ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้องเก็บศพ

    ลำดับตอนที่ #2 : [Cloud] เมฆที่หม่นหมอง [FFVII] ตอนจบ

    • อัปเดตล่าสุด 12 ม.ค. 51


    หลังจากผ่านเรื่องราวที่ไม่น่าจดจำมามากมาย…“ คลาว สไตรฟ์ “ เดินทางมาถึงเมืองมิดการ์ ตามความตั้งใจแต่หนหลัง..ที่นี่ เขาได้พบทีฟา เพื่อนสมัยเด็กอีกครั้งหนึ่ง และได้ถูกทาบทามให้มาทำงานร่วมกับกลุ่มอวาลันซ์ กองกำลังต่อต้านบริษัทชินระ ที่กำลังช่วงชิงพลังงานชีวิตของโลกไปอย่างช้าๆ...

    หลังจากที่ได้แสดงฝีมือในภารกิจต่างๆ...ฝีมือของคลาวด์ก็เป็นที่ประจักษ์แก่ทั้งฝ่ายตรงข้ามและพวกเดียวกัน...ทว่า ชีวิตของเขากลับต้องมีอันสะดุดอีกครั้ง...เมื่ออดีตที่ตัวเองเคยเบือนหน้าหนี ได้ไล่ตามมาถึงตัว...
    เซฟิรอธ ซึ่งคลาวด์เข้าใจว่า หายสาบสูญไปแล้วจากเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต กลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และทำให้ความตั้งใจที่จะ”ปกป้องชีวิตของดวงดาว” ที่กลุ่มอวาลันซ์ยึดถืออยู่ ต้องเปลี่ยนเป้าหมายไป...พวกเขาและเธอ ติดตามไล่ล่าอดีตโซลเยอร์เฟิร์สคลาสที่เก่งกาจที่สุดผู้นี้ อย่างเต็มความสามารถ…แต่การเดินทาง กลับไม่ราบรื่นดังที่หวัง...

    “เซลล์เจโนว่า” ที่คลาวด์ถูกเพาะเลี้ยงไว้ในร่างกายนั้น มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ และจัดเรียงความทรงจำของผู้คนได้ดังต้องการ

    ...รูปร่างที่มองเห็น อาจเป็นสิ่งจอมปลอม...ความทรงจำที่รับรู้ อาจเป็นเพียงภาพลวง...

    “ร่างทดลอง” และ“ร่างจำแลง”ของเซฟิรอธ จำนวนมากที่ได้พบเจอตามรายทาง ต่างคอยย้ำเตือนถึง”ความนัย”เบื้องหลังคำกล่าวที่แสนซ้ำซากประโยคนี้...เมื่อนานวันเข้า จิตใจที่แสนเปราะบางของคลาวด์ ก็ค่อยๆสั่นไหวอย่างช้าๆ…และเงียบงัน

    สำหรับตัวคลาวด์ ที่เคยแพ้ใจตัวเอง และใช้กลไกป้องกัน สร้างอีกหนึ่งบุคลิกที่ชื่อว่าแซ็ค มาปกปิดความอ่อนแอและความรู้สึกผิดของตัวเองไปเมื่อกาลก่อนนั้น...สิ่งที่จะทำให้เจ้าตัวหวั่นไหวมากที่สุด ก็คงจะไม่ใช่อื่นใด นอกจาก”ความเป็นจริง” ที่เจ้าตัวปฎิเสธที่จะมองมันเต็มๆตามาตลอด

    หากเปรียบเทียบว่ามันเป็นกล่องแห่งความทรงจำซักใบหนึ่ง ที่ถืออยู่ในมือ...เด็กน้อยหวาดหวั่นว่า สิ่งที่อยู่ข้างในนั้น จะเป็นความจริงแท้อันแสนวิเศษ หรือจะเป็นเพียงความรวดร้าวที่ซุกซ่อนไว้จนสุดมือเอื้อม...ตลอดเวลาที่ผ่านมา คลาวด์ได้เพียงแค่ประคอง”ความทรงจำ”ที่คลุมเครือนั้นไว้ด้วยมือที่สั่นเทา ด้วยสายตาที่เบือนหนี และด้วยหัวใจที่ขลาดกลัว
    ...อีกครั้ง ชายหนุ่มตัดสินใจวิ่งหนี ก่อนที่ปัญหาจะเข้ามาถึงตัว...คลาวด์ยอมแพ้ให้กับความหวาดหวั่นของตัวเอง กระโจนเข้าสู่ข้อสรุปใกล้ตัวว่า ตนเองเป็นเพียงร่างทดลองร่างหนึ่ง เป็นผลผลิตที่รับสืบทอดเซลล์ของเจโนวา เป็นเพียงหุ่นกระบอกที่ไร้วิญญาณของเซฟิรอธ...ร่างเนื้อที่เห็นอยู่นี้ ความทรงจำที่รับรู้อยู่นี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากความสามารถของเซลล์เจโนวา หาใช่ความเป็นจริงไม่

    แม้เปลือกนอกจะดูแข็งแกร่งเพียงใด แต่หากแก่นในกลวงโบ๋แล้ว แค่ออกแรงกะเทาะเล็กน้อย มันก็ย่อมแตกออกโดยง่าย...น่าแปลกที่ ผู้มีปัญหาทางจิตส่วนมาก กลับเป็นชายหนุ่มที่ดูภายนอกแสนบึกบึนและเข้มแข็ง...ที่แท้แล้ว ภาพที่เห็น อาจเป็นเพียงแค่อัตลักษณ์ในอุดมคติ ที่ถูกสร้างขึ้นมาบดบังตัวตนที่แสนอ่อนแอข้างใน...

    คลาวด์ยอมทิ้งความจริงที่แสนเจ็บปวด และเลือกที่จะยอมรับข้อสรุปง่ายๆว่า...ที่อ่อนแอนี่ เพราะ”เขา”ที่อยู่ตรงนี้ ไม่ใช่”ตัวเขา”อย่างที่ควรเป็น...”ความอ่อนแอ”ที่เห็นนี่ ไม่ใช่เป็นของ”คลาวด์” แต่เป็นของ”คนอื่น” ที่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกันโดยสิ้นเชิง...คลาวด์ทิ้งเปลือกที่เรียกว่าแซ็คออกโดยไม่รู้ตัว และหันมาสร้างเปลือกอันใหม่ ที่เรียกว่าร่างทดลองที่แสนอ่อนแอ และคู่ควรกับการกระทำอันน่าอับอายนี้สิ้นดี !!

    กลไกป้องกันตัวเอง ชนิดกล่าวโทษผู้อื่น (Projection) ถูกนำมาใช้โดยไม่ยากเย็นนัก โดยครั้งนี้ มันต้องแลกด้วยสิ่งสูงค่ายิ่ง...คลาวด์มอบอาวุธชิ้นสุดท้ายที่จะทำลายดวงดาวให้กับเซฟิรอธ และ...อีกครั้ง...คนสำคัญของคลาวด์...ต้องจบชีวิตลง…โดยมีเขาเป็นต้นเหตุ

    เมื่อเปลือกนอกค่อยๆหลุดร่อนออกทีละชั้น เผยให้เห็นเนื้อในที่อ่อนยวบยาบ คลาวด์สูญเสียอัตลักษณ์ของตนไปอย่างสิ้นเชิง เคว้งคว้างอยู่ในคำถามที่ยกขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ตัวเขาเป็นใคร ทำไมถึงต้องอ่อนแอ ทำไมถึงต้องสูญเสีย...แม้คนทั่วไป ก็ดูออกโดยง่ายว่า หากปล่อยไว้ไม่นาน คลาวด์จะเข้าสู่ระยะสุดท้ายของอาการสูญเสียตนเอง...กลายเป็นท่อนไม้ที่ไม่สามารถกลับมามีสติได้อีกต่อไป
    ทว่า...ตั้งแต่แรกเริ่มที่ได้พบกันอีกครั้ง...ทีฟา เพื่อนสนิทตั้งแต่ครั้งเยาวว์วัย เริ่มเอะใจในเรื่องเล่า ปากคำ และความทรงจำของคลาวด์ ที่ทยอยถ่ายทอดออกมา...เธอเป็นคนแรก ที่สังเกตเห็นความผิดปกติในสภาพจิตใจของเด็กหนุ่ม...ภาพความเป็นจริงที่เธอจดจำฝังใจ กับภาพจินตนาการที่ถูกร้อยเรียงออกมาอย่างเรียบเฉยของคลาวด์นั้น...มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง !! และกว่าที่เธอจะตั้งหลัก รู้ลึกถึงสาเหตุที่แท้จริง...เรื่องราวทั้งหมด ก็ก้าวไปไกลจนแทบจะเกินแก้ไขเสียแล้ว...

    วิธีการรักษาที่จำเพาะ และตรงจุดที่สุด สำหรับผู้ป่วยที่หลีกเลี่ยงปมในจิตใจ ก็คือการทำ”จิตบำบัด” พูดคุย สะกด ถอยจิต หรือชักจูงอย่างไรก็แล้วแต่ เพื่อให้คนๆนั้น กล้าที่จะกลับไปมองปัญหาของตน ให้เต็มสองตา

    ...คนส่วนมาก จะไม่กล้าเผชิญหน้ากับความกลัวซึ่งๆหน้า ทำให้ภาพปัญหาที่แสนจะขุ่นมัวนั้น กลับขยายใหญ่โตขึ้นกว่าที่มันควรจะเป็น อยู่เบื้องหลังเปลือกตาของเรา...และนั่น จะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก

    จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ ทีฟาได้ทำสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคลาวด์ นั่นคือการพาคลาวด์ย้อนระลึกกลับไปยังเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ครั้งกาลก่อน...ให้คลาวด์ได้มองเห็นการกระทำ ได้ขุดคุ้ยความรู้สึก และได้หวนกลับไปพินิจความคิดของตัวเองในหลากหลายช่วงเวลา...ต่างกรรมต่างวาระ

    ผ่านมานานปี คลาวด์ สไตรฟ์ เพิ่งจะได้มองเข้าไปถึงเบื้องลึกของความทรงจำของตัวเองเป็นครั้งแรก...ทั้งความรู้สึก และสำนึกชั่วดีทั้งหลาย ค่อยๆผุดขึ้นมาสู่ระนาบของความเป็นจริงอย่างช้าๆ...และแล้ว แม้จะกินเวลานานไปซักนิด แต่ในที่สุด “อัตลักษณ์”ที่สมควรจะถูกเรียกว่า “คลาวด์”อย่างเต็มภาคภูมิ ก็ถือกำเนิดขึ้นมาในที่สุด

    เมื่อคนเกิดความเข้าใจ และรู้จักตัวตนของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว สิ่งที่จะตามมา คือความสำนึกรู้ ที่จะนำทางให้คนๆนั้นยึดถือบทบาท และปฎิบัติตามหน้าที่ของตนได้อย่างเหมาะสม...ซึ่งปกติแล้ว มันเป็นสิ่งที่จะค่อยๆพัฒนาขึ้นมา พร้อมๆกับวัยวุฒิที่เพิ่มขึ้น และผู้ใหญ่ทั่วไปในสังคม พึงจะต้องมี

    เมื่อหมดซึ่งความกังวลที่มองไม่เห็น เมื่อเลิกหลีกหนีปัญหาภายใต้หน้ากากของคนอี่น....เมื่อนั้น คลาวด์ สไตรฟ์ ก็แสดงความสามารถที่แท้จริงของตนออกมาให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง...ดาบที่ไร้ซึ่งความลังเล และเต็มไปด้วยสำนึกในหน้าที่ของตน ย่อมมีน้ำหนักมากกว่าสิ่งจอมปลอมทั้งปวง...เซฟิรอธถูกกำจัดลงได้อีกครั้ง และดวงดาวก็รอดพ้นจากการถูกทำลายในที่สุด

    ...การเดินทางเพื่อปกป้องดวงดาวจบลง แต่การเดินทางของคลาวด์ ก็ยังไม่สิ้นสุด...
    มื่อคลาวด์สลัดเปลือกอันแสนอบอุ่นที่ปกป้องร่างกายและจิตใจของเขาออกไป และกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง...นั่นก็หมายความว่า เด็กหนุ่มต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอีกครา...”การเข้าใจ” หรือ “ไม่เข้าใจ” ตัวเอง ไม่สามารถบดบังความจริงที่ว่า ตัวเขา ทำให้คนรอบข้างต้องเสียสละไปมากเพียงไร…สิ่งนี้เท่านั้น เป็นความจริงที่ไม่ว่าจะเป็นคลาวด์ไหนๆ ก็ไม่สามารถหลบเลี่ยง

    แม้จะจัดการแก้แค้นให้คนสำคัญของตนได้แล้ว คลาวด์ก็ยังถูกจู่โจมด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่ได้จางหายไป เขาเฝ้าหมกมุ่นอยู่กับอดีตที่แท้จริงของตนเอง และฝังใจตลอดมาว่า ตนเองสมควรที่จะถูกกล่าวโทษ และไม่สมควรจะมีความสุขอยู่กับคนอื่นๆเลย…การได้รู้จักตัวเองช้าเกินไป กลับทำให้คลาวด์ร้อนรนที่จะมองภาพชีวิตตัวเองอย่างไม่รอบคอบมากยิ่งขึ้น...วัยรุ่นหลายคนก็อาจต้องผ่านเส้นทางลักษณะเดียวกัน

    ตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อตัวตน (autonomy) ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเหมาะสม ทำให้เมื่อเติบโตขึ้น อัตลักษณ์ (identity) ของคลาวด์ จึง สะท้อนความไม่มั่นคงออกมาอย่างรุนแรง...เขาหลบหนีเพื่อนฝูง แยกตัวเองออกจากสังคม หลีกหนีความกลัวที่ว่า ตนเองอาจจะต้องสูญเสียคนสำคัญไปอีก...

    จะโดยโชคดีหรือโชคร้ายก็แล้วแต่ หายนะจากฟากฟ้า ยังไม่หมดสิ้นไป...เศษซากของวิญญาณเซฟิรอธ ได้กลับมามีรูปลักษณ์ และพร้อมที่จะสร้างความเสียหายให้กับดวงดาวอีกครั้งหนึ่ง
    คลาวด์ถูกบีบบังคับให้ต้องต่อสู้อีกครั้ง แต่คราวนี้ ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือตัวของเขาเอง
    และให้กำลังใจอย่างไม่ขาด...คลาวด์ได้รับปัจจัยข้อนี้อย่างเต็มเปี่ยม...จากการเผชิญหน้ากับความอ่อนแอของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า ไม่มีใครสามารถยกโทษให้ใครได้ หากคนๆนั้น ไม่ยอมให้อภัยตัวเองเสียก่อน...

    คลาวด์เฝ้าหมกมุ่นขอให้ผู้ที่ตายจากไป ยกโทษให้กับความขลาดเขลาของตัวเอง แต่กลับไม่ยอมตอบคำถามที่ง่ายที่สุดว่า ตัวเขาเองนั้น ได้ปล่อยวางความผิดของตัวเองไปหรือยัง?

    เวลาผ่านไปเนิ่นนาน แม้ความผิดจะไม่ถูกลบล้าง แต่ก็สามารถชดเชยได้ด้วยการตอบแทนด้วยสิ่งที่เท่าเทียม...คลาวด์ได้ช่วยเหลือ และปลดปล่อยความทุกข์ของผู้คนมากมาย แต่ตัวเองกลับติดอยู่ในบ่วงของความผิดพลาดแต่ครั้งอดีต ไม่เคยคิดที่จะก้าวออกมา

    ในครั้งนี้ ทุกๆคนได้ชี้ให้ตัวเขาเข้าใจในที่สุดว่า คลาวด์ สไตรฟ์ไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว ความรู้สึกต่างๆ ทั้งสุข และทุกข์ ย่อมมีคนที่จะร่วมรับรู้ ร่วมแบ่งเบา...และท้ายที่สุดแล้ว คลาวด์ก็เริ่มจะเข้าใจจุดที่สำคัญนี้ และหันมาเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจของเขา ด้วยจิตใจที่ไม่เหมือนเดิม

    ...คลาวด์ต่อสู้เพื่อ”ปกป้อง” ไม่ใช่เพื่อ “ชดใช้”...

    ทุกคนไม่ได้เกิดมา พร้อมกับสติที่จะแก้ปัญหา เมื่อถึงภาวะที่ตกต่ำที่สุด

    ทุกคนไม่ได้เกิดมา พร้อมกับคนรักรายล้อม ซึ่งคอยดึงให้ตัวเรากลับมามองปัญหาในมุมที่ถูกที่ควร

    คลาวด์ สไตรฟ์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนตัวอย่างหนึ่ง ที่แม้จะหลงทางไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ที่สุดแล้ว ก็สามารถก้าวพ้นความอ่อนแอของตัวเอง เผชิญหน้ากับอดีต และดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาร่วมต่อสู้กับความเป็นจริง

    ...ผลลัพธ์ในช่วงสุดท้าย ย่อมเกิดจากความตั้งใจมั่น ที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ และดิ้นรน เพื่อคว้าเอาอนาคตที่มีความสุขมาไว้ในมือนั่นเอง...
    ...และแล้ว...หลังจากที่เมฆหมอกถูกพัดไป ท้องฟ้าที่แจ่มใส ก็จะตามมาในที่สุด...

    เครดิตจากคุณ zeigheart แห่งบอร์ด all-final

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×