คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ◆ luhan / xiumin : my eyes are blind because of 'love'
MY EYES ARE BLIND BECAUSE OF LOVE
PAIRING: LUHAN XIUMIN
AUTHOR: signsigneun
- - - - - - - - - - - -
โลกของลู่หานเคยมืดมิดแม้ในวันที่ดวงจันทร์สีเหลืองนวลทอกระจ่างท่ามกลางฟ้า แต่คนที่ทำให้โลกของลู่หานเปลี่ยนไปคือ คิมมินซอก ชายร่างอวบตัวเล็กคนนั้นมาพร้อมรอยยิ้มที่สว่างไสวที่สุดที่ลู่หานเคยเจอ คิมมินซอกยื่นมือเล็กๆ มาฉุดเขาออกจากโลกใบเก่า
ท่ามกลางการเหยียดหยามดูถูกจากคนรอบข้างของลู่หาน ที่ต่างก็ลงความเห็นว่า คนจนๆ อย่างคิมมินซอกนั้นไม่คู่ควรกับคุณหนูลู่หานที่เป็นลูกหลานตระกูลดังจากปักกิ่ง แต่แท้จริงแล้ว ลู่หานกลับคิดว่าตัวเขาเองต่างหากที่ควรจะได้รับการดูถูกนั้น...
ลู่หานเคยมีชีวิตที่เลวร้าย สังคมที่มีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากันทำให้ลู่หานกลายเป็นคนไร้ความรู้สึกไปช้าๆ เขาดำดิ่งสู่วังวนของยาเสพติด คบเพื่อนมากหน้าหลายตา มีเซ็กซ์ได้กับทั้งชายและหญิง เขาไม่เกี่ยงว่าเป็นเพศไหน เพียงแต่ถ้าคนคนนั้นทำให้เขามีความสุขได้ มันก็โอเค
หากจะเปรียบว่าลู่หานเหมือนผ้าดำ มินซอกก็เหมือนผ้าขาว...
เพียงมินซอกยิ้ม โลกของลู่หานก็สว่างไสวราวกับมีเวทมนตร์ แม้ในวันที่ลู่หานไม่มีใคร มินซอกก็จะอยู่ข้างเขา บีบมือเขาไว้แน่น กระซิบซ้ำๆ ข้างหูว่ายังมีมินซอกที่เป็นห่วงลู่หานอยู่ทั้งคน ลู่หานไม่ต้องกลัวอะไรเลย มินซอกจะเป็นทุกอย่างให้ลู่หาน ..เป็นทุกอย่าง
ใช่... มินซอกเป็นทุกอย่างของลู่หาน เป็นโลกทั้งใบของลู่หาน
ในกลางดึกของคืนวันที่หิมะตกหนักที่สุดของปีในปักกิ่ง โทรศัพท์ของมินซอกดังขึ้น เสียงสะอื้นแผ่วๆ ของลู่หานทำให้หัวใจของมินซอกเจ็บปวดราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมากระชากออกเป็นสองเสี่ยง
‘มินซอก... ฮึก... มินซอก....’
หนึ่งชั่วโมงถัดมาเขาเปิดประตูห้องให้ลู่หานที่ดวงตาแดงก่ำ ทันทีที่เห็นเขา ลู่หานก็โผเข้ามากอดพร้อมปล่อยเสียงร้องไห้โฮอย่างไม่อาย มินซอกกอดลู่หานตอบ ปากพร่ำเอ่ยสารพัดประโยคที่จะทำให้ลู่หานรู้สึกดีขึ้นทั้งๆ ที่ดวงตาของเขาเองก็แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
‘เรา.. แม่เรา... แม่เราบอกว่าจะให้เราไปเรียนที่แวนคูเวอร์...’
วินาทีที่ได้ยินราวกับโลกจะถล่มลงมาตรงหน้า แต่มินซอกก็มีสติพอ มือเขากำรอบโทรศัพท์มือถือจนขึ้นข้อขาว ขณะที่ฟังลู่หานพูดประโยคต่อไป
‘...เราไม่ไป เราไม่อยากจากมินซอกไป เราจะอยู่ที่นี่.... เราจะอยู่กับมินซอก... แต่เขาไม่ฟังเรา... เขาไม่เคยฟังเราเลย...’
ไม่ใช่แค่ลู่หานที่คิดแบบนั้น มินซอกก็เช่นเดียวกัน เขานึกภาพวันที่ไม่มีลู่หานเดินข้างกัน วันที่ไม่มีลู่หานกินข้าวด้วยกัน วันที่ไม่มีลู่หานคอยอ้อนให้เขายิ้ม ...เขานึกวันเหล่านั้นไม่ออก ประโยคเดียวในใจของมินซอกคือ ไม่ต้องการ เขาไม่ต้องการจากลู่หาน ไม่ต้องการ...
‘มินซอก... หนีไปด้วยกันเถอะ... หนีไปให้ไกล... ไปในที่ที่ไม่มีใครแยกเราสองคนออกจากกัน’
‘...ลู่หาน’ มินซอกสบตาลู่หานที่ยังคงแดงก่ำแต่แฝงความแน่วแน่ไว้เต็มเปี่ยม
หนีไปด้วยกัน...
พวกเขาจะได้ไม่ต้องแยกจากกันอีก...
...จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
ลู่หานเป็นคนพูดจริงทำจริงเสมอเพราะถูกเลี้ยงมาในครอบครัวจีนที่เคร่งครัดเรื่องลักษณะนิสัย ถึงลู่หานจะไม่ใช่ลูกคนโตของครอบครัวก็จริง หนำซ้ำยังเป็นลูกคนกลางที่จะว่ากันตามตรงคือถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ได้รับการอบรมมาไม่ต่างจากพี่น้องคนอื่น
มินซอกหลงรักดวงตาโตเหมือนกวางที่เขามักจะบอกว่ามันน่ารักเสมอของลู่หาน หลงรักริมฝีปากบางสีชมพู หลงรักเสียงภาษาเกาหลีแปร่งๆ ของลู่หานเวลาที่เขาสอนประโยคภาษาเกาหลีง่ายๆ ให้ หลงรักนิสัยเอาแต่ใจราวกับเด็กไม่รู้จักโต หลงรักทุกอย่าง... ทุกอย่างที่เป็นลู่หานตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ
...เพราะฉะนั้น ถ้ามินซอกจะละทิ้งทุกอย่างในชีวิตที่ปักกิ่ง แล้วไปใช้ชีวิตกับลู่หานที่เขาหลงรักสองคน
คำตอบมีเพียงคำตอบเดียวคือ.. ได้
เขาเป็นคนไม่มีอะไรเลย แต่ลู่หานกลับกำลังจะทิ้งชีวิตที่สุขสบายมาตลอดยี่สิบปีเพื่อมาอยู่กับมินซอก ลู่หานต้องเสียสละอะไรมากมายเพื่อมินซอก ทำไมมินซอกจะทิ้งความไม่มีอะไรเลยของเขาเพื่อลู่หานไม่ได้
‘อืม... ได้สิ’
วินาทีนั้น... คิมมินซอกเชื่อว่าเขาตัดสินใจไม่ผิด
เพียงแต่... ความรักอาจจะบังตาพวกเขา ไม่ให้พวกเขาเห็นความจริงที่โหดร้าย
ลู่หานและมินซอกตัดสินใจย้ายจากปักกิ่งมาโซล ลู่หานเชื่อว่าถ้าพวกเขาอยู่ในจีน ไม่นานคงจะต้องถูกตามตัวเจอ การย้ายมาโซลน่าจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยมินซอกก็พูดภาษาเกาหลีได้ ...และอาจจะยืดเวลาที่พวกเขาจะอยู่ด้วยกันได้นานออกไปอีก
ทั้งคู่ลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันจึงไม่มีวุฒิไปยื่นสมัครงานอะไร หนำซ้ำลู่หานยังเป็นคนจีน พูดภาษาเกาหลีไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ในช่วงแรกมินซอกจึงต้องทำงานหนักอยู่คนเดียว มินซอกได้งานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากหอพักซอมซ่อเก่าๆ ที่พวกเขาใช้นอนอยู่ทุกวัน
โชคดีที่เจ้าของร้านเอ็นดูมินซอกเป็นพิเศษ ต่อมาจึงอนุญาตให้ลู่หานไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ต้องใช้ภาษาอะไรมากมายอย่างพนักงานล้างจาน ถึงแม้แต่ละวันจะได้เงินน้อยนิด พอแค่ค่าข้าวและค่าอยู่อาศัย แต่พวกเขาก็มีความสุข
แต่ลู่หานคิดว่าเขาอาจจะคิดผิด..
ในคืนหนึ่งเขาได้ยินเสียงร้องไห้ของมินซอก แม้จะเบาแค่ไหน แต่ลู่หานก็ได้ยิน เสียงสะอื้นแผ่วๆ ของมินซอกราวกับมีดที่กรีดลงบนหัวในของลู่หานช้าๆ แต่ลึกเสียจนเขาแทบจะหมดลมหายใจ
มินซอกเหนื่อยหรือที่อยู่กับลู่หาน? มินซอกอยากกลับไปใช้ชีวิตปกติใช่หรือเปล่า? มินซอกไม่ต้องการลู่หานแล้วใช่ไหม? คำถามเป็นร้อยคำถามผุดขึ้นในสมอง ดวงตาดุจกวางมีน้ำตาคลอ ก่อนจะไหลลงมาอาบแก้มอย่างสุดจะต้านทาน
มือที่มองไม่เห็นกระชากพวกเขาให้เผชิญกับความจริงที่พวกเขาปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมันมาตลอด สองปีกับการใช้ชีวิตที่เกาหลีทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงความจริงที่ว่า ‘ความรักเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอในชีวิตจริง’ มินซอกรักลู่หาน และลู่หานก็รักมินซอก ...แต่มันไม่เพียงพอ
รักแล้วยังไง.. ถ้ามินซอกต้องทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด เพื่อแลกกับเศษเงินที่เอามาประทังชีวิตให้แต่ละวันมันผ่านพ้นไป
รักแล้วยังไง.. ถ้าลู่หานต้องได้ยินเสียงมินซอกร้องไห้ทุกคืนหลังจากเขานอนหลับ
ลู่หานหลอกตัวเองว่ารอยยิ้มของมินซอกนั้นออกมาจากใจจริงๆ เขาหลอกตัวเองว่ารอยยิ้มที่สว่างไสวราวกับเวทมนตร์ของมินซอกยังคงเหมือนเดิมเมื่อสองปีที่แล้วไม่เปลี่ยนแปลง เขาหลอกตัวเองว่าเสียงสะอื้นที่ได้ยินอยู่ทุกคืนคือเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของมินซอก
จะต้องให้เขาทำยังไง.. จะต้องให้ลู่หานทำยังไง สิ่งเหล่านี้ถึงจะเป็นความจริง... ลู่หานยอมทุกอย่าง ทุกวิถีทางที่จะทำให้มินซอกเป็นมินซอกเมื่อสองปีที่แล้ว
น้ำใสหลั่งรินบนหมอนใบเก่า ลู่หานร้องไห้โดยไร้เสียงสะอื้น... ครั้งแล้ว ครั้งเล่า
- - - - - - - - - - - -
เสียงผู้ชายมีอายุดังขึ้น บอกให้ลู่หานหลับตาไว้ขณะที่มีมือของใครสักคนค่อยๆ ดึงผ้าปิดตาที่ปิดตาเขาไว้ออก ที่มือข้างซ้าย ลู่หานรู้สึกได้ถึงแรงบีบ โดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใดใด ลู่หานรู้ว่านี่คือมินซอก... มินซอกไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว เอาแต่บีบมือเขาไว้อย่างนั้นราวกับจะส่งผ่านความรู้สึกบางอย่างมาถึงลู่หาน
เสียงผู้ชายคนเดิมบอกให้ลู่หานค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ...
‘ลู่หาน... ลู่หานกลัวอะไรมากที่สุด’ มินซอกถามอีกคนที่นอนอยู่บนตักของตัวเอง ลู่หานทำท่านึกอยู่นานก่อนจะตอบ
‘...กลัวไม่เห็นมินซอก’ มินซอกยิ้ม ‘...กลัวไม่ได้เห็นรอยยิ้มของมินซอกอีก...’
ณ วินาทีนั้น มินซอกรู้สึกว่าเขามีความสุขที่สุดที่ลู่หานยังเห็นรอยยิ้มของเขา ดวงตาโตเหมือนกวางของลู่หานยังคงสุกใสและส่องประกายอยู่
‘แล้วมินซอกล่ะ’ มินซอกแทบไม่ต้องคิดอะไร ริมฝีปากบางตอบคำตอบที่มีอยู่ในใจอยู่นานแล้ว... นานตั้งแต่ที่ได้เห็นลู่หานครั้งแรก
‘กลัวว่าลู่หานจะมองไม่เห็นเรา’
ความหวาดกลัวเข้ามาเกาะกุมพื้นที่ในหัวใจของลู่หานอย่างรวดเร็ว มือข้างซ้ายที่ถูกมินซอกบีบแรงขึ้น แต่เขากลับไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อย
โลกของลู่หานดับมืดลงอีกครั้ง
ครั้งนี้เขารู้ดีว่าไม่ว่าจะมีสักกี่ร้อยมือของคิมมินซอก ก็ไม่สามารถทำให้ลู่หานกลับมามองเห็นได้อีกต่อไป
ลู่หานจะไม่มีวันมองเห็นมินซอกอีกแล้ว ลู่หานจะไม่มีวันมองเห็นรอยยิ้มของมินซอกอีกแล้ว
สิ่งที่ลู่หานกลัว... กลัวมากที่สุด
“ลู่หาน...” เสียงมินซอกเอ่ยเรียกเขาแผ่วเบาอีกครั้งทำให้ลู่หานรู้สึกตัว เขาเลื่อนมือไปวางทับมือมินซอกที่จับเขาอยู่ “นายมองเห็นอะไรบ้างมั้ย...”
“... ไม่.... ไม่เลย....”
“....................”
“...มันมืด... มืดไปหมด”
บางทีลู่หานก็นึกเสียใจที่ขณะที่เขายังมองเห็นทุกสิ่ง เขาน่าจะมองมินซอกให้มากกว่านี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาสัญญาว่าจะใช้เวลาทุกวินาทีที่อยู่กับมินซอก มองมินซอกให้มากที่สุด จดจำทุกๆ อย่างของมินซอกให้อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของสมอง เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องกลัวว่าวันนึงเขาจะลืมมินซอกเพราะเขาจะมองไม่เห็นมินซอกอีกต่อไป
หมอคนที่รักษาเขาบอกกับพวกเขาว่าตาของเขาเกินจะเยียวยาให้กลับมามองเห็นได้แบบเดิมแล้วจริงๆ น่าแปลกที่จิตใจเขากลับสงบนิ่งราวกับน้ำในลำธารมากกว่าจะไหล่เชี่ยวกรากเหมือนน้ำตกในหุบเขาลึก ลู่หานคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เขาจะต้องก้มหน้ารับ ...
สิ่งที่เรียกว่า ‘กรรม’
เขาทำให้ใครหลายคนเสียใจมามาก ทั้งอาเตี่ยและม๊าที่รักเขา พี่ชายทั้งสอง รวมถึงน้องชายอีกคนหนึ่ง อาจจะรวมถึงเพื่อนๆ ที่จีน แม้กระทั่งมินซอก เขาล้วนแต่ทำให้ทุกคนเสียใจและผิดหวัง
ยิ่งเขามองอะไรไม่เห็นสักอย่าง จะให้กลับไปเป็นพนักงานล้างจานก็ไม่ได้ ทำได้เพียงนั่งอยู่ในห้องไปวันๆ รอให้มินซอกกลับมา ความเงียบทำให้จิตใจของลู่หานล่องลอยไปไกล เขาคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหลายๆ เรื่อง บางทีก็นึกย้อนไปถึงเพื่อนๆ ที่ปักกิ่ง ท่ามกลางสังคมหรูหราไฮโซและชีวิตที่เหลวไหล ลู่หานมีคนคนหนึ่งที่เรียกได้ว่าเพื่อนสนิทได้เต็มปาก
‘จาง อี้ชิง’ เป็นคนจริงใจ ครอบครัวทำธุรกิจมากมายหลายประเภท แต่อี้ชิงกลับไม่ใช่คนอวดรวย เขาใช้ชีวิตธรรมดาแบบคนปกติและไม่เคยพูดว่าตัวเองรวยอะไรเลยสักครั้ง เพราะฉะนั้นอี้ชิงจึงไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเภท ‘ดำมืด’ ของลู่หาน อี้ชิงรู้ทุกอย่างว่าลู่หานเป็นคนแบบไหน และอยู่ในวังวนอะไร แต่อี้ชิงไม่เคยต่อว่าลู่หาน
และอี้ชิงก็รู้เรื่องเขากับมินซอก...
ครั้งแรกที่เขาบอก อี้ชิงเพียงแค่ทำหน้าแปลกใจ แต่ต่อมาก็ยิ้มให้เขาพร้อมกับแซวว่าลู่หานดันมีแฟนก่อนตัวเองไปซะแล้ว ต่อไปนี้เขาคงจะลำบากแย่ ลู่หานคงไม่มีเวลาให้เพื่อนแบบเดิม
และก็จริง... ลู่หานเริ่มห่างกับอี้ชิงมากขึ้น แม้กระทั่งตอนตัดสินใจจะหนีออกมาอยู่ที่เกาหลี เขาก็ไม่ได้บอกอี้ชิง ไม่ได้ปรึกษาอี้ชิง ลู่หานเพียงได้แต่หวังว่าอี้ชิงจะเข้าใจในตัวเขาเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ...เข้าใจว่าลู่หานเลือกความรักระหว่างตัวเขาเองกับมินซอกมากกว่าความรักครอบครัวหรือความรักในเงินทองหรือศักดิ์ศรี
ลู่หานคิดว่าตาของเขาเริ่มบอดตั้งแต่ตอนนั้น
เขาตาบอดเพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’
ไม่รู้ว่าปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปไกลสักเท่าไร แต่ลู่หานก็ต้องสะดุ้ง เมื่อหูแว่วได้ยินเสียงเคาะประตู คิ้วเรียวขมวดเพราะจำได้ว่ามินซอกเพิ่งจะออกไปได้ไม่นาน ไม่น่าจะกลับเร็วขนาดนี้ เสียงเคาะประตูยังดังอยู่เรื่อยๆ ทำให้ลู่หานต้องคลำทางไปที่ประตู
“มินซอก?”
เกิดความเงียบขึ้น ลู่หานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะสิ่งที่เขามองเห็นมีเพียงความมืดสนิท ไม่กี่อึดใจต่อมา ตัวของลู่หานก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน ลู่หานรู้แค่ว่าคนนี้ตัวสูงไม่มา ส่วนเขายังยืนนิ่งเพราะจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก จนกระทั่งเสียงที่คุ้นเคยกระซิบที่ไหล่
“鹿晗… 对不起” (ลู่หาน... ขอโทษนะ)
ภาษาบ้านเกิดที่ได้ฟังทำให้ลู่หานนิ่ง เสียงอย่างนี้เขาจำได้ไม่มีวันลืม...
“俊绵...” (จุ้นเหมียน...)
ไม่ทันได้พูดอะไรมากกว่านี้ปากของเขาก็ถูกปิดด้วยเทปกาว ทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้ แขนทั้งสองข้างถูกดึงไปทางบันไดที่เขาจำได้ดี แต่ลู่หานไม่ยอมทำตาม เขาขืนตัวไว้เต็มที่ ใบหน้าหวานส่ายไปมาไม่ยอมทำตาม เขาไม่ต้องการไปไหน ถึงแม้ว่าจะเป็นจุ้นเหมียน ที่เป็นพี่ชายคนโตของบ้านก็ตาม ที่นี่คือเกาหลี ไม่ใช่ปักกิ่ง เขาหนีมามีชีวิตของตัวเองแล้ว พี่ชายก็ไม่ควรจะมายุ่งกับเขาอีกไม่ใช่หรือ
ลู่หานเป็นคนเลว คนอกตัญญูที่ทำให้ครอบครัวขายขี้หน้าไม่ใช่หรือไงกัน
ถึงแม้ว่าจะพยายามมากแค่ไหน แต่ลู่หานก็สู้แรงคนถึงสองคนไม่ได้อยู่ดี เขาถูกยัดเข้ามาในรถที่จอดอยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์ซอมซ่อที่ตัวเองใช้อยู่มามากกว่าสองปี มือคลำไปที่ประตูพยายามจะไขตัวเองออกไป แต่ประตูก็ถูกล็อค เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่กระจกแทน... แต่ก็เท่านั้น
เขามันเป็นคนอ่อนแอที่สุด...
น้ำตาไหลมาคลอที่ตาทั้งสองข้าง ก่อนที่วินาทีต่อมาจะไหลลงมาอาบแก้มเนียน ลู่หานเกลียดตัวเองเวลาร้องไห้ที่สุดเพราะมันแสดงถึงความอ่อนแอของตัวเขาเอง แต่วินาทีนี้ เขาไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลไปพร้อมกับรถที่กำลังขับไปอย่างรวดเร็ว
“....................”
จุ้นเหมียนมองน้องชายที่นั่งข้างกันด้วยความสงสารสุดหัวใจ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ทั้งๆที่ใจอยากจะคว้าน้องชายเข้ามากอดแล้วปลอบให้หยุดร้องไห้เหมือนในอดีต แต่เขาต้องยั้งมือตัวเองไว้.... ลู่หานคงเกลียดเขามาก
เขาเป็นคนเลี้ยงลู่หานมาตั้งแต่เด็ก เพราะอายุห่างกันมาก เขาจึงคิดอยู่เสมอว่าจะต้องดูแลลู่หานให้ดีที่สุดเท่าที่คนอย่างเขาจะทำได้ แม้เขาจะมีน้องอีกหลายคน แต่เขาก็รักลู่หานมากที่สุด แม้ลู่หานจะทำให้ครอบครัวเสียใจและเสียหน้า แต่เขาก็ยังคงรักลู่หาน และไม่เคยโกรธน้องเลยสักครั้ง
เขากลับนึกโกรธแม่ที่ตอนนั้นบีบบังคับน้องชายให้ไปอยู่แวนคูเวอร์ทั้งๆ ที่แม่ก็รู้ว่าหัวใจของลู่หานอยู่กับคิมมินซอก แต่เขาจะทำอะไรได้ในเมื่อนั่นคือ ‘แม่’
ครอบครัวเขาทะเลาะกันครั้งใหญ่ในคืนนั้น... ลู่หานยืนยันว่าอย่างไรก็จะไม่ไป เขายังจำภาพที่ลู่หานหุนหันขับรถพุ่งทะยานออกไปจากบ้านที่อาศัยมาตั้งแต่เกิดได้ดี...
ถึงจุ้นเหมียนจะพยายามเป็นพี่ชายที่ดีแค่ไหน จะพยายามปกป้องลู่หานมากแค่ไหน
มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย...
ทุกอย่างล้วนสูญเปล่า....
- - - - - - - - - - - -
60%
ต่อ
- - - - - - - - - - - -
- - - - - - - - - - - -
ตากลมของคิมมินซอกมองรถคันหรูสีดำที่เคลื่อนออกไปจากอพาร์มเม้นท์ด้วยแววตาว่างเปล่า ทีแรกเขาย้อนกลับมาเพื่อเอาข้าวมาให้ลู่หาน แต่ไม่นึกว่าจะได้เห็นภาพที่ลู่หานโดนชายสองคนลากไปที่รถโดยมีผู้ชายอีกคนเดินตามไปเงียบๆ มินซอกจำผู้ชายคนสุดท้ายได้ดี
พี่ชายคนโตของลู่หาน
จากทีแรกที่เขาจะก้าวเข้าไปหาลู่หานที่พยายามสะบัดตัวให้ออกจากการเกาะกุมพร้อมทั้งเรียกชื่อเขาไปด้วย มินซอกก็ต้องเปลี่ยนใจ เขารู้ดีว่าถึงแม้เข้าไปก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะนั่นคือพี่ชายของลู่หาน...
พี่จุ้นเหมียนคงทนให้ลู่หานอยู่แบบอัตคัดกับมินซอกแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
และฝันของพวกเขาคงจะต้องจบลงเสียที...
- - - - - - - - - - - -
“ม๊าจะส่งแกไปรักษาที่อเมริกา”
เสียงที่เขาคุ้นเคยตลอดยี่สิบกว่าปีเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในคฤหาสน์หลังโตที่เขาไม่ได้มาเหยียบเกือบสามปีเต็ม แรงบีบที่มือข้างขวาของพี่จุ้นเหมียนไม่ได้ทำให้ลู่หานรู้สึกอะไร เขานิ่งเงียบ ไม่ตอบโต้คนเป็นแม่ ในใจพาลนึกไปถึงคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตรงนี้
และลู่หานก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะได้เจอคนคนนั้นอีกไหม
“ตกลงไหมลู่หาน”
“..................”
“หลังจากนี้แกจะต้องอยู่ในการควบคุมของม๊าทุกอย่าง”
“................”
“ได้ยินที่ม๊าพูดไหม?”
“...แล้ว” ลู่หานขยับปากพูดเป็นคำแรก ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์แทบจะกลั้นลมหายใจ (จุ้นเหมียนคิดในใจว่าอยากจะหยุดหายใจไปสักชั่วครู่ เพราะเขารู้ดีว่าลู่หานไม่ใช่เด็กดีกับแม่สักเท่าไหร่)
“...ถ้าผมไม่ตกลง ม๊าจะทำยังไงล่ะ จะเอาผมไปขังไว้ในห้อง จะตีผมเหมือนตอนเด็กๆ จะต่อว่าผม ...หรือจะไปลงกับมินซอก วิธีการไหนกันที่ม๊าจะเลือกใช้เพื่อบีบผมให้ทำตามสิ่งที่ม๊าต้องการ”
“....................”
“ในเมื่อม๊าทำได้ทุกอย่างอยู่แล้วนี่”
“ลู่หาน!”
จุ้นเหมียนเอาตัวเองเป็นโล่กำบังน้องชายเมื่อแม่พุ่งเข้ามา กอปรกับที่น้องชายคนเล็กของบ้านรั้งตัวแม่ไว้ทัน ไม่อย่างนั้นใบหน้าขาวๆของลู่หานคงจะต้องมีรอยนิ้วมือของแม่เป็นแน่
เขารู้ดีว่าในบรรดาลูกทุกคน เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วแม่ห่างเหินกับลู่หานมากที่สุด แต่ความจริงลู่หานเป็นลูกที่แม่รักมากที่สุด แต่แม่มักจะแสดงออกด้วยการบังคับ ซึ่งเขาคิดว่ามัน ‘ผิด’ จุ้นเหมียนไม่อยากเห็นลู่หานต้องเสียน้ำตาอีกแล้ว ถึงแม้ใครจะว่าเขาโอ๋น้องจนเกินงาม แต่เขาก็ยอมรับว่ามันเป็นความจริง
เขาพยายามพยุงลู่หานให้ลุกขึ้นเพื่อจะพาไปชั้นบน แต่อีกคนกลับขืนตัวไว้
“ทำไม พอมีอะไรไม่ได้ดั่งใจม๊า ม๊าก็โกรธสินะ”
“...............”
“ม๊าเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าทำไมผมถึงหนีไป! ม๊าก็คิดถึงแต่ตัวเอง รักแต่ตัวเอง กลัวเสียหน้า กลัวสังคมมองไม่ดี ม๊าไม่ได้นึกถึงผมคนนี้สักนิด ไม่ได้นึกถึงลู่หานคนนี้สักนิด!”
“แกหยุดเดี๋ยวนี้นะลู่หาน!”
“ทำไม.. ผมพูดความจริงแล้วมันแทงใจม๊าหรือไง”
“ลู่หาน!”
จุ้นเหมียนตัดสินใจให้พ่อบ้านสองคนที่ยืนอยู่ไกลๆ มาพาตัวลู่หานขึ้นห้องไป คราวนี้เจ้าตัวยอมเดินไปโดยดี เขาหันกลับมาช่วยเทาน้องชายคนเล็กพยุงแม่มานั่งที่โซฟา สีหน้าที่เจ็บปวดของแม่ ลู่หานคงไม่รับรู้... สิ่งที่ลู่หานรับรู้คงมีเพียงน้ำเสียงเกรี้ยวกราดจากอารมณ์โมโหที่เจ้าตัวคิดไปเอง
มือของแม่เอื้อมมากุมมือเขาไว้
“ม๊าจะทำยังไงต่อไปดี... ม๊าไม่อยากเห็นอาลู่ต้องทนลำบากอีกต่อไปแล้ว สองปีมันมากเกินพอ.. คนของม๊ามารายงานว่าอาลู่ไม่ได้กินอิ่มนอนหลับเต็มที่สักวัน แล้วนี่ยังเรื่องตาอีก.. ฮึก... ม๊าคงหมดหนทางที่จะได้อาลู่คนเดิมคืนมาแล้วใช่มั้ย....”
คำถามของแม่ จุ้นเหมียนคิดว่าคงไม่มีใครตอบได้นอกจากพระเจ้า...
- - - - - - - - - - - -
เวลาสองปีในเกาหลีผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่สามวันที่เขากลับมาปักกิ่งผ่านไปเชื่องช้าราวกับสิบปี 72ชั่วโมงที่ลู่หานใช้เวลาเงียบๆ คนเดียวในห้องมันช่างเงียบเหงา... ตาของเขามองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว แต่เหมือนพระเจ้ายังคงรักและเมตตาเขาอยู่บ้างถึงได้ทรงประทานสัมผัสทางด้านเสียงที่ดีกว่าเดิมมาให้
ทุกๆ เช้าและเย็นพี่จุ้นเหมียนจะมาป้อนข้าวเขา ส่วนตอนกลางวันจะเป็นแม่บ้านที่ลู่หานสนิทตั้งแต่เด็ก มีเทาน้องเล็กของบ้านแวะมาคุยบ้างเป็นครั้งคราว แม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง... ลู่หานไม่ได้ยินเสียงของแม่อีกตั้งแต่วันแรกที่ทะเลาะกัน
พี่จุ้นเหมียนบอกว่าที่นี่คือห้องเก่าของเขาเมื่อสองปีก่อน แต่น่าแปลกที่ลู่หานกลับไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยสักนิด อาจจะเป็นเพราะมันสบายเกินไป... ลู่หานชินกับห้องเช่าแคบๆ ที่ต้องนอนเบียดกับมินซอกสองคนบนเตียงมากกว่า แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับพี่ชายไป เพราะรู้ว่าพี่จุ้นเหมียนจะต้องเสียใจแน่ๆ และอาจจะแอบไปร้องไห้เงียบๆ อีก
เสียงเปิดประตูแผ่วเบาไม่ได้ทำให้ใบหน้าหวานเหมือนกวางหันไปมองด้วยรู้ดีว่าคงจะได้เวลาทานข้าวกลางวันแล้ว คนที่เข้ามาก็คงจะไม่พ้นแม่บ้านคนสนิท ...แต่ลู่หานคิดผิด
“...อาลู่” เสียงเรียกชื่อตัวเองที่คุ้นเคยทำให้ลู่หานหันไปทางประตู มือทั้งสองข้างไขว่คว้าไปในอากาศจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงคนที่มายืนตรงหน้า
ลู่หานคลำไปตามใบหน้าของคนที่เขาจำได้ขึ้นใจ น้ำตาไหลอาบใบหน้าของเขาเองและอีกคน
“อี้ชิง...”
จางอี้ชิงโผกอดเขาแน่น เสียงสั่นปนสะอื้นขณะพูด “ลู่หาน... เจ้าเพื่อนบ้า ฮึก... นายทำอย่างนี้ได้ยังไง ฮึก... นายทิ้งฉันไปได้ยังไงกัน นายมันใจร้ายจริงๆ ฮือ...”
“ขอโทษนะ อี้ชิง... ฉันขอโทษ”
ลู่หานไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำขอโทษ พร่ำกระซิบคำขอโทษเป็นสิบๆครั้ง ขณะที่อี้ชิงก็ยังต่อว่าเขาไม่หยุด แต่ลู่หานรู้ดีว่าเพื่อนรักไม่ได้โกรธเขา เพียงแต่เป็นห่วงเขา ...อี้ชิงยังเป็นเพื่อนที่ลู่หานรักมากที่สุดเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม
อี้ชิงเล่าขณะป้อนข้าวกลางวัน ว่าพี่จุ้นเหมียนเป็นคนโทรไปหาแล้วบอกเรื่องของลู่หาน พร้อมทั้งขอร้องว่าให้อี้ชิงมาหาลู่หานที่บ้าน เพราะกลัวลู่หานจะเบื่อ และเย็นนี้ตัวพี่จุ้นเหมียนเองก็ปลีกตัวมาหาลู่หานที่บ้านไม่ได้เพราะมีประชุมด่วนที่บริษัท ลู่หานพยักหน้าเบาๆ เพราะเข้าใจดีว่าพี่ชายคนโตที่มีตำแหน่งสูงในบริษัทของครอบครัวต้องทำงานหนักขนาดไหน
คนในครอบครัวของเขาล้วนทำงานหนัก... เห็นจะมีแต่ลู่หานที่ทำตัวไร้ประโยชน์อยู่อย่างนี้
อี้ชิงยังสรรหาเรื่องเล่ามากมายมาเล่าให้เขาฟัง ตั้งแต่เรื่องจงแด เพื่อนชาวเกาหลีที่ตอนนี้ได้งานเป็นพนักงานใหญ่ในบริษัทในเครือของบ้านอี้ชิงเอง แต่ก็ยังมิวายทำตัวซุ่มซ่ามน่ารำคาญ เรื่องเศรษฐกิจการบ้านการเมืองในจีนที่ลู่หานไม่ได้รับรู้เลยตลอดสองปีที่ผ่านมา เรื่องที่ซือหยวน เพื่อนรุ่นพี่ที่มหาลัยกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกที่ใครๆ ก็รู้จัก แต่ก็ยังปฏิบัติตัวดี อ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หรือแม้กระทั่งเรื่องที่เจ้าดับบี้ หมาตัวโปรดของน้องชายอี้ชิงที่เพิ่งจะตายไปเมื่อเดือนก่อน
ลู่หานรู้สึกถึงอะไรเดิมๆ ที่กำลังกลับมาอีกครั้ง...
อี้ชิงนั่งคุยอยู่นาน แต่จู่ๆ เจ้าตัวก็หยุดพูด ลู่หานขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก กำลังจะอ้าปากถามก็ได้ยินเสียงเพื่อนพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ลู่หาน... อยู่ที่นั่นลำบากมากไหม”
ใบหน้าหวานดุจกวางยิ้มจาง เลื่อนมือไปกุมมือเพื่อนรักไว้ “ไม่เลยอี้ชิง... ฉันมีความสุขดี”
“ก่อนที่ฉันจะขึ้นมา ฉันเจอแม่ของนาย ท่านเล่าให้ฟังว่าที่ที่นายอยู่กับมินซอกมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันเลย...”
“อี้ชิง... สิ่งรอบข้างไม่เคยมีผลกระทบต่อจิตใจของฉันเลย ...เพราะฉันรักมินซอก แม้จะอยู่อย่างลำบาก จะต้องอดมื้อกินมื้อ หรือไม่ได้กินอาหารดีๆ เหมือนอยู่ที่นี่ แต่ฉันก็มีความสุขในทุกๆ วัน เพราะข้างๆ ฉันมีมินซอก”
ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก... แต่ใบหน้าของเพื่อนรักขณะที่พูดถึงมินซอกก็ทำให้อี้ชิงพอจะเข้าใจอยู่บ้าง ใบหน้าที่มีความสุขของลู่หาน ริมฝีปากที่เผยรอยยิ้มเล็กๆ ทำให้อี้ชิงรู้สึกได้ว่าเพื่อนของเขามีความสุขจากใจจริง
“แต่...ลู่หาน ปกตินายไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่ายๆ แบบนี้”
“....................”
“ฉันรู้จักนายดีว่าถึงแม้จะต้องโดนลากกลับมา แต่ถ้านายไม่อยากกลับ... ยังไงนายก็ไม่มีทางยอม”
ลู่หานเงียบไปนาน จนอี้ชิงนึกว่าเพื่อนจะไม่ต่อบทสนทนา แต่อยู่ดีๆ ริมฝีปากบางของเพื่อนสนิทก็เปิดช้าๆ... ทุกถ้อยคำของลู่หานที่พูดออกมา ราวกับต้องการจะให้มันเข้าไปถึงหัวใจของอี้ชิง
“บางครั้งนะอี้ชิง... บางครั้ง... แค่ความรักมันไม่เพียงพอหรอก”
“..................”
“...มินซอกควรจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปโดยที่ไม่มีฉัน ฉันเป็นตัวถ่วงที่ทำให้ชีวิตมินซอกตกต่ำมามากพอแล้ว เขาควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่มาจมปรักอยู่กับคนตาบอดทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ...”
“ฉันไม่เข้าใจ”
ลู่หานยิ้ม... ผิดกับน้ำใสที่อาบใบหน้าเนียน
“สักวัน...นายจะเข้าใจ”
- - - - - - - - - - - -
เขาเกลียดฤดูหนาวของเกาหลี... เพราะมันหนาวเกินไป
ใบหน้าอวบของมินซอกซุกเข้าไปที่ผ้าพันคอหนาสีน้ำเงินเข้มขณะที่ก้าวเร็วๆไปตามทางเดินเพื่อจะกลับอพาร์ทเม้นต์ ถึงแม้จะไม่มีฮีตเตอร์ แต่เขาก็มั่นใจว่ามันจะต้องอุ่นกว่าอยู่ท่ามกลางอากาศที่มีหิมะตกอย่างนี้แน่ๆ คิดแล้วก็ได้แต่เศร้าใจ นี่ก็สองทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ร้านอาหารที่เขาทำงานอยู่เพิ่งจะเลิก (ยังดีที่เจ้าของร้านเพิ่มค่าจ้างนอกเวลาให้) โชคดีที่มันไม่ได้อยู่ห่างจากอพาร์ทเม้นต์สักเท่าไหร่
เขาเดินเข้าไปในเขตอพาร์มเม้นต์กำลังจะเดินผ่านห้องของคุณป้าเจ้าของห้องเช่าแต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงเรียก
“มินซอกอ่า มีคนมาฝากของไว้ให้น่ะ”
ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่เขาก็ยื่นมือไปกล่องกระดาษสีดำเรียบๆ แต่ดูมีราคามาจากคุณป้าก่อนจะโค้งขอบคุณแล้วเดินขึ้นห้อง พอเข้ามาในห้องเขาทรุดตัวนั่งลงบนเตียงก่อนจะค่อยๆ แกะเชือกที่รัดกล่องนั้นออก
ข้างในมีซองเอกสารสีน้ำตาลถูกทับด้วยซองจดหมายของธนาคารแห่งหนึ่งที่จ่าหน้าถึงชื่อคิมมินซอก และเครื่องอัดเสียงอีกอันหนึ่ง
เขาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ สิ่งเดียวที่มั่นใจว่าของทั้งหมดส่งถึงเขาคือซองจดหมายของธนาคาร แต่เท่าที่จำได้ เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธนาคารนี้ แล้วจดหมายจะจ่าหน้าถึงเขาได้อย่างไรกัน มินซอกตัดสินใจเปิดมันอ่านก่อนอันดับแรก ข้างในมีจดหมายที่จับใจความได้ว่าเขาเป็นสมาชิกของธนาคารที่มีเงินฝาก 10,000,000 วอน พร้อมทั้งแนบสมุดบัญชีและบัตร ATM มาให้เสร็จสรรพ
จะบ้าเหรอไง!
คนอย่างเขาเนี่ยนะจะมีเงินไปฝากธนาคารถึง 10ล้านวอน ไม่ๆ มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ! บางทีธนาคารอาจจะหมายถึงคิมมินซอกอีกคนหรือใครที่ไม่ใช่เขาก็ได้ คนเกาหลีอาจจะมีชื่อซ้ำเขาบ้าง แต่เมื่อเพ่งมองอ่านดีๆ ข้อมูลเลขบัตรประชาชน ที่อยู่ และทุกๆอย่างที่เขียนนั่นมันตัวเขาเองทั้งนั้นนี่นา!
มันบ้าไปแล้ว นี่มันรื่องอะไรกัน?
เขาวางซองจดหมายจากธนาคารไว้อีกด้านก่อนจะตัดสินใจหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาเปิด แล้วนัยน์ตากลมของมินซอกเบิกกว้างขึ้นจนแทบจะถลนเมื่อข้อความในเอกสารบอกว่าเขาได้รับเชิญให้เข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นตำแหน่งพนักงานธรรมดาแต่นี่มันเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของเขามากที่สุด
เขายังไม่จบมหาลัยเลยด้วยซ้ำ! ไม่ๆ หรืออาจจะมีใครบางคนแกล้งเขา มินซอกกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างหวาดระแวง ก่อนจะสบถเบาๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาแทบจะไม่สนิทกับใครเลยด้วยซ้ำ มันไม่มีทางแน่ๆ ที่จะมีคนแกล้งเขา
แต่จดหมายเชิญเข้าทำงานกับเงินในบัญชีธนาคารนี่มันอะไรกัน?
หัวใจของคิมมินซอกเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่ก่อนจะค่อยๆ หยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมา เขาหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะค่อยๆ กดปุ่มเพลย์ แต่ก็ไม่เกิดเสียงอะไร เขามองตัวเลขที่ผ่านไปทุกวินาทีก่อนจะขมวดคิ้ว หรือว่าจะไม่ได้มีคนอัดเสียงไว้?
“มินซอก...”
...มินซอกเลื่อนมือมาปิดปากเพื่อกลั้นก้อนบางอย่างที่ขึ้นมาจุกอยู่ที่คออย่างรวดเร็ว
เสียงนี้... เสียงที่เรียกเขาแบบนี้ เขาจำได้ไม่มีวันลืม...
“คิมมินซอก... คือชื่อของผู้ชายคนนึงที่ฉันอยากจะเรียกเขาทุกๆ วันไปจนวันที่ฉันหมดลมหายใจ ...อยากจะเห็นแก้มกลมๆ พองลมเมื่อเห็นว่าฉันใส่เสื้อผ้าไม่ลงตะกร้า และอยากจะนอนกอดเขาไปทุกคืน แต่เวลามันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่สิ... เวลาที่เราอยู่ด้วยกันมันแสนสั้นต่างหาก...”
เสียงในเครื่องอัดเสียงเงียบไปอีกครั้ง พร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลออกจากดวงตากลม เสียงของลู่หานแผ่วเบาเสียจนเขาต้องแนบเครื่องอัดเสียงเข้ากับหู
“...อย่าร้องไห้เลยนะ อย่าร้องไห้ให้คนเลวๆ อย่างฉันคนนี้เลย เพราะฉันคงจะไม่มีโอกาสกลับไปเช็ดน้ำตาให้มินซอกอีกต่อไปแล้ว”
มินซอกคร่ำครวญในใจ... จะให้เขาไม่ร้องไห้ได้อย่างไร ในเมื่อลู่หานก็คงกำลังพูดทั้งน้ำตาแบบนี้ ลู่หานคิดว่าเขาหูหนวกหรือไงกัน ที่จะไม่ได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วๆนั้น
ลู่หานหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสดใสกว่าเดิม
“ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่งแล้วล่ะ... ตอนนี้ข้างหน้าฉันคือหอไอเฟลที่มินซอกเคยบอกว่าอยากมาเห็นสักครั้งในชีวิตยังไงล่ะ ...ฉันก็อยากจะเห็นนะว่ามันจะสวยจริงๆแบบที่พวกเราเคยเห็นในรูปกันหรือเปล่า แต่ตาทั้งสองข้างของฉันกลับเห็นเพียงสีดำ...”
มินซอกสะอื้นหนักกว่าเดิม ขณะที่เขานึกภาพว่าลู่หานจะทำหน้าอย่างไรขณะที่พูดประโยคพวกนี้ออกมา
“แต่ไม่เป็นไร... ถึงแม้ตาของฉันจะไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นบนโลกนี้ ไม่เห็นหอไอเฟล ไม่เห็นเทพีเสรีภาพ หรือไม่เห็นกำแพงเมืองจีน ฉันก็ไม่รู้สึกอะไรเลย...”
“.....................”
“แต่ฉันกลับเจ็บไปทั้งหัวใจ เพราะฉันจะไม่เห็นมินซอกอีกต่อไปแล้ว”
“...................”
“....ฉันอธิษฐานเผื่อว่าสักวันดวงตาของฉันจะกลับมาเห็นทุกสิ่งได้เหมือนเดิม แต่ฉันก็รู้ว่าคำอธิษฐานของฉันจะไม่มีวันเป็นความจริง มันเป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆเท่านั้นเอง... และฉันไม่เป็นไรจริงๆ ถึงแม้ใจของฉันจะเจ็บปวด แต่ฉันก็มีความสุขเมื่อคิดได้ว่าต่อไปนี้มินซอกคงจะไม่ต้องลำบากเพราะฉันอีกต่อไป”
“....................”
“ชีวิตของมินซอกตกต่ำเพราะฉันเป็นคนฉุดลงมามากพอแล้ว”
“ไม่... ไม่เลย...” มินซอกพูดเสียงแผ่ว
“....อี้ชิงเตรียมทุกอย่างให้นายไว้ที่บริษัทแล้ว อีกสองวันเขาจะไปหานาย อย่าปฏิเสธความหวังดีของฉันเลยนะมินซอกอ่า...”
“...ลู่หาน”
“เพราะคำอธิษฐานหนึ่งเดียวของฉันในตอนนี้ คืออยากให้ทุกวันของนายเป็นวันที่มีความสุข...”
“....................”
“...แม้ว่าจะไม่มีฉันในวันเหล่านั้นก็ตาม”
“...................”
“จำไว้แค่ว่า ...ฉันรักนาย... ฝันดีนะมินซอกของฉัน”
ฉันก็รักนาย... ลู่หานของฉัน
- - - - - - - - - - - -
- end –
TALK: อยากกกจาร้องห้ายยย TT____TT มันจบแบบทื่อๆมว้ากกก ฮ่าๆ เราไม่ได้จะแกล้งนะ ฮือออ ลู่หมินเรื่องแรกที่แต่งจบค่ะ อยากจะกรี๊ดๆๆๆๆๆให้ดังไปทั้งตำบล รักลู่หมินกันเยอะๆนะ โฮฮฮฮ *กอดดด*
ความคิดเห็น