ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( shortfiction - ) HAEEUN WONKYU ❤

    ลำดับตอนที่ #4 : Corrosive 4 : เป็นห่วง ( 100% update special wonkyu. )

    • อัปเดตล่าสุด 27 เม.ย. 55


     Corrosive 4 : เป็นห่วง

     

     

     


     

     

    “อยู่กับพวกมึง แม้จะหลับตาอยู่ แต่กูก็ยังเห็นความสุข”

     



     

     

     

     

     

                Rrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrr

     

                เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังมากกว่าสิบครั้ง แต่เจ้าของเครื่องอย่างเขายังคงนิ่งเฉยและไม่มีความคิดที่รับสาย สักพักคนโทรคงเห็นว่าเขาไม่รับแน่จึงเปลี่ยนมาเป็นส่งข้อความแทน

     

                รับโทรศัพท์กูเดี๋ยวนี้

     

              แล้วก็มีเสียงเรียกเข้าดังติดกันอีกสามสี่ครั้ง ตามด้วยข้อความ

     

                มาเปิดประตูหน้าบ้านให้กูเดี๋ยวนี้

     

              คิ้วขมวดเป็นปมแน่น เมื่อเห็นประโยคบอกเล่า ไม่สิ... ประโยคคำสั่งจากอีกคน ชะโงกหน้าแหวกผ้าม่านไปทางหน้าบ้านก็เห็นคนที่โทรจิกเขาทำหน้ามุ่ยอยู่กับโทรศัพท์เครื่องแพง คงไม่แคล้วจะส่งข้อความให้เขาอีก

     

                อย่าให้กูโกรธ....

     

                พูดไม่ทันขาดคำ

     

              กูรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

     

                ข้อความอีกข้อความถูกส่งมาอย่างรวดเร็ว เป็นข้อความที่ทำให้เขาต้องพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างเร็วไม่แพ้กัน มองไปทางหน้าบ้านก็เห็นว่าอีกคนกำลังแสยะยิ้มมาทางห้องเขา... ราวกับว่ามันชนะ

     

                เรื่องอะไร

     

              ซีวอน ฮยอกแจ และมึง

     

              และใช่... มันชนะ

     

                เขาวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะเดินลงไปข้างล่างเพื่อเปิดประตูให้มัน วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านอีกตามเคย เพราะเป็นวันธรรมดาที่โรงเรียนหยุดเพราะอาจารย์พาพวกม.ต้นไปทัศนศึกษา พอเปิดประตูไปก็เห็นมันยืนยิ้มแต่แววตานี่ราวกับจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ

     

                “กว่าจะโผล่หัวออกมาได้นะมึง”

     

                “อะไร” เขาตอบมันห้วนๆ แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในตัวบ้าน

     

                “อะไร” มันเลียนคำพูดเขาแถมยังทำสีหน้ากวนตีนที่น้อยครั้งนักจะได้เห็นจากโจวคยูฮยอนผู้เย็นชา

     

                เป็นอีกด้านที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นนักหรอก มันในสายตาคนอื่นน่ะเป็นคนที่เข้าถึงยากแถมแลดูหยิ่ง ถ้าไม่ติดว่าหน้าตามันพอไปวัดไปวา บวกกับเรียนเก่งระดับหาตัวจับยากแล้วล่ะก็คงโดนเขม่นยิ่งกว่านี้อีกแน่

     

                “กูโทรมาเกือบร้อยสายทำไมมึงไม่รับ” มันเริ่มซักเขา “อย่าบอกว่าขี้อยู่ อย่าบอกว่าไม่ได้ยินเสียงเพราะกูรู้ว่ามึงไม่เคยปิดเสียงโทรศัพท์ แล้วก็อย่าบอกว่านอน เพราะนี่ไม่ใช่สภาพเพิ่งตื่นนอนของมึง อ้อ ต้องอย่าบอกว่ามึงฟังเพลงอยู่ด้วย เพราะมึงจะฟังเพลงเฉพาะตอนก่อนนอนเท่านั้น”

     

                เกลียดที่มันรู้จักเขาดีเกินไปก็ตอนนี้แหละ 

     

                “ขี้เกียจรับ”

     

                “ขี้เกียจรับหรือกำลังหนี อีทงเฮ” ท้ายเสียงมันย้ำชื่อเขาด้วยการกดน้ำเสียงต่ำๆ ตามฉบับเวลาที่มันใช้เวลาขู่ใครให้บอกความจริง

     

                “รู้หรือเปล่าว่ากูไม่ชอบคนโกหก รู้ใช่หรือเปล่าว่าไม่ว่ามึงจะโกหกใครเก่งขนาดไหนมึงก็โกหกกูไม่ได้”

     

                มันพูดอีกประโยคแต่คราวนี้พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนอ่อนใจ คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนรักเดินไปนั่งบนโซฟาที่ตั้งอยู่กลางบ้านแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเขาที่ยืนอยู่ เขารู้ดีว่าท่าทางแบบนี้ของมันราวกับจะบอกว่า

     

                มีเรื่องต้องคุยอีกยาว

     

                เขาเคยขัดใจโจวคยูฮยอนได้ซะที่ไหน แต่ก็ไม่อยากไปนั่งใกล้ๆให้มันคั้นเอาความจริงจากเขาได้หรอก เลยเดินไปยืนพิงเคาน์เตอร์อีกด้านที่ไม่ไกลหรือใกล้มากเกินไป

     

                “มีอะไรให้กูหนี”

     

                “ก็ไม่รู้สิ” มันยอกย้อน

     

                “มึงต้องการอะไรกันแน่ คยูฮยอน” เขาหรี่ตามองมันที่กำลังมองมาทางเขาเช่นกัน

     

                โจวคยูฮยอนเหมือนแมว ทั้งนิสัยและแววตา มันหยิ่ง ทำอะไรตามใจตัวเอง แต่ก็ไม่เคยทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน มันจะคิดไตร่ตรองทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกปัญหาเสมอและไม่เคยมีสักครั้งที่ทางที่มันเลือกจะผิด

     

                “สำหรับมึง... อ้อมค้อมไปคงไม่มีประโยชน์”

     

                “......”

     

                “อย่างที่บอก กูรู้หมดแล้ว รู้ว่าซีวอนชอบฮยอกแจ แล้วมึงก็ชอบฮยอกแจ... ชอบ ตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว”

     

                เขานิ่ง ไม่คิดว่ามันจะจำได้ ไม่คิดว่าคำพูดของเด็กอายุสิบสองปีจะประทับอยู่ในสมองมันมาห้าปีเต็ม และการที่เขานิ่งคงไม่ต่างกับการตอบรับที่ทำให้มันเอ่ยปากพูดต่อ

     

                “วันนั้นที่บ้านกู กูเห็นว่าพวกมึงจูบกัน กูคิดว่าพวกมึงเคลียร์กันแล้ว แต่มันไม่ใช่ ไม่อยากจะถามหรอกนะว่าทำไมถึงยังไม่ได้เคลียร์กันเพราะนั่นมันไม่ใช่เรื่องของกู” ท้ายประโยคมันลดเสียงลงจนเขาไม่ได้ยิน เหมือนมันบ่นกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับเขา

     

                “อะไรของมึง” อดไม่ได้ที่จะถามเอาการแปลกๆของคนตรงหน้า เพราะมันไม่เคยเป็นอย่างนี้

     

                “ทำไมมึงไม่บอกฮยอกแจไปว่ามึงชอบมัน” มันไม่สนใจคำถามของเขา แถมยังส่งคำถามของตัวมันเองแทรกมาอีก

     

                แต่ก็เป็นคำถามที่ทำให้เขาชะงักได้ดีทีเดียว....

     

                คำตอบของคำถามนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ เขาไม่กล้า เขาเป็นอีทงเฮคนขี้ขลาดที่ไม่กล้าแม้จะบอกคนที่ชอบว่ารู้สึกอย่างไร กลัวว่ามันจะไม่ได้คิดเหมือนเขา กลัวไปหมด

     

                “......” เขาเงียบเป็นคำตอบ เห็นชัดว่าคนตรงหน้าถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านในชีวิตมัน

     

                “แล้วถ้ากูบอกว่าอีฮยอกแจก็ชอบมึง มึงจะไปบอกมันมั้ยว่ามึงก็ใจตรงกัน”

     

                หะ!

     

                เขาคงทำสีหน้าตกตะลึงออกอาการมากไปหน่อย มันถึงได้ทำหน้าหน่าย ก่อนที่จะพูดอีกครั้งช้าๆชัดๆ

     

                “กู บอก ว่า อี ฮยอก แจ ก็ ชอบ มึง ได้ ยิน ชัด ไหม ไป บอก เขา ซะ ว่า มึง ก็ ใจ ตรง กัน”

     

                “ฮะ... เฮ้ย มึง โกหกกู ไม่จริงอ่ะ” เขาเอ่ยปากถามมันแบบไม่อยากจะเชื่อ

     

                “แล้วทำไมมึงต้องพูดประโยคเดียวกันด้วยวะ  =_=” มันบ่นพึมพำอีกครั้ง ก่อนประโยคหลังจะกลับมาพูดเสียงดังฟังชัดเหมือนเดิม “มึงก็ไปถามมันเองดิ”

     

                “แล้วทำไมมึงถึง.....” เขาถามมันหลังจากหายอึ้ง

     

                ข้องใจตั้งแต่แรกที่มันบอกว่ามันรู้เรื่องทั้งหมด ไม่เข้าใจว่าทำไมว่ามันต้องเข้ามายุ่งกับวังวนของพวกเขาสามคน ทั้งๆที่ตัวมันเองเกลียดเรื่องวุ่นวายเป็นที่สุด มันมองหน้าเขาก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่น้อยครั้งนักที่เขาจะได้เห็น และเขาก็รู้ว่าจะมันจะไม่มีทางให้ใครได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของมันแน่

     

                “กูเป็นห่วง”

     

                สามคำสั้นๆบวกกับรอยยิ้มแฝงความเหนื่อยล้าเต็มที

     

                “มึง....”

     

                “อีทงเฮ... มึงเป็นคนที่กูเป็นห่วงมากที่สุด คงไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไร ส่วนพวกมันก็อีฮยอกแจ คนที่โง่ถาวร แล้ก็ชเวซีวอน ไอ้คนที่ทำแต่หน้ายิ้มแต่ในใจแม่งพระเอกมาก”

     

                เขายืนนิ่งมองมันที่พูดจบประโยคก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนที่มันจะพูดด้วยสีหน้าจริงจังกว่าทุกครั้ง

     

                “อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่านี้ คิดยังไงก็บอกไป”

     

                “....”

     

                “อย่าทำให้ความหวังดีของกูต้องเสียเปล่า”

     

                ประโยคสุดท้ายเหมือนเป็นคำสั่ง แต่เขารู้ดีว่ามันเป็นประโยคขอร้อง จนมันเดินออกจากบ้านเขาไปแล้วนั่นแหละ เขาถึงได้สติแล้ววิ่งขึ้นไปบนห้องเพื่อหยิบโทรศัพท์มาโทรหาใครอีกคน

     

                ตรู๊ดดดด ตรู๊ดดดดดดดดด

     

                “.......”

     

                อีกฝ่ายเงียบ แต่เขารู้ว่ามันรับสายแล้ว สูดลมหายใจเรียกความกล้านิดหน่อยก่อนเอ่ยปากพูด

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

























     

     

                “กูชอบมึง”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    - END -

     

     

     

     

     

    - จบแล้ว *วิ่งหนีรองเท้า*

    - ตอนแต่งหัวสมองเรานี่แบบว่าคิดพล็อตที่แหวกแนวตลอด แบบว่าจะให้มันหักมุมงั้นงี้ แต่สุดท้ายก็ไม่เอา เลยตัดจบซะตอนนี้ กร๊ากกกกกกก

    - แต่จบแล้วนี่หมายถึงเฮอึนนะ ‘_’  เอ๊ะอะไรยังไง 55555555555555555555555555555

     


















     

    ﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌

















    SPECIAL UPDATED
    100 %



















     


    - SPECIAL-

     

     

                “คยูฮยอน” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกอีกคนที่นอนฟุบไปกับหนังสือเล่มหนา

     

     

                “......”

     

     

                “คยูฮยอน” คราวนี้เรียกดังขึ้นอีกนิดพร้อมกับมือหนาที่เลื่อนไปจับไหล่อีกคนแล้วเขย่าเบาๆ

     

     

                “......” ไม่มีเสียงตอบรับ......

     

     

                “อ่า...” เกาหัวตัวเองอย่างงงๆ เพราะไม่เคยเจออีกคนในสภาพแบบนี้ ไม่เคยปลุกและไม่เคยคิดว่าจะขี้เซาขนาดนี้

     

     

                ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนอีกคนที่น่าจะรู้วิธีการปลุกคนตรงหน้า รอสัญญาณปลายสายไม่นานอีกคนก็รับด้วยน้ำเสียงสดใสเต็มที่

     

     

                (ว่ายังไงงงงงงงงงง)

     

     

                “ปลุกคยูฮยอนนี่ต้องทำไง”

     

     

                (หืม...) อีทงเฮทำหน้าเสียงจริงจัง (ก่อนอื่นกูต้องรู้ก่อนว่าก่อนนอนมันทำอะไรอยู่)

     

     

                พอฟังเสียงจากปลายสายจบก็หันกลับไปมองอีกคนที่ยังอยู่ท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “น่าจะอ่านหนังสือ เล่มหนาๆหน่อย มีแต่ภาษาอังกฤษ”

     

     

                (ภาษาอังกฤษเหรอ... อ๋อออออออ ไอ้วรรณกรรมคลาสสิกบ้าบออะไรของมันอีกสิท่า)

     

     

                อยากจะเถียงแทนอีกคนที่หลับอยู่ว่าวรรณกรรมคลาสสิกไม่ได้บ้าบอ แต่ก็เอาเถอะ ในสายตาของอีทงเฮต่อให้เรื่องนั้นมีสาระขนาดไหนก็กลายเป็นเรื่องไร้สาระได้ในพริบตา นี่คงเป็นหนึ่งในความแตกต่างหลายๆอย่างของพวกเขาสี่คน คยูฮยอนชอบอ่านพวกวรรณกรรมภาษาอังกฤษ แต่ไม่ว่าเรื่องที่คยูฮยอนอ่านจะเป็นอารมณ์ไหน เจ้าตัวก็ยังทำหน้านิ่งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนพวกเขาสามคนชอบอ่านการ์ตูนมากกว่า

     

     

                (นอนฟุบคาหนังสือสินะ เอางี้ดิๆ มึงก็เลื่อนหนังสือออก ฟึ่บ! พอหน้ามันกระแทกโต๊ะเดี๋ยวมันก็ตื่น)

     

     

                “ทงเฮ” กดเสียงต่ำเรียกชื่ออีกคนเป็นการบอกเป็นนัยๆว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

     

     

                (เออๆ ไอ้ห่านี่ เรื่องมากจริง)

     

     

                “........”

     

     

                (เป่าหู)

     

     

                “หะ?” เหมือนจะได้ยินไม่ชัด เพราะอีกฝ่ายพูดเสียงห้วนเกินไป

     

     

                (เป่าหูไง! ความลับสุดยอดของมันกับกูเลยนะเรื่องนี้ ไอ้คยูแม่งขี้เซาจะตาย คนที่จะปลุกมันได้ต้องมีพลังเสียงมหาศาลบวกพลังช้าง แต่ถ้าไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรขนาดนั้นก็แค่เป่าหูมัน มันก็จะตื่นอัตโนมัติ)

     

     

                “ทำอะไรน่ะ”

     

     

                เสียงทักดังขึ้นข้างหลัง พอหันกลับไปก็สบตากับอีกคนที่ยืนมองเขาอยู่ แอบถอนหายใจเบาๆนิดหน่อยที่ว่าไม่ต้องไปใช้วิธีเป่าหูอะไรของไอ้ทงเฮ

     

     

                (กูได้ยินเสียงไอ้คยู มันตื่นแล้วนี่ งั้นแค่นี้นะ แล้วไม่ต้องโทรมาขัดจังหวะกูกับฮยอกแจอีก มึงนี่โทรมาตอนเข้าด้ายเข้าเข็มตลอด)

     

     

                บ่นไปตามประสาผู้ชายวัยกระเตาะ ก่อนวางสายได้ยินเสียงฮยอกแจโวยวายพอจับใจความได้ว่า

     

     

                ‘เข้าด้ายเข้าเข็มบ้านพ่อมึงสิอีทงเฮ! กูกับมันยังไม่ได้มีอะไรกันนะโว้ยยไอ้ซีว้อนนนนนน

     

     

     

     

     

                เอาเถอะ ปล่อยให้เขาเคลียร์กันเอง

     

     

                “ว่าไงมีอะไร” คนเพิ่งตื่นพูดขึ้นอีกครั้ง เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม “แล้วไอ้สองตัวนั้นหายไปไหน”

     

     

                “..........” เขาเงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบ แต่เพราะกำลังมองอีกคนที่หันซ้ายหันขวามองหาเพื่อนอีกสองคนที่เหลือ

     

     

                “แล้วมึงเป็นอะไร เงียบทำไม” หันกลับมาถามเป็นคำถามที่สี่ในระยะเวลาไม่เกินห้านาที

     

     

     

                แปลก....

     

                ผ่านไปสองเดือนแล้วตั้งแต่ทงเฮกับฮยอกแจคบกัน กลายเป็นเรื่องปกติที่สองคนนั้นจะหายไปด้วยกันบ่อยๆ และก็กลายเป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องอยู่กับคยูฮยอนโดยปริยาย แต่สิ่งที่แปลกคือคนตรงหน้าเขา ที่เหมือนจะ.... มีปฏิกิริยาตอบรับกับคนรอบข้างมากขึ้น ปกติเจ้าตัวจะนิ่งเงียบเย็นชาไม่ค่อยพูดแล้วก็เหมือนมีออร่าแห่งความน่ากลัวออกมาจากตัว แต่เดี๋ยวนี้เจ้าตัวพูดมากขึ้น แสดงอาการกริยามากขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้มากมายจนเปลี่ยนเป็นคนละคน แต่เพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาห้าปีอย่างเขา มีหรือจะไม่สังเกตเห็น

     

     

                “ไม่สบายเหรอ”

     

     

                พูดผิดไปซะที่ไหน........

     

     

                “เปล่าหรอก มาเรียกไปกินข้าว แต่เห็นหลับอยู่ ปลุกแล้วก็ไม่ตื่นเลยโทรไปหาไอ้ทงเฮ”

     

     

                “มันอยู่กับฮยอกแจสินะ”

     

     

                “อืม”

     

     

                เขาตอบสั้นๆ อีกฝ่ายชะงักไปนิดหน่อยเหมือนพูดอะไรผิด แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพราะต่อจากนั้นริมฝีปากบางก็ยิ้มนิดๆแล้วพูดต่อ

     

     

                “ช่างเหอะ ไปกินข้าวกัน”

     

     

     

                เขาถึงได้บอกว่าแปลก......

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     



     

     

    ﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌﹌


     

     

     

     

     

     

     

     

                “ไอ้คยู!” เสียงตะโกนเรียกชื่อดังไปทั่วถนนที่มีรถขับผ่านไปมา คนถูกเรียกหยุดเดินแล้วมองไปทางต้นเสียงซึ่งยืนอยู่ข้างหลังห่างจากเขาไปประมาณสิบเมตร

     

     

                “กลับบ้านด้วยดิ” พูดจบก็แถมรอยยิ้มกว้างๆ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงหลงมันหัวปักหัวปำ เพราะคิดว่าเป็นรอยยิ้มโปรยเสน่ห์ แต่หารู้ไม่ว่าความจริงแล้วมันเป็นยิ้มประจบตามประสาอีทงเฮ

     

     

                “ก็ก้าวเท้ายาวๆหน่อยสิ”

     

     

                “ไอ้ห่านี่!

     

     

                เป็นอันรู้กันว่าเรื่อง ความสูงเป็นเรื่องต้องห้ามในวงสนทนาสำหรับพวกเขา ..................

     

     

                เขาถูกมันทำหน้ายักษ์ใส่ แต่ก็ไม่เกินห้าวิหน้ามันก็กลับมายิ้มแป้นเหมือนเดิม ก้าวขาเร็วๆมาทางเขาที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

     

     

                หมับ!

     

     

                “อะไร”

     

     

                อดที่จะถามไม่ได้ เพราะพอมันมาถึงตัวเขาก็วาดแขนโอบรอบคอแล้วดึงเข้าไปใกล้ รอยยิ้มยังไม่จางไปจากใบหน้า

     

     

                “อะไร อะไร แต่ก่อนกูก็ทำแบบนี้ออกบ่อยเหอะ ทำไมต้องทำเสียงเขียวอย่างนั้นด้วยว้า”

     

     

                “เหรอ” เขายังคงทำเสียงนิ่งๆใส่มัน แถมเพิ่มด้วยการมองมันอย่างระแวง อีทงเฮมันคนไว้ใจได้ซะที่ไหน สมองคิดเรื่องอะไรอยู่ก็ไม่มีใครรู้

     

     

                “เออดิ” มันตอบแล้วยิ้มแป้นพร้อมกับลากเขาไปทางกลับบ้านที่อยู่ไกลจากโรงเรียนไม่มากนัก เดินสิบนาทีก็ถึง ตอนนี้ก็เย็นแล้ว มีแต่รถผ่านไปผ่านมา ลมเย็นดี

     

     

                เดินไปได้สักพักมันก็ปล่อยให้เขาเดินดีๆ (หลังจากขู่ว่าจะเอาหนังสือทุบหัวมัน) แต่รอยยิ้มก็ยังไม่จางหายไปจากใบหน้า มันยิ้มเหมือนกับว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้ทุกข์อีกต่อไป เห็นมันยิ้มอย่างนี้เขาก็พลอยรู้สึกดีไปด้วย ย้ำอีกสักร้อยรอบว่าสนิทกันมาก ถ้ามันมีความสุขเขาก็มีความสุขนั่นแหละ

     

     

                และสิ่งที่ทำให้มันมีความสุขมากอย่างนี้ก็คงไม่พ้นอีฮยอกแจ ตั้งแต่มันใจตรงกันก็เหมือนกับว่ามันสองคนปล่อยออร่าแห่งความสุขกระจายอยู่ทั่วตัว ในทุกๆที่ที่มันไป ตัวติดหนึบกันมากขึ้น จำได้แม่นว่าตอนแรกมันเกร็งมากเพราะมันต่างก็รู้ว่ายังมีคนอีกคนที่ทุกข์เพราะพวกมัน และเขาเองอีกนั่นแหละที่ก้าวขาเข้าไปอีกข้างหนึ่ง...

     

     

     

     

                ดึงคนที่เศร้าเหมือนโลกจะแตกวันพรุ่งนี้ออกมา

     

     

     

     

                พยายามพูดมากๆหน่อยเพื่อให้มันจะได้ไม่ต้องคิดอะไรอยู่คนเดียว พยายามดึงมันออกมาจากโลกของอีทงเฮและอีฮยอกแจ ถึงจะเหนื่อยที่ต้องพยายามทำอะไรที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี

     

     

                ในบางครั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจจะเต้นผิดจังหวะเมื่อมันหันมายิ้มบางๆให้เขา รู้สึกว่าอากาศร้อนขึ้นกระทันหันตอนเห็นมันชู้ตบาสได้แต้มแล้วหันมายิ้มให้เขาโดยเฉพาะตอนชั่วโมงพละ

     

     

     

                อ่า.... คงต้องใช้เวลาอีกหน่อยคงชินสินะ

     

     

                “เฮ้ย คยู! มึงเป็นอะไรเนี่ย เรียกทำไมไม่ตอบ”

     

     

                “อะไร  = =

     

     

                “ไอ้ซีวอนมารออยู่หน้าบ้านมึงโน่นแน่ะ” พูดจบมันก็ทำปากพยักเพยิดไปทางหน้าบ้านเขาที่มีนักเรียนชายม.ปลายตัวสูงยืนอยู่ มันหันมายิ้มให้นิดๆเหมือนเคย

     

     

                “อ๋อ อือ”

     

     

                “กูเข้าบ้านก่อนแล้วกัน”

     

     

                “อ้าว ไม่ไปด้วยกันเหรอ”

     

     

                “นี่” ทงเฮพูด มือหนาทั้งสองข้างจับใบหน้าของเพื่อนรักให้หันมาสบตาเขาตรงๆ “มัน-มา-หา-มึง เข้าใจมั้ย? ถ้ามันมาหา พวกเรามันจะต้องเข้าเดินเข้ามาตั้งแต่เห็นพวกเราแล้ว แต่นี่มันรอให้มึงเดินไปหามันอยู่”

     

     

                พูดจบมันก็เดินตัวปลิวเข้าบ้านตัวเองไป เขาจึงต้องเดินเข้าไปหาเพื่อนอีกคนที่ยืนรออยู่หน้าบ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

     

                “ทำไมไม่เข้าไปในบ้าน”

     

     

                “กดกริ่งเรียกตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่มีใครอยู่ในบ้าน”

     

     

                พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ เลื่อนรั้วบ้านออก หยิบกุญแจมาไขบ้านแล้วทิ้งตัวให้จมลงไปในโซฟาสีขาวในห้องรับแขก เงยหน้าขึ้นแล้วหลับตาลงด้วยความเหนื่อย ถึงแม้จะเดินแค่สิบนาทีแต่ก็เรียกเหงื่อได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

     

     

                “มีอะไรหรือเปล่า” ถามอีกคนทั้งๆที่ยังหลับตา หูก็ได้ยินเสียงว่ามันเดินมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

     

     

                “กูจะมาพิสูจน์อะไรบางอย่าง”

     

     

                คำพูดมันเรียกให้เขาเปิดเปลือกตาอย่างเร็ว ก่อนจะมองหน้ามันงงๆ “พิสูจน์อะไร บ้านกูไม่ใช่สถานที่ถ่ายทำคนอวดผีนะ”

     

     

                “มึงยืนหน่อยดิ” มันไม่ได้สนใจคำพูดเขา แถมยังทำหน้าแปลกๆ... เหมือนมัน... ไม่มั่นใจ? ตื่นเต้น? อะไรทำนองนั้น ถึงแม้จะงงไม่หายว่ามันจะพิสูจน์อะไรแต่ก็ยอมยืนขึ้นดีๆ

     

     

                “เอ้ายืนแล้ว มึงมีอะไ..............”

     

     

     

     

     

     

                หมับ!

     

     

     

                เจ็บ

     

     

                คือความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้ จมูกไปโดนไหล่อีกคนโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะแขนยาวๆของมันรวบตัวเขาเข้าไปใกล้อย่างแรงทั้งๆที่เขายังพูดไม่จบประโยค หน้ามันซุกเข้ากับซอกคอของเขา จั๊กกะจี้นิดหน่อยเพราะลมหายใจของมัน        

     

     

     

     

     

                อ่า....

     

                มันมาอีกแล้วสินะความรู้สึกแปลกๆนี่ แถมคราวนี้เหมือนจะหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะมาครบทั้งไอ้อากาศที่ร้อนที่หน้าอย่างกะทันหัน แต่ไม่ใช่แค่หน้า ครั้งนี้เหมือนมันจะร้อนไปถึงหู ทั้งจังหวะหัวใจที่เหมือนจะเต้นเร็วขึ้นอย่างผิดปกติ และบวกเพิ่มด้วยอาการใหม่ล่าสุดคือไอ้การหวิวๆตรงช่องท้อง

     

     

                “........................”

     

     

                ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่นาน มันก็ไม่มีท่าทีว่าจะคลายวงแขนลงแต่อย่างใด

     

     

     

     

                “ทำไม....”

     

     

     

                “.....................”

     

     

     

     

     

                “ทำไมตอนกอดฮยอกแจถึงไม่รู้สึกแบบนี้วะ.......”

     

     

     

                มันพูดเสียงอู้อี้ แต่เขาได้ยินชัดเสียยิ่งกว่าชัด เป็นคำพูดที่พาลจะทำให้หน้าร้อนขึ้นกว่าเดิมอย่างบอกไม่ถูก

     

     

     

                ตึก ตึก ตึก

     

     

                เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นแรงไม่ต่างจากเขา

     

     

     

                “มะ....”

     

     

                “มึงก็เป็นเหมือนกันใช่ไหม”

     

     

                กำลังจะบอกว่า มึงเป็นอะไรมันก็พูดแทรกเขาทีกำลังจะเปิดปากพูดหลังจากอาการใบ้เข้าครอบงำ

     

     

                “เป็นอะไร” อยากจะทำเสียงหงุดหงิดใส่ที่อยู่ดีๆก็เกิดทำอะไรบ้าๆแบบนี้ แต่เสียงที่ออกมากลายเป็นเสียงถามเบาหวิวแทน

     

     

                “เคยอ่านในหนังสือ เขาบอกว่าอาการหัวใจเต้นแรง หน้าแดงเมื่อเข้าใกล้ แล้วก็อาการหวิวๆในท้องเหมือนมีผีเสื้อมาบินวน........”

     

     

     

                “......................”

     

     

                “คืออาการของคนมีความรัก”

     

     

     

     

                “อะ........”

     

     

                “หูมึงแดงมากเลย” พูดจบมันก็หัวเราะนิดๆ ไวเท่าความคิดเขารีบผลักมันออกก่อนเอามือมาปิดหูตัวเองทั้งๆที่รู้สึกว่าไอ้อาการร้อนกระทันหันนี่ยังไม่หายไป

     

     

                “หน้าก็แดง”

     

     

                “ไอ้เหี้ย......” ด่ามัน แต่มันกลับยิ้มตอบ

     

     

                มันเลื่อนมือมาจับแก้มเขาก่อนจะส่งยิ้มให้อีกครั้ง “มึง......”

     

     

                “....................”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     











     

         “กูคิดว่ากูชอบมึงว่ะ”

     

     

     


     

                “ไปตายซะไอ้เหี้ย” พูดจบก็วิ่งขึ้นห้องแล้วปิดประตูเสียงดังอย่างไม่กลัวมันจะพัง ล็อกเสร็จสัพก็กระโดดไปบนเตียง ยังไม่ทันที่จะทำอะไรต่อก็ได้ยินเสียงข้อความเข้า พอหยิบออกมาดูก็เจอกับ.....

     

     

     



     

                กูพูดจริงนะ ถึงได้บอกว่ามาพิสูจน์ไง




     

     

     

     

     

     

     

     

                แล้วไอ้อาการหน้าร้อนกะทันหันนี่เมื่อไหร่จะหายสักทีวะ!!!!!!!!!!!!!!!


























    






    - E N D -


    







    - แฮ่...... /เอาหัวโขกกำแพงสามร้อยรอบ ลงให้ช้ามากค่ะ แต่งเสร็จก็ลงเลย คำผิดอะไรก็ยังไม่ได้ดู  = = 
    เพิ่งกลับมาด้วย ไปอยู่บ้านพ่อชีวิตกลับตาลปัตรมาก จากที่นอนตีหนึ่งตื่นเก้าโมง เป็น นอนสิบโมงตื่นเที่ยงคืนครึ่ง โอ้ยชีวิต.............
    - กลับมารอผลสอบแอด ที่คิดว่าคงไม่ได้อันดับหนึ่ง แต่ก็นะ เอาเถอะ ปลง
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×