ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Black Mirror

    ลำดับตอนที่ #2 : ถาม

    • อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 64


    แซมวลทิ้งกระเป๋าลงบนเก้าอี้ ครั้นแล้วก็นั่งลงบนเตียง…ของตนเอง

    เตียงของเราหรือ…เขาแย้มริมฝีปากเล็กน้อย บิดเบี้ยวเจ็บปวด…ยังเป็นเตียงของเราหรือ…

    ครั้นแล้วชายหนุ่มก็มองไปรอบห้อง ปู่ย่า…หรือบางทีอาจจะแบตส์ ได้รักษาห้องของเขาไว้อย่างดี เคยมีรูปภาพ มีของตกแต่ง มีหนังสืออย่างไรก็คงมีอย่างนั้น ชั้นแต่กระจกซึ่งเขาต่อยจนแตกเองกับมือก็ยังคงแตกอยู่ แตกเป็นริ้วรอยเหมือนใยแมงมุม เมื่อมองไปอย่างนี้ก็เห็นใบหน้าของแซมวลเอง…ใบหน้ามากมายตามรอยแตกแต่ละรอย ทุกหน้าจ้องกลับมา แสดงถึงชายหนุ่มผมยาวสีดำสนิทที่มีดวงตาแปลกประหลาด เหน็ดเหนื่อยอิดโรยกับชีวิตและไม่ทราบว่าการคงอยู่ของตัวมีความหมายอย่างไร

    เขารู้ดีว่าการกระทำของตนเองเป็นเรื่องโง่เขลา แต่ถึงอย่างนั้นแซมวลก็ยังเป็นคนอารมณ์รุนแรง อ่อนไหวอย่างที่เขาเคยเป็นเสมอมา…หนุ่มเจ้าอารมณ์ที่ครั้งหนึ่งแสนจะหวาน ถึงแก่จัดงานแต่งงานแบบเคลติกโบราณ สวมพวงดอกไม้ลงบนผมของคัธริน โค้งเชิญชวนให้เธอมาเต้นรำรอบกองไฟ

    หมอบอกแซมวลว่าอารมณ์เปราะบางอ่อนไหวไม่ใช่เรื่องดี มันเป็นสาเหตุของโรคไมเกรนที่เขาเป็นอยู่ แต่แซมวลมิได้สนใจ ครั้งใดปวดศีรษะเขาก็กินยา กินเสียจนเดี๋ยวนี้ต้องพกขวดยาไปทุกแห่ง ย่าเห็นเขาครั้งแรกถึงกับตกใจ บอกว่าทำไมจึงผอมลงเช่นนี้    

    แซมวลมองรูปคัธรินที่บนตู้อีกครั้ง ครั้นแล้วเขาก็เดินไปจับรูปนั้นคว่ำลงก่อนที่จะออกไปจากห้อง

    ชายหนุ่มเดินผ่านหน้าประตูห้องของลุงโรเบิร์ต และเห็นตะแกรงสำหรับใส่หนังสือพิมพ์…ย่าบอกว่าหมู่นี้ลุงทำงานหนักตลอดเวลา ไม่ได้ลงมากินข้าวด้วยกัน หนังสือพิมพ์ก็ให้แบตส์ส่งขึ้นไปให้ วันดีคืนดีก็ออกจากบ้านไปแอชเบอร์รีกลางดึก ย่าเป็นห่วงลุงโรเบิร์ต ยิ่งปู่เสียแล้วก็ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น

    แซมวลหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา เขาอยากรู้ว่าข่าวการเสียชีวิตของปู่จะเป็นอย่างไร ชายหนุ่มไล่สายตาไปบนหัวไม้ที่บนหน้ากระดาษ…เป็นข่าวใหญ่ทีเดียว แต่ค่อนข้างเป็นทางการและคลุมเครือ เมื่อเขาพลิกอ่านต่อที่หน้าหลัง กระดาษแผ่นหนึ่งก็ตกลงมา

    ชายหนุ่มเก็บกระดาษขึ้นดู เมื่อแรกเข้าใจว่าเป็นแผ่นสอดโฆษณา ทว่าครั้นสังเกตอีกครั้งก็เห็นว่ามันเขียนด้วยลายมือหยาบคร่าว เป็นจดหมายสั้นราวโทรเลข

     

    ถึงอาร์. จี. - ได้ส่งของให้แล้ว ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยดังประสงค์ แต่อย่าให้ประเจิดประเจ้อนัก

    เอช. เอช.

     

    ใคร…อะไร…ชายหนุ่มงุนงง…หมายความว่าอย่างไร ครั้นแล้วเขาก็นึกได้ อาร์. จี. น่าจะเป็นโรเบิร์ต กอร์ดอน หนังสือพิมพ์ฉบับนี้อยู่ในตะแกรงหน้าห้องลุง คงเป็นใครสักคนที่ฝากข้อความมาให้ เมื่อคิดได้ดังนั้นแซมวลก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องของตนจึงพับกระดาษอย่างประณีตและสอดคืนในหนังสือพิมพ์ให้ดังเก่า ก่อนที่จะเดินสำรวจบ้านที่ไม่ได้กลับมาถึงสิบสองปีต่อไป

    ชายหนุ่มมองผ่านหน้าต่าง เขาเห็นหอคอยที่ลุงโรเบิร์ตบอกว่าปู่กระโดดลงมาเสียชีวิต มันอยู่ทางปีกตะวันตก…เป็นปีกที่ไฟไหม้เมื่อคราวคัธรินตาย มีทางเข้าทางเดียวคือผ่านห้องใต้หลังคา หอคอยนั้นสูงเป็นแท่งแหลมสู่ท้องฟ้า แปลกประหลาด มืดทะมึน ก่อนนี้ปู่ใช้ที่นั่นเป็นหอดูดาว แต่ก็ไม่เคยชอบใจขนาดจะทำเป็นห้องส่วนตัว ปู่ชอบเรือนกระจกมากกว่าเสมอมา…ใช้เป็นที่วาดภาพ ลอร์ดกอร์ดอนศิลปินสมัครเล่นผู้มีชื่อเสียง

    น่าเสียดายที่ลูกของท่าน ไม่ว่าลุงโรเบิร์ตหรือรันเดลพ่อของแซมวล ต่างไม่มีใครเป็นศิลปินเหมือนปู่เลยสักคนเดียว

    บ้านมิได้เปลี่ยนแปลง ทว่าจะพูดอีกครั้ง แซมวลก็รู้สึกว่าบ้านเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลจนแทบจำไม่ได้ ก่อนนี้แม้เก่าแก่ แม้มีบางส่วนต้องปิดไปเพราะดูแลไม่ทั่วถึงทว่าแบลคมิเรอร์ก็เต็มไปด้วยชีวิต…เต็มไปด้วยความสุข ยังมีลมหายใจ ทว่าเวลานี้ลมหายใจดังกล่าวได้สาบสูญไป แบลคมิเรอร์มีเพียงซากว่างเปล่า เหมือนกระดูกแห้งกรัง เป็นสุสานที่ปิดตาย

    แซมวลไม่ทราบ…อาจจะเป็นเพราะจิตใจของเขาเองก็ได้ อาจจะเพราะใจนี้ดับไปแล้วพร้อมกับชีวิตของคัธริน หลังจากนั้นไม่เคยมีสิ่งใดมีความหมายอย่างแท้จริงอีกเลย

    เขาเดินไปถึงห้องใต้หลังคาและพบว่ามันลงกลอน ดังนั้นจึงลงไปหาพ่อบ้านแบตส์ที่ครัว ย่าอยู่ในห้องนั่งเล่นไม่อยากให้ใครรบกวน ลุงโรเบิร์ตทำงานอยู่ในห้อง ตอนนี้บ้านร้างราวกับไม่มีใครจริงๆ

    แบตส์อยู่ที่โถงกลาง ปัดฝุ่นบนเตาผิง เหนือเตาผิงขึ้นไปเป็นรูปต้นตระกูลของแซมวลสองคน…สองพี่น้องกอร์ดอน มอเดรดและมาร์คัส

    “คุณแซมวล” พ่อบ้านชราเอ่ยทักเมื่อเห็นชายหนุ่ม ดังนั้นแซมวลจึงชวนเขาคุย

    แบลคมิเรอร์เสื่อมโทรมลงไปมาก ปีกตะวันตกไม่ได้รับการซ่อมแซม แบตส์บอกเขาว่าตอนนี้มีคนงานในคฤหาสน์เพียงสามคน คือตัวแบตส์เอง คนสวน และคนเลี้ยงม้า สองคนหลังนี้มาใหม่ แซมวลไม่รู้จัก เมื่อชายหนุ่มถามว่าคนรับใช้อื่นๆ ไปไหนแล้ว แบตส์ก็บอกว่าลาออก ครั้นถามว่าทำไมจึงลาออก แบตส์กลับเงียบเสีย…เขายังคงเป็นพ่อบ้านที่ดี ดีที่สุดเท่าที่แซมวลเคยเห็นมา ไม่เคยมีใครเหมือนแบตส์หรือแทนที่แบตส์ได้ เขาเป็นยิ่งกว่าพ่อบ้าน…เป็นคนในครอบครัว

    “กระผมดีใจที่คุณกลับมา” ชายชราบอกชายหนุ่มอย่างนี้ ใบหน้าเหี่ยวย่นด้วยกาลเวลาเผยอเป็นรอยยิ้มเงียบขรึม “ดีเหลือเกิน…สำหรับคุณวิคตอเรีย โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้…”

    งั้นหรือ…ดีสำหรับย่า…ก็ดี

    แซมวลถามแบตส์ต่อไป นอกจากคนสวนกับคนเลี้ยงม้าใหม่แล้วมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่ มีใครย้ายเข้าออกที่วิลโลว์ครีกบ้าง แบตส์บอกว่าไม่มีอะไรมากนัก ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ใช่ ท่านวิคาร์ยังคงเป็นคุณพ่อเฟรเดอริค และก็…อ้อ หมอแฮร์มันน์ คนเยอรมัน…ไฮนซ์ แฮร์มันน์ ย้ายเข้ามาเมื่อสิบปีก่อน เป็นหมอประจำตัวของท่านลอร์ดกับท่านหญิง หมอแฮร์มันน์เป็นคนดี นอกจากเป็นหมอแล้ว แกยังเป็นนิติเวช

    “ผ่าศพ…” แซมวลเปรย

    “ขอรับ ผ่าศพ ชอบใจกับเซอร์โรเบิร์ตมาก”

    “เป็นลอร์ดโรเบิร์ตแล้วน่า” ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “…ลอร์ดกอร์ดอน”

    “กระผมลืมไป คิดถึงลอร์ดกอร์ดอนทีไร…มีแต่คุณท่าน” แบตส์ว่า หลังจากนั้นเขาก็ยังคงเรียกลุงว่าเซอร์โรเบิร์ต

    “แล้วปู่เล่า หลังๆ มานี้ปู่เป็นอย่างไรบ้าง” แซมวลถามต่อไป

    “คุณท่านสบายดี” เสียงของพ่อบ้านชราแปลกประหลาด อ้อมแอ้มเหมือนไม่เต็มใจตอบนัก “ทำงานหนักนัก…สมกับที่เป็นพ่อลูกกับเซอร์โรเบิร์ต”

    “ปู่หางานหนักให้ตัวเองทำหรือ” ชายหนุ่มหัวเราะ “งานอะไรกัน”

    “กระผมก็ไม่ทราบดีนัก รู้แต่ว่าท่านให้ขนหนังสือเข้าไปในยอดหอคอยนั้นมากพอดู”

    แซมวลยกไหล่ขึ้น ทำเหมือนไม่มีอะไร ครั้นแล้วเขาก็ถามโดยกะทันหันไม่ทันให้พ่อบ้านได้ตั้งตัว

    “แล้วปู่ตายอย่างไร แบตส์”

    แบตส์สะดุ้ง นิ่งเงียบไปชั่วขณะ

    “กระผมได้เรียนท่านสารวัตรไปหมดแล้ว” เขาบอกในที่สุด “ทุกอย่างที่กระผมเห็น อย่าให้ต้องทวนซ้ำอีกเลย…”

    “แบตส์คิดเหมือนฉันไหม ลอร์ดกอร์ดอนไม่ใช่คนจะฆ่าตัวตาย” แซมวลถามต่อ…รุกรวดเร็ว

    เขาเป็นคนฉลาด แม้หลายปีมานี้จะเหนื่อยหน่ายกับชีวิต แต่ไม่ได้หมายความว่าสติปัญญาจะลดลง ถึงทุกสิ่งจะสิ้นความหมายไปแล้ว ทว่ามีบางอย่างที่ชายหนุ่มยังคงรู้สึกติดค้าง…เขารู้สึกผิดที่ตนไม่เคยติดต่อกลับ ทิ้งเวลาให้ล่วงเลยจนปู่ตาย กว่าจะได้พบกันอีกครั้งก็มีเพียงซากศพเยือกเย็นที่เห็นเพียงใบหน้า

    ถ้าหากมีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการตายของปู่ แซมวลก็อยากจะทำให้มันถูกต้อง…ลดความรู้สึกผิดของตนเองลงบ้าง

    พ่อบ้านชราเม้มริมฝีปาก

    “กระผมไม่ทราบ…” เขาพูดในคอ ครั้นแล้วก็ดูเหมือนจะลังเล…และเปลี่ยนใจ “แต่…มีบางอย่างที่กระผมไม่ได้บอกท่านสารวัตร กระผมกลัวท่านจะว่าบ้า”

    “อะไรกัน” แซมวลตื่นตัวขึ้น แต่พ่อบ้านปรามเขาด้วยสายตา จากนั้นก็จับมือพาไปยังใต้หอคอย

    ใต้หอคอยกั้นรั้วเหล็กเป็นที่ปลูกต้นไม้ ทว่าเมื่อเหลือคนสวนเพียงคนเดียวพุ่มไม้นั้นจึงรกเรื้อไม่ได้รับการตัดแต่งเท่าที่ควร บัดนี้ส่วนหนึ่งของพุ่มดังกล่าวได้แบนราบไป แสดงร่องรอยที่ร่างของลอร์ดกอร์ดอนตกลงมาทับอย่างชัดเจน รั้วเหล็กก็ย่นยู่แต่ไม่มีรอยเลือดติดอยู่อีก ย่าคงรีบสั่งให้แบตส์ทำความสะอาดทันทีที่ทำได้

    แซมวลมองร่องรอยทั้งหมดนั้น เขาไม่อยากคิด แต่กลับยังคงจินตนาการเห็นภาพของปู่…ร่างของปู่ที่ตกลงมา

    “ที่บนกำแพงนั่นขอรับ” แบตส์ชี้ขึ้นไปด้านบน บริเวณเหนือสายตาเล็กน้อย “ตรานั้นไม่เคยมีมาก่อน จนกระทั่งหลังลอร์ดกอร์ดอนเสียชีวิต

    แซมวลมองตาม สิ่งที่เขาเห็นคือรอยสีแดงรูปวงกลม…เหมือนรอยประทับตราโบราณ ตรงกลางรอยเป็นรูปสัญลักษณ์บางอย่าง คล้ายกับตัวอักษรแต่ก็ไม่ใช่อักษรที่ใช้กันทั่วไป

    “รูน…” ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ

    “ขอรับ?”

    “รูน…อักษรสัญลักษณ์โบราณ” แซมวลบอก “ฉันไม่ได้เป็นนักศึกษามานานแล้ว มองแบบนี้ยังดูไม่ค่อยออก…”

    ครั้นแล้วชายหนุ่มก็หันมาทางพ่อบ้าน

    “แบตส์ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับสารวัตรหรือ”

    “เปล่าขอรับ…ที่จริงแล้วกระผมก็สงสัยอยู่ว่าตาฝาดไปหรือเปล่า…บางทีแม้บอกไป คนเขาอาจจะว่าลอร์ดกอร์ ดอนเป็นคนทำตราไว้เอง” เสียงของแบตส์ต่ำลง

    “อย่างนั้นหรือ” แซมวลถาม พยายามไม่แสดงความรู้สึกในน้ำเสียง แบตส์ไม่ยอมพูดจนหมดความ แต่ชายหนุ่มก็พอจะจับเค้าได้จากสิ่งที่เห็นตั้งแต่กลับมาถึงที่ดินของคฤหาสน์แล้ว…หลายปีมานี้ปู่คงไม่ได้สุงสิงกับคนอื่นมากนัก ไม่แปลกอะไรถ้าจะถูกมองว่าสติเริ่มไม่สมบูรณ์

    “ไม่ว่าอย่างไรท่านลอร์ดก็ยังเป็นคนฉลาดที่สุดเท่าที่กระผมเคยพบ” พ่อบ้านขึ้นเสียงเล็กน้อยโดยไม่รู้สึกตัว “คนก็พูดกันไป แต่…”

    แซมวลสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาก้มลงไปที่พุ่มไม้และหยิบอะไรออกมา…อะไรที่เป็นรูปกลมและมีรูตรงกลาง เหมือนเหรียญโบราณแต่ทำด้วยดินเผา และสลักตัวอักษรรูนไว้เช่นกัน

    “นี่อะไรกัน” ชายหนุ่มถาม

    แบตส์มองของสิ่งนั้นและขมวดคิ้ว

    “กระผมเองก็ไม่ทราบ” เขาว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าตกอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร…บางทีควรจะถามเฮนรี่คนสวน”

    “ช่างเถอะ” แซมวลไม่ว่าอะไร “นี่แน่ะแบตส์ ฉันอยากเข้าไปในห้องใต้หลังคา กุญแจอยู่ที่แบตส์ใช่ไหม”

    “ขอรับ แต่กุญแจเข้าหอคอยนั้นคุณวิคตอเรียให้เอาไปทิ้งเสียแล้ว” พ่อบ้านบอกราวกับรู้ทัน

    “ไม่เป็นไร ขอกุญแจห้องใต้หลังคาให้ฉันแล้วกัน”

    แต่ก็จริงดังคำพ่อบ้าน แม้เปิดห้องใต้หลังคาเข้าไปได้ประตูที่ต่อไปยังหอคอยก็ลงกลอน…ตอกไม้ปิดไว้ด้วยซ้ำ แซมวลดึงไม้ออกได้จริงแต่เปิดประตูไม่สำเร็จ สลักมันเป็นของโบราณอายุเท่าคฤหาสน์ ฝีมือช่างดีกว่าสมัยนี้มาก ถ้าไม่ใช่กุญแจดอกจริงคงเปิดไม่ออกอย่างแน่นอน

    แซมวลเตะประตูครั้งหนึ่ง หงุดหงิดยิ่งนัก เขาเดินออกจากห้องใต้หลังคา ตั้งใจจะไปถามคนสวนเรื่องวัตถุลึกลับที่เก็บได้ในพุ่มไม้ แต่ในขณะที่เดินออกไปชายหนุ่มก็ผ่านเตาผิงเก่า…ห้องบริเวณนี้ถูกไฟไหม้ไปแต่สิบสองปีก่อน ขาดการบูรณะ เตาผิงนั้นยังมีตะกอนเถ้าดำอยู่ แต่ในตะกอนดำแซมวลสังเกตเห็นมุมกระดาษขาวโผล่พ้นขึ้นมา…ดูไม่เข้ากับเตาผิงที่ถูกทิ้งถึงสิบสองปีแม้แต่น้อย

    เขาก้มลงเขี่ยเถ้า ครั้นแล้วก็พบกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากมายถูกฝังซ่อนอยู่ข้างใต้ เมื่อจัดการเอาออกมาได้หมดแล้วและนำมาปะติดปะต่อกัน ชายหนุ่มจึงพบว่ามันเป็นภาพถ่าย แม้จะเปื้อนเขม่าไปไม่น้อยแต่รูปดังกล่าวยังคงชัดเจน…ดูเหมือนเพิ่งถ่ายได้ไม่นาน

    เป็นรูปของผู้ชายคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก คิ้วดกหนา อายุไม่เกินสี่สิบปี

    และแม้ไม่รู้จัก ก็ให้ความรู้สึกบางอย่างที่คุ้นเคย


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×