คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : หมู่บ้านถูกสาป
เอริซ่า ลืมตาขึ้นพบว่าเป็นเวลารุ่งสางขอบฟ้ายังไม่สว่างมากนัก แต่ก็พอมองเห็นได้เลือนลาง เจ้าหญิงและเทรดิน ยังหลับอยู่ เอริซ่าค่อยๆ ย่องออกมาเงียบๆ แวะวักน้ำลูบหน้าตาที่ริมธาร แล้วจึงทบทวนเพลงดาบ อย่างที่ทราบกันว่าแม่ของเอริซ่าเป็นคนจากเผ่าเอลฟ์ แม้นางพยายามพร่ำสอนเอริซ่าเกี่ยวกับเวทย์มนต์ต่างๆ แต่เอริซ่าไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เอาซะเลย แม้เป็นเวทย์มนต์ง่ายๆเกี่ยวกับการสะกดให้หลับ หรือแม้แต่เวทย์มนต์ด้านการรักษา เธอกลับถนัดและชอบเกี่ยวกับการใช้ดาบ และต่อสู้ด้วยมือเปล่า ถนัดและชอบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอเก่งเพราะแม้จะฝึกฝนสักเพียงใด เอริซ่าก็ทำได้เพียงป้องกันตัวเองเท่านั้น ในบรรดาลูกศิษของอาจารย์ เอริซ่ามีฝีมือรั้งท้าย แต่นั่นก็ไม่ทำให้เธอย่อท้อ เมื่อคิดถึงอาจารย์และเพื่อนๆ เอริซ่าน้ำตาคลอขึ้นมาอีกครั้ง เธอคิดถึงผู้คนในหมู่บ้านที่ตายจากไปและท่านพ่อท่านแม่ แต่น้ำตาเหล่านั้นมิได้หยาดหยดลงมาแม้แต่น้อย เธอเงยหน้ามองฟ้า เพื่อกลบน้ำตาให้หายไปแล้วตั้งใจฝึกเพลงดาบอย่างเอาเป็นเอาตาย
เทรดิน ยืนกอดอกพิงหลังต้นไม้แอบดูเด็กสาวฝึกเพลงดาบ และแอบขำในใจ โธ่เอ้ย ยัยหนู แม้แต่ท่าจับดาบยังผิดหลักการนี่จะไปสู้ใครเค้าได้ แต่เทรดินก็แอบชื่นชม แม้ท่าทางกวัดแกว่งดาบของเธอจะดูเกะกะ ขวางหูขวางตา แต่ท่าทางเอาจริงเอาจัง นั้นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว
''ข้าว่า เจ้าควรผ่อนคลายมากกว่านี้นะ''
เอริซ่าชะงัก ยืนตะลึงตาค้างมองมาทางเทรดิน ด้วยความเขินอาย
''นี่ทะทะ ท่าน มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน'' เธอเอ่ยถามกลับไปด้วยคำพูดติดขัด
''ก็มาทันได้เห็นลูกแมวน้อย จับดาบตะปบอากาศ''
เอริซ่า หน้างอ นั่งแปะลงกับพื้นด้วยท่าทีหมดแรง
''ข้ารู้ว่าฝีมือดาบข้ามันไม่เอาไหน มีแต่คนหัวเราะเยาะข้า ไม่เว้นแม้แต่ท่าน''
เทรดินหน้ากระตุกวูบ ด้วยความอยากล้อเล่น ทำให้พูดจาเช่นนั้นออกไปเขานึกเสียใจ ที่วาจาของเขาไปสะกิดเข้ากับปมด้อยของนาง
''ลุกขึ้นสิ ข้าจะสอนวิธีจับดาบ และเพลงดาบที่เหมาะสมกับเจ้าให้''
เอริซ่า ยิ้มขึ้นมาทันที และตั้งอกตั้งใจเรียนรู้จากเทรดิน เขาจับมือของเธอ ให้กระชับเข้ากับด้ามดาบ พร้อมกับร่ายเพลงดาบง่ายๆ แต่การจับลักษณะนี้มันเหมือนกับการโอบกอดกลายๆ เลยทีเดียว เมื่อนึกได้ดังนี้ เอริซ่าก็แก้มแดง มือเย็นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
''นี่พวกเจ้าทำอะไรกัน ข้าหิวจะแย่แล้วนะ''
เจ้าหญิงมูลิอาร์ ตะโกนเสียงดังทำให้เทรดิน กับเอริซ่า ผละออกจากกัน ด้วยความตกใจ แม้ทั้งสองจะไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เอริซ่าก็อดที่จะ ประหม่ามิได้ เจ้าหญิงกระฟัดกระเฟียดไปยังกองไฟที่มอดดับไปแล้ว เอริซ่าและเทรดิน เดินตามหลังไปอย่างเสียมิได้ เสบียงอาหารถูกนำขึ้นมากินกันอย่างง่ายๆ
''ข้าคิดว่าถ้าเราตั้งใจเดินทาง ประมาณ 15 วันน่าจะถึงดินแดนเอลฟ์''
เทรดินพูดทำลายความเงียบ เอริซ่าสังเกตเห็นเทรดิน เอาอกเอาใจเจ้าหญิงเป็นพิเศษ พยายามขยั้นขยอให้นางกินโน่นกินนี่ ส่วนเจ้าหญิงยังไม่หายจากอาการงอนตุบป่อง เอ๋ หรือว่า สองคนนี้เค้าจามีอะไรกันมากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหญิงกับองค์รักษ์ คิดได้ดังนั้น เอริซ่ารู้สึกยินดี ไม่มีความเสียใจเลยแม้แต่น้อย
แม้เธอจะชอบท่านเทรดิน หน้าแดงและรู้สึกประหม่าเวลาได้พูดคุยกัน นั่นคงเป็นเพราะท่านเทรดินเก่ง และรูปงาม แต่เอริซ่าก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเทรดินไปมากกว่านั้น
เมื่อกินอาหารเสร็จ ทั้งสามจึงรีบเดินทางต่อทันที ระหว่างทางต่างคนต่างเงียบไม่มีใครพูดจากัน แม้เอริซ่าจะชวนเจ้าหญิงพูดระหว่างกินอาหารกลางวันแต่เจ้าหญิงกลับทำเฉยชา ไม่ได้เอ่ยปากพูดกับเอริซ่าแม้แต่น้อย จึงทำให้เอริซ่าหมดความอดทน และไม่คิดที่จะพยายามพูดจากับนางอีกต่อไป
ทั้งสามคนเดินทางจนเข้าเขตป่าทึบประจวบกับเวลาพลบค่ำ เอริซ่ามองไปโดยรอบรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับบรรยากาศแปลกๆ ของป่านี้ เพราะมันอับๆ และมีหมองจางๆ อยู่ทั่วไปทำให้มองเห็นอะไรไม่ค่อยชัด ต้นไม้สูงใหญ่บางต้นใหญขนาด 5-6 คนโอบเลยทีเดียว สิ่งที่แปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่มีสิ่งมีชีวิตใดให้เห็นเลยนับจากเข้าเขตป่านี้มา เอลิซ่าชำเลืองมองทางเทรดิน เห็นเขามีอาการเครียด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เทรดินลงจากหลังม้าเอริซ่าและเจ้าหญิงจึงทำตาม
''เห็นทีคืนนี้เราต้องพักที่นี่ ข้าพยายามเลี่ยงเส้นทางนี้แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมยังหลงเข้ามาได้'' เทรดินพูดแค่นั้น เอริซ่ามองหน้าชายหนุ่มหวังจะได้ยินคำอธิบายเพิ่มแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เทรดินก่อกองไฟ ทั้งสามกินอาหารค่ำกันเงียบๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศชวนอึดอัด เจ้าหญิงเองก็มีสีหน้าวิตกกังวลไม่แพ้กัน
''เทรดินท่านรู้หรือไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนกัน'' เจ้าหญิงพูดเพื่อทำลายความเงียบ ยิ่งทำให้เทรดินรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีก ก่อนที่กล่าวอ้อมแอ้มออกมาให้พอได้ยินเสียง
''ข้าคิดว่าเราน่าจะหลงเข้ามาในเขตของป่าคนตาย'' เทรดินพูดด้วยเสียงปกติ พยายามซ่อนความลำบากใจเอาไว้แต่ก็ไม่พ้นไปจากสายตาของเอริซ่าและเจ้าหญิง
''เกาะพูดได้เป็นอย่างไรบ้าง'' แม้เจ้าหญิงจะไม่ได้หันมองหน้าเอริซ่าตรงๆ แต่นั่นเป็นการถามถึงเกาะของเธอ เอริซ่าจึงตอบกลับไป
''เป็นเกาะเล็กๆเพคะ ผู้คนอาศัยอยู่ไม่มาก ข้าจำพวกเขาได้ทุกคน ''
เอริซ่าเล่าด้วยความภูมิใจ แต่ต่อมาเธอก็มีสีหน้าสลดลง
''ข้าเสียใจด้วย กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น'' แม้เจ้าหญิงจะมีท่าทางเย็นชากับเอริซ่ามาตลอด แต่คำพูดเช่นนั้นของเจ้าหญิงทำให้เอริซ่าทราบซึ้งในน้ำพระทัยที่รู้สึก ห่วงใยความรู้สึกของเธอ เอริซ่าจึงยิ้มตอบกลับไป ก่อนที่จะล้มตัวลงนอน
''รีบหลับพักผ่อนเอาแรงไว้ดีกว่าหนทางอีกไกลนัก''
เอริซ่าคิดในใจก่อนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
''เอลิซ่า เอริซ่า ตื่นเถิด .......''
ใต้ต้นไม้ต้นเดิม นางผู้สง่างามและสวยราวกับเทพธิดาคนเดิม ยืนอยู่ แต่แววตาเศร้าสร้อยและวิตกกังวล เอริซ่าอยากพูดและถามต่อ
แต่นางค่อยๆเลือนหายไป เอริซ่าจึงค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นแต่เธอไม่สามาถขยับตัวได้ มีเสียงดังกรอบแกรบไปมาอยู่รอบตัวคล้ายคนนับสิบเดินอยู่
''ท่านโดเรียน ข้าถูกตัวเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ ตัวมันร้อนอย่างกับไฟ''
เสียงหนึ่งใกล้ตัวเอริซ่าพูดขึ้น
''ใกล้สว่างแล้ว ไม่มีเวลาจัดการมัน เอาไปสองคนก็พอ ไอ้นี่ปลอ่ยไว้ เดี๋ยวมันคงหลงป่าตายไปเอง'' อีกเสียงพูดขึ้นดังแทบห้าว
เอริซ่าพยายามฝืนความง่วง เพื่อลืมตาขึ้น แม้จะยากเย็นแต่ในที่สุดเธอก็ชนะ เมื่อรู้สึกตัวมือเธอกระชับดาบแน่นแล้วดีดตัวขึ้น ทันทีที่เห็นพวกมัน ชัดเจน
เอริซ่า ถึงกับสะดุ้งสุดตัว นี่มันตัวอะไรกันเนี่ย ภายใต้แสงสลัวของกองไฟที่ใกล้ดับ เอริซ่าเห็นตัวที่อยู่ใกล้มากที่สุด มีลักษณะคล้ายคน แต่ตัวเขียว ผิวหนังปุปะเต็มไปด้วยตุ่มหนอง หนอนยั๊วเยี้ยไปหมด ใบหน้าเละ ดวงตาบิดปูดโปนออกมาข้างหนึ่ง หลังของมันงองุ้มคล้ายคนแก่
ถัดไปมีโครงกระดูกสี่ห้าตัวเดินไปมาแต่แปลกมันใส่ชุดเกราะคล้ายนักรบ มีพวกมันอีกจำนวนหนึ่งกระจายกันรุมล้อมเธอไว้ในความมืดเอริซ่ามองเห็นมันไม่ชัดว่ามีลักษณะอย่างไร ขณะกำลังสำรวจพวกมันอยู่นั้น อีกตัวหนึ่ง ซึ่งเอริซ่ามองอย่างไร เธอก็คิดว่าเป็นคน มันใส่ชุดเกราะสีแดงทั้งตัว แต่พอมันมาใกล้ เอริซ่าถึงกับผงะ ดวงตามันสีแดงฉานราวกับเลือด หน้ามันซีดขาวไร้วี่แววของการมีเลือดเนื้อ ทันทีที่มันยิ้ม เอริซ่าเห็นเขี้ยวตรงมุมปาก สองซี่ที่งอกยื่นแหลมกว่าทุกซี่ แวมไพร์ เอริซ่าคิดในใจ ท่านลุงเคยเล่าให้ฟัง ว่ามีผีดูดเลือดพวกมันชื่อแวมไพร์
ตรงตามลักษณะของเจ้าคนตรงหน้าเอริซ่าทุกอย่าง
''นี่เจ้าคลายมนต์สะกดหลับของข้าได้อย่างไรเจ้าเด็กน้อย''
มันตรงเข้ามาหาเอริซ่า แต่ไม่สามารถประชิดตัวได้ เพราะอะไรบางอย่างป้องกันเธอเอาไว้
''ปล่อยพวกข้ามาเดี๋ยวนี้นะ '' เอริซ่า ตะโกนกลับไปด้วยท่าทีเอาเรื่อง แม้มองไม่เห็นทางว่าจะเอาชนะพวกนี้อย่างไร
ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ มันหัวเราะเสียงดัง
''ข้าไม่มีเวลาเล่นกับเจ้า เห็นทีต้องไปแล้ว เจ้าหนุ่ม''
พูดจบมันก็หันหลังพร้อมส่งสัญญานให้ลูกสมุนถอยกลับออกไปช้าๆ เอริซ่าเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้าไป ใช้ดาบฟันเจ้าตัวหัวหน้าทันที มันเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อหลบ ทำให้เอริซ่าฟันพลาดไป มันหันหน้ากลับมาทำตาลุกวาว ก่อนหายตัวไป
เอริซ่ากระโดดขึ้นหลังม้าควบตามไป มองหาม้าสองตัวของเจ้าหญิงกับ
เทรดินแต่ไม่พบ เอริซ่าคิดว่าพวกมันคงจับทั้งสองคนมัดใส่หลังม้า
เธอตามไปในทิศทางเดียวกับที่พวกมันหายไปในป่า จนล่วงถึงเวลาเช้า แต่ไม่พบพวกมันแม้แต่ตัวเดียว เอริซ่ารู้สึกสิ้นหวัง ไม่เห็นหนทางว่าจะไปตามหา เทรดินและเจ้าหญิงได้อย่างไร ขณะที่ความกลัว กำลังเข้าเกาะกุมจิตใจ เธอเห็นหลังคาบ้านคนรางๆในม่านหมอก เอริซ่าใจชื้นขึ้นมาทันที รีบขี่ม้าตรงเข้าไป อย่างน้อยน่าจะพอขอร้องใครให้ช่วยเหลือได้บ้าง
ทันทีที่ถึงหมู่บ้าน ความดีใจของเอริซ่าก็หายไป หมู่บ้านนี้เงียบไร้วี่แววผู้คน แม้เธอจะพยายามตะโกนเรียกแต่ก็ไม่มีใครมาปรากฏตัวให้เห็น เอริซ่าตัดสินใจกระแทกประตูบ้านหลังหนึ่งจนเปิดออก ค่อยๆเข้าไปสำรวจภายในบ้าน เอริซ่าประหลาดใจมากเมื่อพบว่าข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน ดูใหม่เหมือนมีคนใช้อยู่ตลอดเวลา บ้านเรือนสะอาดเหมือนได้รับการดูแล แต่เจ้าของไปไหน หลังจากค้นหาสิ่งมีชีวิตจนทั่วแต่ไม่พบ เอริซ่ารู้สึกเหนื่อย จึงพักลงที่บ้านหลังหนึ่ง เธอค้นหาอาหารจนพบจึงถือวิสาสะนำมากินจนอิ่ม ก่อนที่จะเผลอหลับไป
''แม่ใครไม่รู้นอนอยู่บนบ้านเรา'' เสียงเล็กๆ ปลุกเอริซ่าให้ตื่นลืมตาขึ้น จึงพบเด็กหญิงวัยไม่น่าจะเกินสิบขวบกำลังก้มมองดูเธอ
''ถอยออกมาลูก'' เสียงแม่เรียกลูกน้อยเข้าไปกอดไว้ด้วยความตกใจ เอริซ่าลุกขึ้นนั่ง จึงพบว่าเป็นเวลาค่ำพอดี เมื่อมองกลับมาจึงพบ
ชายหญิงสองคนพร้อมเด็กคิดว่าคงเป็นพ่อแม่ลูกกัน มองดูแล้วไม่น่าจะมีอันตราย เอริซ่าจึงยิ้มให้
''ข้าขอโทษที่ถือวิสาสะมานอนบนบ้านท่าน และ แฮ่ะๆๆกิน อาหารของท่านด้วย'' เอริซ่ากล่าวขอโทษ
''ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เจ้าควรรีบไปจากที่นี่ดีกว่า เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง'' ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้น ทำให้เอริซ่ามีท่าทีสงสัย
''เพื่อนข้าสองคนถูกจับตัวไป ข้าคงไม่ไปไหน จนกว่าจะพบเขา ข้าอยากขอความช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้านนี้'' ทันทีที่เอริซ่าพูดจบ ชายหญิงหันหน้ามองกัน แววตาตระหนก ผู้เป็นแม่กอดลูกน้อยแน่นกว่าเดิม
''อย่าว่าแต่ช่วยท่านเลย ลำพังพวกเราเอง ก็ยังเอาตัวไม่รอด ท่านไปซะดีกว่า'' แม้เจ้าของบ้านจะยืนกรานเช่นนั้นแต่เอริซ่าไม่ละความพยายาม
''เหตุใดเจ้าจึงพุดเช่นนั้น ทำไมเจ้าจึงว่าเอาตัวไม่รอด เพราะพวก ปิศาจใช่ไหม เมื่อคืนข้าพบมัน ''
จากคำบอกเล่าของเอริซ่า ทำให้ชายเจ้าของบ้านรู้สึกแปลกใจ ไม่เคยมีใครที่พบปิศาจ พวกนั้นแล้วรอดมาในหมู่บ้านนี้ได้ เมื่อพิศดูเด็กหนุ่มตรงหน้า แม้ใบหน้าจะมอมแมม เปื้อนไปด้วยเศษดิน แต่คิ้วสวยได้รูปกับตากลมโตสีฟ้า รับกับจมูก มันเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าหวานมาก และเขาก็ไม่เคยพบใครที่มีตาสีฟ้ามาก่อน อะไรบางอย่างทำให้เขาตัดสินใจเล่าเรื่องราวให้เด็กหนุ่มตรงหน้าฟัง
''หมู่บ้านนี้ ชื่อว่าหมู่บ้านถูกสาป ในป่าลึกโน้นมีปิศาจตนนึง
ชื่อ ฟอน เฮลมัน มันสาปหมู่บ้านของข้าเป็นเวลานับร้อยปีแล้ว ที่พวกเรามีชีวิตอยู่อย่างหวาดผวา เราไม่สามารถใช้ชีวิตกลางวันได้เช่นคนปกติ เมื่อแสงแดดจับขอบฟ้าพวกเราพากันหนีเข้าไปซ่อนตัวในป่าลึก จะกลับออกมาใช้ชีวิตในหมู่บ้านได้ก็เมื่อเวลาพลบค่ำ พวกปิศาจ คอยจับผู้คนผ่านไปมาไปเป็นอาหาร มันจะสูบเลือดจนหมดร่าง ส่วนร่างกายที่เหลือจะตกเป็นทาสของมัน หากแม้นไม่มีนักเดินทางผ่านเข้ามา ไอ้ฟอน เฮลมัน จะส่งลูกน้อง มาจับคนในหมู่บ้านไปกินแทน ที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งอาหารของพวกมัน'' ชายเจ้าของบ้านเล่าด้วยแววตาเศร้า
''ทำไมพวกท่านไม่หนีไป หรือคิดแก้คำสาปกัน'' เอริซ่าถามด้วยความอยากรู้
''พวกเราหนีไม่ได้ ถ้าออกพ้นจากป่าไป หรือพ้นจากหมู่บ้าน พวกเราจะตายทันที เคยมีคนพยายามหนีแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ส่วนวิธีแก้คำสาป
ก็มีอยู่ แต่พวกข้าว่าคงไม่มีหวังหรอก ''
''วิธีอะไร เจ้าว่ามีวิธี ทำไมจึงคิดว่าไม่มีหวัง'' หลังจากเอริซ่าพูดจบ ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านพยักหน้าน้อยๆไปทางภรรยา
''มีคำทำนายจากบรรพบุรุษเรา เมื่อหลายร้อยปีก่อน เกี่ยวกับการแก้คำสาป'' ภรรยาเจ้าของบ้านพูดจบจึงเริ่มท่องบทกลอนขึ้นมาเบาๆ
ความรักจากมารดา จะนำพานักเดินทาง
สองเลือดที่บาดหมาง รวมเป็นร่างนางหนึ่งนั้น
เผ่าพันธ์ที่สูงศักดิ์ ของนางจักปลุกจากฝัน
แก้สาปชั่วนิรันด์ จงรอวันที่นางมา.........
ทันทีที่คำทำนายจากปากภรรยาเจ้าของบ้านจบ เอริซ่าตาลุกวาว และครุ่นคิด สองเลือดที่บาดหมาง จะหมายถึงเผ่ามนุษย์และเผ่าเอลฟ์ได้หรือไม่
เผ่าพันธ์สูงศักดิ์ ใช่แล้ว น่าจะหมายถึงเผ่าเอลฟ์ เอริซ่าคิดถึงคำสอนที่ท่านลุงเคยบอก เผ่าเอลฟ์นับว่าเป็นชนชั้นสูง สูงกว่าทุกเผ่าพันธ์ในอาณาจักร นี้ อะไรบางอย่างทำให้เอริซ่าพูดออกไป
''ข้าคิดว่าข้ารู้จัก นางในคำทำนายนั้น'' สองสามีภรรยาเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
''โปรดนำนางมา ช่วยแก้คำสาปให้พวกเราด้วยเถิด'' ภรรยาเจ้าของบ้าน คลานเข้ามาจับแขนเอริซ่าเขย่า เอ่ยปากอ้อนวอนด้วยน้ำตานองหน้า
''นางเป็นเจ้าหญิง พ่อของนางเป็นกษัตริย์ ของอาณาจักรรูน พวกท่านก็อยู่ภายใต้แผ่นดินรูน คงเคยได้ยินชื่อกษัตริย์โนอาร์ แม่ของนางเป็นเจ้าหญิงเผ่าเอลฟ์ ซึ่งนับว่าเป็นเผ่าชนชั้นสูง แต่ตอนนี้นางกับองค์รักษ์ถูกพวกแวมไพร์จับตัวไป ข้าตามหานางอยู่'' สองสามีภรรยามองหน้ากัน
และไม่นานนัก เอริซ่าถูกนำตัวเข้าพบหัวหน้าหมู่บ้าน บัดนี้บริเวณลานหมู่บ้านเต็มไปด้วยผู้คน เพื่อมาชุมนุมกันฟังเรื่องราว ในแววตาของทุกคนบังเกิดความหวัง เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากของเอริซ่า แม้ไม่คิดว่าเรื่องราวในคำทำนายจะเป็นจริง แต่อย่างน้อยก็ยังพอมีความหวัง
ทุกคนในหมู่บ้านตัดสินใจที่จะยื่นมือเข้าช่วยเอริซ่า เพื่อแลกกับการแก้คำสาป จากการไม่เคยคิดที่จะต่อสู้มาก่อน อะไรบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มนักเดินทาง จุดประกายความหวังทำให้พวกเขาเกิดความกล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อกรกับปิศาจร้าย หัวหน้าหมู่บ้านเล่าว่าปิศาจกลัวไฟ และการจะฆ่ามันได้นั้น ต้องใช้ไม้แหลมทิ่มตรงหัวใจ ชายในหมู่บ้าน กระจายตัวกันไปเตรียมไม้แหลมและอาวุธต่างๆ ส่วนผู้หญิง เตรียมทำคบเพลิง
เอริซ่าเข้าช่วยพวกเขา ทุกอย่างเท่าที่จะช่วยได้ ขณะที่กำลังยุ่งกับการเหลาไม้ปลายแหลมอยู่นั้น เอริซ่าได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จ้า เมื่อหันไปจึงพบเด็กหญิงคนหนึ่ง สะดุดกิ่งไม้ล้ม คลุกฝุ่นเนื้อตัวมอมแมมไปหมด เอริซ่าจึงตรงเข้าไปอุ้มเด็กน้อยขึ้น และถามหาแม่ ได้ความว่านางอยู่ท้ายหมุ่บ้านกำลังเตรียมคบเพลิง เธอจึงคิดที่จะนำเด็กน้อยไปส่งแม่
ขณะอุ้มเด็กน้อยเดินไป ไม่มีทีท่าว่าแม่หนูน้อยใจอ้อมกอดจะหยุดร้อง เอริซ่าจึงนึกถึงเพลงของท่านแม่ ยามเอริซ่าเป็นเด็ก แม่มักร้องเพลงด้วยภาษาประหลาดให้เอริซ่าฟัง แม่บอกว่าเป็นเพลงของเผ่าเอลฟ์ เมื่อโตขึ้นเอริซ่าจึงเข้าใจความหมายของเพลงเหล่านั้น เพราะท่านแม่เป็นคนสอน เอริซ่า จึงเลือกเพลงง่ายๆขึ้นมาร้องเพื่อกล่อมเด็กน้อย
ทันทีที่เอริซ่าร้องเพลง เด็กน้อยเงียบทันทีและจ้องมองเอริซ่าด้วยความตั้งใจ ไม่เว้นแม้แต่ทุกคนในหมู่บ้าน ต่างตกตะลึง ล่องลอยราวกับอยู่ในฝัน แม้เอริซ่าจะร้องเพลงเบาๆ แต่สำหรับทุกคนในหมู่บ้าน เสียงเพลงกลับดังเข้าไปในโสตประสาท และเมื่อเพลงจบลง ทุกคนรู้สึกเบาสบายราวกับเป็นอิสระ
จากที่เคยมีแววตาเศร้าหมอง ทุกคนกลับมีรอยยิ้ม และเริ่มหัวเราะกัน นี่กระมังที่เขาว่ากันว่า เสียงเพลงของเอลฟ์ เพราะราวกับมนต์สะกด
หลังจากเตรียมทุกอย่างพร้อม ชายจากหมู่บ้านและเอริซ่า เดินทางเข้าไปในป่าทันที ชาวบ้านเล่าว่าพวกมันจะทำพิธีราวเที่ยงคืน
หากบุกตอนนั้นพวกมันจะไม่ทันระวังตัว เดินทางมาได้สักระยะจึงมาถึงบริเวณลานกว้าง มองเข้าไป เห็นพวกปิศาจนับร้อย ยืนเป็นวงกลม
กลางลาน
เอริซ่าเห็นเทรดินและองหญิงถูกมัดกับเสา เจ้าหญิงถูกจับแต่งกายในชุดคลุมคล้ายพวกมัน ชายท่าทางผอมแห้งใส่ชุดคลุมสีดำ ใบหน้าซีดขาวกำลังจับคาง เจ้าหญิงเชยขึ้น เจ้าหญิงสะบัดหน้าหนี มันหัวเราะด้วยความ พอใจ หลังจากสอดส่ายสายตาสำรวจไปได้สักครู่จึงเหลือบไปพบกับเจ้าโดเรียนที่ เอริซ่าจำมันได้ติดตา
''ไอ้คนชุดดำนั่นแหละ ชื่อฟอน เฮลมัน เจ้าหญิงของท่านงามเหลือเกินเกิดมาข้าไม่เคยพบใครงามเช่นนี้มาก่อน เจ้าฟอน เฮลมัน คงคิดเช่นเดียวกับข้า มันจับเจ้าหญิง ใส่เสื้อผ้าเช่นนั้น คงเตรียมให้เจ้าหญิงเป็นพวกเดียวกัน'' หัวหน้าหมู่บ้านกระซิบกับเอริซ่า
''เจ้าพร้อมไหม'' หัวหน้าหมู่บ้าหันมาถามเอริซ่า ซึ่งแผนการที่ตกลงกันไว้คือให้เอริซ่าไปปล่อยตัวเจ้าหญิงกับเทรดิน เอริซ่าพยักหน้าน้อยๆ หัวหน้าหมู่บ้านให้สัญญาน ทุกคนจึงจุดคบเพลิงขึ้นแล้ววิ่งเฮเข้าไปในลาน ทำพิธีนั้น แม้มองดูแล้วราวกับว่าเป็นการวิ่งเข้าไปฆ่าตัวตายแต่ด้วยพลังแห่งความเชื่อมั่นทำให้ทุกคน ไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย
เอริซ่าไม่มีเวลาหยุดดูว่าใครทำอะไรบ้าง เธอรีบตรงเข้าไปใช้ดาบตัดเชือกที่มัดเจ้าหญิงกับเทรดินทันที เมื่อเทรดินเป็นอิสระ เอริซ่า โยนดาบให้ ราวกับรู้ใจ เทรดินรับดาบมา จับในท่าเตรียมพร้อม และหันหลังเข้าหาเอริซ่าโดยมีเจ้าหญิงอยู่ตรงกลาง เจ้า ฟรอน เฮลมัน มีท่าทางเดือดดาลขึ้นมาทันที มันตรงรี่เข้ามา หมายจะคว้าตัวเจ้าหญิง แต่เทรดินพุ่งตัวเข้าไปขวางพร้อมกับตวัดดาบเข้าใส่ มันเอี้ยวตัวหลบ ขณะเดียวกับร่ายเวทย์ใส่เทรดีนทำให้ดาบในมือตกพร้อมกับร่างเทรดินทรุดลงไปกองกับพื้น เลือดกลบปากทันที
เจ้าฟอน เฮลมัน ไม่รอช้า ตรงเข้าไปหมายปลิดชีวิตเทรดิน เอริซ่าตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า เธอทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นปิศาจร้ายกำลังจะเอาชีวิตของเพื่อนร่วมเดินทาง เอริซ่าตัดสินใจ ฟันดาบเข้ากลางหลังของ ฟอน เฮลมัน ได้ผลมันเลิกสนใจ เทรดิน หันมาเผชิญหน้ากับ เด็กหนุ่มตรงหน้าแทน
'' เจ้าบังอาจนักเจ้าหนู เตรียมตัวตายได้''
มันยิ้มเดินตรงเข้ามา พยายามร่ายเวทย์เข้าใส่เอริซ่า แต่ไม่เป็นผล เอริซ่ารู้สึกแปลกใจที่มันทำอะไรเธอไม่ได้ เธอเริ่มรู้สึกตัวจึงก้มลงมองสร้อยที่ท่านแม่สวมให้ติดตัวมาตั้งแต่เด็กตอนนี้มันมีสีน้ำเงินสว่างวาบ เอริซ่าคิด คงเพราะสร้อยของท่านแม่ที่ปกป้องเธอ ทำให้เอริซ่ามีความมั่นใจมากขึ้น เมื่อใช้เวทย์มนต์ทำอะไรเอริซ่าไม่ได้ เจ้าฟอน เฮลมัน จึงเรียกหาดาบ เจ้าโดเรียน รีบยื่นดาบส่งมาให้ แทบจะสู้อะไรมันไม่ได้เลย เธอเอาแต่หลบหลีก และปัดป้องรักษาชีวิตได้อย่างหวุดหวิดเท่านั้น แขนขาถูกบาดเป็นแนวยาวหลายแผลแม้จะเพียงถากๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกเจ็บไม่น้อย
เจ้าฟอน เฮลมัน ฟันจนดาบในมือเอริซ่าหลุดตกพื้น เธอเสียหลักล้มลงไป ของที่สะพายอยู่ด้านหลังตกลงมา เอริซ่าหันไปมองเห็นด้ามดาบที่ท่านลุงมอบให้ โผล่พ้นออกมา แม้ยังไม่รู้วิธีใช้ แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เอริซ่าจำเป็นต้องคว้ามันขึ้นมาป้องกันตัวไว้ก่อน และทันทีที่เอริซ่าชักดาบออกมา
ดาบเปร่งแสงสีน้ำเงินสว่างวาบ จนเอริซ่าตกใจ รวมถึง เจ้าฟอน
เฮลมัน มันผงะ ไปทันทีพร้อมกับยกมือขึ้น ปิดหน้าเอาไว้ เอริซ่าไม่มีเวลาคิดจังหวะนี้เอง เธอทิ่มดาบเข้าสู่หัวใจของฟอน เฮลมันทันที
อ๊ากกกกก ! เสียงกรีดร้องโหยหวน ดังขึ้นพร้อมกับร่าง ที่สลายลงไปของฟอน เฮลมัน ทำให้ลูกน้องที่อยู่บริเวณนั้น เกิดการชะงักงัน พวกมัน ล้มลงกับพื้น บิดตัวด้วยความเจ็บปวด ร่างเลือนหายไปพร้อมผู้เป็นนาย ทุกคนเฮขึ้นมาทันที
เอริซ่ารีบเข้าไปประคองร่างของเทรดินให้ยืนขึ้นด้วยความเป็นห่วง ทั้งสองคนมองหาเจ้าหญิง จึงพบว่าขณะนี้ ทุกคนที่รอดชีวิต ต่างคุกเข่าล้อมเจ้าหญิงเต็มไปหมด ต่างพากันชื่นชมในความงาม และร้องขอให้ช่วยแก้คำสาป
''ข้าไม่สามารถช่วยพวกท่านได้ ข้าไม่รู้วิธี และไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร''
เจ้าหญิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมาขอความเห็นใจจากเอริซ่าและเทรดิน
''เจ้าหญิงโปรดช่วยพวกเราด้วยเถิดใกล้เวลารุ่งสางแล้ว พวกเราคงหนีไม่ทัน ชีวิตของพวกเราอยู่ในมือของท่านแล้ว''
หัวหน้าหมู่บ้านอ้อนวอน แต่เจ้าหญิงยังคงยืนกรานเช่นเดิมว่าไม่รู้วิธีแก้คำสาป ทำให้ทุกคนรู้สึกหมดหวังและเตรียมตัวเตรียมใจที่จะจบชีวิตลงแต่ พวกเขาก็ดีใจที่อย่างน้อย ปิศาจตายลงแล้ว ชีวิตลูกเมียและคนที่รออยู่ที่หมู่บ้านคงปลอดภัย
''หากพวกข้าตายลง ท่านจะสัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าจะ กลับไปหมู่บ้านและอยู่ที่นั่นสักระยะ เพื่อแก้คำสาปให้กับพวกเราที่เหลือ''
ทั้งสามคนรับปากเพราะรู้สึกเป็นบุญคุณที่ทุกคนช่วยเหลือชีวิตเอาไว้ ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ทุกคนหลับตาเตรียมพร้อมรับความตาย
แต่.............
ไม่เจ็บปวด ไม่ร้อน ไม่แสบ และทุกคนยังไม่ตาย ต่างค่อยๆลืมตาขึ้น มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ จับหน้าตามือแขนขาของตนเอง แล้วโห่ร้องด้วยความดีใจ
''พวกเราพ้นคำสาปแล้ว พวกเรารอดแล้วววว''
ทุกคนก้มหัวลงกับพื้นถวายความเคารพเจ้าหญิง เพราะคิดว่าเจ้าหญิงเป็นผู้แก้คำสาปให้ เจ้าหญิงเองก็เกิดอาการประหลาดใจ แต่ก็มิได้โต้แย้งอะไร เอริซ่ากับเทรดินหันมามองหน้าและยิ้มให้กัน
''พวกเราอยากจะเชิญท่านทั้งสาม ไปพักที่หมู่บ้านเราสักระยะ เราต้องการเลี้ยงฉลองและตอบแทนบุญคุณของพวกท่าน'' หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยขึ้น แต่เทรดิน ปฏิเสธ และบอกว่าต้องรีบเดินทาง
''ข้าทุกคนจะจดจำพวกท่านไว้ และเล่าสู่ลูกหลานเราฟัง ว่าครั้งหนึ่งนั้น นางเผ่าเอฟล์ผู้งามราวกับเทพธิดาและผู้กล้าสองท่านได้ช่วยหมู่บ้านของเราให้รอดพ้นจากคำสาป ว่าแต่ข้ายังไม่ทราบชื่อพวกท่านเลย โปรดบอกชื่อท่านแก่พวกข้าได้หรือไม่''
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านถาม เอริซ่าชิงพูดขึ้นก่อนที่เทรดินและเจ้าหญิงจะเอ่ยปาก
''นั่นเจ้าหญิงมูลิอาร์ และท่านเทรดิน ส่วนข้า เอริ..... เอ่ออ...ข้าขื่อ เอริค''
อะไรบางอย่างทำให้เอริซ่าพูดปดเกี่ยวกับชื่อของตนเอง เทรดินและเจ้าหญิงรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ทักท้วง เอริซ่าคิดว่าในเมื่อทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นชาย ก็ดีเหมือนกัน ปลอมเป็นชายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
เธอคิดด้วยความนึกสนุก
ทุกคนเฝ้ามองดูทั้งสามควบม้าจากไปจนลับตา โดยที่ไม่มีใครสักคนหรือแม้แต่เอริซ่าเอง ล่วงรู้เลยว่า คำสาปของหมู่บ้านถูกสาป
ได้รับการแก้ นับตั้งแต่เอริซ่าร้องเพลงของเผ่าเอลฟ์ ณ. หมู่บ้านแห่งนั้น
นั่นเอง...........
ความคิดเห็น