะเกือบทั้งหมดก็คือ "หมู่เกาะลาตา" คนลาตาอาศัยอยู่ในเกาะส่วนใหญ่ แต่สำหรับเกาะน้อยที่เมราลอยู่ คนลาตาไม่ใคร่มีใครมา เพราะห่างไกลเกินไป เมราลเคยได้ยินคนเหล่านั้นเรียกที่นี่ว่าเกาะปีศาจ แต่เธอกับพวกโคแรนนิอิดเรียกมันว่าเกาะมังกรขาว ตามชื่อเรือที่ทั้งเผ่าเคยอาศัยมานับพันปี
เมื่อแรกที่มาที่นี่ชาวประมงและนักบวชบนเกาะนี้ต่างยืนยันกับเธอว่ามันเป็นดินแดนร้าง ไม่มีคนจับจอง และไม่ได้อยู่ในอาณัติของจ้าวเกาะลาตาแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นเมราลก็ยังคงส่งสาสน์ไปหาจ้าวเกาะตามมารยาท เธอไม่ได้ไปหาด้วยตนเอง เพราะขณะนั้นไม่ค่อยสบาย อีกประการหนึ่ง การไปหาด้วยตนเองอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเธอต้องการอ่อนน้อม เมราลไม่มีความคิดจะอ่อนน้อมแต่อย่างใด เธอต้องการให้โคแรนนิอิดมีประเทศของตนเองอย่างแท้จริง
จ้าวเกาะลาตารับทราบการมาเยือนของเธอ เขาส่งสาสน์กลับมาว่าไม่ได้มีความคิดขัดขวาง ทว่าผู้คนทั้งหลายบนลาตาต่างทราบทั่วกันว่าเกาะปีศาจแห่งนี้มีเรื่องลึกลับต้องสาป จึงขอให้เธอพิจารณาให้ดีก่อนจะตั้งรกราก เมราลก็ตอบขอบคุณไปอย่างดี แต่ไม่ได้จากไป...เธอทราบว่าจ้าวเกาะลาตาคงไม่รู้เรื่องนี้ แต่เหตุสำคัญที่ทำให้เกาะดังกล่าวกลายเป็นเกาะปีศาจก็เป็นเหตุสำคัญที่เธอเลือกที่นี่นั่นเอง...มันมีประตูเปิดไปสู่มิติเวทมนตร์ แม้จนถึงบัดนี้เมราลจะยังไม่อาจเข้าใจเวทมนตร์นั้นได้เต็มที่ และการทดลองของพวกที่ใช้เวทมนตร์ได้จะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามากก็ตาม ...โคแรนเป็นเผ่าเวทมนตร์ คราวที่คิดไปยึดเกาะเสือก็เพราะดินแดนนั้นมีประตูเปิดไปยังมิติเวทมนตร์เช่นกัน
เมื่อมาถึงที่นี่แรก ๆ ผู้เฒ่าบางคนยังดีใจ คิดว่าหากค้นพบเวทมนตร์แล้ว ก็อาจขยายดินแดนต่อไปได้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปจริง ๆ ทุกคนจึงค่อยตระหนักว่าโคแรนมีคนน้อยเกินไป นอกจากนั้นก็ควรว่ามีปัญหามากมายเกินกว่าจะคิดยึดดินแดนใครในเวลาอันใกล้ บางทีสักวันในอนาคตอาจมีกำลังพอจะทำเช่นนั้นได้ และอาจมีหัวหน้าที่ต้องการทำ แต่เมราลหวังว่าวันดังกล่าวจะไม่มาถึง เธอกลัวว่ามันจะไม่จบที่โคแรนยึดครองดินแดนมากมายได้ แต่จะจบลงเหมือนอดีตอาณาจักรในดินแดนทางเหนือของเกาะเสือ หรือเหมือนเผ่าโคแรนในอดีตนั่นเอง ใช้พลังเกิดขีดจำกัดก็กลายเป็นรบราฆ่าฟันกันเองจนทุกสิ่งพินาศไป ทั้งยังทำให้ประตูมิติปิดลงโดยสิ้นเชิงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังนี้เมราลเริ่มต้องการสิ่งอื่นจากเกาะลาตา เธอพบว่าเผ่าของตนเริ่มไม่มีลูกหลาน นอกจากนั้นที่มีลูกหลานก็มีจำนวนหนึ่ง...แม้จะไม่มากนัก ที่มีความผิดปรกติต่าง ๆ พวกเธอไม่ได้อยู่บนเรือแล้ว ก็ยกเลิกประเพณีเอาเด็กจุ่มน้ำมิดศีรษะเพื่อทดสอบว่าจะอยู่รอดไหม แต่เมื่อเธอปรึกษาเรื่องนี้ไปทางเทรมิส ถามเขาว่าทำอะไรได้หรือไม่ เขาก็ค้นตำรากลับมาบอกเธอ...อธิบายว่าหากคนเผ่าเดียวกันแต่งงานกันเองนานเกินไป เลือดเนื้อจะไม่สมบูรณ์
...ข้าทราบว่าท่านคงอยากรักษาเลือดโคแรนบริสุทธิ์ไว้ แต่บางทีควรพิจารณาแต่งงานข้ามเผ่าบ้าง คนทางเหนือเองก็ถือเรื่องแต่งงานเช่นกัน ไม่มีการสมรสในหอเดียวกัน หรือแม้จำเป็นต้องมี อย่างน้อยเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต้องไม่ร่วมทวดเดียวกัน และทวดไม่ได้เป็นพี่น้องกัน ขอให้เสนอเรื่องนี้กับผู้เฒ่าของท่าน ค่อย ๆ อธิบายให้เขาเข้าใจ อาจจะมีการต่อต้านในทีแรกบ้าง แต่หากเด็กที่ออกมาแข็งแรงก็จะช่วยได้มาก...
เมราลนำเรื่องที่รับทราบมาใคร่ครวญ เธอย่อมไม่บอกพวกผู้เฒ่าว่าเทรมิสสัตว์ร้ายเป็นผู้วิเคราะห์เรื่องนี้ หญิงสาวจึงสืบสาแหรกคนของตนเอง และพบว่าสมมุติฐานของเทรมิสอาจเป็นจริงอย่างน้อยก็เจ็ดแปดสิบส่วน ด้วยเหตุนี้เธอจึงนำสิ่งที่ค้นพบไปอภิปรายในสภา พวกผู้เฒ่าฟังแล้วต่างงุนงง แต่ไม่ช้าความงุนงงก็กลายเป็นความกลัว
"เช่นนี้โคแรนนิอิดจะสูญเผ่าหรือ" พวกเขาถาม
"ข้าคิดว่า...เราคงต้องการเลือดใหม่มาผสมบ้าง" เมราลค่อย ๆ บอกช้า ๆ
ข้อเสนอของเธอทำให้ทุกคนนิ่งงันไปทันที มันผิดประเพณีเกินไป แตกต่างจากที่เชื่อกันมากเกินไป โคแรนนิอิดเป็นเผ่าปิดมานานนับพันปี พวกเขาก็เหมือนเผ่าปิดทั้งหลาย ระแวงคนนอก ไม่เข้าใจคนที่ต่างจากตน
"ไม่เช่นนั้นก็อาจต้องปล่อยให้สูญเผ่าไป" หญิงสีขาวบอกเรียบ ๆ "ที่จริงหลายปีหลังนี้ มีเด็กหนุ่มไม่ได้แต่งงานหลายคน พวกเราจำกัดจำนวนประชากรติดต่อกันเป็นเวลานาน ให้แต่ละคู่มีลูกได้เพียงสองคน คนหนึ่งแทนพ่อ คนหนึ่งแทนแม่ แต่ประชากรส่วนใหญ่มักคลอดเป็นลูกชาย หลายครอบครัวมีลูกชายสองคนจึงไม่สมดุล จำให้ผู้ชายหลายคนสมรสกับผู้หญิงคนเดียวก็ออกจะมากเกินไป อีกอย่างหนึ่ง มันจะยิ่งทำให้เลือดของคนรุ่นต่อไปยิ่งใกล้ชิดสนิทหนักขึ้นอีก อาจนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงกว่าเดิมได้"
"เช่นนั้น...ท่านเสนออย่างไร" พวกผู้เฒ่าได้แต่ถาม
"ข้าเสนอว่าให้คนหนุ่มที่สมัครใจลองสมรสกับคนลาตา" เมราลยังคงเอ่ยอย่างสงบ "ลาตาเป็นเผ่าแข็งแรง จะมีลูกหลานที่แข็งแรงเช่นกัน"
"แบบนี้ไม่ดีแน่ มันจะมากลืนเผ่าเรา ทำให้เราแปดเปื้อน!"
เมราลก็รู้อยู่หรอกว่าต้องได้ยินถ้อยคำเช่นนั้น
"แปดเปื้อนกับสูญเผ่า ข้าคิดว่าควรเลือกแปดเปื้อนดีกว่า" หญิงสาวบอก "ข้าไม่เคยมีความคิดร้ายต่อเผ่าโคแรน พวกท่านเองก็ทราบ ดังนั้นจึงต้องขอให้ทุกคนไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วย"
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเด็กพิการเกิดมาติดกันถึงสามคน ทำให้พวกผู้เฒ่าไม่อาจทนต่อไปได้เช่นเดียวกัน พวกเขาจึงยินยอมทำตามแผนของเมราล แม้จะลำบากใจอยู่บ้าง หญิงสาวก็ติดต่อไปยังจ้าวเกาะลาตาตามมารยาท เธอคิดว่าหากบุ่มบ่ามเอาคนเขามาโดยไม่แจ้ง ภายหลังจะมีปัญหากันได้ จากนั้นจ้าวเกาะจึงได้ส่งทูตมา...ก็คือทูตคนนี้ที่เมราลขอให้นางกำนัลเชิญเกจหรือผู้เฒ่าคนใดก็ได้มาต้อนรับก่อนนั่นเอง
เธอเข้าไปในห้องเก็บเสื้อผ้า หญิงสาวเลิกให้นางกำนัลมาช่วยเหลือตนนานแล้ว เธอไว้ผมยาวเกือบเท่าเมื่อก่อนจะตัดผมไว้ทุกข์ให้แชลลัม ก่อนนี้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เมราลเคยคิดว่าจะตัดผมสั้นตลอดไป และจะไม่แต่งตัวให้งดงาม แต่แล้วเธอกลับพบว่าภาพอันงดงามของตนนั่นเองที่ช่วยให้พวกโคแรนมีกำลังใจ หญิงสาวจึงกลับแต่งตัวและไว้ผมอีกครั้ง เธอเคยคิดเหยียดหยามคนที่มาหลงรูปตน...เป็นความเห็นแก่ตัว แต่เวลานี้เธอสิ้นความเห็นแก่ตัวนั้นแล้ว ไม่ว่าทำสิ่งใดก็ตั้งใจทำให้เผ่าโคแรน
...
ทูตลาตานั่งอยู่ในโถงหน้า เขาเจรจากับชายหนุ่มผมสีเงินและผิวเผือดประหลาดคนหนึ่ง ซึ่งแนะนำตัวว่าชื่อเกจ มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคนปลูกพืช เมื่อแรกทูตไม่พอใจและไม่เข้าใจ เหตุใดราชินีแห่งโคแรนนิอิดจึงส่งชาวสวนธรรมดามารับเขา ทว่าไม่ช้าเมื่อได้เจรจากันนานเข้า ทูตจึงรับทราบว่าตำแหน่งคนปลูกพืชเป็นตำแหน่งสำคัญของเผ่าอันแปลกประหลาดนี้ ชายหนุ่มชื่อเกจอายุเพียงประมาณยี่สิบปี ทว่าฉลาดคมคาย คาดว่าคงจะมีอนาคตไกลทีเดียว
เขาพิจารณาชายหนุ่มคนนั้นต่อไป ก่อนจะนึกถึงเรื่องเผ่าโคแรนนิอิดที่ตนได้ยินมา...ได้ยินว่าเผ่านี้เคยดุร้ายยิ่งนัก ตั้งใจจะยึดครองเกาะอีกเกาะหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป แต่ไม่ทราบว่าพ่ายแพ้หรือเพราะอะไร กลับมาตั้งรกรากที่นี่ จ้าวเกาะไม่ใคร่ไว้ใจพวกนี้ ก็ให้ตั้งกองกำลังรอไว้ ทว่าหลายปีที่ผ่านมา พวกโคแรนไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เพียงตั้งใจก่อสร้างบ้านเมือง เพาะปลูก และเริ่มทำการค้าบ้างประปราย คนส่วนใหญ่ที่เขาถามมาล้วนบอกว่าคนโคแรนค่อนข้างถือตัว แต่อื่น ๆ นอกจากนั้นก็ไม่เลวร้ายนัก คนโคแรนเชื่อถือราชินีของตนมากเช่นกัน เรียกว่าราชินีเกล็ดเงิน ได้ยินว่าเป็นแม่มดมีอำนาจมากทีเดียว
มาถึงยามนี้ ราชินีเกล็ดเงินขอหญิงสาวลาตาไปสมรสกับชายหนุ่มโคแรน จ้าวเกาะไม่ทราบว่ามีความนัยอะไรหรือไม่ จึงให้เขามาดู
"ราชินีของข้ามาแล้ว" ชายหนุ่มผมเงินข้างตัวเร่งลุกขึ้น ทูตเพิ่งได้สติ จึงลุกตามเช่นกัน
ครั้นแล้วเขาก็นิ่งไป
หญิงนั้นไม่ใช่สาวแรกรุ่นแล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นหญิงมีอายุดังที่เขาเคยคิดไว้ เธอน่าจะอายุปลายยี่สิบ เรียกว่าอยู่ในวัยเต็มสาว เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่หลงเหลือความไร้เดียงสาของวัยรุ่น ทว่าเต็มไปด้วยความมั่นใจและมั่นคงของคนที่ต้องแบกรับสิ่งต่าง ๆ มากมาย นอกจากนั้น...เธอยังงาม งามจนทูตลืมหายใจ งามจนเขามึนงง เกือบไม่ได้ยินเสียงเธอที่ขอร้องให้นั่งลงเถิด ที่จริงแม้ทิ้งตัวนั่งแล้ว เขาก็ยังคงงุนงงอยู่นั่นเอง
"ข้าชื่อเมราล เชอยิน" เขาได้ยินเธอพูดดังนี้ "เป็นราชินีของเผ่าโคแรนนิอิด"
ตอนนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในใจของทูตแห่งลาตา
..................................................................................................................................................................
ท้องฟ้าเหนือทะเลทรายกระจ่างยิ่งนัก แสงแดดแผดเผารุนแรงจนทุกคนต้องสวมเสื้อยาวและผ้าคลุมป้องกัน ลอร์คานเองก็สวมผ้าคลุมเช่นกัน เขาขัดดาบใหญ่ไว้ข้างหลัง มีมีดสั้นด้ามทองเสียบตรงเข็มขัด สวมเกราะอ่อนทำจากหนัง กำลังอยู่บนหลังม้าสีน้ำตาลพันธุ์ทะเลทราย ม้าวิ่งเหยาะไม่ได้เร่งรีบอะไร พวกเขากำลังอยู่บนเส้นทางการค้าที่นำสู่อันเซลมา
ลอร์คานล่วงเข้าวัยฉกรรจ์แล้ว แม้ลักษณะโดยรวมไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ก็ให้ความรู้สึกว่าแข็งแกร่งขึ้น...และสงบลงบ้าง หลายปีที่ผ่านมา พ่อยกเรื่องให้เขารับผิดชอบเพิ่มเติมขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็โอนงานของเบรุคคอลีฟห์ให้หมดสิ้น คนในเผ่าเลิกเรียกเขาว่าลอร์คานหรืออัสซาร์ค แต่เรียกว่าเบรุคคอลีฟห์ และเรียกพ่อของเขาว่า "อัลคอลีฟห์" ซึ่งหมายถึงอดีตคอลีฟห์ ที่เป็นอย่างนั้นเพราะพ่อก็มีชื่อตัวว่าอัสซาร์คเหมือนเขานั่นเอง ทั้งยังไม่มีความคิดจะเปลี่ยนชื่อใหม่เหมือนทามีห์ด้วย หากกลับไปเรียกพ่อว่าอัสซาร์ค และเรียกเขาว่าเบรุคคอลีฟห์คงจะเกิดเรื่องงุนงงวุ่นวายกันมาก
บางทีเขาก็รู้สึกแปลก เป็นเบรุคคอลีฟห์แล้วราวกับกลายเป็นคนละคน ฐานะตำแหน่งแปรเปลี่ยนจากตอนเป็นลอร์คานและอัสซาร์คราวหน้ามือเป็นหลังมือ แต่เพราะลอร์คานไม่ใช่คนคิดมาก เขาจึงตั้งใจทำงาน เขายังคงไม่ละทิ้งความฝันเรื่องการรวมเมืองทราย ทว่ายามนี้ก็มองอะไรตามความเป็นจริงมากขึ้น ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะรวมมันเป็นปึกแผ่นอีกแล้ว หากแต่เริ่มคิดสร้างกลุ่มพันธมิตรขึ้นมาเพื่อให้เกิดอำนาจต่อรอง บางทีสักวันหนึ่งเมืองทรายอาจจะกลายเป็นกลุ่มรัฐที่แม้ปกครองแยกกัน แต่จะร่วมมือกันตัดสินใจเรื่องใหญ่หากมีความจำเป็น ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าบรรลุสิ่งที่ลอร์คานต้องการ เขาชังการรบพุ่งไร้สาระซึ่งเกิดจากความแตกแยก มันทำให้เมืองทรายไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าที่ควร
เมื่อคิดการณ์ใหญ่ถึงเพียงนี้ ย่อมมีบางคราวที่เหนื่อยยาก แต่ดูเหมือนโชคยังดีที่เขามีเพื่อนมาก และหลายคนก็ยังเรียกเขาว่าลอร์คานหรือลอร์ค ที่จริงเรียกชื่อไหนสิงโตทรายก็หันอยู่นั่นเอง แต่ยามถูกเรียกว่าลอร์ค บางทีเขาก็รู้สึกผ่อนคลายลง
ปีที่แล้วกับปีนี้อุดมสมบูรณ์ เผ่ารูฮาห์จึงมีม้ามากเป็นพิเศษ ลอร์คานจึงให้คนต้อนม้ารุ่น ๆ ไปขาย ปรกติแล้วเขาจะขายให้พ่อค้าคนกลางที่ผ่านไปมา แต่ปีนี้มีหนังสือขอสั่งซื้อเป็นพิเศษจากอันเซลมา ลอร์คานไม่ได้ไปอันเซลมานานแล้ว ก็ติดขบวนม้าไปด้วย เขาอยากรับทราบข่าวสารทางนั้น และอยากพบคนหลายคนเช่นท่านแม่ทัพ ซึ่งเคารพเป็นเพื่อนกันมานานปี ระหว่างที่ตระเตรียมเดินทางนั่นเอง ชายหนุ่มก็พบเทรมิสมาโผล่ที่เผ่าตน หัวเราะว่าได้ข่าวมาตามสายลม...พี่ลอร์คจะไปอันเซลมา ขอเป็นกาฝากติดไปด้วยสักคนคงไม่หนักแรงนักกระมัง
เทรมิสทำท่ารู้มากน่าหมั่นไส้ จึงถูกสิงโตทรายสมนาคุณด้วยเท้าไปทีหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้วเขาก็หาม้าให้พ่อมด บอกว่าอยากมาก็มาด้วยกัน ที่จริงไอ้พ่อมดมันมีสัตว์ภูตสายลม ย่อมไปถึงอันเซลมาได้รวดเร็วกว่าเขาหลายเท่า แต่ท่าทางมันคงมีเรื่องอยากคุยกระมัง จึงมาขี่ม้าสบายใจอยู่ข้างตัวเขานี่เอง
"ท่านเซรีบอกว่าอยากฝึกกองม้า แต่ข้าสงสัยว่าจะเป็นโรคแบบเดียวกับพวกผู้หญิงที่เห็นเสื้อผ้าสวยไม่ได้มากกว่า" พ่อมดเปรยขึ้น "พอเห็นม้าทีไรก็ร้องกรี๊ดจะซื้อ เงินปีพระราชทานไม่พอก็หนีไปไถท่านอาทุกที"
"ยาเรฟเองก็ซื้อม้าทะเลทรายบ่อยเหมือนกัน"
"ถ้าอย่างนั้นคงเป็นโรคกรรมพันธุ์สินะ" พ่อมดให้ความเห็น
สิงโตทรายไม่ได้เรียกเจ้าชายยาเรฟเป็น 'ท่าน' หรือ 'เจ้าชาย' เพราะรู้จักอีกฝ่ายในขณะปลอมตัวเป็นคนสามัญ จึงเรียกด้วยชื่อสามัญจนชินปาก เจ้าชายยาเรฟเองก็ไม่มีความคิดเรื่องถือยศศักดิ์อะไร อีกอย่างหนึ่งแม้คนทั้งสองจะไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้ ลอร์คานเองที่เป็นถึงเบรุคคอลีฟห์ก็มีศักดิ์ศรีไม่ด้อยกว่าเจ้าชายแห่งอันเซลมาเลย อาจจะเหนือกว่าขั้นหนึ่งด้วยซ้ำไป
"แต่บางทีท่านเซรีอาจจะเครียดก็ได้ นาน ๆ ทีเลยใช้เงินเก่งเป็นพิเศษ" เทรมิสลูบคาง
"เธอยังถูกเรียกให้เข้าสภาอยู่สินะ"
พ่อมดรับคำฮื่อในคอ นึกถึงครั้งสุดท้ายที่ไปเยี่ยมอีกฝ่ายที่อันเซลมา ท่านเซรีถูกจับใส่กระโปรงยืนเหม่อรับแขกบ้านแขกเมืองติดกันทั้งวัน พอหลุดออกมาได้ก็ชูแขนขอบคุณสวรรค์ ถอดกระโปรงและเครื่องประดับทิ้งโดนด่วน เผ่นเข้าห้องน้ำล้างเครื่องสำอาง จากนั้นก็ออกมาลากเขาไปเที่ยวในเมือง สรุปแล้วแม้ผ่านไปหลายปี ท่านเซรีอาจจะพัฒนาหลายด้าน แต่ก็ยังคงเติบโตขึ้นมาเป็นเจ้าหญิงประหลาดหาความเป็นกุลสตรีไม่ค่อยจะเจออยู่ดี
เงียบไปพักหนึ่ง ลอร์คานจึงได้เอ่ยขึ้นมา
"มีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าหรือเปล่า"
"แหม รู้ทันดีจังนะขอรับ" พ่อมดหันไปแยกเขี้ยวกวนประสาทใส่ แต่ครั้นเห็นแววตาดุร้ายมองกลับมา ก็แสร้งทำเป็นกลัว ดึงคอเสื้อซี้ดปากนิดหนึ่งคล้ายเกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายฆ่าปาดคอ
"ข้าจะไปหาท่านเมราล" ชายหนุ่มบอกหลังจากนั้น สีหน้าจริงจังขึ้น "เลยมาถามท่าน...พี่ชาย ไปด้วยกันไหม"
ลอร์คานนิ่งไป แม้ไม่แสดงออกทางสีหน้าก็พอเดาได้ว่าเขาทั้งตกใจและประหลาดใจ
"ไปหาทำไม"
"ข้ากับท่านเมราลช่วยกันสืบค้นเรื่องประตูมิติของเกาะที่เผ่าโคแรนไปตั้งรกราก ที่จริงไม่ค่อยมีความคืบหน้าเท่าไร แต่ระยะหลังนี้อาจจะมีเบาะแสเพิ่มเติมบ้าง ข้าอยู่ทางนี้ก็บอกไม่ถูก จึงต้องไปดูเอง หากเห็นแล้วก็คงกลับมาปรึกษาคนหออื่น ๆ ได้ว่ามันเป็นประตูมิติแบบไหนกันแน่"
"อย่างนั้นหรือ" สิงโตทรายรับในคอ
จากนั้นเขาก็เงียบไป
"ที่นั่นอยู่ไกลมากเอาการ ข้าขี่เสือไปทีเดียวไม่ได้ คงต้องลงที่นั่นที่นี่หลายครั้ง ดังนั้นไปทางเรือก็คงใช้เวลาพอ ๆ กัน อาจจะเดือนเศษ...หรือกว่านั้นนิดหน่อย" พ่อมดบอกต่อไป "ข้าบอกบาล์ซแล้ว บาล์ซว่าอยากไปก็ไปเถอะ บาล์ซก็ช่วยข้าค้นคว้าเรื่องประตูมิติเหมือนกัน"
"ที่จะไปอันเซลมานี่ จะไปบอกเซรีหรือ" ลอร์คานถาม ครั้นได้รับคำตอบรับในคอ เขาก็เอ่ยต่อ "เซรีจะว่างหรือ มีแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้นละที่ว่างตลอดกาล"
"เนอะ" พ่อมดแยกเขี้ยวยียวนกลับมา
สิงโตทรายเห็นอย่างนั้นก็เงื้อแส้ฟาดใส่สะโพกม้าของเทรมิส ทำให้มันตกใจตื่นเตลิดพร้อมกับพ่อมดบนหลังที่ร้องเฮ้ยดังลั่น พวกคนทรายอื่น ๆ ที่คุมขบวนด้วยกันเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะครืน แต่ลอร์คานไม่ได้หัวเราะแต่อย่างใด
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรไปหรือไม่ควรไป เขาอยากพบเธอ แต่กลัวว่าจะห้ามตนเองไม่ไหว จะกลายเป็นผิดสัญญาบังคับพาเธอกลับมา
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น