คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : HAEEUN : FIGHT FOR YOU ( 100% อัพเต็ม )
PAIRING : DONGHAE x HYUKJAE (HAEEUN)
STORY : FIGHT FOR YOU
ANOTHER : SIGNSIGNEUN (sge)
NOTE : อีทงเฮโหมดดาร์ก(?)
ผู้ชายเตะต่อยเป็นเรื่องธรรมดา.....
บรรยากาศยามเย็นในซอยข้างโรงเรียนช่างกลแห่งหนึ่งเงียบราวกับป่าช้าทั้งๆที่เวลานี้นักเรียนควรจะออกจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้านไปหาเตียงนุ่มๆ หรือไม่ก็ไปหลีหญิงต่อ ตรงกลางซอยซึ่งเป็นตรงที่ไม่มีคนผ่านมามากนัก มีเด็กนักเรียนราวๆสิบคน บนใบหน้าของทุกคนไม่ได้มีอารมณ์ตื่นเต้นหรือตึงเครียดใดๆ บางคนก็นั่งตั้งวงไพ่ป๊อกเด้งแก้เซ็งกันอย่างสบายอารมณ์
“มึงว่ามันจะมาปะวะทงเฮ”
เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางวงไพ่ เรียกชื่อคนที่กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่อีกข้าง คนถูกเรียกปล่อยควันสีเทาหม่นขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศก่อนจะหันมายิ้มเหี้ยมเกรียมให้อีกคน
“ถ้าไม่มาวันนี้ พรุ่งนี้กูจะบุกไปถล่มแม่งถึงที่เอง สงเคราะห์ให้แม่งตายในรัง”
เมื่อทงเฮพูดจบก็มีเสียงอู้ววว ดังขึ้นเป็นซาวน์ประกอบความโหดเหี้ยมของเพื่อนเกลอคนนี้ ตามมาด้วยเสียงแซว อันเป็นสัญลักษณ์ประจำของพวกเขา
“แหม ไอ้พี่ทงเฮจอมโหดดด 5555555555555555555555555555555555555555555555555”
“ไอ้ฟายซึงโฮครับ จะเล่นไหมครับตาต่อไป กูจะได้ไม่แจกไพ่ให้มึง” ฮยอนซึง ชายหน้าหวานจัดแต่นิสัยไม่ได้หวานตามหน้าเอ่ยขึ้นเรียกอีกคนที่กำลังหัวเราะใส่ทงเฮให้หันมา
“อุ้ย” ซึงโฮแกล้งทำหน้าแอ๊บแบ๊วทำเป็นกลัว ผงกหัวปลกๆให้ฮยอนซึง เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ไม่น้อย “เล่นครับไอ้หอกหน้าหวาน แจกเลยครับแจกเลย”
ฮยอนซึงเบิร์ดหัวไอ้เพื่อนจอมกวนตีนไปหนึ่งทีโทษฐานกวนตีนไม่เข้าท่า แถมยังเรียกเขาว่าหน้าหวาน ยิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้อีกไม่เว้นแม้กระทั่งทงเฮ
“มีความสุขกันเหลือเกินนะครับ” เสียงห้าวติดกวนตีนดังขึ้นมาจากอีกด้านของซอย ทุกคนหันไปมองแล้วก็พบกับ ‘คู่กรณี’ ที่มากันประมาณสิบสองคนนับจากสายตา
ทงเฮเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืนมือข้างขวาถือดาบเคนโด้อันเป็นอาวุธประหารประจำตัว มือซ้ายก็ยังสูบบุหรี่แล้วพ่นควันขึ้นไปอย่างเคย แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มนั้นฉายแววดุดัน ทุกคนลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมพร้อม ไม่เว้นแม้แต่ซึงโฮที่เอาตีนเขี่ยไพ่ไปข้างๆ มือขวาถือไม้หน้าสามพร้อมรบ
“ก็มีความสุขอยู่แล้วล่ะว่ะ วันนี้อยู่ดีๆก็มีหมามาให้ไล่ตีเล่น” ทงเฮพูดขึ้นยิ้มๆ แต่ว่าคำพูดนี้ทำเอาอีกฝ่ายเลือดขึ้นหน้าปราดเข้ามาจะต่อยหน้าเขา
“อย่าใจร้อนสิจุนฮยอง คนอย่างมึงจะทำให้คนอื่นเจ็บตัวไปด้วยเปล่าๆ” เสียงอีกเสียงพูดขึ้นขณะที่จุนฮยองกำลังจะก้าวต้องเก็บขาแล้วถอยหลังกลับทันที ประดุจว่าเสียงนั้นคือเสียงของคนที่ยิ่งใหญ่สุดในโลก
แต่ก็ไม่ค่อยจะแตกต่างกันเท่าไหร่หรอก......
ในเมื่อคนคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ใหญ่ที่สุดในหมู่พวกเขา
เจ้าของเสียงเดินออกมาท่ามกลางคนอื่นที่รุมล้อม เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของอีกฝ่าย นัยน์ตากลมโตสีดำสนิท ผิวขาวจัด ที่ดูยังไงนี่มันก็ลุคลูกคุณหนูชัดๆ ถ้าไม่ติดว่าบนใบหน้าหวานนั่นมีปลาสเตอร์แปะอยู่ตรงจมูกล่ะก็นะ
“ว่าไงคยูฮยอน แผลหายดีแล้วเหรอ” ทงเฮเอ่ยทัก
“เออ ขอบคุณมากที่ช่วยไว้”
“แผลไรวะทงเฮ” ซึงโฮเอ่ยถามอีกฝ่าย เนื่องจากว่าทงเฮไม่เคยเล่าให้ฟังว่าไปตีกับไอ้แมวคยูมาตั้งแต่ตอนไหน
“พอดีสามวันที่แล้วโดนไอ้พวกแทคยอนมันดักตีแถวๆห้าง แล้วทงเฮมันผ่านมาเลยช่วยกูไว้กูเลยรอดตาย” ทงเฮไม่ได้ตอบคำถามแต่เป็นคยูฮยอนที่ตอบคำถามด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับเป็นเรื่องปกติ
“อย่าโยกโย้ กูว่าเรามาสะสางเรื่องของเราดีกว่า” ฮยอนซึงพูดขึ้น
“เมื่อวานตอนเช้าไอ้มินโฮมาดักตีไอ้อูยองเด็กปีหนึ่งโรงเรียนกูถึงหน้าโรงเรียน ตอนเย็นมันก็พาพวกมารุมไอ้ซึลองอีก....” ท้ายประโยคแผ่วเบา แต่สัมผัสได้ถึงความแค้นแทนเพื่อนร่วมโรงเรียน “ทำอย่างนี้พวกมึงต้องการการนองเลือดใช่หรือเปล่า” ท้ายประโยคคำถาม ทงเฮตวัดสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายนิ่งๆ
คยูฮยอนไม่ได้หลบสายตาอีกฝ่าย ทั้งสองคนมองตากันราวกับจะลองเชิง สุดท้ายคยูฮยอนก็ยื่นมือไปคว้าคอเสื้อใครสักคนแล้วผลักลงไปตรงกลางระหว่างเขาและทงเฮ
“ทำไมสิ่งที่มึงบอกกูกับเรื่องที่มันบอกไม่เหมือนกัน” คยูฮยอนเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่บนพื้น “ไหนบอกกูมาสิ ชเวมินโฮ” ท้ายประโยคแทบจะเป็นเสียงกระซิบ อันเป็นสัญญาณว่าตอนนี้เจ้าของเสียงนั้นกำลังโกรธอย่างมาก มินโฮได้แต่ลนลานด้วยความกลัว
ผัวะ
ตีนของคยูฮยอนเตะยอดหน้าอีกคนให้หงายลงไปนอนกองกับพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม คนที่เพิ่งจะเตะหน้าอีกคนไปเดินไปหาแล้วย่อตัวลงนั่งยองๆลง มือขาวจับที่คางของอีกคน แน่นราวกับคีม
“รับผิดชอบความผิดของมึงด้วยสิ่งที่มึงทำกับคนอื่นซะ แล้วต่อไปมึงไม่ต้องเสร่อมาให้กูเห็นหน้า”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มตัว เตรียมตัวจะหันหลังกลับไปถ้าอีกคนไม่เรียกไว้ก่อน
“แล้วไอ้ห่านี่เอาไง” ทงเฮพูด
“กูให้มึง จะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่”
“แต่กูไม่ชอบของเหลือ” ทงเฮเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่เรียกว่ากวนตีนสุดขั้ว
“แล้วจะมึงจะเอาไงไอ้เหี้ย” ไม่ใช่เสียงของคยูฮยอนที่ตอบ แต่เป็นเสียงของคนเลือดร้อนอย่างจุนฮยอง
ฮยอนซึงเหล่สายตาไปมองเจ้าของเสียงนิดหน่อยก่อนพูด “มึงด่าใครไอ้เหี้ย ไอ้สัดนี่วอนตีนนะว่ามั้ย”
“จัดหนักแม่งเลยเปล่า กูรออยู่ รากจะงอกแล้วห่าเอ๊ย”
ซึงโฮพูดเสริมด้วยท่าทางเบื่อๆ เป็นยิ่งกว่าราดน้ำมันในกองเพลิง จุนฮยองถลาเข้ามาหาฮยอนซึงพร้อมไม้ในมือ ทางด้านคนหน้าหวานก็เตรียมพร้อมรออยู่แล้ว ซึงโฮเห็นว่าจุนฮยองถลามาหาฮยอนซึงก็เข้าไปช่วยเพื่อน แต่กลายเป็นการรุม พวกของคยูฮยอนที่เหลือก็เลือดขึ้นหน้าแห่กันเข้ามาหาทางฝั่งทงเฮ จึงกลายเป็นการตะลุมบอลระหว่างสองฝ่ายโดยอัตโนมัติ
ทงเฮเห็นดังนั้นก็เข้าไปช่วยเพื่อน (จริงๆกะจะตีแม่งตั้งแต่เสือกเสนอหน้ามาทำหน้ากวนตีนใส่แล้ว) แต่คยูฮยอนกลับยืนเฉย ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะใครๆต่างก็รู้ว่าคยูฮยอนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ฝ่ายตนเป็นฝ่ายผิด นอกวงล้อมจึงเหลือคยูฮยอนกับมินโฮที่นอนกุมหน้าตัวเองอยู่
มือขาวล้วงไปในกระเป๋ากางเกงสีดำแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ราคาแพงขึ้นมากดเบอร์ที่โทรหาเป็นประจำ
“เออชางมินเหรอ มาเก็บศพไอ้พวกกากด้วยที่ซอยข้างโรงเรียน S”
‘มันไปหาเรื่องพวกไอ้ทงเฮสินะ’
“อือ ก็งี้แหละ” ปรายตาไปไปที่มินโฮอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าทงเฮไม่เอาไปจัดการทิ้ง เดี๋ยวชางมินก็จะมาจัดการเก็บมันด้วยตัวเอง คราวนี้ก็คงบอกลาไอ้มินโฮได้เลย
‘ไอ้ห่านี่ รนหาที่ตาย ก็รู้กันอยู่ว่าไอ้ทงเฮแม่งโหดยิ่งกว่าอะไรดี’
“อย่าบ่นน่า กูจะไปกินข้าวเย็นกับแม่ละ เดี๋ยวแม่ด่า มึงมาเก็บไปด้วยละกัน”
‘เออ เดี๋ยวจัดการเอง’
คยูฮยอนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินออกไปจากซอยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนจะเดินออกมาคือพวกของเขาล้มลงไปกองที่พื้นกันแทบหมด
คิดจะเล่นกับไอ้ทงเฮ เจ้าพ่อของโรงเรียนฟากนี้
ท่าทางเด็กของเขาคงต้องฝึกอีกสักสี่ห้าปี
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“ว่ายังไงครับคุณพี่ทงเฮสุดหล่อ ไฉนวันนี้หน้าท่านพี่ถึงแลดูเบี้ยวๆไปนิดนึงล่ะครับ” เสียงห้าวติดกวนตีนดังขึ้นทันทีที่อีกคนก้าวเข้ามาในห้องเรียน เรียกเสียงหัวเราะจากทั่วห้อง ไม่เว้นแม้แต่คนถูกแซว ทงเฮเดินไปที่โต๊ะประจำของตัวเอง ผ่านอีกคนที่ฟุบหัวนอนอยู่โต๊ะใกล้ๆกัน วางกระเป๋าลงก่อนจะรื้อกล่องยาใต้โต๊ะออกมาวาง
“ตื่นขึ้นมาทำแผลให้กูหน่อย” เขาส่งเสียงเรียกอีกคนที่นอนอยู่ หัวที่โกรกสีบลอนด์แสบตาโคลงเคลงไปมานิดหน่อยก่อนจะหันหน้ามาตามเสียงเรียกทั้งๆที่ยังไม่ได้ผงกหัวขึ้นมา
“อย่ามาเรียกใช้กูตามอำเภอใจ กูไม่ใช่ลูกน้องของมึง”
เมื่อได้ยินดังนั้นทงเฮก็ถอนหายใจเบาๆก่อนจะเปลี่ยนคำพูด “คุณอีฮยอกแจครับ ช่วยมาทำแผลบนหน้ากระผมให้หน่อยครับ ถือว่าผมขอร้อง เจ็บจะตายห่าอยู่แล้วครับตอนนี้”
คนถูกเรียกชื่อเผยรอยยิ้มบางๆก่อนจะยืดตัวขึ้นมาเปิดกล่องยาเตรียมทำแผล แต่ก็ไม่วายมีเสียงแซว(หมาๆ) ของไอ้ซึลองหน้าห้องมาซะก่อน
“ไอ้สัดคุณหล่อ ให้ไอ้ฮยอกแจทำแผลให้อีกละสัด”
“เออนั่นนนนนนนนดิ” ซึงริที่นั่งข้างกันผสมโรง “มีเรื่องมาทีไรให้ใครทำแผลให้ก็ไม่ยอม ต้องกลับมาตายรังให้ไอ้ลูคิเมียทำแผลหะ....”
ปุ
ยังไม่ทันพูดจบสำลีทำแผลชุบแอลกอฮอลล์ก็ไปแปะอยู่บนหน้าผากซึงริจากฝีมือ ‘ไอ้ลูคิเมีย’ อย่างแม่นยำ ทุกคนในห้องเงียบเสียงลงราวกับปิดสวิทซ์
“เอาแอลกอฮอลล์ไปแดกซะ เผื่อจะลดอาการปากหมาของมึงได้”
เสียงหัวเราะและกระดาษถูกปาใส่ซึงริจากทั่วสารทิศจนคนถูกปาได้แต่ปกป้องตัวเองไปมา ฮยอกแจหัวเราะเบาๆกับความวุ่นวาย ก่อนจะหันมาชุบสำลีอันใหม่ทำแผลให้อีกคน
“เดี๋ยวนี้มีลงไม้ลงมือด้วย?”
“กูก็เอามาจากมึงทั้งนั้นอ่ะสารพัดความเลว”
ทงเฮอ้าปากจะเถียงต่อแต่คนทำแผลจิ้มสำลีมาซะเต็มแรง ทำให้ต้องหุบปากอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนผมบลอนด์นั่งทำแผลให้เขาไปเรื่อยๆ จนสักพักเขาก็เห็นผู้ชายตัวสูงวิ่งหน้าตั้งมาหน้าห้อง แต่ไม่ใช่เขาคนเดียวหรอกที่เห็น เพราะเหมือนคนทั้งห้องก็เห็น ไอ้ซึลองเดินออกไปคุยเหมือนจะถามว่ามีอะไร สักพักก็เดินกลับมา แล้วตะโกนแหกปากเสียงดัง
“ไอ้สัดลูคิเมีย มีคนมาหาครับ”
ฮยอกแจร้องอือตอบกลับไปเบาๆแต่ก็ไม่ได้หันหน้าไปมองหรอกว่าใครมา นั่งปิดพลาสเตอร์แผ่นสุดท้ายให้คนตรงหน้าเสร็จก็เดินออกไปหน้าห้อง คุยอะไรไม่รู้ (ในห้องเสียงดังชิบหาย จะได้ยินเหี้ยอะไร ขนาดคุยกันใกล้ๆยังต้องตะเบ็งเสียง) สักพักฮยอกแจก็พยักหน้าแล้วพากันเดินออกไปด้วยกัน
เมื่อสองคนเดินพ้นออกไปจากประตู ไอ้จอมเสือกทั้งหลายก็เข้ามามุงโต๊ะเขาราวกับดูหมีแพนด้า
“หูยยย แม่งมาบอกรักไอ้ลูคิเมียเปล่าวะ” ฮยอนซึงเปิดประเด็น
“กูว่าไม่หรอก คนจะมาสารภาพรักเหี้ยไรทำหน้าเครียดเหมือนจะลงสมัครเลือกตั้งนายก” ซึงโฮเสริม
“มึงรู้เปล่าว่าไอ้นั่นเป็นใคร มึงสนิทกับไอ้ลูคิเมียไม่ใช่เหรอ” ดงฮยอนเสือกหน้าตัวเองเข้ามาถามเขาใกล้ๆ
เขายังไม่ทันได้ตอบอะไรก็มีอีกเสียงพูดขึ้นมาก่อน
“โหยไอ้พวกเหี้ย มึงไม่รู้อะไรกันเลยเหรอไง ไอ้นั่นอ่ะไอ้มินโฮเว้ย เด็กปีสอง สนิทกับฮยอกแจแม่งจะตาย ไม่ใช่มาบอกรักหรอก” ดงอุนบอกเสียงดัง (ในห้องจะมีใครไม่เสียงดังบ้างวะ)
“หรือว่าแม่งจะมาขอยืมตัง ไอ้ลูคิเมียแม่งก็รวยใช่เล่นนะมึง”
“ไม่หรอก กูว่ามาปรึกษาเรื่องถอยรถคันใหม่เปล่า แม่งชอบแต่งรถเหมือนกันนี่”
“ถ้าเรื่องแต่งรถทำไมต้องทำหน้าเครียดอย่างนั้นด้วยวะ ควายจริงๆ กูว่านะ ไอ้มินโฮแม่งมาขออึ้บไอ้ลูคิเมียชัวร์ โหยเหี้ย มึงเห็นอย่างนั้นก็เถอะ จำได้เปล่าตอนเข้าค่ายปีที่แล้วอ่ะ หุ่นไอ้ลูคิเมียแม่งโคตรบาง ตัวก็โคตรขาว”
“พอเหอะ พวกมึงทุกคนนั่นแหละ กลับไปนั่งที่ได้แล้ว โต๊ะกูไม่ใช่ที่ประชุมสาธารณะ” ทงเฮพูดขึ้นอย่างเหลืออด พลางถีบไอ้พวกนั้นไปไกลๆ พวกมันก็ทำตัวดีค่อยๆถอยหดหายไปทีละคน แต่คนปากดียังไงก็เป็นคนปากดี สุดท้ายก่อนไปไอ้สัดปากมอมซึลองยังพูดกับเขาว่า
“แหม หวงก็บอกเถอะครับไอ้เสือทงเฮ”
หวงเหี้ยอะไร ไอ้แห้งจะทำอะไรก็เรื่องของแม่งดิ เกี่ยวอะไรกับเขา
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
อีกด้านหนึ่งฮยอกแจเดินนำมินโฮมาที่เงียบๆที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน เมื่อมองเห็นว่าปลอดภัยแล้วก็หันหน้ามาหา แล้วส่งสายตาประมาณว่ามึงมีอะไรก็พูดมา มินโฮจึงเปิดปากพูด
“ตอนเย็นพวกไอ้ซีวอนจะมาตีเพื่อนผมว่ะพี่” คนตัวสูงพูด ขณะที่อีกคนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับตัวเขา อีกฝ่ายเห็นอย่างนั้นจึงพูดต่อทันที “เออออ ก็เพื่อนผมมันไปกวนตีนเขาก่อน แต่ว่าผมก็กลัวเพื่อนผมตายอ่ะ พี่ก็รู้ใช่ปะละว่าไอ้พวกนั้นมันเล่นแรง”
ฮยอกแจหวนนึกไปถึงหน้าไอ้ซีวอน ซีวอนมันเป็นหัวโจกของอีกโรงเรียนหนึ่ง ตัวสูง หล่อเอาการ แถมทำตัวเลวได้ใจ เขาเคยเจอมันบ่อยที่สนามแข่งบ้าง ที่ผับที่ไปประจำบ้างแต่ไม่เคยทักเพราะไม่มีความจำเป็นอะไรต้องทำความรู้จัก
“แล้วไง”
“ไม่ได้จะให้พี่ไปช่วยตีกับพวกนั้นหรอก แต่อย่างน้อยพี่ก็ไปช่วยดูๆให้พวกผมหน่อยได้เปล่า ถือว่าขอร้องเหอะ”
“ถ้ากูทำแค่ดูกูทำให้ได้ แต่ถ้ามากกว่านั้นกูไม่อยากเกี่ยว”
นิสัยของคนผมบลอนด์ข้างหน้าเขาคือ ‘ไม่เสือกเรื่องที่ไม่ใช่ของกู’ เขารู้ดียิ่งกว่าใคร แต่ในบรรดาคนที่เขารู้จักก็มีแค่คนนี้นี่แหละที่พอจะพึ่งได้มากที่สุด ถึงแม้คนตรงหน้าดูๆแล้วจะไม่มีพิษภัยอะไร แต่พอได้รู้จักจริงๆแล้วล่ะก็ เหอะเหอะ
“จริงๆผมกลัวมันรุม” มินโฮพูดพร้อมถอนหายใจ
“จะเอากูไปเป็นไม้กันหมาว่างั้นเถอะ” ฮยอกแจพูดตรงๆ ด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ นัยน์ตาเล็กมองหน้าอีกคนที่กำลังทำหน้าเหมือนอดอาลัยตายอยากในชีวิต
“จะว่างั้นก็ได้”
เมื่อมินโฮพูดจบก็เงียบกันไปทั้งคู่ เขารู้ว่ารุ่นพี่กำลังใช้ความคิด ก็อย่างที่บอก คนคนนี้ในสายตาคนอื่นอาจจะดูเป็นคนไม่มีพิษสง ตอนแรกเขาก็คิดอย่างนั้นแหละ ก็คนตัวเล็ก ผิวขาวอย่างกับผีดิบ แถมผอมบางอย่างนี้จะไปมีอะไรน่ากลัว ตอนที่เขาเจอฮยอกแจครั้งแรกคือเมื่อปีก่อนตอนเขาเข้ามาปีหนึ่งใหม่ๆ ตอนนั้นยังไม่รู้จักใครเลยสักคน
‘มึงชื่ออะไร’ คนตัวเล็กผิวขาวซีดเดินเข้ามาถามเขา ด้วยใบหน้านิ่งๆ ที่ต้องถามชื่อก็เพราะต้องเล่นเกมส์สำหรับรับน้อง ตอนนั้นด้วยความที่เขาตัวสูงกว่า แถมอีกฝ่ายก็ตัวเล็กบอบบางซะ เลยตอบไปแบบไม่ได้คิดอะไร
‘ไม่บอก’
พูดไปแค่นั้นแหละ รองเท้าผ้าใบเบอร์ 39 ก็ถีบมาที่กลางลำตัวเขาซะเต็มแรงทำเอาเขาทรุดลงไปแทบจูบกับพื้น คนอื่นหันมาสนใจคู่ของเขากันหมด ทุกคนเงียบสนิท ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฝีมือใครที่ทำให้เขานั่งก้นจั้มเบ้าอย่างนี้ มินโฮเงยหน้าขึ้นไปมองอีกคนที่กำลังยืนค้ำหัวเขาอยู่
‘กูไม่ใช่คนใจเย็น’
เมื่อคนตัวเล็กพูดจบก็เงียบกันไปอีกครั้ง จนกระทั่งมีมือของใครสักคนมาดึงแขนคนที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่ จนอีกฝ่ายเซไป นัยน์ตาเล็กๆนั่นตวัดไปมองอีกคนที่มาดึงแขนตัวเองอย่างรำคาญ แต่คนนั้นกลับไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด แถมกลับพูดว่า
‘มึงมานี่ มาสงบสติอารมณ์กับกู’ แล้วผู้ชายคนนั้นก็ลากรุ่นพี่หน้าหวานแต่นิสัยโหดออกไปโดยไม่ได้กลับมาอีกเลยตลอดการรับน้อง แล้วสุดท้ายเขาก็รู้ว่ารุ่นพี่ที่มาดึงพี่ตัวเล็กนิสัยโหดคนนั้นออกไปคือพี่ทงเฮ
“มึงนัดกันกี่โมง”
“ห้าโมงอ่ะพี่ ตรงซอย TB มันเงียบดี ไม่ค่อยมีคนผ่าน”
“เออ เดี๋ยวกูไป แต่คงช่วยอะไรมากไม่ได้หรอกนะถ้าเพื่อนมึงโดนรุม” ฮยอกแจพูดอย่างอ่อนใจ เสือกไปกวนตีนเขาก่อนแล้วยังมีหน้ามาขอให้เขาช่วยอีก นี่ไปก็ดีเท่าไหร่แล้ว ถ้าเป็นคนรู้จักกันคงได้โดนเขาเตะยอดหน้าโทษฐานแกว่งตีนหาเซี่ยน
“จริงเปล่าพี่ โหยยย ขอบคุณพี่มากเลย” มินโฮยิ้มกว้าง
“ไม่เป็นไร แต่เดี๋ยวกูจะพาไอ้ทงเฮไปด้วยแล้วกัน ถ้าเกิดมันเล่นอะไรตุกติกอย่างน้อยก็มีไอ้ทงเฮ มันก็คงจะพอรู้จักกันอยู่ เลวพอกัน” คนหัวขาวแอบกัดเพื่อนสนิทเล็กๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนตรงหน้าได้ไม่น้อย
“โอ้ยขอบคุณมากเลยพี่ อย่างน้อยมีพี่ทงเฮไปก็อุ่นใจกว่าพี่ฮยอกแจไปคนเดียวอ่ะ”
“ไอ้สัดนี่วอนตีนกูเหรอ” พูดจบฮยอกแจทำท่าจะเตะรุ่นน้องจอมกวนตีน แต่มันก็พาขายาวๆ ของมันวิ่งหนีเอาตัวรอดไปซะก่อน เขาเลยได้แต่ส่ายหัวอย่างขำๆ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้อง แต่พอหันหลังกลับมาก็เห็นทงเฮยืนอยู่ก่อนแล้วจึงเดินเข้าไปหา
“ไอ้เด็กนั่นมาคุยอะไรกับมึง” ทงเฮถามหน้านิ่ง
“เพื่อนมันมีเรื่องกับพวกไอ้ซีวอน ตอนเย็นมันเลยขอให้ไปดูๆให้หน่อย”
“ให้มึงเนี่ยนะ”
“จริงๆ กูรู้ว่ามันอยากให้มึงไปมากกว่า มึงก็ไปหน่อยล่ะกัน ถือว่าช่วยๆ กันไป” คนหัวบลอนด์พูดจบก็เดินนำหน้าเข้าห้องไป อีกคนก็ได้แต่เดินตามหลังมาไมได้พูดอะไรต่อ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
17.00 @ ซอย TB
มินโฮมองนาฬิกาหลายครั้งเพราะหวั่นใจว่าคนที่นัดไว้จะไม่มา ในใจก็กลัวเพื่อนโดนรุมเพราะปัญญาแค่พวกเขาจะไปทำอะไรฝ่ายตรงข้ามได้ เบอร์ติดต่อพี่ฮยอกแจก็ไม่มี ไม่มีหลักอะไรประกันว่าพี่เขาจะมาตามนัดอีกต่างหาก
โอ้ยยยยยย อยากจะบ้า
และขณะที่มินโฮกำลังมองนาฬิกาเป็นรอบที่ยี่สิบ หูก็ได้ยินเสียงแอสตันมาติน วีสิบสองขับเข้ามาใกล้ เมื่อรถจอด เท้าก็ติดเทอร์โบวิ่งเข้าไปใกล้ทันที วินาทีนี้พี่ฮยอกแจเหมือนเป็นเทวดาขึ้นมาทันใด (ไม่อยากจะบอกว่าปกติเห็นพี่ฮยอกแจเป็นมารมาตลอดเพราะน่ากลัวชิบหาย) คนหัวบลอนด์เปิดประตูฝั่งคนขับออกมาก่อน ตามด้วยอีกคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามคนขับ
อีทงเฮ...
ทงเฮกำลังทำหน้ายุ่งๆไม่สบอารมณ์เพราะโดนฮยอกแจลากมาทั้งๆที่เขาอยากไปนั่งกินเหล้ากับพวกไอ้ฮยอนซึงมากกว่า แต่ก็อย่างว่าเขาไม่เคยขัดใจเพื่อนสนิทคนนี้ได้หรอก มินโฮโค้งลงให้ทงเฮอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายก็เพียงแค่พยักหน้า
“มากันครบยัง” ฮยอกแจเอ่ยปากถาม
“พวกนั้นยังไม่มาเลยพี่”
“โทรไปตามดิ๊ มาเบอร์เปล่า กูมีนัดต่อ” คนหัวบลอนด์ยืนพิงประตูรถแล้วล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรไปหาอีกฝ่าย
“ไม่มีอ่ะ” คนตัวสูงพูดเบาๆ
ฮยอกแจปรายตาไปทางทงเฮแวบหนึ่ง “งั้นไปเรียกเพื่อนมึงคนที่มีเรื่องมาคุยกับกูก่อน” มินโฮพยักหน้าก่อนจะเดินไปตามอีกคนที่ตัวไม่สูงมาก ทงเฮมองตามไปเห็นแวบเดียวก็จำได้ว่าเป็นใคร แต่ฮยอกแจกลับเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“นี่อ่ะพี่ มันชื่ออนยู” คนที่ถูกแนะนำตัวโค้งให้รุ่นพี่ทั้งสองคนอย่างนอบน้อม ดูไม่เหมือนกับคนที่จะแกว่งตีนหาเซี่ยนเท่าไหร่
“ทำไมไปมีเรื่องกับพวกไอ้ซีวอนได้วะ” ฮยอกแจเปิดปากถาม
“เมื่อวานซืนที่ Alizer ไอ้ห่านี่ไปแย่งเด็กเขาน่ะสิ แถมยังลอยหน้าลอยตาประหนึ่งว่ากูไม่ผิด ถ้าเป็นกูกูเอาแม่งตายที่ผับไปแล้วไม่ต้องรอให้นัดมาอย่างวันนี้หรอก” ทงเฮชิงพูดก่อนที่อีกคนจะพูด นัยน์ตาสีน้ำตาลมองไปที่รุ่นน้องอย่างเรียบเฉยทำเอาอีกคนต้องหลบสายตา
“จริงอย่างที่ทงเฮมันพูดหรือเปล่ามึง”
“คะ...ครับ”
ยังไม่ทันที่จะมีใครพูดอะไรต่อ เสียงรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาใกล้ รถคันนำหน้านั้นทงเฮจำได้ดีว่าเป็นของชเวซีวอน พวกมันมากันประมาณสิบคน เมื่อจอดรถซีวอนก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“อ้าว ไอ้ทงเฮใช่ไหม ทำไมมาอยู่ที่นี่”
ทงเฮเหล่มองฮยอกแจนิดหน่อยก่อนหันไปตอบ “เออรุ่นน้องกูมีปัญหากับมึง”
“กูก็ว่าแล้วว่าชื่อโรงเรียนมันคุ้นๆ แล้วมึงจะว่าไง รุ่นน้องมึงเสือกกวนตีนกูก่อนนะ” ซีวอนเข้าเรื่องทันทีโดยไม่รีรอตามประสา
พลั่ก!
เสียงหมัดหนักๆของคนผมบลอนด์กระแทกเข้าไปที่หน้าของตัวก่อเรื่องอย่างแรงจนอนยูล้มลงไป มินโฮเข้าไปประคองเพื่อนก่อนจะหันมามองฮยอกแจอย่างไม่เข้าใจ แต่ฮยอกแจทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ ก่อนจะหันหน้ามาหาซีวอน
“กูจัดการเด็กกูเอง ขอโทษทีที่มันทำนอกกกรอบไปกวนตีนมึงเมื่อวันก่อน”
ซีวอนหันมามองหน้าคนตัวเล็กผิวขาวที่ดูจากหน้าตาและไซส์แล้วไม่น่าจะเป็นคนห่ามหรือห้าวอะไร แล้วยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม
“นี่ก็คงเป็นอีฮยอกแจคนดังสินะ เพิ่งเคยเห็นตัวจริงชัดๆก็วันนี้ น่ารักกว่าที่คิดเยอะ”
“ดัง?” ฮยอกแจทวนคำพูดของอีกฝ่าย
“อ่าฮะ อีฮยอกแจเพื่อนรักสุดสวาทของอีทงเฮ รักการแข่งรถ พูดน้อย ต่อยหนักแต่หน้าตาหวานเสียยิ่งกว่าอะไรดี”
“งั้นเห็นแก่ความดังของกู ปล่อยเด็กกูไปละกันแล้วเดี๋ยวกูเลี้ยงเหล้ามึงเอง”
ซีวอนเดินเข้ามาใกล้ฮยอกแจที่ไม่ได้หลบไปไหนจนระยะห่างของใบหน้าทั้งคู่ห่างไม่เกินสองคืบ ใบหน้าหล่อยกยิ้มอีกครั้ง มือหนาก็ลูบไปตามใบหน้าหวานของอีกฝ่ายช้าๆ ก่อนจะพูด “งั้นก็โอเค ที่จริงก็ไม่ได้ติดใจเด็กของนายมากเท่าไหร่หรอก”
“Erase สองทุ่ม” ฮยอกแจพูดก่อนจะผลักอีกคนออกแล้วเปิดประตูส่งสัญญาณให้ทงเฮขึ้นรถ ก่อนที่แอสตันวีสิบสองจะพาร่างของคนสองคนออกไปจากซอย ทิ้งให้ซีวอนมองตามไปด้วยแววตาวาววับราวกับถูกใจบางอย่าง
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“ทำไมต้องเลี้ยงเหล้ามันด้วยวะ” ทงเฮถามทันทีที่ออกรถ คนขับยักไหล่นิดหน่อยก่อนตอบ
“มึงก็เปรี้ยวปากอยากแดกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“จะบอกว่าที่เลี้ยงนี่จะเลี้ยงกู?”
“ชวนพวกไอ้ฮยอนซึงมาด้วยก็ได้ จะได้แดกไปเลยทีเดียว”
อีกฝ่ายตอบไม่ตรงคำถาม แต่ทงเฮรู้ดีว่านั่นคือการตอบรับว่าจะเลี้ยง ริมฝีปากหนาขยับเป็นรอยยิ้มแล้วกดส่งข้อความไปหาพรรคพวกให้ไปตามสถานที่นัดหมาย
สำหรับคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน แค่มองตากันก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ประโยคนี้คงใช้ได้แค่กับฮยอกแจ มันรู้ใจเขาไปหมด รู้ว่าเขารู้สึกยังไงเพียงแค่มองตา แต่ตัวเขากลับไม่เคยรู้เลยว่ามันคิดอะไรอยู่ แต่นั่นก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกอึดอัด
อีฮยอกแจสำหรับเขาแล้วเป็นอะไรที่เหนือคำบรรยายเสมอ
คนอื่นมักจะมองว่าเขากับมันก็เพื่อนกันธรรมดาที่โคตรสนิท แต่ความจริงแล้วเขารู้สึกกับมันมากกว่านั้น..... เขารักอีฮยอกแจ รักมากนาน
ตัวมันเล็กแถมผอมแห้ง เขาจึงมักจะกันมันออกจากวงเสมอเวลาไปมีเรื่องที่ไหน ไอ้ความรู้สึกนี้ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่รับรู้ เขาเองด้วยซ้ำที่เป็นคนบอกมันไปตรงๆตั้งแต่แรกว่ารู้สึกยังไง จำได้แม่นว่ามันเพียงแค่พูดว่า
“อืม”
ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่มันก็ไม่เคยทำตัวเปลี่ยนไปจากเดิม เขากับมันก็เป็นเพื่อนกันในสายตาคนนอก และเขาก็ยังคงรักมันเหมือนเดิม
“มึงจะกลับบ้านตัวเองหรือบ้านกู” มันถามเขาโดยยังไม่ละสายตาจากถนน
“บ้านมึง”
“ไม่ห่วงแม่มึงบ้างหรือไง ลูกชายไม่ได้กลับบ้านมาสองวันแล้วนะ”
“หึ” เขาหัวเราะเสียงขึ้นจมูก “นั่นแหละสิ่งที่เขาควรจะดีใจ”
เขาพูดจบรถก็ติดไฟแดงพอดี มันเลยหันหน้าที่ขมวดคิ้วมาทางเขา “เมื่อวานป้าฮาริมโทรมาหากู เขาถามว่ามึงอยู่กับกูใช่ไหมเขาจะได้หมดห่วง เลิกอคติกับแม่มึงเสียทีเถอะทงเฮ เขารักมึงมากแต่มึงมองข้ามความรักของเขาต่างหาก”
‘แล้วมึงก็มองข้ามความรักของกูเหมือนกัน!!!’
อยากจะตะโกนใส่หน้ามันแต่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจแล้วเบือนหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่าง
“ไม่มีใครรักมึงได้เท่าแม่มึงหรอกนะ”
“......”
“กูให้ค้างบ้านกูได้แค่คืนนี้ พรุ่งนี้มึงต้องกลับบ้านตัวเอง อย่าให้กูรู้ว่าไปค้างบ้านคนอื่นอีก” มันพูดสั่งเขาราวกับรู้ทันก่อนจะออกรถเพราะไฟสัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว
รู้ทันเขาไปซะทุกเรื่อง... สั่งนั่นสั่งนี่ทั้งๆที่ทั้งชีวิตของเขาไม่เคยยอมฟังคำสั่งใคร บังคับเขาสารพัด แต่ก็รู้ว่าที่มันทำไปเพราะหวังดี ด้วยใจบริสุทธิ์หวังอยากให้เขาเลิกอคติกับแม่ตัวเอง และมันอาจจะไม่เคยรู้ ว่าความหวังดีของมันทำให้เขาถลำลึกจนไม่อาจถอนตัว
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เมาเป็นหมา.... คือสภาพของอีทงเฮ มองแล้วก็เพลีย กินไม่เคยยั้งปาก ความอยากไม่เคยยั้งมือ คนอื่นแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ทีแรกไอ้ดงอุนจะเข้ามาช่วยแต่เขาก็บอกให้มันรีบกลับบ้านไปเพราะเห็นว่าพ่อมันโทรมาตามตั้งแต่สี่ทุ่ม แล้วสุดท้ายเป็นไง ต้องแบกมันที่ตัวโคตรหนักกลับขึ้นรถคนเดียว
เป็นเพื่อนของอีทงเฮใครบอกสบายวะ มาต่อยกับเขาเลยมา
ตัวเขาเองก็ดื่มไปใช่ย่อย แต่ก็ยั้งตัวเองไว้ได้ ยังดีที่คอแข็งทั้งที่ไม่ได้กินบ่อยๆ แต่ไอ้คนที่เขากำลังหิ้วปีกอยู่เนี่ย คออ่อนเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งๆที่กินบ่อย
ตุบ
สลัดแขนมันที่พาดอยู่ที่ไหล่แล้วผลักตัวมันลงไปบนเบาะข้างคนขับ ไม่กล้าทิ้งไว้เบาะหลัง เพราะเคยมีประวัติการอ้วกใส่เบาะหลังเขามานักต่อนัก คนเมาหลับตาพริ้มเหมือนกำลังฝันหวาน หัวทุยๆขยับนิดหน่อยเหมือนหาองศาที่เหมาะแก่การนอนสบาย ยิ่งมองก็ยิ่งหมั่นไส้ วันนี้เสียเงินไม่เท่าไหร่แต่เสียแรงไปกับการแบกมันนี่แย่ยิ่งกว่า
ก็เงินมันเป็นเงินที่พ่อส่งมาให้ใช้ ไม่ใช่เงินที่เขาหาเองสักหน่อย ไม่คิดเสียดายเท่าไหร่ ไว้เป็นเงินที่หาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองแล้วค่อยว่ากันอีกที
เดินอ้อมมานั่งประจำที่คนขับก็เห็นว่าหัวมันแนบชิดติดกับกระจก กลัวว่าพอออกรถหัวจะโขกกระจกแตกเลยเอื้อมไปจับหัวมันให้ประจำที่ดีๆ อดที่จะบ่นไม่ได้
“คนเหี้ยไรตัวหนักชิบหาย”
“...............”
“เสียเงินไม่เท่าไหร่แต่เสียแรงไปกับมึงนี่กูบอกตรงๆว่าไม่ไหว ตัวกูก็แค่นี้ แต่ตัวมึงยิ่งกว่าควาย”
“...............”
บ่นไปก็เท่านั้นแหละ เมาซะจนสลบไปซะขนาดนี้คงไม่มีทางตื่นขึ้นมาเถียงเขาฉอดๆเหมือนทุกครั้งหรอก พอจัดให้มันนอนดีๆ คาดเข็มขัดให้มัน คาดของตัวเองแล้วก็ออกรถมา ขับมาไม่ไกลก็ถึงบ้านเขา บีบแตรอย่างไม่เกรงใจชาวบ้าน ไม่นานก็มีคนมาเปิดประตูให้ ขับพุ่งผ่านไปด้วยความเร็ว
เอี๊ยด
เสียงยางเสียดสีไปกับพื้นถนน พอออกมานอกรถก็เห็นคนสองคนวิ่งกระหืดกระหอบออกมา เดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่ง เพียงเท่านี้พวกนั้นก็รู้ทันทีว่าควรทำยังไง เขาถอยหลังออกมานิดหน่อยปล่อยให้แม่บ้านจัดการร่างของเพื่อนที่เมาไม่ได้สติ
“ทำไมคุณทงเฮถึงเมาขนาดนั้นล่ะคะ”
เสียงแม่บ้านคนเก่าแก่ดังขึ้นข้างๆ เธอหันมาค้อนเขาขวับเหมือนจะหาว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้อีทงเฮเมา ไม่ผิดหรอก ค้อนเขานั่นแหละ.... อีทงเฮเป็นขวัญใจของทุกคนในบ้านเขาซะยิ่งกว่าเจ้าของบ้านตัวจริง
“ไม่รู้มัน ป้าให้ลุงเอารถผมไปเก็บด้วยนะ” เธอหยักหน้าก่อนจะขอตัวเดินออกไปอีกทาง เขาเดินขึ้นมาบนห้องตัวเองก็พบว่าบนเตียงขนาดคิงไซส์มีร่างของเพื่อนรักนอนอยู่เต็มพื้นที่ ข้างๆเตียงเป็นสาวใช้สองคนที่ยืนนิ่ง หนึ่งในสองคนหันมาเห็นเขาก็เอ่ยปากถาม
“คุณฮยอกแจจะเอาอะไรเพิ่มมั้ยคะ”
“ยาแก้แฮงก์ น้ำเปล่า แล้วก็เช็ดตัวให้มันด้วยแล้วกัน” พูดจบพวกเธอก็ออกจากห้องไปเงียบๆ
อีทงเฮมีข้อดีเวลากินเหล้าแล้วเมาอยู่หลายอย่างพอๆกับข้อเสีย หนึ่งคือแม้ว่าจะเมาขนาดไหนก็มั่นใจได้ว่ามันจะไม่อาละวาด สองคือมันจะนิสัยดีกะทันหัน คือทำตามสิ่งที่บอกอย่างว่าง่าย
เขายืนมองมันแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว เดินไปหยิบผ้าขนหนูกับผ้าคลุมอาบน้ำแล้วเดินเข้าห้องน้ำที่เชื่อมอยู่กับห้องนอนไป
พอเดินออกมานอกห้องน้ำก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นสภาพเตียงและสาวใช้
“เกิดอะไรขึ้น”
“เอ่อ....” เธออึกอักแถมไม่กล้าสบตาเขา ได้แต่กระแซะกันไปกระแซะกันมาเบี่ยงให้อีกฝ่ายเป็นคนตอบ
“ฮ...ฮยอกแจเหรอ”
คนเมาที่นอนบนเตียงเอ่ยเรียกเขา เหมือนมันดูจะมีสติขึ้นเยอะ ขาก้าวเข้าไปยืนข้างเตียงไม่ได้พูดอะไรตอบ
“ฮยอกแจ....”
“...........”
“กู.....” พูดแล้วก็เงียบ ยื่นมือออกไปแนบกับหน้าผากมันก็รู้สึกร้อน ไข้คงจะขึ้น ตามันดูลอยๆเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่พอจะเอามือออกมันกลับคว้าหมับที่ข้อมือเขาแล้วเอาไปแนบกับแก้มตัวเอง
สาวใช้อดที่จะหน้าแดงขึ้นมากะทันหันไม่ได้เมื่อเห็นมุมแบบนี้ของทั้งสองคน เธอทำงานที่นี่มานานพอดู และก็รู้ว่าคุณทงเฮกับคุณฮยอกแจเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก คุณทงเฮมักจะมานอนกับคุณฮยอกแจเสมอ ทั้งๆที่ห้องนอนของแขกก็มี และคุณฮยอกแจที่พวกเธอรู้จักคือคนที่โลกส่วนตัวสูงปรี๊ด เพื่อนที่เคยมาบ้านก็มีแค่ไม่กี่คน
แค่เห็นสายตาของคุณทงเฮก็รู้ว่ารักคุณฮยอกแจเกินกว่าคำว่าเพื่อน
เธอมั่นใจว่าหลายๆคนก็ต้องคิดอย่างเธอ แต่สิ่งที่เธอไม่รู้คือใจคุณหนูของบ้านอย่างคุณฮยอกแจ เมื่อมองภาพตรงหน้าเธอก็ยิ่งหน้าแดงเมื่อเห็นว่าคุณฮยอกแจใส่แค่ชุดอาบน้ำสีขาวที่ผูกไว้หลวมๆ เผยให้เห็นอกขาวๆ ที่ไม่เคยโดนแดด แถมได้รับการดูแลอย่างดี หยดน้ำเกาะพรายที่หน้าและหัว แอบกรีดร้องในใจเสียงดัง
คุณฮยอกแจเซ็กซี่ที่สุด!
“ออกไปเถอะ” เธอดึงสติกลับมาแทบไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายพูด แต่สายตาก็ยังไม่ละจากคนที่นอนอยู่บนเตียง
“แต่ว่า.....”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดการเอง” ราวกับถูกอ่านใจ พวกเธอเป็นห่วงว่าคุณฮยอกแจจะดูแลคุณทงเฮไม่ไหว เพราะตัวต่างกัน ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แล้ว แต่คุณทงเฮไข้ขึ้น เมื่อกี้ก็เพ้อหาคุณฮยอกแจไม่หยุด
แต่เมื่อเห็นสายตาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายก็ทำให้เธอไม่กล้าพูดอะไรต่อ ได้แต่สะกิดเพื่อนอีกคนแล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
“ฮยอกแจ....”
“........”
“ฮยอกแจ....”
คนไข้ขึ้นเพ้อเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันก็ยังจับมือเขาแน่น ได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง ทรุดตัวลงบนเตียงแล้วเอ่ยปากตอบ
“อะไร” คราวนี้มันพยายามลืมตาขึ้นมามองเขา มือที่แนบอยู่กับแก้มมันสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ดูท่าว่าจะไม่ลดลงง่ายๆ อีทงเฮเป็นผู้ชายที่แข็งแรงก็จริง แต่เวลาป่วยนี่ก็อ่อนแอแบบสุดๆ จนไม่น่าเชื่อ
“อ...”
“...........”
“อยู่กับกู..... นะ” มันพูดพร้อมกับส่งสายตาอ้อนๆแบบที่เขามั่นใจว่าไม่มีใครเคยเห็น เขายิ้มบางๆ เลื่อนมืออีกข้างไปลูบแก้มอีกฝ่าย แล้วพูด
“จะให้กูทิ้งมึงไปไหนได้ล่ะ”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ง่วง.. ง่วงมาก.. ง่วงมากที่สุด...
คืออารมณ์ของเขาตอนนี้ ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเรียนอย่างไม่สนใจใคร ตอนนี้เป็นช่วงพักระหว่างชั่วโมงเลยมีเวลาให้พอนอนบ้าง เมื่อคืนก็แทบจะไม่ได้นอน ไม่สิ ต้องเรียกว่าไม่ได้นอนเลยมากกว่าเพราะไอ้คนเป็นไข้เสือกพร่ำเพ้ออะไรไม่รู้ทั้งคืน แถมตัวก็ร้อน เขาต้องเอาผ้าเช็ดตัวให้ตั้งหลายรอบ กว่าไข้จะลดก็หกโมงเช้า เลยรีบให้มันแต่งตัวใส่ชุดเขามาโรงเรียน
“เฮ้ย! ไอ้ลูคิเมียเป็นไร” เสียงไอ้ซึลองตะโกนมาจากข้างหลัง “ไอ้ทงเฮมันจัดหนักมึงรึงายยยยยยยยยยย”
พอมันพูดจบก็มีเสียงหัวเราะกวนส้นตีนของคนในห้องเป็นซาวน์ประกอบ เขาเงยหน้าที่เพิ่งฟุบลงไปมามองไอ้คนต้นเสียง
“อยากให้กูจัดหนักกับมึงบ้างมั้ยล่ะ” พูดพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “เดี๋ยวกูเรียกไอ้โจควอนให้”
“555555555555555555555555555555555555555555555555555555555” เสียงหัวเราะจากทั่วทุกสารทิศถูกกระหน่ำใส่ซึลอง มันได้แต่หน้าซีดแล้วชี้นิ้วมาทางเขาอย่างคาดโทษ เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เป็นที่รู้กันดีว่าโจควอนห้องสามแม่งโคตรน่ากลัวสำหรับไอ้ซึลอง อาทิตย์ที่แล้วเห็นมาจิกหัวไอ้ซึลองโขกกับโต๊ะจนเลือดไหลเพราะเห็นว่าไอ้ซึลองไปด่าอะไรเขาก็ไม่รู้ เดือดร้อนคนอื่นต้องเข้ามาห้าม
“มึงดูโทรมๆนะเว้ยฮยอกแจ ไปให้พ่อไอ้คิบอมมันตรวจดีเปล่า หน้าซีดชิบหาย” ดงฮยอนเสือกหน้าตัวเองเข้ามาใกล้ๆ แล้วถามด้วยแววตาฉงน เขาทำหน้าเอือมพลางเอามือดันหน้ามันออกไปอย่างแรงจนมันแทบหงายหลัง
“กูแค่อดนอน ทำไมต้องไปหาหมอ”
“กูจะบอกว่าพ่อไอ้คิบอมเป็นหมอหมาอ่ะมึง 55555555555555555555555555555555555” พูดจบมันก็หัวเราะเสียงดัง
“หึหึ หมอหมาเหรอ เอาตีนกูไปแดกก่อนเลยไปไอ้ห่า!” พูดจบก็ลุกขึ้นไล่เตะมันไปรอบห้อง เรียกเสียงหัวเราะจากคนในห้องได้อีกครั้ง
“ไอ้เหี้ยฮยอกแจหยู้ดดดดดดดดดดดดด โอ้ย! ทำไมมึงวิ่งเร็วอย่างงี้ ไหนบอกว่าอดนอน!”
“กูแค่อดนอนไม่ได้ทำให้การวิ่งของกูช้าลงหรอก มึงมานอนแนบธรณีให้กูกระทืบดีกว่า”
“ไม่อ๊าววววววววว!!!!!!!!!!! ไอ้ทงเฮ้ช่วยกูด้วยยยยยย!!!!!!!!”
“กูช่วยมึงไม่ได้หรอก”
“ไอ้เพื่อนเลวววววววววววววว โอ้ย! ไอ้ห่าฮยอกแจอย่าถีบ! โอ้ย!!”
ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะจากคนทั้งห้องเมื่อมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า “5555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ออดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น เหล่าลิงทั้งหลายในห้องก็รีบเก็บของยัดใส่กระเป๋าแล้วสลายโต๋ไปตามทางของตัวเองอย่างรวดเร็ว ยกเว้นก็แต่เขาสองคนที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
“ไปห้างกับกูหน่อยดิ” ทงเฮหันมาบอกเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้กัน ใบหน้าขาวเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ไปทำอะไรวะ”
“กูอยากได้กีตาร์ตัวใหม่”
“หายไข้แล้วเหรอไง”
“กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะเว้ย”
“เหรอ” มันยกยิ้ม “แล้วเมื่อคืนใครวะเพ้อเรียกชื่อกูทั้งคืนเลย J ”
รู้สึกเหมือนหน้าร้อนๆ หลังจากที่มันพูดประโยคนั้นออกมา เมื่อคืนก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้สติถึงขนาดจำอะไรไม่ได้หรอก แต่เลี่ยงที่จะไม่พูดถึงมันตลอดทั้งวัน เขิน... อีทงเฮกำลังเขินอย่างหนักเมื่อนึกย้อนไปถึงสภาพของตนเมื่อคืน จำได้ขึ้นใจทุกคำทุกเหตุการณ์ จำได้แม้กระทั่งคำพูดของมันที่ทำให้เขาหัวใจพองโต
“จะให้กูทิ้งมึงไปไหนได้ล่ะ”
มันพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น รอยยิ้มที่มีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นคนได้รับ...
“กีตาร์ตัวเก่าใช้ไม่ได้แล้วเหรอไง” ฮยอกแจพูดเมื่อพวกเขาเดินออกมาถึงหน้าโรงเรียนเพื่อขึ้นรถเมล์ ปกติถ้ามาโรงเรียนมันจะไม่ได้เอารถสุดหรูของตัวเองมาด้วยเหตุผลว่า
‘เดี๋ยวคนอื่นหาว่ากูอวดรวย’
ไม่ปฏิเสธว่ามันรวยจริงๆ รวยมาก บ้านหลังใหญ่โตแต่กลับมีแค่มันที่อยู่กับคนใช้อีกเป็นโขยง พี่ซองมินพี่ชายมันก็ไปเรียนต่อเมืองนอก พ่อก็ทำงานหนักบินไปบินมาระหว่างเกาหลีอเมริกา แต่ตอนนี้รู้สึกว่าจะอยู่ที่จีน ไปขยายกิจการอะไรอีกก็ไม่รู้
และถึงแม้ครอบครัวมันจะรวยแค่ไหน แต่ตัวมันกลับติดดิน ไปไหนก็ได้ กินอะไรก็ได้ ไม่ได้เรื่องมากเหมือนพวกคนรวยเขาชอบทำกัน ทุกวันมันจะไปกลับด้วยรถเมล์ แต่เมื่อเช้าให้รถที่บ้านมาส่ง คนนี่มองกันให้รึ่ม โรงเรียนที่พวกเขาเรียนอยู่ไม่ใช่โรงเรียนคนรวยอะไร ตัวเขาและเพื่อนคนอื่นเองก็ไม่ได้รวยอะไร ฐานะปานกลางกันทั้งนั้น พอเห็นเบนซ์หรูๆมาจอดถึงในโรงเรียนก็แตกตื่นกันเล็กน้อย
“ไอ้กึนซอกยืมไปแล้วทำพังอ่ะดิ เซ็งชิบ”
“เอาไปทำอีท่าไหนวะ”
“เมาแล้วเอาไปฟาดหัวไอ้จงชิน แตกไม่เหลือซาก ยังดีที่มันใช้เงินมา” พูดแล้วก็ทำหน้าเซ็ง
“อือ” มันตอบแค่นั้นแล้วก็เงียบกันไป พอดีกับที่รถเมล์มา
พอมาถึงที่ห้างพวกเขาก็เดินไปที่ร้านขายเครื่องดนตรีที่เป็นร้านประจำของพวกเขา พอเข้าไปก็เจอกับเจ้าของร้านที่ต้อนรับอย่างดีบอกให้เลือกได้ตามสบาย เขาเดินไปตรงโซนกีตาร์ ส่วนฮยอกแจแยกออกไปตรงโซนเบส
เลือกตัวที่ชอบแล้วนั่งลองเสียงอยู่สักพักก็เดินมาหาอีกคน แทบจะไม่ต้องเดินหาเพราะมันมีเบสสีสวยวางอยู่บนตัก นิ้วเรียวยาวดีดไปตามสายให้เกิดเสียง หลับตาพริ้มเหมือนล่องลอยไปกับเสียงดนตรี
นี่คืออีกมุมของอีฮยอกแจที่เขารัก
มันจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้จับเครื่องดนตรี เหมือนได้ปลดปล่อยความทุกข์ใจของมันออกมา เหมือนกับว่าเขาได้รู้จักอีกตัวตนของมันผ่านเสียงดนตรี
มันดีดเบสอีกสักพักก็วางลงแล้วหยิบกีตาร์โปร่งสีดำสนิทขึ้นมาวางบนตักแทน แล้วเริ่มดีดเป็นทำนอง ริมฝีปากบางร้องเพลงเสียงเบา
조금 더 웃어요 행복한 미소로
โช กึม ดอ อุซ ซอ โย แฮง โบค คัน มี โซ โร
ยิ้มให้มากขึ้น รอยยิ้มเธอที่มีความสุข
자꾸만 그대를 찾는 내 마음 달래도록
ชา กุ มัน คือ แด รึล จาช นึน แนน มาม ทัล แร โด โรค
เธอทำให้หัวใจฉันได้รับการปลอบโยน เธอจงเก็บรักษามันไว้
조금 더 웃어요 세상이 그댈 질투하도록
โช คึม ดอ อุซ ซอ โย เซ ซัง งี คือ แดล ชิล ทู ฮา โด โรค
ยิ้มให้มากขึ้น โลกใบนี้จะต้องอิจฉาเธอ
자꾸만 그댈 부르는 내 맘이 욕심도 내지 못할테니
ชา กุ มัน คือ แดล บู รือ นึน แน มาม มี โยค ชิม โด แน ชี โมซ ฮาล เท นี
หัวใจฉันที่ร้องเรียกเธออยู่ร่ำไป แต่มันคงไม่เป็นความอิจฉาไปหรอกนะ
พอร้องถึงคำสุดท้ายเสียงหวานก็หยุดร้องไปดื้อๆ ริมฝีปากบางยิ้มบางๆที่ไม่มีใครเดาอารมณ์ถูก ภาพนี้อยู่ในสายตาของคนทั้งร้านที่มองคนหัวขาวอย่างลืมตัว ราวกับตกอยู่ในภวังค์ รวมถึงเขาด้วย แต่เจ้าตัวดูเหมือนจะไม่สนใจใครตามเคย
“ฮยอกแจ”
เอ่ยเรียกชื่ออีกคนแล้วเดินเข้าไปหา คนถูกเรียกก็เงยหน้ามามองเขานิดหน่อยก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ได้แล้วเหรอ”
“เออดิ แล้วนี่จะซื้อเหรอ” เขาบุ้ยปากไปทางกีตาร์กับเบสที่อยู่ในมือของอีกคน ที่ถามเพราะที่บ้านมันก็มีอยู่แล้วทุกอย่าง แทบจะเปิดวงดนตรีได้เลยด้วยซ้ำ
“อืม สวยดี อันที่บ้านเป็นของพี่ซองมิน เดี๋ยวพังมาล่ะโดนด่าหูชา แล้วไหนกีตาร์มึง”
“ให้พี่เขาไปดูในสต็อกให้อยู่”
“น้องครับกีตาร์ได้แล้ว” พนักงานที่เดินเข้ามาส่งกีตาร์ยื่นให้พอดี ฮยอกแจเห็นว่าเขาได้ของแล้วเลยก้มลงเก็บกีตาร์กับเบสใส่กระเป๋าแล้วเขาก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกัน
“ไปหาไรกินกันป่ะ” ทงเฮพูดขึ้นพลางคว้าข้อมืออีกคนมาเตรียมเดินไปโดยไม่รอคำตอบ ในหัวสมองนึกถึงอาหารหลากชนิดในห้างใหญ่แห่งนี้
“กูจะกลับบ้าน หนัก”
ลืมไป... ฮยอกแจที่แบกทั้งกีตาร์ทั้งเบสแถมตัวมันก็เล็กนิดเดียวมองหน้าเขานิ่งๆ แต่ก็ดูออกว่ามันหนัก และถึงแม้จะดูออก เขาก็หิวมากเกินกว่าที่จะตามใจมัน
“ไม่เอา กูหิว”
“ฟังนะ.. มึงหิว มึงก็ไปกิน กูจะกลับบ้าน แล้วมึงก็กลับบ้านตัวเอง ไม่ต้องมาทำเนียน”
ทงเฮหน้ายู่ด้วยความขัดใจ “กูหิว กูอยากกิน กูอยากให้มึงไปด้วย”
“ทงเฮ...”
“เอาเบสมึงมานี่ กูถือเอง แล้วมึงก็ตามกูมาเงียบๆเลย” ทงเฮคว้าเบสบนหลังอีกคนมาถือไว้เองแล้วออกแรงลากฮยอกแจให้ไปตรงโซนของกินอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าแบบไหน รู้หรอกนะว่ามันไม่พอใจ เพราะมันไม่ชอบโดนออกคำสั่ง
แต่การที่มันก้าวเท้าตามเขามานั่นก็หมายถึงมันยอมแพ้เขา...
แอบคิดเข้าข้างตัวเองอีกครั้งไม่ได้ อีฮยอกแจที่ไม่เคยยอมใครแม้กระทั่งพ่อมันยังต้องยอมตามใจมัน แต่มันกลับตามใจเขาเสมอแม้ว่าจะทำหน้าไม่พอใจขนาดไหน
“ร้านนี้” มันพูดเบาๆแล้วหยุดเดิน ทำให้เขาต้องหยุดตามไปด้วย พอมองตามสายตามันไปก็ไปหยุดกับร้านอาหารหรูสไตล์อังกฤษที่มีคนไม่มากนัก แต่ร้านอย่างนี้ก็แพงน่ะสิว้อย เขาไม่ใช่คนรวยอย่างมันนะที่จะได้กินอะไรหรูๆ
ส่งสายตาไปหามันประมาณว่ากูไม่เอา ไม่มีเงิน แต่มันก็ไม่สนใจสักนิด กลับลากเขาไปหน้าร้าน แต่พอถึงทางเข้าเขาก็หยุดเดิน มันเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
“กูไม่มีเงินจ่ายหรอกนะ”
“กูบอกเหรอว่าจะให้มึงจ่าย” พอมันพูดแค่นี้ก็รู้ทันที... เขาพยายามจากลากมันออกมาอีกครั้ง บริกรที่ยืนอยู่หน้าร้านมองมาทางพวกเขาอย่างสนใจ
“เฮ้ยไม่เอา ฮยอกแจไอ้ห่าอย่าทำอย่างนี้”
“ทำยังไง มึงเพื่อนกูนะทงเฮ จ่ายเงินค่าข้าวให้แค่นี้จะเป็นอะไรวะ”
“แต่มันแพงเกิน” เขายังไม่ยอมแพ้
“กูบอกมึงไปกี่ครั้งแล้ว ทงเฮ” มันพูดหน้านิ่งไม่แพ้น้ำเสียง
“......................”
“อ ย่ า ขั ด ใ จ กู” พูดจบมันก็ลากเขาไปอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเอาแรงมาจากไหน ขนาดเขายื้อสุดกำลังมันก็ยังลากเขาไปได้หน้าตาเฉย แต่อยู่ดีๆมันก็หยุดเดิน ทำให้เขาที่ก้มหน้าก้มตาแงะมือมันเงยหน้าไปมอง
“มาผิดร้านหรือเปล่าครับน้อง”
บริกรผู้ชายใส่ชุดพนักงานที่ยืนอยู่หน้าร้านกันไม่ให้ฮยอกแจเข้าพร้อมกับถามด้วยแววตาดูถูก เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นแค่เด็กไม่เกิน 18 คงไม่มีเงินมากินร้านอาหารหรูๆอย่างนี้ เมื่อเขาหันไปมองหน้าเพื่อนรักก็เห็นว่ามันทำหน้านิ่งแถมปล่อยรังสีไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม คิ้วเรียวขมวดแน่นเป็นปม ริมฝีปากเรียบตึง
“หึ....” มันแค่นเสียงหัวเราะ
“.................”
เงียบทั้งเขาและบริกรผู้โชคร้าย เขาได้แต่คิดในใจ...
“เรียกพี่จองซูออกมา”
“หะ?”
อีฮยอกแจพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งพลางเอ่ยชื่อใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก แต่ปฏิกิริยาของบริกรผู้ชายคนนั้นกลับตกใจ
“ปาร์คจองซู ผู้จัดการร้านน่ะ เรียกออกมาเดี๋ยวนี้”
“ดะ...เดี๋ยวนะน้อง นี่น้องคิดว่าน้องเป็นใครอยู่ดีๆจะมาเรียกผู้จัดการอย่างนี้ได้ยังไง” บริกรเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเด็กในชุดอาชีวะที่ดูยังไงก็ไม่เกิน 18 ตรงหน้ามาเรียกหาผู้จัดการร้านเหมือนตัวเองเป็นคนใหญ่คนโต
“.......................” อีฮยอกแจไม่ได้พูดอะไร
ข้อเสีย ไม่สิ... ต้องเรียกว่านิสัยส่วนตัวของอีฮยอกแจคืออยากได้อะไรแล้วต้องได้ อย่างที่เขาบอก มันไม่เคยโดนขัดใจ นี่คงเป็นนิสัยเดียวที่เป็นนิสัยของพวกลูกคนรวยที่มันได้มา ปาร์คจองซูผู้จัดการร้านอะไรนั่นก็คงเป็นคนรู้จักของมันอีก
ไม่น่าล่ะ.... ทำไมถึงได้ลากเขามาร้านนี้
“อะไรน่ะ”
เสียงหวานของผู้หญิงอีกคนดังขึ้นข้างหลังบริกรทำลายความเงียบได้อย่างดี เจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้พวกเขาเผยให้เห็นว่าอายุของเธอคงเกือบๆสามสิบปี แต่งชุดสูทที่ดูทะมัดทะแมงสำหรับผู้หญิงทำงาน
“พี่อึนจอง” ฮยอกแจพูดอีกครั้ง และดูเหมือนจะเป็นชื่อของผู้หญิงคนนี้ เธอหันมาตามเสียงเรียก
“คุณฮยอกแจ!”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“อ๋อออออ ตกลงว่าพี่สาวคนนั้นเป็นผู้ช่วยสาขานี้ แต่ร้านอาหารนี่เป็นหนึ่งในกิจการของพ่อมึงว่างั้นเหอะ”
“อืม”
“ไมไม่บอกตั้งแต่ทีแรกวะ กูก็กลัวไม่มีเงินจ่าย ร้านหรูชิบหาย”
มันละสายตาจากอาหารตรงหน้ามามองเขา “อ้าว กูไม่เคยบอกเหรอ”
อีทงเฮอยากจะตบหัวคนตรงหน้าให้ทิ่มลงไปกับจานพาสต้า ยังมีหน้ามาถามกูอีกนะไอ้ห่า คิดแล้วก็อารมณ์เสียที่เผลอปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อเลยก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานของตัวเอง
“เฮ้ยทงเฮ อย่างอนดิ”
“..................”
“เดี๋ยวกูเบิ้ลพาสต้าให้สองจานเลย หายงอนยัง”
นี่มึงเห็นว่ากูเห็นแก่กินขนาดนั้นเลยเหรอ.... เขาคิดในใจ แต่ก็พยักหน้าไปเรียบร้อยแล้ว เห็นว่ามันยิ้มขำแต่สายตายังไม่ละไปจากเขา
“ตะกละ” มันด่า
“ของฟรีใครๆก็อยากแดก”
“เอาเหอะ แดกไปให้หมดร้านเลยก็ได้”
ยิ่งมองจากมุมนี้ทงเฮก็ยิ่งเห็นความแตกต่างระหว่างเขากับมัน ยังมีอะไรหลายๆอย่างในตัวมันที่เขาไม่รู้และไม่เคยได้สัมผัส ไม่รู้สิ... รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ทั้งๆที่สนิทกันขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่เขาก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรในตัวมันสักเท่าไหร่
“เงียบทำไมวะ”
“เปล่า”
มันหรี่ตามองเขาเหมือนพิจารณาอะไรบางอย่าง แล้วสักพักก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อย่าคิดแบบนั้น”
“แบบไหน”
“แบบที่มึงกำลังคิด”
“แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูคิดยังไง”
“ทงเฮ.....”
เขามองหน้ามัน รู้สึกอิ่มไปโดยปริยาย เขารู้ว่ามันรู้ว่าเขาคิดยังไงอยู่ มันรู้ใจเขาไปหมดทุกเรื่องแค่มองตา มองอาการของเขา
มันรู้จักเขาซะขนาดนั้น แต่มันก็ยังทำเป็นมองข้ามความรู้สึกของเขาทุกครั้ง....
“ทำไมวะ....” เขาเอ่ยปากพูดเสียงเบา
“..................”
“ทำไมมึงต้องมองข้ามความรู้สึกของกูไปเสมอ...”
มันไม่ได้หลบตา แต่กลับมองเขาตรงๆด้วยแววตาที่บอกไม่ถูก เนิ่นนานที่ไม่มีใครพูดอะไร กลายเป็นความเงียบที่บีบรัดหัวใจเขาให้ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮยอกแจไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไร
“แล้วเป็นเพื่อนกันไม่ได้เหรอ...” ริมฝีปากบางพูดเสียงเบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ
“................” เขาเองกลับเป็นฝ่ายพูดไม่ออก
“เป็นเพื่อนกันอย่างเก่าไม่ได้เหรอทงเฮ”
พยายามแล้ว....
เขาพยายามมาตลอดที่จะมองข้ามความรู้สึกของมันไปเพื่อรักษาคำว่าเพื่อน ไม่อยากเสียใครไปอีก ไม่อยากเปลี่ยนสถานะให้มันใกล้ชิดมากกว่านี้เพราะกลัวว่าถึงวันหนึ่งที่เลิกรากันไปจะไม่มีโอกาสกลับมาเป็นเพื่อนกันอีก
อีฮยอกแจก็แค่คนโลภมากที่อยากรักษาความสัมพันธ์นี้ให้คงอยู่ตลอดไป
“มึงไม่เข้าใจ...” ทงเฮพูด นัยน์ตาคมอ่อนแสงลงแต่ยังไม่ละสายตาจากเขา
“ใช่... กูไม่เข้าใจ”
“.............”
น้ำตาใสๆไหลคลอหน่วยตาลูกผู้ชายของอีทงเฮ... เขาไม่เคยร้องไห้ แม้ว่าเสียใจขนาดไหนก็ไม่เคยร้องไห้ แต่ครั้งนี้... มันมากเกินไป หนักเกินไป รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก กำลังจะจมน้ำตายโดยที่ไม่มีใครมาช่วย
ดิ้นรน เรียกร้อง ไปเพื่ออะไรกันนะอีทงเฮ... จะดิ้นรนให้ฮยอกแจมารัก จะเรียกร้องให้ฮยอกแจเห็นความรู้สึกของเขาไปเพื่ออะไร
ในเมื่อมันไม่เคยสนใจเขาตั้งแต่แรก
ปาดน้ำตาบนหน้าออก มองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรัก ก่อนจะเอ่ยถามคำถามสุดท้ายที่ตัดสินทุกอย่าง
“มึงรักกูบ้างมั้ย”
“ทงเฮ....” ฮยอกแจเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงเบา
“บอกกูมาเลยตรงๆ ไม่ต้องกลัวว่ากูจะเจ็บอะไรอีก ไม่ต้องคิดว่ากูจะรู้สึกยังไง ไม่ต้องเป็นห่วงกู ไม่ต้องคิดว่ากูเป็นเพื่อนมึง ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น แค่ตอบคำถามของกูมา”
“...กูไม่ได้รักมึงแบบนั้น”
“............”
“ทงเฮ กู....” อีกฝ่ายหยุดชะงักไปเมื่อเห็นน้ำตาของเขาที่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“พรุ่งนี้เราจะกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมมึงวางใจได้...”
พูดจบอีทงเฮก็คว้ากีตาร์ของตัวเองแล้วเดินออกนอกร้านไป ไม่คิดจะหันหลังกลับมาฟังคำร้องเรียกชื่อตนเองจากอีกคน
ถึงแม้จะยาก... จะลำบาก และจะปวดใจแค่ไหนเขาก็ต้องทำ
ทำเพื่อความสุขของอีกคนที่มันอยากให้เขาเป็น
อีทงเฮจะยังคงมีอีฮยอกแจในใจตลอดไป.........
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Signeun..
- จบแล้ว.... จบแล้วจริงๆนะ..... ไม่มีสเปต่อแล้วนะ .........
- จริงๆ แล้วแนวที่เราถนัดคือแนวนี้ค่ะ *ทำหน้าจริงจัง* แนวที่มันไม่ได้ลงเอยกันตอนท้ายนี่แหละ!
- ขอเม้าท์นิดหน่อยเกี่ยวกับหนังเรื่อง HOME ความรัก ความสุข ความทรงจำจะบอกว่าเป็นหนังที่ห้ามพลาด เนบีมสุดยอด!!!!! เราไปดูตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรง ไม่ผิดหวัง ไม่ผิดหวังจริงๆ จิกเบาะแทบแหกตอนกอดกัน ตอนป้าต่ายก็เศร้าค่ะ น้ำตานองหน้าเลยทีเดียว ส่วนตอนพี่นุ่นพี่เจมส์ก็ลึกซึ้ง (แต่ขอติหน่อยเถอะว่าจะให้พิชแต่งหน้าจัดไปไหนวะ = =)
ปล. ข้องใจมากเลย ทีแรกเราขึ้นไว้ 30% พอเข้ามาดูอีกทีทำไมมันหายไป เป็นอย่างนี้มาสองตอนแล้ว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กดี ต้องคอยมาแก้ตลอด เบื่อ
ความคิดเห็น