ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( shortfiction - ) HAEEUN WONKYU ❤

    ลำดับตอนที่ #13 : (requested story) WONKYU : THE PRINCE AND THAT MAN

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 450
      3
      19 มิ.ย. 55

      


    THE PRINCE AND THAT MAN

    SIWON & KYUHYUN

     

     



     








     

     

                      เจ้าชายหายไป!


     

                อะไรนะ! เจ้าชายหายไปไหน! รีบส่งทหารไปตามหาเจ้าชายเดี๋ยวนี้!


     

                ไม่พบเจ้าชายเลยขอรับ!


     

                ตามหา! ตามหาคนกว่าจะเจอ!


     

                เช้าวันที่อากาศแจ่มใส เกิดความโกลาหลขึ้นมาพระราชวังโอ่อ่า เนื่องจากเจ้าชายเพียงองค์เดียวของเมืองได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งๆที่วันนี้เป็นวันอภิเษกสมรสของเจ้าชายกับเจ้าหญิงจากต่างเมือง ที่เล่าลือกันว่างดงามเกินจะพรรณนา เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่เป็นกุลสตรี กริยามารยาทที่ถูกฝึกมาแต่อ้อนแต่อ่อน


     

                ช่างเหมาะสมกับเจ้าชายรูปงามเกินที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบ


     

                ตึก ตึก ตึก


     

                เสียงรองเท้ากระทบพื้นปูนที่ถูกขัดเป็นเงาดังก้องทั่วบริเวณ ร่างสูงวิ่งลัดเลาะไปตามเส้นทางอย่างรวดเร็วและชำนาญ ใบหน้าคมอาบไปด้วยหยาดเหงื่อบ่งบอกว่าเหนื่อยเพียงใด แต่เจ้าตัวก็ไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย


     

                นั่นไงเจ้าชาย!


     

                เสียงของใครสักคนดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝีเท้าอีกเป็นสิบที่วิ่งกระเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีนิลเบิกโพลงขึ้นอย่างไม่คาดคิด สมองสั่งการให้ตัวเองเลี้ยวซ้ายอย่างกะทันหัน


     

                ฟึ่บ!



     

                อยู่นิ่งๆ...


               

                หูได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา แม้อยากจะหันไปมองหน้าคนที่พูดขนาดไหนก็ไม่อาจทำได้ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นเพียงสีดำ... สมองเริ่มประมวลผลถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่อย่างรวดเร็ว


     

                เขาตัดสินใจเลี้ยวซ้าย แต่พอเลี้ยวมาก็เจอกับเงามืดของผ้าคลุมสีดำสนิทที่คลุมทั้งตัวเขาเอาไว้ เจ้าของผ้าคลุมยืนชิดกับเขา ทำให้รู้ว่าอีกคนนั้นตัวเล็กกว่าเขาแต่ก็ไม่มากนัก



     

                เจ้าชายหายไปไหนแล้ว!



     

                เสียงทหารนายหนึ่งดังขึ้นเบื้องหน้าเขา ทหารนายนั้นหันซ้ายหันขวาอย่างไม่เข้าใจก่อนจะตัดสินใจวิ่งนำทหารทั้งหมดไปอีกทาง


     

                เขาก็ไม่เข้าใจ... ทั้งๆที่เขายืนอยู่ตรงนี้ แต่ทหารพวกนั้นกลับมองผ่านเขาไปราวกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ


     

                เจ้าชาย...เสียงเรียกแผ่วเบาทำให้เขาหันกลับมามองหน้าเจ้าของผ้าคลุมสีดำ ที่บัดนี้ถูกดึงออกไปจากตัวพวกเขาเรียบร้อย มันทำให้เขาเห็นใบหน้าของคนที่ช่วยเขาไว้ได้อย่างชัดเจน... ใบหน้าขาวเรียว นัยน์ตาสีเขียวแปลกตาที่เผยให้เห็นเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างถูกซ่อนไว้ภายใต้ผ้าปิดตาสีดำ ริมฝีปากสีซีด ร่างโปร่งอยู่ในชุดสีดำสนิท ยิ่งเพิ่มความลึกลับให้คนคนนี้อีกมากโข


     

                เจ้าเป็นใคร


     

                ข้ากระหม่อมเป็นใครนั้นไม่สำคัญเท่ากับการที่เจ้าชายทรงหนีพิธีอภิเษกสมรสหรอก...ริมฝีปากสีซีดเอ่ยตอบเขานิ่ง น้ำเสียงทุ้มราบเรียบ ไม่ได้ส่อแววเสียดสีหรือตำหนิติเตียนใดใด


     

                พิธีอภิเษกสมรสของข้าไม่สำคัญเท่ากับการที่ข้าจะรู้จักชื่อของคนที่ช่วยข้าไว้หรอกพอเขาพูดจบ อีกฝ่ายก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยราวกับเจอของที่ถูกใจ


     

                ข้ากระหม่อมเป็นเพียงคนต้อยต่ำ ไม่สมควรที่องค์ชายจะรู้จัก


     

                ถ้าเจ้าเป็นเพียงคนต้อยต่ำ คงไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้... จริงไหม?”

     





     

                ยิ้ม...

                ริมฝีปากบางของคนตรงหน้ายกเป็นรอยยิ้มที่เขาดูไม่ออกว่ายิ้มเพราะอะไร





     

     

                นั่นก็แค่เวทมนตร์หลอกเด็ก


     

                ผู้ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ มีสองประเภท....เจ้าชายพูดพร้อมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ หนึ่ง... เทพ และสอง... ปิศาจ


     

                “................”


     

                เจ้า... เป็นแบบใด



     

                หลังจบคำถามทั้งสองสบตากันนิ่ง...



     

                แล้วเจ้าชายคิดว่าข้ากระหม่อมเป็นแบบใดเล่า”     


     

                “...............”


     

                ไม่มีคำตอบจากคนที่ชื่อได้ว่าเป็นเจ้าชาย ร่างโปร่งในชุดดำสนิทยื่นมืออกไปตรงหน้าเจ้าชายช้าๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้าย




     

                แต่ข้าเป็นแบบใดก็คงไม่สำคัญเท่ากับการที่ตอนนี้พระองค์ทรงต้องการความช่วยเหลือจากข้ากระหม่อมกระมัง

     

     

     

     

     

     

    ‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧

     

     

     

     

     

                “เจ้าหญิงนานะทรงสวยทั้งกายและใจ...” เสียงทุ้มเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวพูด

     

     

                “ข้าไม่ได้อยากแต่งงานกับคนที่สวยทั้งกายและใจ”

     

     

                “แล้วพระองค์ต้องการอภิเษกสมรสกับคนแบบใด...”

     

     

                เหมือนเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพราะคนถามไม่ได้มองหน้าเจ้าชายเลยแม้แต่น้อย เจ้าตัวกำลังเดินไล่หาหนังสือจากชั้นหนังสือที่สูงกว่าสามเมตรภายในห้องสมุดที่ใหญ่โตและโอ่อ่า...

     

     

                ภายในประสาทของคนชุดดำที่แสนจะลึกลับตรงหน้า...

     

     

                หลังจากที่เขาตอบรับความช่วยเหลือ คนตรงหน้าก็พาเขามาที่ประสาทกลางป่าที่เขาสาบานได้ว่าไม่เคยมีในเมืองของเขา

     

     

                “คนที่รักข้า...” เจ้าชายตรัสตอบเสียงหนักแน่น เรียกให้นัยน์ตาสีเขียวหันมามอง “...ด้วยใจจริง”

     

     

                “พระองค์ทรงเป็นเจ้าชาย....” กล่าวย้ำ ราวกับจะเตือนว่าคนตรงหน้ามีความสำคัญมากเพียงใด เหตุใดจะไม่มีคนรักด้วยใจจริง

     

               

                “ถ้าเลือกได้ ข้าอยากเป็นเพียงชายธรรมดา”

     

     

                “พระองค์ทรงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าจะไม่มีทางเป็นแบบนั้น”

     

     

                “งั้นหรือ...”

     

     

                ไม่มีเสียงตอบรับ... ใบหน้าคมของคนที่จะได้ขึ้นเป็นพระราชาองค์ต่อไปเหม่อไปยังชั้นหนังสือที่เรียงรายอยู่

     

     

                “พวกขุนนางคอยจะแทงข้างหลังข้าทุกเมื่อที่ข้าเผลอ... การเป็นพระราชาจะต้องคอยระแวงอยู่ทุกเพลา แม้แต่ความสุขส่วนตัวก็ต้องถูกกลืนหายไป.. แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดเล่าถ้าข้าได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุด แต่กลับต้องหนาวเหน็บและอ่อนแอจากการต่อสู้”

     

     

                “เหตุใด....” เสียงทุ้มเอ่ย ลากนัยน์ตาสีเขียวมาสบกับนัยน์ตาสีนิลของอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัวอาญา “พระองค์จะต้องทรงกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง”

     

     

                “................”

     

     

                “ในอนาคตจะมีราษฎรนับหมื่นนับแสนที่รอคอยความช่วยเหลือจากพระองค์ อย่าให้ความรู้สึกหวาดกลัวในพระหฤทัยมาบั่นทอนหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือประชาชน”

     

     

                “เจ้า... เป็นใครกันแน่”

     

     

                เจ้าของนัยน์ตาสีนิลเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ....

                มีไหวพริบในการพูด เพียงแค่ได้ฟังก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ฉลาดเพียงใด

     

                ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย ยิ่งสงสัยก็ยิ่งเพิ่มความอยากรู้...

                ไหนจะผ้าที่ปิดตาอีกข้างนั่นอีกเล่า

     

               

     

                “ทำไมเจ้าต้องปิดตาซ้ายของเจ้า....” ไวเท่าความคิด ก็ส่งพระสรุเสียงถาม

     

     

                “เหตุใดองค์ชายจึงอยากรู้เรื่องของกระหม่อม” น้ำเสียงไม่ได้มีแววข่มขู่ อีกฝ่ายเพียงแค่ถามเหมือนพูดประโยคทั่วไป

     

     

                “ข้าแค่สงสัย”

     

     

                “ความช่างสงสัยของพระองค์อาจจะนำพระองค์ไปสู่หายนะโดยที่พระองค์ไม่ทรงรู้ตัว”

     

     

                คำเตือนที่แฝงไปด้วยคำข่มขู่ถูกส่งไปยังเจ้าชายของเมือง...

     

     

                “............”

     

     

                “แต่ถือว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าชาย...” เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ละจากชั้นหนังสือมายืนตรงหน้าอีกคนที่เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาไม่เข้าใจ

     

     

                “พระองค์ถามกระหม่อมว่ากระหม่อมเป็นเทพหรือปิศาจ... คำตอบอยู่ตรงนี้” พูดจบ มือขาวซีดก็ปลดผ้าปิดตาสีดำของตัวเอง เผยให้เห็นนัยน์ตาอีกข้างที่เคยถูกปิดไว้

     

     

     

                เขานิ่งอึ้งด้วยความไม่เข้าใจ คิ้วเรียวขมวดแน่นอย่างสงสัยและงงงวย...

                แวบแรกที่เห็นนัยน์ตาข้างขวานั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวไปทั่วร่าง

               

     

     

                “นัยน์ตาข้างนี้คงตอบพระองค์ได้ว่ากระหม่อมเป็นใคร”

     

     

                นัยน์ตาสีแดงดุจเลือดนก....

                สัญลักษณ์ของพวกปิศาจ สัญญาณบางอย่างในใจร้องเตือนว่าอย่าเข้าใกล้อีกฝ่ายไปมากกว่านี้ อย่าเข้าไปยุ่งกับพวกปิศาจที่ฆ่ามนุษย์อย่างพวกเขาเยี่ยงผักปลา

     

                แต่ในขณะเดียวกัน อีกเสียงกลับร้องว่าอย่าทำอย่างนั้น...

     

     

                “เจ้า...”

     

     

                “กระหม่อมเป็นปิศาจ” ร่างโปร่งในชุดดำสนิทเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อย้ำชัดถึงสถานะของตน

     

     

                “แต่ตาซ้ายของเจ้าเป็นสีเขียว”

     

     

                ประโยคของเจ้าชายทำให้คนถูกถามเหยียดยิ้มออกมาก่อนตอบ “พระองค์เคยได้ยินเรื่องเล่าจากดินแดนปิศาจหรือไม่”

     

     

                “เรื่องเล่า?”

     

     

                “ใช่ เรื่องเล่า... เรื่องเล่าที่เกี่ยวกับบุตรชายคนเดียวของท่านเจ้า ความผิดพลาดที่มิอาจจะยอมรับ”

     

     

     

     

     

     

                พระองค์ได้โปรด! พระองค์ได้โปรดอย่าทำแบบนี้!’ เสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นกลางห้องห้องหนึ่ง เบื้องหน้ามีบุรุษที่ใครๆต่างก็เรียกว่า ท่านเจ้ากำลังนั่งอยู่ด้วยใบหน้าสงบนิ่ง

     

              ข้าตัดสินใจแล้ว อารา

     

              แต่ถึงอย่างไรคยูฮยอนก็เป็นบุตรของท่าน!’ หญิงสาวเจ้าของนาม อารายังคงเรียกร้องความเป็นธรรมให้เด็กชายที่ยืนอยู่ต่อไป

     

              เด็กชายคนนั้นอายุราวเจ็ดขวบ มีผิวสีขาวซีดราวกับหิมะ ริมฝีปากบางสีสดเรียบสนิทเหมือนไม่เคยมีรอยยิ้ม นัยน์ข้างขวาเป็นสีแดงเลือดนกเฉกเช่นชาวปิศาจทั่วไป แต่นัยน์ตาข้างซ้ายกลับเป็นสีเขียวมรกต

     

              สีเขียวมรกตที่เป็นดุจตราบาปในชีวิต

     

              ใช่ คยูฮยอนเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของข้า...นัยน์ตาสีแดงเลือดนกของท่านเจ้ามองสบกับนัยน์ตาสีแปลกของเด็กชายด้วยความเอื้ออาทร แต่เพราะเขาเกิดจากเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ ถ้าเขาอยู่ที่นี่ต่อไป จะเกิดความวิบัติใหญ่หลวงต่อดินแดนปิศาจ

     

              พระองค์....

     

              ข้าเห็นทุกสิ่ง อารา... เห็นว่าเมื่อเขาโตไปเขาจะเป็นนักเวทย์ที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ชะตาชีวิตของเขาจะเป็นไปในทิศทางไหน

     

              ..................หญิงสาวเงียบเสียงลงเมื่อบัดนี้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าเหตุใดท่านเจ้าแห่งดินแดนปิศาจถึงต้องทำแบบนี้กับลูกชายคนเดียวของตัวเอง

     

              คยูฮยอน…’ เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเด็กชายด้วยความรัก นัยน์ตาสีแดงสดที่มักจะฉายแววแข็งแกร่งและเด็ดขาดอยู่เสมออ่อนลงทันทีเมื่อสบกับนัยน์ตาสองสีของอีกคน

     

              เจ้าเข้าใจพ่อใช่ไหม....

     

              ................

     

              เกิดความเงียบขึ้น เป็นบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกเศร้าใจอย่างหาใดเปรียบมิได้... ก่อนที่เด็กชายเพียงคนเดียวในห้องจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเจ็บปวดไว้เหลือคณา

     

     

     

              เพียงแค่พระองค์ตรัสมาคำเดียวว่าไม่ต้องการหม่อมฉัน หม่อมฉันจะไปให้ไกลโดยที่พระองค์ไม่ต้องทรงเอ่ยขอ

     

             

              ณ วินาทีนี้เขาไม่ต้องการคำปลอบโยนใดๆให้รู้สึกดีขึ้น กลับกัน... เขาต้องการคำที่ใจร้ายที่สุดจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ เพื่อที่เขาจะได้หักห้ามใจไม่ให้หันกลับมาสู่ดินแดนแห่งนี้อีก

     

              คยูฮยอน....

     

              ได้โปรดกรุณาหม่อมฉัน

     

              เกิดความเงียบชั่วอึดใจ ท่ามกลางความเงียบนั้นน้ำใสๆออกมาคลอที่หน่วยตาทั้งสองข้างของเด็กชาย...

     

     

     

     

              จงไปให้พ้น ณ ที่แห่งนี้ แล้วอย่าได้หันหลังกลับมาอีก คยูฮยอน

     

     

              ..ก่อนจะไหลลงมาอย่างสุดจะต้านทาน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                “เด็กชายคนนั้นคือกระหม่อมเอง เป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก” เสียงทุ้มยังเอ่ยพูดต่อไป รอยยิ้มเหยียดประดับอยู่บนริมฝีปากสีซีด เจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงเพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่เคยชินสักทีกับความรู้สึกเช่นนี้

     

     

                “เจ้า......”

     

     

                “หมดเวลาท่องเที่ยวโลกกว้างแล้วเจ้าชาย” ร่างโปร่งพูดตัดบท “พระองค์ควรจะกลับไปอยู่ในที่ของพระองค์ได้แล้ว”

     

     

                เจ้าชายขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เขาจึงพูดต่อ “พระองค์มี หน้าที่อะไรที่ต้องกลับไปทำ พระองค์ควร ระลึกว่าพระองค์คือใคร”

     

     

                “..................”

     

     

                “หันกลับไปเผชิญโลกแห่งความจริง ตัดสินทุกสิ่งด้วยสายพระเนตรของพระองค์เอง นั่นคือสิ่งที่เจ้าชายพึงกระทำ”

     

     

                “ข้าไม่....” อีกฝ่ายเอ่ยได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบไป เมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่คนตรงหน้าพูด

     

               

     

                ไม่ผิดไปจากความจริงเลยแม้แต่น้อย.....

                ภาระหน้าที่ของเจ้าชายที่เขาละเลยและเอาแต่หนีมัน

               

                ความสุขในอุดมคติที่เขาละเมอเพ้อพกมานานแสนนาน

     

     

     

     

                “ไม่มีใครที่จะอยู่บนโลกนี้โดยมีความสุขตลอดไปกระหม่อม...”

     

     

                “............”

     

     

                “คนเป็นเจ้าเหนือคนต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน และแม้ว่าจะเจ็บปวดเจียนตายเพียงใด พระพักตร์ของพระองค์จะต้องนิ่งสงบ มือของพระองค์จะต้องไม่สั่น และสายพระเนตรของพระองค์จะต้องไม่หวั่นไหว”

     

     

                “ท่านเจ้าแห่งแดนปิศาจสอนเจ้ามาเช่นนี้หรือ”

     

     

                ส่งคำถามกลับไป เพียงเสี้ยววินาทีที่เห็นนัยน์ตาสองสีของอีกฝ่ายวูบไหวก่อนที่มันจะกลับมาสงบนิ่งดังเดิม

     

     

                “นั่นคือคุณสมบัติสำคัญของการเป็นพระราชา”

     

     

                เจ้าของนัยน์ตาสองสีตอบไปอีกแบบหนึ่ง ทั้งสองคนสบตากันเนิ่นนาน ยากจะคาดเดาความรู้สึก ก่อนที่นัยน์ตาสองสีจะเบือนออกไปอีกทาง ปิดเปลือกตาลงช้าๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้าย

     

     

     

     

                “หยุดลุ่มหลงในความรักที่ไม่มีอยู่จริง... เลิกใฝ่ฝันหาในความสุขที่ไม่เคยมาถึง

     

              นั่นคือสิ่งที่พ่อของกระหม่อมสอนมาโดยตลอด...”

     

     

     

     

     

     

     

    ‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧

     

     

     

     

     

     

    หยุดลุ่มหลงในความรักที่ไม่มีอยู่จริง... เลิกใฝ่ฝันหาในความสุขที่ไม่เคยมาถึง

     

     

     

     

                นั่นสินะ... ไม่ผิดไปจากความจริงเลยแม้แต่น้อย

                การพูดนั้นง่ายเพียงแค่เอื้อนเอ่ย แต่การกระทำนั้นยากกว่าเป็นร้อยเท่า

     

                เจ้าบอกให้ข้าเลิกลุ่มหลงในความรัก... บอกให้ข้าเลิกใฝ่ฝันหาความสุข

     

     

                แต่ตัวเจ้ากลับร่ำร้องหามันอยู่ทุกเวลา.....

               

                ความรักที่เจ้าไม่เคยได้รับ ความสุขที่เจ้าไม่เคยได้สัมผัส

                ถ้าเจ้าได้ลิ้มรสของมันสักครั้ง อยากรู้หรือไม่ว่ามันจะหอมหวานชวนให้ลุ่มหลงเพียงใด....

     

     

     

     

     

     

    ‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧

     

     

     

     

     

     

                “เดินไปตามทางนี้เมื่อเจอทางแยกให้เลี้ยวขวา เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระองค์จะเจอกับทางออก และอย่าได้หันหลังกลับมาอีก”

     

     

                เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสองคือทางเดินที่ขนาบไปด้วยต้นไม้รกครึ้ม เมื่อมองไปข้างหน้าก็พบแต่ความมืดมิด รอบตัวมีไอจางๆออกมา ยิ่งเพิ่มให้บรรยากาศดูลึกลับมากยิ่งขึ้น

     

     

                “ที่นี่คือที่ไหน เหตุใดข้าจึงไม่เคยรู้ว่ามีที่แบบนี้ในเมืองของข้า” เจ้าชายตรัสถาม เรียกให้นัยน์ตาสีแปลกของอีกคนหันมาสบ

     

     

                “กระหม่อมขอทูลลาพระองค์เพียงเท่านี้ ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย”

     

     

     

                ตอบไพล่ไปอีกเรื่องเช่นเคย...

     

     

     

                พระพักตร์ของเจ้าชายตั้งตรง นัยน์ตาสีนิลมองไปยังทางเบื้องหน้าด้วยแววตาแน่วแน่ เท้าเตรียมจะก้าวเดินแต่กลับชะงักเพราะคำพูดของอีกคน

     

     

                “ในอนาคต... กระหม่อมเห็นว่าพระองค์จะทรงได้เป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรเพียงใด ราษฎรต่างเคารพรัก เทิดทูนบูชาพระองค์ ... ขอเพียงในวันนี้ อนาคตอันใกล้เช่นนี้... กระหม่อมอยากให้พระองค์ทรงกล้ำกลืนความเจ็บปวดทั้งหมดที่ได้รับ กดมันให้ลึกลงไปในหัวใจ... ปิดตายและกักขังมันไว้ด้วยโซ่ตรวน....”

     

     

                เจ้าชายหันกลับมามองใบหน้าของคนที่พูดด้วยแววตาคาดไม่ถึง...

     

     

                ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าพวกปิศาจมีพลังวิเศษมากมาย...

                แต่การพยากรณ์อนาคต มิใช่มีแต่ท่านเจ้าเท่านั้นหรือที่สามารถทำได้

     

                ที่สำคัญ... การพยากรณ์ชีวิตคนอื่นในแต่ละครั้ง จะทำให้อายุสั้นลง

                แล้วเหตุใด.......

     

     

     

                “กระหม่อมเตือนพระองค์ด้วยความหวังดี...”

     

     

                เขาไม่สามารถสบกับนัยน์ตาสองสีนั้นได้ ไม่สามารถรู้ว่าคนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เพราะยามนี้ใบหน้าของอีกคนสงบนิ่ง นัยน์ตาสีแปลกหลุบลงต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

     

     

                “การพยากรณ์ชีวิตคนอื่น จะทำให้อายุของเจ้าสั้นลง”

     

     

     

                ริมฝีปากสีซีดฉีกเป็นรอยยิ้มเหยียด

     

     

                 “กระหม่อมเต็มใจ.....”

     

     

                “....................”

     

     

                “ขอเพียงแค่พระองค์ไม่เดินไปในทางที่ฝืนโชคชะตา กระหม่อมเต็มใจที่จะพยากรณ์...”

     

     

                ...ทางที่ฝืนโชคชะตาเช่นนั้นหรือ?

     

     

                ในพระทัยของเจ้าชายเกิดความสงสัยในคำพูดที่เป็นปริศนาของอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม ร่างของคนตรงหน้าก็ค่อยๆจางหายไป จนในที่สุดก็เหลือเขาเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ ตัดสินใจล้มเลิกความตั้งใจที่จะถามคำถาม หันหน้ากลับไปทางที่จะกลับสู่พระราชวัง ก้าวเท้าเดิน...

     

     

     

                และไม่หันหลังกลับมาอีก....

     

     

     

     

    ‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧

     

     

     

     

     

                เจ้ามีความสุขหรือที่ปล่อยเขาไป เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลัง เรียกให้นัยน์ตาสองสีที่บัดนี้ข้างหนึ่งถูกปิดด้วยผ้าปิดตาดังเดิมหันมามอง

     

     

                นัยน์ตาสองสีของอีกฝ่ายจ้องกลับมา... เหมือนกันราวกับแกะ ไม่สิ... คงบอกว่าเหมือนไม่ได้ เพราะว่า พวกเขาก็คือคนคนเดียวกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกันคงมีแค่สิ่งเดียวคือการชุดที่สวมใส่ เขาใส่ชุดสีดำทั้งตัว แต่อีกฝ่ายนั้นเป็นชุดสีขาวสว่าง

     

     

                “เจ้ากำลังเห็นข้าร้องไห้เสียใจหรือ” เป็นคำตอบที่เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

     

     

                ใจเจ้ากำลังร้องไห้

     

     

                “..............”

     

     

              เจ้าอาจจะโกหกคนทั้งโลกได้ แต่ต้องไม่ใช่ข้า...

     

     

                “...เช่นนั้นหรือ” ตอบรับเสียงเบา ไม่ได้โต้เถียงใดใดอีกต่อไป ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอย่างช้าๆ ชายชุดขาวถอนหายใจก่อนที่จะก้าวเข้ามาใกล้อีกคนที่ยืนเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง มองไปในที่ที่ไกลแสนไกล...

     

     

                ในอนาคต...

     

     

                “อนาคตของเขาจะต้องไม่มีข้า” ริมฝีปากสีซีดพูดตัดบท ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร

     

     

              เจ้าไม่มีทางหนีโชคชะตาพ้น

     

     

                “ข้าจะเป็นคนกำหนดโชคชะตาของข้าเอง”

               

     

                ข้าเตือนเจ้าแล้ว....

     

     

     

     

     

    ‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧

     

     

     

     

                วันแล้ววันเล่าที่ผ่านไป จากวันกลายเป็นเดือน จากเดือนกลายเป็นปี จากปีหลายเป็นสิบปี...

                สรรพสิ่งหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

                รวมถึง...จากเจ้าชายสู่การเป็นพระราชา

     

     

     

     

               

                “ฝะ...ฝ่าบาท!

               

                “ฝ่าบาททรงหายตัวไป!!

     

                “อะไรนะ?! ทหาร! รีบออกไปตามหาฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!

     

     

                ใจกลางป่าที่เป็นสถานที่พำนักชั่วคราวของพระราชาที่เสด็จออกมาประพาสป่ากลับต้องวุ่นวายเพราะผู้ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินบัดนี้ได้หายตัวไป

     

     

                ....ริมฝีปากหยักยกเป็นรอยยิ้มสนุกเมื่อหูแว่วได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกตามหาตัวเขากันซะให้วุ่น ขายาวพาร่างของตนมาถึงริมรำธาร ทิ้งน้ำหนักตัวนั่งลงบนโขดหิน ชมบรรยากาศอันเงียบสงบที่หาได้ยากนักในชีวิต

     

                ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ที่เขาหนีออกมาอย่างนี้... เดาได้ไม่ยากว่าเขาคงมีเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วยามที่จะอยู่คนเดียว สักพักทหารองครักษ์คงจะตามตัวเขาเจอเป็นแน่ คิดแล้วก็ขำ เขาเป็นถึงพระราชาของแผ่นดิน มีสิทธิ์จะทำอะไรได้ตั้งมากมาย แต่กลับชอบที่จะหนีออกมามากกว่า..

     

     

                หรืออาจจะเป็นเพราะเขาหวังว่าสักวันหนึ่งคงจะเจอคนผู้นั้นอีก...

     

     

                ไม่สิ! เขาสะบัดหัวไล่ความคิดออกไป มันจะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นอีกได้อย่างไรในเมื่อเวลาก็ผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว ที่สำคัญไม่ว่าครั้งใดที่หนีออกมา เขาไม่เคยเจอคนผู้นั้นอีกเลย... ไม่รู้ว่าเหตุใดใจของเขามักจะพร่ำหาคนคนนั้นอยู่ตลอด

     

     

                ในวันนี้เขาได้เป็นพระราชา... มีพระมเหสีอยู่ข้างกาย แต่เหตุใดเขากลับรู้สึกว่าตัวเองขาดบางสิ่ง

                แล้วอีกคนเล่า... จะรู้สึกเหมือนเขาบ้างหรือไม่....

     

     

     

     

                “ทุกคนตามหาตัวพระองค์กันให้วุ่น...”

     

     

              เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลังทำให้คนที่นั่งอยู่ริมลำธารหันกลับไปมอง ริมฝีปากหยักเตรียมจะพูดแต่ก็ต้องกลายเป็นอ้าค้างไว้เช่นนั้นเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่

     

               

                ร่างสูงโปร่ง ผิวขาวจัดราวกับหิมะถูกคลุมชุดสีดำสนิท นัยน์ตาสองสีที่ข้างหนึ่งถูกปิดด้วยผ้าปิดตา เหลือเพียงอีกข้างที่เป็นนัยน์ตาสีเขียวสว่าง ใบหน้าเรียวได้รูป ริมฝีปากสีซีด ทุกอย่างรวมกันเป็น คนคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย... ผ่านไปเกือบสิบปีคงมีแต่เขาเท่านั้นที่โตขึ้น ในขณะที่อีกฝ่ายเหมือนหยุดอายุของตัวเองไว้ที่เดิม

     

     

                ความฝัน... ต้องเป็นความฝันเป็นแน่....

     

     

     

                “พระองค์ไม่ได้นอนหลับ เหตุใดจึงคิดว่าตัวเองฝันอยู่”

     

               

                “เจ้า.....” พูดได้แค่นั้นก็คว้าอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของร่างกาย มิใช่เป็นเพียงแค่อากาศธาตุ ซบใบหน้าลงไปกับไหล่ลาด แขนล็อกอีกคนแน่นไม่ให้ขยับ

     

     

                คิดถึง......

     

                คิดถึงเหลือเกิน..........

     

     

     

                นั่นคือความรู้สึกที่เขามั่นใจที่สุดในวินาทีนี้ ไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกที่ผ่านมาตลอดเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมาคืออะไรจนวันนี้

     

     

                คิดถึงนัยน์ตาสีแปลกของคนคนนี้ที่ไม่เคยหลบตาเขาเช่นคนอื่น

                คิดถึงวาจาที่พูดกับเขาตรงไปตรงมาอย่างไม่เกรงกลัว

                คิดถึงทุกสิ่งที่เป็นคนคนนี้....

     

     

               

                “ฝ่าบาท!!! ฝ่าบาททรงอยู่ตรงไหนพ่ะย่ะค่ะ!

     

     

                เสียงเรียกของเหล่าทหารทำให้เขาผละออกจากอีกคน สบกับนัยน์ตาสีเขียวเพียงชั่ววินาทีก่อนจะรู้สึกว่ามวลอากาศบิดเบี้ยว เกิดแสงสว่างจ้าจนต้องหลับตาลง เมื่อลืมตาก็พบว่าที่ที่ยืนอยู่นั้นไม่ใช่ข้างลำธารอีกต่อไป แต่กลายเป็นห้องที่เหมือนห้องทำงาน ส่วนคนที่พาเขามาที่นี่ยืนมองออกไปข้างนอกผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ที่เหมือนเป็นแหล่งให้แสงสว่างเพียงสิ่งเดียวภายในห้อง

     

     

                นัยน์ตาสีเขียวมองไปไกลเกินกว่าที่เขาจะล่วงรู้

     

     

                “กระหม่อมเคยบอกพระองค์ไปแล้วว่าอย่าหันหลังกลับมาอีก เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงรับฟังคำพูดของกระหม่อม”

     

     

                “..................”

     

     

                “เฝ้าตามหากระหม่อมไปเพื่อเหตุใด... พร่ำหากระหม่อมไปทำไม ในเมื่อพระองค์ก็ทรงรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”

     

     

               

                “คิดถึง......” เขาเอ่ยเสียงเบา นัยน์ตาสีเขียวเบือนมาสบ

     

     

                “ข้าคิดถึงเจ้า”

     

     

                “................”

     

     

                “...ขอเพียงเวลานี้ที่ข้าไม่ใช่พระราชา เป็นเพียงชายสามัญคนหนึ่ง ละทิ้งภาระหน้าที่ทุกสิ่งอย่าง จมอยู่ในโลกแห่งความฝันที่มีเพียงข้าและเจ้า”

     

     

                “................”

     

     

                “...จะได้หรือไม่...”

     

     

               

                .... มือขาวที่คลุมด้วยชุดสีดำสนิทยื่นออกมาข้างหน้าแทนคำตอบ เขายิ้มออกมาก่อนจะจับอีกคนเข้ามากอดเต็มแรง พร่ำบอกว่าคิดถึงอีกฝ่ายเพียงใด

     

     

                นัยน์ตาสีเขียวปิดลง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มอ่อน

     

                กระหม่อมเองก็เช่นกัน....

     

     

     

     

     

    ‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧

     

     

     

     

             

                - แฮ่ รีเควสของใครเอ่ย ช่วงนี้อารมณ์มาเพราะกำลังติดเดอะมูนที่ซูฮยอนเล่น ฝ่าบาทหล่อได้อีกค่า  TT_______________________TT

                - อยู่มหาลัยแล้วเวลาว่างเยอะแต่คิดพล็อตไม่ออกเลยสักนิดเดียว มันอาจจะแลดูตันๆงงๆไปบ้างก็ขอโทษนะคะ

     

                 - สาเหตุหลักที่ทำให้กว่าจะจบแต่ละเรื่องคือตอนจบค่ะ เราเป็นคนที่แต่งตอนจบแต่ละเรื่องได้ห่วยแตกบรม      

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×