คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : เกาะเริ่มต้น 5 : ชาจีนกับการแก้แค้น 2
เกาะเริ่มต้น 5 : ชาจีนกับการแก้แค้น 2
<กฎของการแก้แค้น :: 2.ต้องหาผู้ร่วมอุดมการณ์>
ภูตน้อยที่ได้รับนามว่าผู่เอ้อ เป็นภูตน้อยสูงประมาณสองคืบได้ มีดวงตาสีม่วงสดใส กับเรือนผมสีทองสลวย ผิวสีขาวเนียน ดวงหน้ากลม เหมือนตุ๊กตาที่ชาจีนชอบนอนกอด ภูตน้อยสวมชุดกระโปรงพริ้วสีเขียวอ่อน
ผู่เอ้อบินเข้ามาหาชาจีนด้วยปีกเล็กๆคล้ายกับปีกผีเสื้อที่มีสีเขียวสีเดียวกับชุด
ชาจีนเอื้อมมือไปเตะตัวภูตน้อย ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างขึ้นอีกรอบ ทำให้ชาจีนรู้สึกมึนหัวกับแสงสีขาวนี่จริงๆ จะมีเยอะไปไหนเนี่ย
พริบตาที่แสงสว่างหายไป ชาจีนก็กลับมาอยู่ที่ห้องของเธอในโรงแรมแล้ว
ทันทีที่สายตาปรับกับสภาพแวดล้อมได้แล้ว ยังไม่ทันที่สติจะกลับมาเต็มร้อย เสียงแวดของเจ้าไข่ก็ร้องทันที
“ชาจีน นี่เจ้าหายไปไหนมา”
ชาจีนหัวเราะ การเดินทางในอุโมงค์คนเดียวทำให้เธอคิดถึงเสียงของเจ้าไข่พอดูเลยทีเดียว
“อ่ะ... ภูต?” เจ้าไข่ทักภูตน้อยที่บินอยู่ข้างๆชาจีน
“เห็นว่าการฟักของผู่เอ้อต้องมีการทดสอบอะไรสักอย่างนี่แหละ ฉันถึงได้หายไป จริงสิ เจ้าไข่ นี่ภูตดอกไม้สายลม ชื่อผู่เอ้อนะ ส่วนผู่เอ้อ ไอ้เสียงประหลาดหาที่มาจากไข่นี่ชื่อเจ้าไข่ มันเป็นไข่ที่ยังไม่ฟักน่ะ”
“เจ้าช่วยหาชื่อที่มันดีกว่าชื่อนี้ไม่ได้หรือยังไง” เจ้าไข่โวยวาย
ผู่เอ้อหัวเราะคิกๆ ก่อนจะทักทายเจ้าไข่ “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ข้าชื่อผู่เอ้อ ขอฝากตัวด้วยนะค่ะ”
“เจ้าไข่ ฉันหายตัวไปนานไหม” ชาจีนถามขณะที่มองดูท้องฟ้าข้างนอกที่เป็นแสงแดดยามเช้า
“ประมาณหกชั่วโมงได้ ข้าโดนเด้งออกไป เพราะเจ้าอยู่ในพื้นที่พิเศษที่ข้าตามตัวไม่ได้”
“แย่ล่ะ งั้นตอนนี้ก็หกโมงกว่าแล้วน่ะสิ” ชาจีนบ่น “ฉันยังไม่ได้นอนเลย แถมพวกคุณพิทักษ์ธรรมยังฟื้นคืนชีพตั้งนานแล้ว จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย”
“เจ้านอนสักหน่อยล่ะกัน ดีนะที่เจ้าเช่าห้องแบบวันต่อวัน ไม่ใช่คืนต่อคืน ทำให้เจ้ายังมีเวลาเหลืออีกสิบกว่าชั่วโมงก่อนที่เจ้าของโรงแรมจะมาไล่เจ้าออกจากโรงแรม”
ชาจีนทำตามคำสั่งโดยไม่ขัด เพราะเธอเองก็ควรจะนอนได้แล้วเหมือนกัน แม้จะมีเรื่องที่อยากถามผู่เอ้อ แต่ตอนนี้สภาพเธอไม่ค่อยจะไหวแล้ว หลังจากที่พ้นเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้น มันทำให้สมองของเธอปวดหัวจี้ด ประท้วงว่าหากยังไม่พักผ่อนซะตอนนี้ อาจจะล้มเลยก็ได้ หญิงสาวเอาตระกร้าของเจ้าไข่ตั้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเข้าไปทำธุระส่วนตัว ชาจีนอยากอาบน้ำสักหน่อยเพราะมันค่อนข้างเหนียวตัว แต่ความง่วงมันมีมากกว่าทำให้เธอต้องตัดใจ
ชาจีนล้มตัวลงนอน ก่อนจะหลับไป
หญิงสาวตื่นขึ้นอีกทีก็ประมาณบ่ายสองแล้ว ชาจีนหาวหวอดๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง เสียงของเจ้าไข่ทัก
“ตื่นแล้วหรือไง ข้าคิดว่าเจ้าจะนอนกินบ้านกินเมืองไปอีกสักสิบชั่วโมง” ไม่ด่าสักวันจะเป็นอะไรไหมเนี่ย ชาจีนส่ายหัวก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวจากกระเป๋า มันเป็นไอเทมแจกฟรีที่เธอได้จากการอาบน้ำที่โรงอาบน้ำเมื่อวาน ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
สิบห้านาทีถัดมา ชาจีนออกจากห้องน้ำด้วยสภาพที่สดชื่นมากขึ้น ชาจีนนั่งลงบนเก้าอี้ พลางหารือกับเจ้าไข่
“นี่เจ้าไข่ นายจะช่วยฉันไหม”
“ช่วยอะไร”
“ก็ช่วยฉันแก้แค้นไง นายอย่าลืมสิว่านายก็โดนผลกระทบจากไอ้เจ้าพวกชั่วนั่นเหมือนกัน”
เจ้าไข่ถอนหายใจ ก่อนตอบอย่างเซ็งจิตว่า “เจ้าเป็นนายของข้า ข้าก็ต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว ถามอะไรแปลกๆ ไม่ฉลาดเอาซะเลย” ไม่วายลงท้ายด้วยสำเนียงจิกกัด
“แหมๆ ก็นายห้ามฉันมาตลอดเลยนี่” ชาจีนบ่นอุบ
“ถ้าห้ามไม่ได้ ก็ต้องตามน้ำเอา เรื่องที่เจ้าจะทำก็ไม่ได้เสียหายอะไร ข้าว่ามันก็ดีซะทีอีกที่จะสั่งสอนพวกเลวนั่น แต่ข้าก็แค่ช่วยให้คำแนะนำเจ้าเท่านั้นนะ แล้วตัวเจ้าคนเดียวจะไปหาเรื่องกับมันได้ยังไง เดี๋ยวก็ได้ไปเฝ้าห้องฟื้นคืนชีพอีกรอบแน่”
“ใครว่าฉันจะทำคนเดียวล่ะ” ชาจีนยิ้มหวานชวนเสียวสันหลังอีกรอบ โชคไม่ค่อยดีนักที่คราวนี้เจ้าไข่เห็นแบบจะๆ เพราะโต๊ะที่วางตะกร้านั้นตั้งอยู่ข้างหน้าชาจีนพอดี
“มันก็ต้องการพรรคพวกเพิ่มอยู่แล้ว”
หลังจากเตรียมสัมภาระพร้อมแล้ว ชาจีนก็เช็คเอ้าออกจากโรงแรม เพราะการฟักของผู่เอ้อ มันทำให้ผิดแผนไปหมด แต่ยังไงเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ชาจีนเลยต้องวางแผนใหม่ทั้งหมด
“นายท่านค่ะ ไม่ทราบว่าท่านจะไปไหนต่อหรือคะ”
ผู่เอ้อถามเจ้านาย ชาจีนไม่อยากให้ผู่เอ้อสะดุดตาคนทั่วไป เลยเก็บเข้ามาไว้ในช่องไอเทมติดตัว ซึ่งชาจีนรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน มันเหมือนกักขังยังไงอย่างนั้น
“ข้างในนั้นสบายดีไหมผู่เอ้อ ฉันรู้สึกผิดจริงๆนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ข้าสบายดี” ผู่เอ้อตอบกลับมา
“ข้าว่าทางที่ดี เจ้าควรจะไปทำเควสเกี่ยวกับไข่สัตว์เลี้ยงให้เสร็จนะ จะได้กระเป๋าเก็บสัตว์อสูรมา ในนั้นมันสบายกว่าในช่องเก็บไอเทมติดตัว” เจ้าไข่เสนอ
“ตอนแรกก็กะแบบนั้นแต่บังเอิญฉันยังมีที่ต้องไปก่อนน่ะ จริงสิ เจ้าไข่ ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกง่วงเลย ฉันได้นอนมายังไม่ถึงชม.ในโลกจริงเลยนะ”
“เจ้านี่ช่างโง่จริง” เจ้าไข่ถอนหายใจ “เพราะตอนนี้ร่างกายเจ้าเหมือนกำลังพักผ่อนอยู่ไงล่ะ ข้าว่าเจ้าคนที่ให้คำแนะนำที่อาคารเริ่มต้นก็บอกแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าเกมนี้สมจริงทุกอย่างเพราะเล่นกับความรู้สึกของคน เจ้ารู้สึกว่าต้องเหนื่อย ต้องพัก หรือพักแล้วความรู้สึกนั้นหายไปเหมือนได้พักหลายชั่วโมง ซึ่งก็จริงเพราะเวลาในเกมมันหลายชั่วโมง แต่ถ้านอกเกมมันยังไม่ถึงชั่วโมงดีด้วยซ้ำ”
“อ๋อออ” ชาจีนพยักหน้าเข้าใจ “นายนี่น่าจะไปเป็นครูนะ ถ้าจะคุ้มกว่าการมาเป็น GM เยอะเลย”
“ถ้าครูมันรายได้ดีกว่านี้หน่อยนะ ข้าก็จะไปแล้ว”
ชาจีนหัวเราะ “นี่นายพูดจริงหรือตบมุกฉันเนี่ย”
“คิดเอาเองเดะ” เจ้าไข่ตอบเสียงหวน ทำให้ชาจีนกับผู่เอ้อที่ฟังอยู่หัวเราะก๊าก
ความจริงการที่ชาจีนเดินคุยคนเดียวมันก็อาจทำให้ดูคล้ายคนบ้าได้เหมือนกัน แต่ก่อนออกจากโรงแรม เจ้าไข่แนะนำให้เปิดช่องสื่อสารแบบปิดเอาไว้ คนทั่วไปจะเห็นเหมือนกับว่าชาจีนกำลังเดินคุยผ่านช่องสื่อสารแต่ไม่ได้ยินว่าคุยเรื่องอะไร ทั้งที่ความจริงชาจีนกำลังคุยกับพวกสัตว์เลี้ยงของเธอต่างหาก
“ว่าแต่เจ้าจะไปไหนเนี่ย” เจ้าไข่ถาม
ชาจีนไม่ตอบแต่ยกนาฬิกาขึ้นมา กดไปที่ปุ่มแผนที่ แล้วป้อนคำสั่งไปว่า “ห้องสมุด”
เจ้าไข่กับผู่เอ้องง ก่อนที่ผู่เอ้อจะถามว่า
“นายท่านจะไปห้องสมุดทำไมคะ”
“ไปหาข้อมูลนิดหน่อยน่ะ”
เจ้าไข่กับผู่เอ้องงกันอีกรอบ ก่อนที่จะได้ถามอะไรต่อ สายตาของชาจีนก็เหลือบไปเห็น...
“เจ้าไข่ๆ นายเห็นเปล่า”
“หือ ไหน เห็นอะไร”
“ทางขวาเยื้องไปนิดหน่อย พวกคุณพิทักษ์ธรรมใช่หรือเปล่า”
เจ้าไข่นิ่งไปนิดก่อนตอบว่า “ท่าจะใช่นะ”
“เยี่ยมไปเลย นึกว่าจะไม่เจอกันอีกแล้ว”
“เจ้าจะเอาของไปให้พวกนั้นเลยหรือ”
“เปล่า ยังหรอก ฉันคิดอะไรที่มันดีกว่านั้นเยอะ” ชาจีนว่าแล้วหลบเข้าไปยังซอกเล็กๆแต่ไม่ปล่อยให้คู่พี่น้องพิทักษ์บุปผาคลาดสายตา “ผู่เอ้อ ออกมา”
ภูตดอกไม้สายลมปรากฎตัวตรงหน้าหญิงสาวด้วยความงง ชาจีนรีบบอกแผนการ
“ผู่เอ้อ ช่วยตามสองคนนั่นให้หน่อยได้ไหม แบบอย่าให้รู้ตัวนะ เอ่อ...ทำได้ไหม” ชาจีนถามอย่างไม่มั่นใจ
“ได้ค่ะ ภูตอย่างพวกข้ามีทักษะซ่อนตัวเก่งอยู่แล้ว”
“ดีจัง” ชาจีนยิ้มอย่างยินดี ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญได้ “แล้วจะติดต่อกันยังไงล่ะเนี่ย ถ้าให้ผู่เอ้อตามไป จะเรียกกลับก็ต้องเสียเวลามากด้วย”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ข้าสามารถสื่อสารทางจิตได้ค่ะ” ผู่เอ้อตอบกลับ พร้อมกับรอยยิ้มน่ารัก
“จริงอ่ะ” ชาจีนตาโต ส่วนเจ้าไข่ก็ถามทันทีว่า
“เจ้ามีทักษะนี้ได้ไง ทักษะนี้มันต้องเป็น...” ยังไม่ทันที่เจ้าไข่จะถามจบ ชาจีนก็พูดขัดขึ้น
“เอาไว้ค่อยถามกันทีหลังดีกว่านะ ต้องทำเวลาแล้ว ฝากด้วยนะผู่เอ้อ”
“รับทราบค่ะ” ผู่เอ้อรับคำก่อนจะบินหายไป ชาจีนเชื่อมือของผู่เอ้อ ก่อนจะรีบเดินไปตามแผนที่เพื่อหาห้องสมุด
‘ห้องสมุดในเกมครีเชอร์เป็นอะไรที่... สุดยอดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก กรี้ดดดดดดดดดดดดด’ ชาจีนตะโกนในใจ ตาของหญิงสาวแทบจะเป็นประกายวิ้งๆได้อยู่แล้ว ตอนนี้ชาจีนกำลังยืนอยู่หน้าห้องสมุดขนาดใหญ่ เป็นรูปทรงสไตล์แบบจีน มีมนต์ขลังน่าดึงดูดมาก ชาจีนอ่านป้ายที่ติดอยู่หน้าห้องสมุด ทำให้รู้ว่าห้องสมุดนี้เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง
เมื่อชาจีนเดินเข้าไป แอร์เย็นๆของห้องสมุดปะทะเข้ากับหน้า แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก ประเด็นของมันอยู่ที่
หนังสือ หนังสือ และหนังสือ
ชาจีนค้างไปหลายวิ ก่อนที่สมองประมวลผลเสร็จสรรพ
“สุดยอดดดดดดดดดดดดดด” ชาจีนแทบจะตะโกนก้อง ก่อนที่จะรู้สึกตัวรีบเงียบปากทันที หันซ้ายหันขวากลัวบรรณารักษ์จะมาฆ่าหมกศพข้อหาส่งเสียงดังในห้องสมุด แต่ดูเหมือนในห้องสมุดขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่หลายชั้นนี้ ไม่มีคนอยู่เลย หญิงสาวเดินไปที่โต๊ะยืมคืนของบรรณารักษ์ มันมีข้อความแปะไว้ว่า
ห้องสมุดครีเชอร์ ประจำเกาะเริ่มต้น
วิธีการยืมคืน
-ให้นำหนังสือที่ต้องการยืมไว้บนโต๊ะ หลังจากนั้นจะมีช่องใส่ไอดีและรหัสผ่านขึ้นมา ให้ใช้รหัสที่ล็อกอินในเกมครีเชอร์
-สามารถยืมหนังสือได้ไม่จำกัด ระยะเวลาในการยืม 1 เดือน
-หากเลยวันกำหนดส่ง ค่าปรับวันล่ะ 1 เหรียญครีเชอร์
“โหยย... ตั้ง 1 เหรียญครีเชอร์เลยหรือเนี่ย” ชาจีนบ่น ก่อนจะเดินไปอีกโต๊ะที่บอกที่ตั้งของหนังสือต่างๆในห้องสมุด กับแบบลงชื่อเข้าใช้ห้องสมุด หญิงสาวเปิดแบบลงชื่อขึ้นมา พบว่าห้องสมุดนี้สุดยอดร้างตั้งแต่เปิดเกมคือเมื่อสองปีก่อน คนมีเข้ามาไม่ถึงยี่สิบคน ชาจีนไล่ดูชื่อคนที่มาใช้และสถิติยืมคืน พบว่าคนที่เป็นท็อปคือ...
หนอนอ้วน
‘ชื่อประหลาดดีแท้’ ชาจีนคิด แต่ดูเหมือนคนที่ชื่อหนอนอ้วนนี่จะอ้วนหนังสือสมชื่อจริงๆ ดูเหมือนจะเข้ายืมคืนเยอะมาก แต่หลังจากตามดูสักพัก พบว่าสถิตล่าสุดคือประมาณเกือบปีที่แล้ว ที่หนอนอ้วนเข้ามาใช้บริการ
‘สงสัยคงออกจากเกาะเริ่มต้นไปแล้วมั้ง’ ชาจีนคิดในใจ
“ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่เนี่ย” เจ้าไข่ถามอย่างสงสัยสุดๆ เป็นรอบที่เท่าไรก็ไม่รู้ของวัน
“มาห้องสมุดก็ต้องมาหาหนังสือสิ จะได้ทำอะไรล่ะ”
เหมือนเจ้าไข่จะค้างแข็ง ส่วนชาจีนก็ลงชื่อเข้าใช้อย่างสบายอารมณ์ หญิงสาวยับยั้งกิเลสในบรรดาหนังสือทั้งหลาย แล้วจ้องแผนที่ที่ตั้งของหนังสือที่เธอต้องการ ก่อนจะเดินขึ้นไปที่เครื่องวาร์ปตรงมุมของห้องสมุดที่ตั้งอยู่ข้างๆบันได จากการแสกนหาชั้นหนังสือเมื่อครูทำให้ชาจีนรู้ว่าห้องสมุดนี้กินพื้นที่ถึง 110 ชั้นเลยทีเดียว เพราะเป็นห้องสมุดที่รวมหนังสือที่เป็นภาษาไทยทั้งหมดอยู่ในนี้ รวมถึงบรรดางานวิจัย หนังสือความรู้ บลาๆ ไม่ว่าจะเก่าขนาดไหนก็มีเอาไว้ในนี้หมด แถมแต่ละเล่มยังมีสำรองอยู่อย่างต่ำอย่างน้อย 3 เล่ม ทำเอาชาจีนอยากจะย้ายบ้านตัวเองมาอยู่ในนี้ตลอดชาติ
ชาจีนไปยืนอยู่ตรงเครื่องวาร์ป แล้วสั่งว่า “ไปชั้น 49”
ชั้น 49 ประกอบด้วยหนังสือเก่ามากมาย แถมยังเยอะมากด้วย แต่ชาจีนเดินดุ่มๆเข้าไปหาอย่างรู้ที่รู้ทาง ทำเอาเจ้าไข่งง ก่อนจะถามว่า
“เจ้ารู้หรือเปล่าเนี่ยว่ากำลังหาอะไร หนังสือนี่เยอะมันไม่ใช่เล่นๆนะ”
“รู้สิ ก็หมวดที่ฉันหาคือหมวดวรรณคดี รหัสแบบหนังสือของระบบดิวอี้คือ ถ้ารู้รหัสหนังสือก็แล้วไปตามที่ตัวเลขบอกก็หาเจอแล้ว ไม่มีใครดุ่มๆเดินเข้าหาแบบไม่มองอะไรหรอก แต่ว่าระบบที่ใช้ในห้องสมุดมันไม่ได้มีแค่ดิวอี้หรอกนะ มันมีหลายแบบ แต่ถ้าใช้กันแพร่หลายจะเป็นดิวอี้ กับระบบรัฐสภาอเมริกา...” ชาจีนทำท่าจะร่ายยาวจนเจ้าไข่ต้องรีบเบรค
“พอ พอ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปจำมาจากไหนเนี่ย ข้ายังไม่อยากจะจำเลย”
ชาจีนหัวเราะแล้วตอบว่า “ก็ฉันอยากจะเป็นบรรณารักษ์นี่ ที่ฉันเรียนในมหาลัยก็เรียนสาขาที่เกี่ยวกับบรรณารักษ์นี่แหละ”
เจ้าไข่เหมือนจะอึ้งค้างเป็นรอบที่ล้านของวัน “ในมหาลัยมันมีคณะแบบนี้ด้วยหรือไง เกิดมาพึ่งจะเคยได้ยิน”
“เสียมารยาท” ชาจีนตอกกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ขณะที่ไล่หาหนังสือ หญิงสาวกลับมาใช้โหมดช่องสื่อสารแบบปิด เพื่อที่จะได้คุยกับเจ้าไข่ได้ง่ายและเพื่อเป็นการไม่ส่งเสียงดังในห้องสมุดด้วย
“ทำไมถึงได้อยากเรียนอะไรประหลาดๆแบบนี้ล่ะ”
“ก็มันชอบ” ชาจีนหัวเราะ “ฉันน่ะ ชอบหนังสือที่มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เพื่อนสนิทคนแรกของฉันก็คือหนังสือนี่แหละ เมื่อไรที่อ่านหนังสือก็จะเหมือนหลุดเข้าไปในนั้นจริงๆ เด็กๆก็อ่านนิทาน ไปๆมาๆก็เริ่มมาเป็นนวนิยาย วรรณกรรม แต่นายอย่าคิดว่าคนที่เรียนบรรณารักษ์จบแล้วจะหางานทำไม่ได้นะ ไม่ว่าจะเป็นสองร้อยปีที่แล้วหรือปัจจุบัน บรรณารักษ์ก็ขาดแคลนอยู่ดีแหละ เพราะคนไปเรียนแต่วิศวะ หมอ สถาปัตฯ อะไรพวกนี้กัน จนเดี๋ยวนี้จะล้นตลาดกันอยู่แล้ว”
“ก็จริงล่ะนะ แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมาก พวกวิศวะจากล้นตลาดเป็นขาดตลาดไป” เจ้าไข่พูดอย่างเซ็งๆ
“นั่นสินะ แต่ก็เอาเหอะ ถึงยังไงหลังจากที่เรียนจบก็คงจะต้องช่วยงานทางบ้านอยู่แล้ว ไม่รู้จะได้ไปเป็นบรรณารักษ์ไหม” ชาจีนถอนหายใจอย่างเสียดาย แล้วพูดต่อว่า “เอาเถอะ เหลืออีกตั้งสามปี ช่วงนี้จะใช้เวลาให้คุ้มเลยล่ะ”
“อ่ะ.. เจอแล้ว” ชาจีนร้องอย่างดีใจ
“ไหนๆ ข้าล่ะอยากรู้จริงเชียวว่าเจ้ามาหาอะไรอยู่ในนี้” เจ้าไข่เอ่ยอย่างสนใจ
“นี่ไง ไพ่เด็ดของฉันล่ะ” ชาจีนพูดอย่างภาคภูมิ “นายว่ายังไงบ้าง”
“...” เจ้าไข่ไม่มีความเห็นใดๆกับหนังสือเล่มหนาที่มีชื่อว่า...
กลยุทธแค้นนี้ต้องชำระ(ฉบับปรับปรุงใหม่)
ชาจีนเดินออกจากห้องสมุดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับได้รางวัลนักอ่านดีเด่นประจำเมือง เวลาขณะนี้คือหกโมงเย็นแล้ว ชาจีนเริ่มจะหิวหน่อยๆแล้วเหมือนกัน แต่ตอนนี้มันมีอะไรที่น่าทำมากกว่ากินข้าว อ้อ และไม่ใช่การเถียงเรื่องไร้สาระกับเจ้าไข่แน่นอน
“ถามจริง ถ้าข้าไม่ห้ามไว้ เจ้าจะยืมหนังสือมาหมดห้องสมุดเลยใช่ไหม”
“บ้า ใครมันจะไปอ่านได้หมดกัน หนังสือทั้งห้องสมุดมันมีแต่นิยายซะทีไหนกัน” ชาจีนเถียง
“เหอะเรียนบรรณารักษ์แท้ๆ แต่กลับไม่ชอบอ่านหนังสือวิชาการ อ่อนจริงๆ” เจ้าไข่เถียงกลับอย่างหมั้นไส้
“ว่าแต่เค้า ตัวเองล่ะทำได้ไหม”
“ถ้าทำคงได้ดีกว่าเจ้านั่นแหละ”
“งั้นถ้าว่างๆก็ ‘ช่วย’ ทำให้ดูหน่อยเจ้าคะ อยากรู้จริงจะสมดั่งปากว่าไหม” หญิงสาวเถียงกลับไป ก่อนตัดบทสนทนาเพราะมันเริ่มจะไร้สาระแล้ว “พอเหอะ เริ่มจะไร้สาระแล้ว ฉันอยากจะติดต่อหาผู่เอ้อแล้ว จะติดต่อหายังล่ะ”
เจ้าไข่ถอนหายใจก่อนจะบอกว่า
“แค่ทำใจให้ว่าง แล้วก็คิดถึงหน้าผู่เอ้อก็ได้แล้ว”
“พูดอย่างกับทำง่าย ฉันเป็นพวกไม่ค่อยมีสมาธินะ”
“อ่านหนังสือมาเยอะไม่ใช่หรือไง ทำแบบในหนังสือนั่นแหละ” เจ้าไข่ตอบแบบแกนๆ
‘จะทำยังไงดีล่ะ’ ชาจีนคิดอย่างกังวล ‘ลองทำดูก่อนล่ะกัน’
หญิงสาวเดินมาในตรอกที่ไม่ค่อยมีคน ก่อนจะหยุดนิ่งๆ แล้วหลับตานึกหน้าผู่เอ้อ คิดในใจว่า ‘ผู่เอ้อ’
‘ค่ะ นายท่าน’
ท่านได้เรียนรู้ทักษะลับ การสื่อสารทางจิต ไม่ปรากฎระดับ
เสียงผู้เอ้อที่ตอบกลับมาพร้อมๆกับเสียงของระบบทำให้ชาจีนสะดุ้งลืมตาขึ้น “หว่า ตกใจหมด”
เสียงหัวเราะของผู่เอ้อลอยมา ทำให้ชาจีนยิ้มอย่างอายๆ พลางถามว่า “ตะกี้ฉันว่าหลุดสมาธิแล้วนะ ยังติดต่อกันได้อยู่เหรอ”
‘สำหรับการสื่อสารทางจิตนี้ ถ้าสามารถเชื่อมครั้งแรกสำเร็จก็จะสื่อสารกันได้เหมือนใช้ช่องสื่อสาร และการสื่อสารทางจิตนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนายท่านมีความรู้สึกอยากติดต่อสื่อสารค่ะ แต่ถ้าอยากจะตัดการสื่อสารทางจิตแบบถาวรให้พูดว่า ตัดการสื่อสาร ถ้าอยากจะเชื่อมต่อใหม่ก็แค่เรียกชื่อข้าก็พอแล้วค่ะ’
“ฟังดูงงๆนะ เอาเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ติดต่อกันได้ก็พอสินะ” ชาจีนรีบออกเดินต่อทันที “ตอนนี้เธออยู่ไหนเหรอผู่เอ้อ”
‘ใกล้ๆท่าเรือค่ะ คนสองคนที่นายท่านให้ตามตอนนี้ เข้าพักในโรงแรมใกล้ๆท่าเรือนี่แหละค่ะ’
“ท่าเรือ หรือว่า พวกคุณพิทักษ์ธรรมจะออกจากเกาะเริ่มต้นนี้แล้ว” ชาจีนพึมพำ ก่อนที่สมองจะรีบประมวลผลโดยเร็ว แล้วบอกกับผู่เอ้อว่า “นี่ผู่เอ้อ ขอโทษนะ แต่ฉันว่าวันนี้คงไม่ได้ไปที่ร้ายขายสัตว์เลี้ยงแล้วล่ะ คงต้องทำตามแผนการที่วางไว้ก่อน”
‘ไม่เป็นไรค่ะ หากเพียงได้รับใช้นายท่าน ที่ช่วยข้าได้ออกมาเจอโลกภายนอก จะให้ผู่เอ้อทำอะไรก็ได้’
“อย่าพูดแบบนั้นสิ มันไม่ใช่บุญคุณอะไรหรอก” ชาจีนรีบปฏิเสธ “เธอเป็นเพื่อนฉันนะผู่เอ้อ ถ้าฉันทำอะไรไม่ถูก เธอก็ท้วงได้เลย ไม่พอใจก็พูดเลย อย่าเก็บกดนะ”
‘ข้าทำแบบนั้นได้หรือคะ’ ผู่เอ้อถามอย่างไม่แน่ใจ
“ได้สิ ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่” ชาจีนยิ้มแม้จะรู้ว่าผู่เอ้ออาจจะไม่เห็น “เอาล่ะ ผู่เอ้อ เธอจะช่วยฟังคำขอร้องจากฉันได้หรือเปล่า”
‘ได้อยู่แล้วค่ะ นายท่าน’
“เอาล่ะนะ แผนมันเป็นแบบนี้...”
ภาพบรรยากาศยามสองทุ่มของเกาะเริ่มต้น ภาพบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของบริเวณท่าเรืออย่างคึกคัก สิ้นค้านั้นมีมากมายที่อาจจะเป็นของจากทวีปอื่นขายในราคาที่เป็นกันเองกับผู้เล่นทำให้เป็นที่นิยมของผู้ที่อยากได้ไอเทมแปลกๆ ใช่ว่าจะมีแต่ร้านขายไอเทมอย่างเดียว ร้านขายขนมของกินเล่น อาหาร ก็ขายกันอยู่ทั่วไปโดยฝีมือของผู้เล่นที่ได้อาชีพคนครัว
“เจ็บใจจริงๆ” ภาพของหญิงสาวผมทองที่กำลังนั่งงับขนมปังก้อนโตอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาสีฟ้าจ้องขนมปังราวกับเป็นคู่แค้นกันมานาน หญิงสาวนั้นทั้งกินทั้งบ่นไปพร้อมๆกัน สวมชุดแบบผู้เล่นเริ่มต้นธรรมดา แต่ว่าหากใครที่ตามข่าวคร่าวในเกมอยู่บ้าง จะรู้ทันทีว่าเธอคนนี้ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้อย่างแน่นอน หญิงสาวนางนี้คือบุปผาสายลมคลั่งนั่นเอง
“มันน่านัก (งับ) ไออวกอ้า (ไอ้พวกบ้า//กลืน) แค้นนี้ต้องชำระ (งับ) อึ่ม...” ภาพของบุปผาสายลมคลั่งที่ตอนนี้หากใครมาเห็นคงต้องสงสารขนมปังในมือคุณเธอที่โดนขย่ำไปซะขนาดนั้น
“นี่ๆ กินดีๆหน่อยยัยบุปผา เรานั่นอยู่ในร้านอาหารนะ” ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ คนนี้ก็คือพิทักษ์ธรรมนั่นเอง
“ช่างมันสิ พี่พิทักษ์จะไปแคร์ทำไม (งับ) อูอังไอแอเอย(หนูยังไม่แคร์เลย)”
“เธอนี่มัน” คนเป็นพี่กุมขมับ ก่อนจะพูดต่อว่า “ถ้ากินเสร็จแล้วก็ไปกันดีกว่านะ พี่ล่ะอายจริงๆ”
“พี่มันหน้าบาง บังเอิญหนูหน้าหนาไง” คนพูดว่าพลางยัดขนมปังชิ้นสุดท้ายเข้าปากเคี้ยวหยับๆ พร้อมกับยกน้ำตาม “อร่อยจังเลย ไปกันเถอะพี่พิทักษ์” ว่าจบแล้วบุปผาสายลมคลั่งก็เดินลิ่วออกไป ทำเอาพิทักษ์ธรรมตามมาแทบไม่ทัน
“นี่เรา เดินดุ่มๆแบบนี้รู้หรือไงว่าจะไปไหน” พิทักษ์ธรรมรีบเดินไปหยุดตรงหน้าของบุปผาสายลมคลั่ง
“กลับโรงแรมน่ะสิ จะให้ทำอะไรล่ะพี่พิทักษ์ พี่นึกว่าหนูจะไปไหนเนี่ย”
พิทักษ์ธรรมอดไม่ได้ที่จะดีดกระโหลกน้องสาวไปทีหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “เราต้องไปหาอาวุธที่เสียไปตอนที่สู้กับพวกคุณวิหคลมก่อน”
“อูยย” หญิงสาวลูบหน้าผากที่ถูกดีด “พี่พูดอย่างกับรู้ว่าเราจะไปหาอาวุธได้ที่ไหนอย่างนั้นแหละ”
“ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยแหละน่า เงินของเราตอนนี้ก็ไม่พอซื้อตั๋วไปเกาะอื่นๆด้วย ยังไงตอนนี้ก็น่าจะไปร้านขายอาวุธเพื่อหาอาวุธใหม่ก่อน”
“เอาไงก็เอากัน ว่าแต่พูดถึงไอ้วิหคลม” บุปผาสายลมคลั่งพูดอย่างนึกขึ้นได้ “หรือว่ามันจะเป็นคนเอาอาวุธไป”
“ไม่น่าเป็นไปได้ ตะกี้ตอนเธออาบน้ำอยู่ พี่เดินเล่นแถวท่าเรือ เหมือนว่าพวกวิหคลมกำลังตามหาอาวุธของพวกเขาเหมือนกัน”
“งั้นก็ยิ่งแปลกน่ะสิ ใครเอาไปกันนะ พี่จำได้ไหม ตะกี้ตอนที่ไปถามที่ร้านอาหารนั่น ก็บอกว่ากลับเข้ามาก็ไม่เหลือไอเทมอะไรแล้ว ตอนแรกหนูคิดว่าพวกของไอ้วิหคเวรนั่นเอาไปซะอีก”
“นั่นสิ ตอนแรกพี่ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน อ่ะ... ไปทางนี้ดีกว่า เป็นทางลัดไปร้านขายอาวุธ” พิทักษ์ธรรมชี้ไปทางตรอกเล็กๆที่ไม่มีคนเดินผ่าน ซึ่งบุปผาสายลมคลั่งก็เดินตามไปโดยไม่พูดอะไร ทันทีที่ทั้งสองเดินมาถึงกลางซอย พิทักษ์ธรรมก็พูดขึ้นว่า
“ผมว่าคุณควรแสดงตัวได้แล้วมั้ง คุณตามพวกเรามาตั้งแต่ที่ร้านอาหารแล้ว คงจะมีธุระกับพวกผมใช่หรือไม่”
ทันทีที่พิทักษ์ธรรมพูดจบ แสงสีเขียวอ่อนๆเหมือนหิมะก็ตกลงลงเบื้องหน้าของพิทักษ์ธรรม ก่อนจะปรากฎภูตน้อยที่มีผมสีทองกับดวงตาสีม่วง เธอคือผู่เอ้อนั่นเอง
“ภูต?” บุปผาสายลมคลั่งพึมพำออกมา
“รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รู้จักพวกท่านค่ะ ข้ามีนามว่าผู่เอ้อ ข้ารู้สึกชื่นชมพวกท่านมากที่สามารถจับสัมผัสที่ข้าปล่อยอย่างจงใจไปได้”
“ปล่อยอย่างจงใจงั้นเหรอ แสดงว่าเธอตามพวกเรามานานแล้วสินะ” บุปผาสายลมคลั่งเอ่ยอย่างตกใจ
“ก็นานแล้วค่ะ”
“งั้นคุณมีธุระอะไรกับพวกเราหรือครับ คุณผู่เอ้อ” พิทักษ์ธรรมถามต่ออย่างสงบนิ่ง
“ข้าไม่มีธุระอะไรกับพวกท่านหรอกค่ะ แต่นายท่านของข้ามี”
“นายของคุณงั้นหรือครับ เขาเป็นใครกัน เท่าที่ผมจำได้ผมไม่น่าจะมีคนรู้จักที่มีสัตว์เลี้ยงเป็นภูตนะครับ” พิทักษ์ธรรมถามอย่างสงสัย
ผู่เอ้อยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “เรื่องนี้ข้าไม่อาจทราบได้ เพียงแต่ว่า นายของข้าต้องการพบพวกท่าน”
“พบพวกเรา... ต้องการอะไร” บุปฝาสายลมคลั่งถาม
“เรื่องนี้ท่านคงต้องไปถามนายของข้าเอง”
“แล้วคนที่ต้องการให้พวกเราพบอยู่ที่ไหนครับ”
“ท่านพักอยู่ที่ไหน นายของข้าก็อยู่ที่นั่น” ผู่เอ้อว่าแล้วร่างของภูตน้อยก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งความตกใจไว้ให้สองพี่น้องที่รีบวิ่งกลับโรงแรมที่เข้าพักไว้แทบไม่ทัน
“นี่ ชาจีน”
“หือ” ชาจีนส่งเสียงตอบรับเจ้าไข่ “มีอะไรเหรอ”
“ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ามีอาชีพงัดแงะเข้าบ้านคนอื่น” เจ้าไข่ตอบเสียงนิ่ง
“บ้า ฉันไม่ได้เป็นคนเปิดประตูเข้ามานะ ผู่เอ้อทำให้ต่างหาก”
“งั้นแสดงว่าชาติก่อนพวกเจ้าสองคนทำคงเคยงัดแงะเข้าบ้านคนอื่นบ่อยล่ะสิ”
“ไม่ได้เรียกงัดแงะสักหน่อย” ชาจีนบ่นงุงหงิง “เขาเรียกมาเยี่ยมแบบเซอร์ไพร์ต่างหาก อีกอย่างนะ นี่มันโรงแรมไม่ใช่บ้านสักหน่อย” ชาจีนพูดพลางรินน้ำชาที่มีอยู่ในห้องดื่มอย่างสบายอารมณ์
ถ้าจะให้อธิบายสถาณการณ์ตอนนี้ก็คงได้ประมาณว่า ชาจีนต้องการพบพวกของพิทักษ์ธรรม แต่ว่าหาไปเจอกันตรงๆแล้วมีคนเห็นก็อาจจะไม่ดี เลยคิดว่าจะนัดสองคนนั้นมาพบแบบลับๆหน่อย แต่ก็หาสถานที่ที่ไม่ค่อยจะสะดุดตาคนไม่ได้ จะใช้ห้องสมุดเป็นจุดนัดก็จะเป็นการน่าสงสัยไปอีก แล้วจู่ๆชาจีนก็ปิ๋งความคิดขึ้นมาว่าจะมาดักรอพบในโรงแรมเลยดีกว่า เลยใช้จังหวะที่สองพี่น้องออกไปหาข้าวกินแอบย่องเข้ามา ตอนแรกชาจีนประสบปัญหาที่ประตูห้องดันล็อกแล้วเธอดันไม่มีวิธีสะเดาะกุญแจ แต่ด้วยความสามารถของผู่เอ้อ(ที่ชาจีนอยากรู้มากว่าไปหัดมาจากไหนและเมื่อไร) ก็งัดแงะเข้ามาในห้องได้ ที่เหลือก็แค่ส่งผู่เอ้อไปตามสองคนนั้นมาก็พอ วิธีนี้ดีตรงที่คนที่รู้ว่าชาจีนแอบติดต่อกับพวกคุณพิทักษ์ธรรมเป็นความลับและทำให้แผนการของเธอนั้นง่ายขึ้น
“นายท่านคะ” เสียงของผู่เอ้อดังขึ้นพร้อมกับร่างของภูตน้อยผมทองตาสีม่วงปรากฎตรงหน้าของชาจีน “พวกเขากำลังมาค่ะ”
“จ้า ขอบคุณนะผู่เอ้อ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
สิ้นเสียงของผู่เอ้อ ประตูก็ถูกเปิดด้วยอารมณ์อันร้อนรนของบุปผาสายลมคลั่ง ดวงตาสีฟ้าจ้องมองชาจีนอย่างตกใจ
“เธอ...”
ปัง! พิทักษ์ธรรมที่เดินตามเข้ามาปิดประตูตามหลังอย่างรวดเร็ว เขาพอจะเดาได้ว่าการที่มีคนมาขอพบพวกเขาด้วยวิธีการประหลาดๆแบบนี้ คงจะมีเหตุผลอยู่ไม่น้อย
ชาจีนยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะพูดว่า “ต้องขออภัยที่เข้ามาโดยพลการค่ะ”
“คุณคือเจ้านายของภูตเมื่อครู่สินะครับ” พิทักษ์ธรรมเอ่ยอย่างใจเย็นขณะที่จับมือน้องสาวมานั่งที่โต๊ะที่ชาจีนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ใช่ค่ะ” ชาจีนตอบพร้อมรอยยิ้มแบบนักธุรกิจ ไม่อาจปฎิเสธได้ว่าการที่เธอไปช่วยงานของผู้เป็นพ่อมันทำให้เธอสามารถสร้างหน้ากากในการเจรจาธุรกิจขึ้นมาได้
“เธอเป็นใคร แล้วมีธุระอะไร” บุปผาสายลมคลั่งถามอย่างระแวดระวัง
“ใจเย็นค่ะ ฉันชื่อชาจีน” หญิงสาวตอบกลับอย่างใจเย็น “ฉันเป็นแค่ผู้เล่นเลเวลสี่ คงทำอะไรพวกคุณไม่ได้หรอกค่ะ”
“เลเวลสี่ แต่มีสัตว์เลี้ยงระดับสูงมากเลยนะครับ” พิทักษ์ธรรมเอ่ยอย่างจับผิด
“ฉันสาบานได้ว่าฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อพวกคุณค่ะ” ชาจีนเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนพูดต่อว่า “ฉันเพียงแค่มีธุระและเรื่องที่อยากจะให้ช่วย และฉันรู้ว่าด้วยความสามารถของพวกคุณคงจะช่วยฉันได้แน่”
“ทำไมฉันจะต้องช่วยคนที่ไม่รู้จักอย่างเธอ”
“บุปผา! เสียมารยาทเกินไปแล้วนะ” พิทักษ์ธรรมเอ่ยดุคนเป็นน้อง
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเสียอีกที่เข้ามาโดยพลการและไม่มีมารยาทมากกว่าคุณบุปผาสายลมคลั่ง แต่ถ้าคุณเห็นของพวกนี้คุณคงจะพอช่วยฉันได้นะคะ” ชาจีนเอ่ยอย่างไม่ถือโทษพร้อมกับหยิบของในกระเป๋าออกมา
ทันทีที่เห็นของบุปผาสายลมคลั่งก็ร้องออกมาอย่างตกใจ “นี่มัน... อาวุธของฉันกับพี่พิทักษ์นี่”
“คุณมีของพวกนี้ได้ยังไงกันครับ” พิทักษ์ธรรมถามอย่างตกใจ
“เรื่องที่เกิดเมื่อวานฉันอยู่ด้วยค่ะ ตอนที่พวกคุณกำลังสู้กัน ฉันหนีออกจากที่นั่นไม่ทัน แต่พอการต่อสู้จบลงฉันก็เลยเก็บของทุกอย่างที่ตกอยู่มาค่ะ รวมทั้งอาวุธของพวกคุณและของพวกวิหคลมด้วย”
“เธอเป็นคนเก็บไอเทมที่ตกอยู่ที่นั่นอย่างนั้นเหรอ” บุปผาสายลมคลั่งเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ
“ใช่ค่ะ แต่วางใจได้ ไม่มีใครรู้เรื่องที่ฉันเก็บของพวกนี้มาหรอกค่ะ” ชาจีนพูดพลางหยิบของที่คิดว่าน่าจะเป็นของพวกพิทักษ์ธรรมออกมาจากกระเป๋า “ฉันจะคืนของและคืนเงินของพวกคุณให้ค่ะ พอจะช่วยบอกได้ไหมคะ ว่าสิ่งของอันไหนเป็นของพวกคุณบ้าง”
“ทำไมคุณถึงคิดจะคืนให้พวกเรา”
“ฉันชื่นชมพวกคุณค่ะ พวกคุณกล้าเข้าสู้กับคนที่ข่มเหงพวกพวกผู้เล่นใหม่ และเพราะพวกคุณเป็นคนดีฉันจึงไม่อยากให้พวกคุณต้องเสียอะไรดีๆไป”
“แล้วเรื่องที่ต้องการให้ช่วย...” พิทักษ์ธรรมไม่หลุดจุดมุ่งหมายหลักที่ชาจีนพูดเมื่อกี้
“อ๋อ เรื่องนั้น ไว้หลังจากคืนของให้เถอะค่ะ” ชาจีนว่า พลางยกน้ำชาขึ้นดื่ม “อีกอย่างเรื่องที่จะให้ช่วยพวกคุณจะช่วยฉันหรือไม่ก็แล้วแต่พวกคุณค่ะ ว่าไงคะ...พอจะบอกได้หรือยังว่าไอเทมที่พวกคุณสูญเสียไปมีอะไรบ้างคะ”
หลังจากที่ทั้งชาจีนและพิทักษ์ธรรมแลกเปลี่ยนไอเทมกันเสร็จเรียบร้อย ระยะเวลาช่วยให้รู้จักกันได้มากขึ้น ชาจีนรู้ว่าพิทักษ์ธรรมกำลังเรียนใกล้จะจบมหาลัยแล้วเป็นรุ่นพี่เธอสามปี ส่วนบุปผาสายลมคลั่งที่ตอนแรกๆไม่ค่อยจะไว้ใจเธอนักก็สนิทกันมากขึ้นเพราะอายุเท่ากันพอดี
“แล้วคุณบุปผาเรียนอยู่ที่ไหนหรือคะ” ชาจีนถามขณะที่เก็บของที่เอาออกมาจากเป้ให้เรียบร้อย
“ไม่ต้องเรียกคุณหรอก เรียกบุปผาธรรมดาเหอะ” บุปผาบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง เพราะเธอนั้นพอจะรู้จักชาจีนมากขึ้นทำให้พอรู้ว่า ชาจีนไม่ได้มีพิษมีภัยและมีท่าทีที่เป็นมิตร
“งั้นเรียกเราว่าชาจีนหรือชาเฉยๆก็ได้ แล้วตกลงเรียนที่ไหนกันหรอ ฉันเรียนที่...” ชาจีนเอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงพอตัวในเมืองออกมา
“จริงอ่ะ ฉันกับพี่พิทักษ์ก็เรียนที่เดียวกันกับเธอนั่นแหละ” บุปผาเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะหัวเราะออกมา “โลกเรากลมจังนะ”
“นั่นสิ”
“ว่าแต่ชาจีนมีเรื่องอะไรจะให้พวกพี่ช่วยล่ะ” พิทักษ์ธรรมถามอย่างยินดี การได้อาวุธและข้าวของอื่นๆคืนมันทำให้รู้สึกดีไม่น้อย
“ก็คือว่าชาน่ะตอนที่เข้ามาในเกม...” ชาจีนเล่าเรื่องที่ถูกมอนเตอร์ระดับราชาที่วิหคลมล่อเข้ามาโจมตีให้พิทักษ์ธรรมกับบุปผาฟังแต่ตัดตอนส่วนของเจ้าไข่ไป ชาจีนเองก็พอมองออกว่าการให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองมีสัตว์เลี้ยงสองตัวมันไม่ค่อยจะดีนัก
หลังจากที่ฟังเรื่องทั้งหมดจบ พิทักษ์ธรรมก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ส่วนบุปผานั้นมีท่าทีอยากจะไปอัดเจ้าวิหคลมต่ออีกรอบ
“มันจะเลวไปไหนเนี่ยไอ้เจ้านั่น หน็อย...แค้นนี้ไม่ชำระไม่ได้” บุปผาพูดอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น
“ฉันเองก็คิดเหมือนเธอนะบุปผา ฉันต้องสั่งสอนมันให้รู้สำนึกให้ได้” ชาจีนเห็นด้วย
“จริงป่ะ แล้วเราจะทำไงดีถึงจะแก้แค้นหมอนั่นได้”
“เอ่อ... สาวๆ ใจเย็นๆก่อนนะ พี่พอจะเข้าใจอยู่นะ แต่ว่าเราเองระดับเลเวลไม่ได้สูงไปว่าพวกวิหคลมเท่าไรนักหรอกนะ จะไปแก้แค้นกันยังไง ขนาดพี่เองก็ยังอ่วมกันมาแล้วเลย ใช่ไหมบุปผา” พิทักษ์ธรรมขัด
“อ่า... ก็จริงนะ”
ชาจีนอมยิ้มทันทีที่พิทักษ์ธรรมพูดจบ ก่อนจะพูดว่า “นั่นมันก็จริงค่ะ แต่นั่นมันในกรณีปะทะกันตรงๆ แต่เราจำเป็นด้วยหรือคะ ที่จะต้องปะทะกันตรงๆ”
พิทักษ์ธรรมกับบุปผานิ่งไป ก่อนที่พิทักษ์ธรรมจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาว่า “หรือว่าเธอจะ...”
“ฉันมีแผนค่ะ แต่แผนของฉันทำด้วยตัวฉันเองไม่ได้ คงต้องอาศัยความร่วมมือพี่พิทักษ์และบุปผาค่ะ สนใจจะฟังแผนของฉันไหมคะ”
เมื่ออีกสองคนพยักหน้า ชาจีนก็ร่ายยาวแผนการที่เตรียมไว้ให้ฟัง
“สุดยอด ถ้าเป็นแบบนี้นะ เจ้านั่นมันจะต้องได้รับบทเรียนอันสาสมแน่” บุปผาสายลมพูดขึ้นอย่างสะใจทันทีที่ได้ฟังแผนการจบ “ฉันเอาด้วย พี่พิทักษ์ล่ะว่าไง”
“เฮ้อ... จะให้พี่ว่าไงล่ะ เธอก็เล่นตอบตกลงไปแล้วนี่ ยังไงก็ปล่อยเธอไปทำอะไรเสี่ยงๆไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างแผนที่น้องชาจีนว่ามามันก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน” พิทักษ์ธรรมตอบ
“ดีเลยค่ะ เป็นอันว่าตกลงใช่ไหมคะ”
“อือ” บุปผาตอบพลางพยักหน้าอย่างแข็งขัน ส่วนพิทักษ์ธรรมเองก็พยักหน้ารับเช่นกัน
“งั้นขอฝากตัวด้วยนะค่ะ ตอนนี้พวกเราเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันแล้วนะคะ”
“อ่าหะ ทางนี้เองก็เช่นกัน”
...........................................................................................................................................................
บทนี้ยาวมาก ไม่ได้ตั้งใจจะยาวขนาดนี้เลยนะ แหะๆ ไรต์เตอร์เข็นอยู่หลายชม.มาก กว่าจะได้มา 55+ ช่วยนี้เหนื่อยอ่ะ คุมน้องซ้อมกีฬาสีเป็นครั้งแรก 55+ แต่จะสู้ต่อไปเพื่อรีดเดอร์ทุกท่านค่ะ ตอนต่อไปยังไม่แน่นอนนว่าจะมาเมื่อไร แต่เร็วนี้แน่ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะค่ะ ^^
ความคิดเห็น