ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( shortfiction - ) HAEEUN WONKYU ❤

    ลำดับตอนที่ #6 : HAEEUN : FIGHT FOR YOU ( 100% อัพเต็ม )

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 55


    PAIRING : DONGHAE x HYUKJAE (HAEEUN)

    STORY : FIGHT FOR YOU 

    ANOTHER : SIGNSIGNEUN (sge)

    NOTE : อีทงเฮโหมดดาร์ก(?)

     

     



     

     

    ผู้ชายเตะต่อยเป็นเรื่องธรรมดา.....

     

     

     

     

    บรรยากาศยามเย็นในซอยข้างโรงเรียนช่างกลแห่งหนึ่งเงียบราวกับป่าช้าทั้งๆที่เวลานี้นักเรียนควรจะออกจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้านไปหาเตียงนุ่มๆ หรือไม่ก็ไปหลีหญิงต่อ ตรงกลางซอยซึ่งเป็นตรงที่ไม่มีคนผ่านมามากนัก มีเด็กนักเรียนราวๆสิบคน บนใบหน้าของทุกคนไม่ได้มีอารมณ์ตื่นเต้นหรือตึงเครียดใดๆ บางคนก็นั่งตั้งวงไพ่ป๊อกเด้งแก้เซ็งกันอย่างสบายอารมณ์

     

                “มึงว่ามันจะมาปะวะทงเฮ”

     

                เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางวงไพ่ เรียกชื่อคนที่กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่อีกข้าง คนถูกเรียกปล่อยควันสีเทาหม่นขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศก่อนจะหันมายิ้มเหี้ยมเกรียมให้อีกคน

     

                “ถ้าไม่มาวันนี้ พรุ่งนี้กูจะบุกไปถล่มแม่งถึงที่เอง สงเคราะห์ให้แม่งตายในรัง”

     

                เมื่อทงเฮพูดจบก็มีเสียงอู้ววว ดังขึ้นเป็นซาวน์ประกอบความโหดเหี้ยมของเพื่อนเกลอคนนี้ ตามมาด้วยเสียงแซว อันเป็นสัญลักษณ์ประจำของพวกเขา

     

                “แหม ไอ้พี่ทงเฮจอมโหดดด 5555555555555555555555555555555555555555555555555

     

                “ไอ้ฟายซึงโฮครับ จะเล่นไหมครับตาต่อไป กูจะได้ไม่แจกไพ่ให้มึง” ฮยอนซึง ชายหน้าหวานจัดแต่นิสัยไม่ได้หวานตามหน้าเอ่ยขึ้นเรียกอีกคนที่กำลังหัวเราะใส่ทงเฮให้หันมา

     

                “อุ้ย” ซึงโฮแกล้งทำหน้าแอ๊บแบ๊วทำเป็นกลัว ผงกหัวปลกๆให้ฮยอนซึง เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ไม่น้อย “เล่นครับไอ้หอกหน้าหวาน แจกเลยครับแจกเลย”

     

                ฮยอนซึงเบิร์ดหัวไอ้เพื่อนจอมกวนตีนไปหนึ่งทีโทษฐานกวนตีนไม่เข้าท่า แถมยังเรียกเขาว่าหน้าหวาน ยิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้อีกไม่เว้นแม้กระทั่งทงเฮ

     

                “มีความสุขกันเหลือเกินนะครับ” เสียงห้าวติดกวนตีนดังขึ้นมาจากอีกด้านของซอย ทุกคนหันไปมองแล้วก็พบกับ คู่กรณีที่มากันประมาณสิบสองคนนับจากสายตา

     

                ทงเฮเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืนมือข้างขวาถือดาบเคนโด้อันเป็นอาวุธประหารประจำตัว มือซ้ายก็ยังสูบบุหรี่แล้วพ่นควันขึ้นไปอย่างเคย แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มนั้นฉายแววดุดัน ทุกคนลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมพร้อม ไม่เว้นแม้แต่ซึงโฮที่เอาตีนเขี่ยไพ่ไปข้างๆ มือขวาถือไม้หน้าสามพร้อมรบ

     

                “ก็มีความสุขอยู่แล้วล่ะว่ะ วันนี้อยู่ดีๆก็มีหมามาให้ไล่ตีเล่น” ทงเฮพูดขึ้นยิ้มๆ แต่ว่าคำพูดนี้ทำเอาอีกฝ่ายเลือดขึ้นหน้าปราดเข้ามาจะต่อยหน้าเขา

     

                “อย่าใจร้อนสิจุนฮยอง  คนอย่างมึงจะทำให้คนอื่นเจ็บตัวไปด้วยเปล่าๆ” เสียงอีกเสียงพูดขึ้นขณะที่จุนฮยองกำลังจะก้าวต้องเก็บขาแล้วถอยหลังกลับทันที ประดุจว่าเสียงนั้นคือเสียงของคนที่ยิ่งใหญ่สุดในโลก

     

                แต่ก็ไม่ค่อยจะแตกต่างกันเท่าไหร่หรอก......

                ในเมื่อคนคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ใหญ่ที่สุดในหมู่พวกเขา

     

     

                เจ้าของเสียงเดินออกมาท่ามกลางคนอื่นที่รุมล้อม เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของอีกฝ่าย นัยน์ตากลมโตสีดำสนิท ผิวขาวจัด ที่ดูยังไงนี่มันก็ลุคลูกคุณหนูชัดๆ ถ้าไม่ติดว่าบนใบหน้าหวานนั่นมีปลาสเตอร์แปะอยู่ตรงจมูกล่ะก็นะ

     

                “ว่าไงคยูฮยอน แผลหายดีแล้วเหรอ” ทงเฮเอ่ยทัก

     

                “เออ ขอบคุณมากที่ช่วยไว้”

     

                “แผลไรวะทงเฮ” ซึงโฮเอ่ยถามอีกฝ่าย เนื่องจากว่าทงเฮไม่เคยเล่าให้ฟังว่าไปตีกับไอ้แมวคยูมาตั้งแต่ตอนไหน

     

                “พอดีสามวันที่แล้วโดนไอ้พวกแทคยอนมันดักตีแถวๆห้าง แล้วทงเฮมันผ่านมาเลยช่วยกูไว้กูเลยรอดตาย” ทงเฮไม่ได้ตอบคำถามแต่เป็นคยูฮยอนที่ตอบคำถามด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับเป็นเรื่องปกติ     

     

                “อย่าโยกโย้ กูว่าเรามาสะสางเรื่องของเราดีกว่า” ฮยอนซึงพูดขึ้น

     

                “เมื่อวานตอนเช้าไอ้มินโฮมาดักตีไอ้อูยองเด็กปีหนึ่งโรงเรียนกูถึงหน้าโรงเรียน ตอนเย็นมันก็พาพวกมารุมไอ้ซึลองอีก....” ท้ายประโยคแผ่วเบา แต่สัมผัสได้ถึงความแค้นแทนเพื่อนร่วมโรงเรียน “ทำอย่างนี้พวกมึงต้องการการนองเลือดใช่หรือเปล่า” ท้ายประโยคคำถาม ทงเฮตวัดสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายนิ่งๆ

     

                คยูฮยอนไม่ได้หลบสายตาอีกฝ่าย ทั้งสองคนมองตากันราวกับจะลองเชิง สุดท้ายคยูฮยอนก็ยื่นมือไปคว้าคอเสื้อใครสักคนแล้วผลักลงไปตรงกลางระหว่างเขาและทงเฮ

     

                “ทำไมสิ่งที่มึงบอกกูกับเรื่องที่มันบอกไม่เหมือนกัน” คยูฮยอนเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่บนพื้น “ไหนบอกกูมาสิ ชเวมินโฮ” ท้ายประโยคแทบจะเป็นเสียงกระซิบ อันเป็นสัญญาณว่าตอนนี้เจ้าของเสียงนั้นกำลังโกรธอย่างมาก มินโฮได้แต่ลนลานด้วยความกลัว

     

                ผัวะ

     

                ตีนของคยูฮยอนเตะยอดหน้าอีกคนให้หงายลงไปนอนกองกับพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม คนที่เพิ่งจะเตะหน้าอีกคนไปเดินไปหาแล้วย่อตัวลงนั่งยองๆลง มือขาวจับที่คางของอีกคน แน่นราวกับคีม

     

                “รับผิดชอบความผิดของมึงด้วยสิ่งที่มึงทำกับคนอื่นซะ แล้วต่อไปมึงไม่ต้องเสร่อมาให้กูเห็นหน้า”

     

                พูดจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มตัว เตรียมตัวจะหันหลังกลับไปถ้าอีกคนไม่เรียกไว้ก่อน

     

                “แล้วไอ้ห่านี่เอาไง” ทงเฮพูด

     

                “กูให้มึง จะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่”

     

                “แต่กูไม่ชอบของเหลือ” ทงเฮเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่เรียกว่ากวนตีนสุดขั้ว

     

                “แล้วจะมึงจะเอาไงไอ้เหี้ย” ไม่ใช่เสียงของคยูฮยอนที่ตอบ แต่เป็นเสียงของคนเลือดร้อนอย่างจุนฮยอง

     

                ฮยอนซึงเหล่สายตาไปมองเจ้าของเสียงนิดหน่อยก่อนพูด “มึงด่าใครไอ้เหี้ย ไอ้สัดนี่วอนตีนนะว่ามั้ย”

     

                “จัดหนักแม่งเลยเปล่า กูรออยู่ รากจะงอกแล้วห่าเอ๊ย”

     

                ซึงโฮพูดเสริมด้วยท่าทางเบื่อๆ เป็นยิ่งกว่าราดน้ำมันในกองเพลิง จุนฮยองถลาเข้ามาหาฮยอนซึงพร้อมไม้ในมือ  ทางด้านคนหน้าหวานก็เตรียมพร้อมรออยู่แล้ว  ซึงโฮเห็นว่าจุนฮยองถลามาหาฮยอนซึงก็เข้าไปช่วยเพื่อน แต่กลายเป็นการรุม พวกของคยูฮยอนที่เหลือก็เลือดขึ้นหน้าแห่กันเข้ามาหาทางฝั่งทงเฮ จึงกลายเป็นการตะลุมบอลระหว่างสองฝ่ายโดยอัตโนมัติ

     

     

                ทงเฮเห็นดังนั้นก็เข้าไปช่วยเพื่อน (จริงๆกะจะตีแม่งตั้งแต่เสือกเสนอหน้ามาทำหน้ากวนตีนใส่แล้ว) แต่คยูฮยอนกลับยืนเฉย ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะใครๆต่างก็รู้ว่าคยูฮยอนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ฝ่ายตนเป็นฝ่ายผิด นอกวงล้อมจึงเหลือคยูฮยอนกับมินโฮที่นอนกุมหน้าตัวเองอยู่

     

                มือขาวล้วงไปในกระเป๋ากางเกงสีดำแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ราคาแพงขึ้นมากดเบอร์ที่โทรหาเป็นประจำ

     

                “เออชางมินเหรอ มาเก็บศพไอ้พวกกากด้วยที่ซอยข้างโรงเรียน S

     

                มันไปหาเรื่องพวกไอ้ทงเฮสินะ

     

                “อือ ก็งี้แหละ” ปรายตาไปไปที่มินโฮอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าทงเฮไม่เอาไปจัดการทิ้ง เดี๋ยวชางมินก็จะมาจัดการเก็บมันด้วยตัวเอง คราวนี้ก็คงบอกลาไอ้มินโฮได้เลย

     

                ไอ้ห่านี่ รนหาที่ตาย ก็รู้กันอยู่ว่าไอ้ทงเฮแม่งโหดยิ่งกว่าอะไรดี

     

                “อย่าบ่นน่า กูจะไปกินข้าวเย็นกับแม่ละ เดี๋ยวแม่ด่า มึงมาเก็บไปด้วยละกัน”

     

                เออ เดี๋ยวจัดการเอง

     

                คยูฮยอนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินออกไปจากซอยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนจะเดินออกมาคือพวกของเขาล้มลงไปกองที่พื้นกันแทบหมด

     

     

     

     

    คิดจะเล่นกับไอ้ทงเฮ เจ้าพ่อของโรงเรียนฟากนี้

    ท่าทางเด็กของเขาคงต้องฝึกอีกสักสี่ห้าปี

     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

                “ว่ายังไงครับคุณพี่ทงเฮสุดหล่อ ไฉนวันนี้หน้าท่านพี่ถึงแลดูเบี้ยวๆไปนิดนึงล่ะครับ” เสียงห้าวติดกวนตีนดังขึ้นทันทีที่อีกคนก้าวเข้ามาในห้องเรียน เรียกเสียงหัวเราะจากทั่วห้อง ไม่เว้นแม้แต่คนถูกแซว ทงเฮเดินไปที่โต๊ะประจำของตัวเอง ผ่านอีกคนที่ฟุบหัวนอนอยู่โต๊ะใกล้ๆกัน วางกระเป๋าลงก่อนจะรื้อกล่องยาใต้โต๊ะออกมาวาง

     

                “ตื่นขึ้นมาทำแผลให้กูหน่อย” เขาส่งเสียงเรียกอีกคนที่นอนอยู่ หัวที่โกรกสีบลอนด์แสบตาโคลงเคลงไปมานิดหน่อยก่อนจะหันหน้ามาตามเสียงเรียกทั้งๆที่ยังไม่ได้ผงกหัวขึ้นมา

     

                “อย่ามาเรียกใช้กูตามอำเภอใจ กูไม่ใช่ลูกน้องของมึง”

     

                เมื่อได้ยินดังนั้นทงเฮก็ถอนหายใจเบาๆก่อนจะเปลี่ยนคำพูด “คุณอีฮยอกแจครับ ช่วยมาทำแผลบนหน้ากระผมให้หน่อยครับ ถือว่าผมขอร้อง เจ็บจะตายห่าอยู่แล้วครับตอนนี้”

     

                คนถูกเรียกชื่อเผยรอยยิ้มบางๆก่อนจะยืดตัวขึ้นมาเปิดกล่องยาเตรียมทำแผล แต่ก็ไม่วายมีเสียงแซว(หมาๆ) ของไอ้ซึลองหน้าห้องมาซะก่อน

     

                “ไอ้สัดคุณหล่อ ให้ไอ้ฮยอกแจทำแผลให้อีกละสัด”

     

                “เออนั่นนนนนนนนดิ” ซึงริที่นั่งข้างกันผสมโรง “มีเรื่องมาทีไรให้ใครทำแผลให้ก็ไม่ยอม ต้องกลับมาตายรังให้ไอ้ลูคิเมียทำแผลหะ....”

     

                ปุ

     

                ยังไม่ทันพูดจบสำลีทำแผลชุบแอลกอฮอลล์ก็ไปแปะอยู่บนหน้าผากซึงริจากฝีมือ ไอ้ลูคิเมียอย่างแม่นยำ ทุกคนในห้องเงียบเสียงลงราวกับปิดสวิทซ์

     

                “เอาแอลกอฮอลล์ไปแดกซะ เผื่อจะลดอาการปากหมาของมึงได้”

     

                เสียงหัวเราะและกระดาษถูกปาใส่ซึงริจากทั่วสารทิศจนคนถูกปาได้แต่ปกป้องตัวเองไปมา ฮยอกแจหัวเราะเบาๆกับความวุ่นวาย ก่อนจะหันมาชุบสำลีอันใหม่ทำแผลให้อีกคน

     

                “เดี๋ยวนี้มีลงไม้ลงมือด้วย?”

     

                “กูก็เอามาจากมึงทั้งนั้นอ่ะสารพัดความเลว”

     

                ทงเฮอ้าปากจะเถียงต่อแต่คนทำแผลจิ้มสำลีมาซะเต็มแรง ทำให้ต้องหุบปากอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนผมบลอนด์นั่งทำแผลให้เขาไปเรื่อยๆ จนสักพักเขาก็เห็นผู้ชายตัวสูงวิ่งหน้าตั้งมาหน้าห้อง แต่ไม่ใช่เขาคนเดียวหรอกที่เห็น เพราะเหมือนคนทั้งห้องก็เห็น ไอ้ซึลองเดินออกไปคุยเหมือนจะถามว่ามีอะไร สักพักก็เดินกลับมา แล้วตะโกนแหกปากเสียงดัง

     

                “ไอ้สัดลูคิเมีย มีคนมาหาครับ”

     

                ฮยอกแจร้องอือตอบกลับไปเบาๆแต่ก็ไม่ได้หันหน้าไปมองหรอกว่าใครมา นั่งปิดพลาสเตอร์แผ่นสุดท้ายให้คนตรงหน้าเสร็จก็เดินออกไปหน้าห้อง คุยอะไรไม่รู้ (ในห้องเสียงดังชิบหาย จะได้ยินเหี้ยอะไร ขนาดคุยกันใกล้ๆยังต้องตะเบ็งเสียง) สักพักฮยอกแจก็พยักหน้าแล้วพากันเดินออกไปด้วยกัน

     

                เมื่อสองคนเดินพ้นออกไปจากประตู ไอ้จอมเสือกทั้งหลายก็เข้ามามุงโต๊ะเขาราวกับดูหมีแพนด้า

     

                “หูยยย แม่งมาบอกรักไอ้ลูคิเมียเปล่าวะ” ฮยอนซึงเปิดประเด็น

     

                “กูว่าไม่หรอก คนจะมาสารภาพรักเหี้ยไรทำหน้าเครียดเหมือนจะลงสมัครเลือกตั้งนายก” ซึงโฮเสริม

     

                “มึงรู้เปล่าว่าไอ้นั่นเป็นใคร มึงสนิทกับไอ้ลูคิเมียไม่ใช่เหรอ” ดงฮยอนเสือกหน้าตัวเองเข้ามาถามเขาใกล้ๆ

     

                เขายังไม่ทันได้ตอบอะไรก็มีอีกเสียงพูดขึ้นมาก่อน

     

                “โหยไอ้พวกเหี้ย มึงไม่รู้อะไรกันเลยเหรอไง ไอ้นั่นอ่ะไอ้มินโฮเว้ย เด็กปีสอง สนิทกับฮยอกแจแม่งจะตาย ไม่ใช่มาบอกรักหรอก” ดงอุนบอกเสียงดัง (ในห้องจะมีใครไม่เสียงดังบ้างวะ)

     

                “หรือว่าแม่งจะมาขอยืมตัง ไอ้ลูคิเมียแม่งก็รวยใช่เล่นนะมึง”

     

                “ไม่หรอก กูว่ามาปรึกษาเรื่องถอยรถคันใหม่เปล่า แม่งชอบแต่งรถเหมือนกันนี่”

     

                “ถ้าเรื่องแต่งรถทำไมต้องทำหน้าเครียดอย่างนั้นด้วยวะ ควายจริงๆ กูว่านะ ไอ้มินโฮแม่งมาขออึ้บไอ้ลูคิเมียชัวร์ โหยเหี้ย มึงเห็นอย่างนั้นก็เถอะ จำได้เปล่าตอนเข้าค่ายปีที่แล้วอ่ะ หุ่นไอ้ลูคิเมียแม่งโคตรบาง ตัวก็โคตรขาว”

     

                “พอเหอะ พวกมึงทุกคนนั่นแหละ กลับไปนั่งที่ได้แล้ว โต๊ะกูไม่ใช่ที่ประชุมสาธารณะ” ทงเฮพูดขึ้นอย่างเหลืออด พลางถีบไอ้พวกนั้นไปไกลๆ พวกมันก็ทำตัวดีค่อยๆถอยหดหายไปทีละคน แต่คนปากดียังไงก็เป็นคนปากดี สุดท้ายก่อนไปไอ้สัดปากมอมซึลองยังพูดกับเขาว่า

     

     

                “แหม หวงก็บอกเถอะครับไอ้เสือทงเฮ”

     

     

                หวงเหี้ยอะไร ไอ้แห้งจะทำอะไรก็เรื่องของแม่งดิ เกี่ยวอะไรกับเขา

      

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

                อีกด้านหนึ่งฮยอกแจเดินนำมินโฮมาที่เงียบๆที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน เมื่อมองเห็นว่าปลอดภัยแล้วก็หันหน้ามาหา แล้วส่งสายตาประมาณว่ามึงมีอะไรก็พูดมา มินโฮจึงเปิดปากพูด

     

                “ตอนเย็นพวกไอ้ซีวอนจะมาตีเพื่อนผมว่ะพี่” คนตัวสูงพูด ขณะที่อีกคนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับตัวเขา อีกฝ่ายเห็นอย่างนั้นจึงพูดต่อทันที “เออออ ก็เพื่อนผมมันไปกวนตีนเขาก่อน แต่ว่าผมก็กลัวเพื่อนผมตายอ่ะ พี่ก็รู้ใช่ปะละว่าไอ้พวกนั้นมันเล่นแรง”

     

                ฮยอกแจหวนนึกไปถึงหน้าไอ้ซีวอน ซีวอนมันเป็นหัวโจกของอีกโรงเรียนหนึ่ง ตัวสูง หล่อเอาการ แถมทำตัวเลวได้ใจ เขาเคยเจอมันบ่อยที่สนามแข่งบ้าง ที่ผับที่ไปประจำบ้างแต่ไม่เคยทักเพราะไม่มีความจำเป็นอะไรต้องทำความรู้จัก

     

                “แล้วไง”

     

                “ไม่ได้จะให้พี่ไปช่วยตีกับพวกนั้นหรอก แต่อย่างน้อยพี่ก็ไปช่วยดูๆให้พวกผมหน่อยได้เปล่า ถือว่าขอร้องเหอะ”

     

                “ถ้ากูทำแค่ดูกูทำให้ได้ แต่ถ้ามากกว่านั้นกูไม่อยากเกี่ยว”

     

                นิสัยของคนผมบลอนด์ข้างหน้าเขาคือ ไม่เสือกเรื่องที่ไม่ใช่ของกูเขารู้ดียิ่งกว่าใคร แต่ในบรรดาคนที่เขารู้จักก็มีแค่คนนี้นี่แหละที่พอจะพึ่งได้มากที่สุด ถึงแม้คนตรงหน้าดูๆแล้วจะไม่มีพิษภัยอะไร แต่พอได้รู้จักจริงๆแล้วล่ะก็ เหอะเหอะ

     

                “จริงๆผมกลัวมันรุม” มินโฮพูดพร้อมถอนหายใจ

     

                “จะเอากูไปเป็นไม้กันหมาว่างั้นเถอะ” ฮยอกแจพูดตรงๆ ด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ นัยน์ตาเล็กมองหน้าอีกคนที่กำลังทำหน้าเหมือนอดอาลัยตายอยากในชีวิต

     

                “จะว่างั้นก็ได้”

     

                เมื่อมินโฮพูดจบก็เงียบกันไปทั้งคู่ เขารู้ว่ารุ่นพี่กำลังใช้ความคิด ก็อย่างที่บอก คนคนนี้ในสายตาคนอื่นอาจจะดูเป็นคนไม่มีพิษสง ตอนแรกเขาก็คิดอย่างนั้นแหละ ก็คนตัวเล็ก ผิวขาวอย่างกับผีดิบ แถมผอมบางอย่างนี้จะไปมีอะไรน่ากลัว ตอนที่เขาเจอฮยอกแจครั้งแรกคือเมื่อปีก่อนตอนเขาเข้ามาปีหนึ่งใหม่ๆ ตอนนั้นยังไม่รู้จักใครเลยสักคน

     

     

     

     

                มึงชื่ออะไรคนตัวเล็กผิวขาวซีดเดินเข้ามาถามเขา ด้วยใบหน้านิ่งๆ ที่ต้องถามชื่อก็เพราะต้องเล่นเกมส์สำหรับรับน้อง ตอนนั้นด้วยความที่เขาตัวสูงกว่า แถมอีกฝ่ายก็ตัวเล็กบอบบางซะ เลยตอบไปแบบไม่ได้คิดอะไร

     

              ไม่บอก

     

              พูดไปแค่นั้นแหละ รองเท้าผ้าใบเบอร์ 39 ก็ถีบมาที่กลางลำตัวเขาซะเต็มแรงทำเอาเขาทรุดลงไปแทบจูบกับพื้น คนอื่นหันมาสนใจคู่ของเขากันหมด ทุกคนเงียบสนิท ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฝีมือใครที่ทำให้เขานั่งก้นจั้มเบ้าอย่างนี้ มินโฮเงยหน้าขึ้นไปมองอีกคนที่กำลังยืนค้ำหัวเขาอยู่

     

              กูไม่ใช่คนใจเย็น

     

              เมื่อคนตัวเล็กพูดจบก็เงียบกันไปอีกครั้ง จนกระทั่งมีมือของใครสักคนมาดึงแขนคนที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่ จนอีกฝ่ายเซไป นัยน์ตาเล็กๆนั่นตวัดไปมองอีกคนที่มาดึงแขนตัวเองอย่างรำคาญ แต่คนนั้นกลับไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด แถมกลับพูดว่า

     

    มึงมานี่ มาสงบสติอารมณ์กับกูแล้วผู้ชายคนนั้นก็ลากรุ่นพี่หน้าหวานแต่นิสัยโหดออกไปโดยไม่ได้กลับมาอีกเลยตลอดการรับน้อง แล้วสุดท้ายเขาก็รู้ว่ารุ่นพี่ที่มาดึงพี่ตัวเล็กนิสัยโหดคนนั้นออกไปคือพี่ทงเฮ

     

               

               

     

     

     

                “มึงนัดกันกี่โมง”

     

                “ห้าโมงอ่ะพี่ ตรงซอย TB มันเงียบดี ไม่ค่อยมีคนผ่าน”

     

                “เออ เดี๋ยวกูไป แต่คงช่วยอะไรมากไม่ได้หรอกนะถ้าเพื่อนมึงโดนรุม” ฮยอกแจพูดอย่างอ่อนใจ เสือกไปกวนตีนเขาก่อนแล้วยังมีหน้ามาขอให้เขาช่วยอีก นี่ไปก็ดีเท่าไหร่แล้ว ถ้าเป็นคนรู้จักกันคงได้โดนเขาเตะยอดหน้าโทษฐานแกว่งตีนหาเซี่ยน

     

                “จริงเปล่าพี่ โหยยย ขอบคุณพี่มากเลย” มินโฮยิ้มกว้าง

     

                “ไม่เป็นไร แต่เดี๋ยวกูจะพาไอ้ทงเฮไปด้วยแล้วกัน ถ้าเกิดมันเล่นอะไรตุกติกอย่างน้อยก็มีไอ้ทงเฮ มันก็คงจะพอรู้จักกันอยู่ เลวพอกัน” คนหัวขาวแอบกัดเพื่อนสนิทเล็กๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนตรงหน้าได้ไม่น้อย

     

                “โอ้ยขอบคุณมากเลยพี่ อย่างน้อยมีพี่ทงเฮไปก็อุ่นใจกว่าพี่ฮยอกแจไปคนเดียวอ่ะ”

     

                “ไอ้สัดนี่วอนตีนกูเหรอ” พูดจบฮยอกแจทำท่าจะเตะรุ่นน้องจอมกวนตีน แต่มันก็พาขายาวๆ ของมันวิ่งหนีเอาตัวรอดไปซะก่อน เขาเลยได้แต่ส่ายหัวอย่างขำๆ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้อง แต่พอหันหลังกลับมาก็เห็นทงเฮยืนอยู่ก่อนแล้วจึงเดินเข้าไปหา

     

                “ไอ้เด็กนั่นมาคุยอะไรกับมึง” ทงเฮถามหน้านิ่ง

     

                “เพื่อนมันมีเรื่องกับพวกไอ้ซีวอน ตอนเย็นมันเลยขอให้ไปดูๆให้หน่อย”

     

                “ให้มึงเนี่ยนะ”

     

                “จริงๆ กูรู้ว่ามันอยากให้มึงไปมากกว่า มึงก็ไปหน่อยล่ะกัน ถือว่าช่วยๆ กันไป” คนหัวบลอนด์พูดจบก็เดินนำหน้าเข้าห้องไป อีกคนก็ได้แต่เดินตามหลังมาไมได้พูดอะไรต่อ

     

     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

     

                17.00 @ ซอย TB

     

               

                มินโฮมองนาฬิกาหลายครั้งเพราะหวั่นใจว่าคนที่นัดไว้จะไม่มา ในใจก็กลัวเพื่อนโดนรุมเพราะปัญญาแค่พวกเขาจะไปทำอะไรฝ่ายตรงข้ามได้ เบอร์ติดต่อพี่ฮยอกแจก็ไม่มี ไม่มีหลักอะไรประกันว่าพี่เขาจะมาตามนัดอีกต่างหาก

     

     

                โอ้ยยยยยย อยากจะบ้า

     

     

                และขณะที่มินโฮกำลังมองนาฬิกาเป็นรอบที่ยี่สิบ หูก็ได้ยินเสียงแอสตันมาติน วีสิบสองขับเข้ามาใกล้ เมื่อรถจอด เท้าก็ติดเทอร์โบวิ่งเข้าไปใกล้ทันที วินาทีนี้พี่ฮยอกแจเหมือนเป็นเทวดาขึ้นมาทันใด (ไม่อยากจะบอกว่าปกติเห็นพี่ฮยอกแจเป็นมารมาตลอดเพราะน่ากลัวชิบหาย) คนหัวบลอนด์เปิดประตูฝั่งคนขับออกมาก่อน ตามด้วยอีกคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามคนขับ

     

     

                อีทงเฮ...

     

     

                ทงเฮกำลังทำหน้ายุ่งๆไม่สบอารมณ์เพราะโดนฮยอกแจลากมาทั้งๆที่เขาอยากไปนั่งกินเหล้ากับพวกไอ้ฮยอนซึงมากกว่า แต่ก็อย่างว่าเขาไม่เคยขัดใจเพื่อนสนิทคนนี้ได้หรอก มินโฮโค้งลงให้ทงเฮอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายก็เพียงแค่พยักหน้า

     

                “มากันครบยัง” ฮยอกแจเอ่ยปากถาม

     

                “พวกนั้นยังไม่มาเลยพี่”

     

                “โทรไปตามดิ๊ มาเบอร์เปล่า กูมีนัดต่อ” คนหัวบลอนด์ยืนพิงประตูรถแล้วล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรไปหาอีกฝ่าย

     

                “ไม่มีอ่ะ” คนตัวสูงพูดเบาๆ

     

                ฮยอกแจปรายตาไปทางทงเฮแวบหนึ่ง “งั้นไปเรียกเพื่อนมึงคนที่มีเรื่องมาคุยกับกูก่อน” มินโฮพยักหน้าก่อนจะเดินไปตามอีกคนที่ตัวไม่สูงมาก ทงเฮมองตามไปเห็นแวบเดียวก็จำได้ว่าเป็นใคร แต่ฮยอกแจกลับเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

     

                “นี่อ่ะพี่ มันชื่ออนยู” คนที่ถูกแนะนำตัวโค้งให้รุ่นพี่ทั้งสองคนอย่างนอบน้อม ดูไม่เหมือนกับคนที่จะแกว่งตีนหาเซี่ยนเท่าไหร่

     

                “ทำไมไปมีเรื่องกับพวกไอ้ซีวอนได้วะ” ฮยอกแจเปิดปากถาม

     

                “เมื่อวานซืนที่ Alizer ไอ้ห่านี่ไปแย่งเด็กเขาน่ะสิ แถมยังลอยหน้าลอยตาประหนึ่งว่ากูไม่ผิด ถ้าเป็นกูกูเอาแม่งตายที่ผับไปแล้วไม่ต้องรอให้นัดมาอย่างวันนี้หรอก” ทงเฮชิงพูดก่อนที่อีกคนจะพูด นัยน์ตาสีน้ำตาลมองไปที่รุ่นน้องอย่างเรียบเฉยทำเอาอีกคนต้องหลบสายตา

     

                “จริงอย่างที่ทงเฮมันพูดหรือเปล่ามึง”

     

                “คะ...ครับ”

     

                ยังไม่ทันที่จะมีใครพูดอะไรต่อ เสียงรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาใกล้ รถคันนำหน้านั้นทงเฮจำได้ดีว่าเป็นของชเวซีวอน พวกมันมากันประมาณสิบคน เมื่อจอดรถซีวอนก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

     

                “อ้าว ไอ้ทงเฮใช่ไหม ทำไมมาอยู่ที่นี่”

     

                ทงเฮเหล่มองฮยอกแจนิดหน่อยก่อนหันไปตอบ “เออรุ่นน้องกูมีปัญหากับมึง”

     

                “กูก็ว่าแล้วว่าชื่อโรงเรียนมันคุ้นๆ แล้วมึงจะว่าไง รุ่นน้องมึงเสือกกวนตีนกูก่อนนะ” ซีวอนเข้าเรื่องทันทีโดยไม่รีรอตามประสา

     

     

                พลั่ก!

     

     

                เสียงหมัดหนักๆของคนผมบลอนด์กระแทกเข้าไปที่หน้าของตัวก่อเรื่องอย่างแรงจนอนยูล้มลงไป มินโฮเข้าไปประคองเพื่อนก่อนจะหันมามองฮยอกแจอย่างไม่เข้าใจ แต่ฮยอกแจทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ ก่อนจะหันหน้ามาหาซีวอน

     

                “กูจัดการเด็กกูเอง ขอโทษทีที่มันทำนอกกกรอบไปกวนตีนมึงเมื่อวันก่อน”

     

                ซีวอนหันมามองหน้าคนตัวเล็กผิวขาวที่ดูจากหน้าตาและไซส์แล้วไม่น่าจะเป็นคนห่ามหรือห้าวอะไร แล้วยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม

     

                “นี่ก็คงเป็นอีฮยอกแจคนดังสินะ เพิ่งเคยเห็นตัวจริงชัดๆก็วันนี้ น่ารักกว่าที่คิดเยอะ”

     

                “ดัง?” ฮยอกแจทวนคำพูดของอีกฝ่าย

     

                “อ่าฮะ อีฮยอกแจเพื่อนรักสุดสวาทของอีทงเฮ รักการแข่งรถ พูดน้อย ต่อยหนักแต่หน้าตาหวานเสียยิ่งกว่าอะไรดี”

     

                “งั้นเห็นแก่ความดังของกู ปล่อยเด็กกูไปละกันแล้วเดี๋ยวกูเลี้ยงเหล้ามึงเอง”

     

                ซีวอนเดินเข้ามาใกล้ฮยอกแจที่ไม่ได้หลบไปไหนจนระยะห่างของใบหน้าทั้งคู่ห่างไม่เกินสองคืบ ใบหน้าหล่อยกยิ้มอีกครั้ง มือหนาก็ลูบไปตามใบหน้าหวานของอีกฝ่ายช้าๆ ก่อนจะพูด “งั้นก็โอเค ที่จริงก็ไม่ได้ติดใจเด็กของนายมากเท่าไหร่หรอก”

     

                Erase สองทุ่ม” ฮยอกแจพูดก่อนจะผลักอีกคนออกแล้วเปิดประตูส่งสัญญาณให้ทงเฮขึ้นรถ ก่อนที่แอสตันวีสิบสองจะพาร่างของคนสองคนออกไปจากซอย ทิ้งให้ซีวอนมองตามไปด้วยแววตาวาววับราวกับถูกใจบางอย่าง  

     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

     

                “ทำไมต้องเลี้ยงเหล้ามันด้วยวะ” ทงเฮถามทันทีที่ออกรถ คนขับยักไหล่นิดหน่อยก่อนตอบ

     

                “มึงก็เปรี้ยวปากอยากแดกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

     

                “จะบอกว่าที่เลี้ยงนี่จะเลี้ยงกู?”

     

                “ชวนพวกไอ้ฮยอนซึงมาด้วยก็ได้ จะได้แดกไปเลยทีเดียว”

     

                อีกฝ่ายตอบไม่ตรงคำถาม แต่ทงเฮรู้ดีว่านั่นคือการตอบรับว่าจะเลี้ยง ริมฝีปากหนาขยับเป็นรอยยิ้มแล้วกดส่งข้อความไปหาพรรคพวกให้ไปตามสถานที่นัดหมาย

     

                สำหรับคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน แค่มองตากันก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ประโยคนี้คงใช้ได้แค่กับฮยอกแจ มันรู้ใจเขาไปหมด รู้ว่าเขารู้สึกยังไงเพียงแค่มองตา แต่ตัวเขากลับไม่เคยรู้เลยว่ามันคิดอะไรอยู่ แต่นั่นก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกอึดอัด

     

     

     

     

                อีฮยอกแจสำหรับเขาแล้วเป็นอะไรที่เหนือคำบรรยายเสมอ

     

     

     

     

                คนอื่นมักจะมองว่าเขากับมันก็เพื่อนกันธรรมดาที่โคตรสนิท แต่ความจริงแล้วเขารู้สึกกับมันมากกว่านั้น.....  เขารักอีฮยอกแจ รักมากนาน

                ตัวมันเล็กแถมผอมแห้ง เขาจึงมักจะกันมันออกจากวงเสมอเวลาไปมีเรื่องที่ไหน ไอ้ความรู้สึกนี้ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่รับรู้ เขาเองด้วยซ้ำที่เป็นคนบอกมันไปตรงๆตั้งแต่แรกว่ารู้สึกยังไง จำได้แม่นว่ามันเพียงแค่พูดว่า

     

     

                “อืม”

     

     

                ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่มันก็ไม่เคยทำตัวเปลี่ยนไปจากเดิม เขากับมันก็เป็นเพื่อนกันในสายตาคนนอก และเขาก็ยังคงรักมันเหมือนเดิม

     

     

     

                “มึงจะกลับบ้านตัวเองหรือบ้านกู” มันถามเขาโดยยังไม่ละสายตาจากถนน

     

                “บ้านมึง”

     

                “ไม่ห่วงแม่มึงบ้างหรือไง ลูกชายไม่ได้กลับบ้านมาสองวันแล้วนะ”

     

                “หึ” เขาหัวเราะเสียงขึ้นจมูก “นั่นแหละสิ่งที่เขาควรจะดีใจ”

     

                เขาพูดจบรถก็ติดไฟแดงพอดี มันเลยหันหน้าที่ขมวดคิ้วมาทางเขา “เมื่อวานป้าฮาริมโทรมาหากู เขาถามว่ามึงอยู่กับกูใช่ไหมเขาจะได้หมดห่วง เลิกอคติกับแม่มึงเสียทีเถอะทงเฮ เขารักมึงมากแต่มึงมองข้ามความรักของเขาต่างหาก”

     

     

                แล้วมึงก็มองข้ามความรักของกูเหมือนกัน!!!’

     

     

                อยากจะตะโกนใส่หน้ามันแต่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจแล้วเบือนหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่าง

     

                “ไม่มีใครรักมึงได้เท่าแม่มึงหรอกนะ”

     

                “......”

     

                “กูให้ค้างบ้านกูได้แค่คืนนี้ พรุ่งนี้มึงต้องกลับบ้านตัวเอง อย่าให้กูรู้ว่าไปค้างบ้านคนอื่นอีก” มันพูดสั่งเขาราวกับรู้ทันก่อนจะออกรถเพราะไฟสัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว

     

                รู้ทันเขาไปซะทุกเรื่อง... สั่งนั่นสั่งนี่ทั้งๆที่ทั้งชีวิตของเขาไม่เคยยอมฟังคำสั่งใคร บังคับเขาสารพัด แต่ก็รู้ว่าที่มันทำไปเพราะหวังดี ด้วยใจบริสุทธิ์หวังอยากให้เขาเลิกอคติกับแม่ตัวเอง และมันอาจจะไม่เคยรู้ ว่าความหวังดีของมันทำให้เขาถลำลึกจนไม่อาจถอนตัว

     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

                เมาเป็นหมา.... คือสภาพของอีทงเฮ มองแล้วก็เพลีย กินไม่เคยยั้งปาก ความอยากไม่เคยยั้งมือ คนอื่นแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ทีแรกไอ้ดงอุนจะเข้ามาช่วยแต่เขาก็บอกให้มันรีบกลับบ้านไปเพราะเห็นว่าพ่อมันโทรมาตามตั้งแต่สี่ทุ่ม แล้วสุดท้ายเป็นไง ต้องแบกมันที่ตัวโคตรหนักกลับขึ้นรถคนเดียว

     

                เป็นเพื่อนของอีทงเฮใครบอกสบายวะ มาต่อยกับเขาเลยมา

     

                ตัวเขาเองก็ดื่มไปใช่ย่อย แต่ก็ยั้งตัวเองไว้ได้ ยังดีที่คอแข็งทั้งที่ไม่ได้กินบ่อยๆ แต่ไอ้คนที่เขากำลังหิ้วปีกอยู่เนี่ย คออ่อนเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งๆที่กินบ่อย

     

                ตุบ

     

                สลัดแขนมันที่พาดอยู่ที่ไหล่แล้วผลักตัวมันลงไปบนเบาะข้างคนขับ ไม่กล้าทิ้งไว้เบาะหลัง เพราะเคยมีประวัติการอ้วกใส่เบาะหลังเขามานักต่อนัก คนเมาหลับตาพริ้มเหมือนกำลังฝันหวาน หัวทุยๆขยับนิดหน่อยเหมือนหาองศาที่เหมาะแก่การนอนสบาย ยิ่งมองก็ยิ่งหมั่นไส้ วันนี้เสียเงินไม่เท่าไหร่แต่เสียแรงไปกับการแบกมันนี่แย่ยิ่งกว่า

     

                ก็เงินมันเป็นเงินที่พ่อส่งมาให้ใช้ ไม่ใช่เงินที่เขาหาเองสักหน่อย ไม่คิดเสียดายเท่าไหร่ ไว้เป็นเงินที่หาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองแล้วค่อยว่ากันอีกที

     

                เดินอ้อมมานั่งประจำที่คนขับก็เห็นว่าหัวมันแนบชิดติดกับกระจก กลัวว่าพอออกรถหัวจะโขกกระจกแตกเลยเอื้อมไปจับหัวมันให้ประจำที่ดีๆ อดที่จะบ่นไม่ได้

     

                “คนเหี้ยไรตัวหนักชิบหาย”

     

                “...............”

     

                “เสียเงินไม่เท่าไหร่แต่เสียแรงไปกับมึงนี่กูบอกตรงๆว่าไม่ไหว ตัวกูก็แค่นี้ แต่ตัวมึงยิ่งกว่าควาย”

     

                “...............”

     

                บ่นไปก็เท่านั้นแหละ เมาซะจนสลบไปซะขนาดนี้คงไม่มีทางตื่นขึ้นมาเถียงเขาฉอดๆเหมือนทุกครั้งหรอก พอจัดให้มันนอนดีๆ คาดเข็มขัดให้มัน คาดของตัวเองแล้วก็ออกรถมา ขับมาไม่ไกลก็ถึงบ้านเขา บีบแตรอย่างไม่เกรงใจชาวบ้าน ไม่นานก็มีคนมาเปิดประตูให้ ขับพุ่งผ่านไปด้วยความเร็ว

     

                เอี๊ยด

     

                เสียงยางเสียดสีไปกับพื้นถนน พอออกมานอกรถก็เห็นคนสองคนวิ่งกระหืดกระหอบออกมา เดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่ง เพียงเท่านี้พวกนั้นก็รู้ทันทีว่าควรทำยังไง เขาถอยหลังออกมานิดหน่อยปล่อยให้แม่บ้านจัดการร่างของเพื่อนที่เมาไม่ได้สติ

     

                “ทำไมคุณทงเฮถึงเมาขนาดนั้นล่ะคะ”

     

                เสียงแม่บ้านคนเก่าแก่ดังขึ้นข้างๆ เธอหันมาค้อนเขาขวับเหมือนจะหาว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้อีทงเฮเมา ไม่ผิดหรอก ค้อนเขานั่นแหละ.... อีทงเฮเป็นขวัญใจของทุกคนในบ้านเขาซะยิ่งกว่าเจ้าของบ้านตัวจริง

     

                “ไม่รู้มัน ป้าให้ลุงเอารถผมไปเก็บด้วยนะ” เธอหยักหน้าก่อนจะขอตัวเดินออกไปอีกทาง เขาเดินขึ้นมาบนห้องตัวเองก็พบว่าบนเตียงขนาดคิงไซส์มีร่างของเพื่อนรักนอนอยู่เต็มพื้นที่ ข้างๆเตียงเป็นสาวใช้สองคนที่ยืนนิ่ง หนึ่งในสองคนหันมาเห็นเขาก็เอ่ยปากถาม

     

                “คุณฮยอกแจจะเอาอะไรเพิ่มมั้ยคะ”

     

                “ยาแก้แฮงก์ น้ำเปล่า แล้วก็เช็ดตัวให้มันด้วยแล้วกัน” พูดจบพวกเธอก็ออกจากห้องไปเงียบๆ

     

                อีทงเฮมีข้อดีเวลากินเหล้าแล้วเมาอยู่หลายอย่างพอๆกับข้อเสีย หนึ่งคือแม้ว่าจะเมาขนาดไหนก็มั่นใจได้ว่ามันจะไม่อาละวาด สองคือมันจะนิสัยดีกะทันหัน คือทำตามสิ่งที่บอกอย่างว่าง่าย

     

                เขายืนมองมันแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว เดินไปหยิบผ้าขนหนูกับผ้าคลุมอาบน้ำแล้วเดินเข้าห้องน้ำที่เชื่อมอยู่กับห้องนอนไป

     

                พอเดินออกมานอกห้องน้ำก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นสภาพเตียงและสาวใช้

     

                “เกิดอะไรขึ้น”

     

                “เอ่อ....” เธออึกอักแถมไม่กล้าสบตาเขา ได้แต่กระแซะกันไปกระแซะกันมาเบี่ยงให้อีกฝ่ายเป็นคนตอบ

     

                “ฮ...ฮยอกแจเหรอ”

     

                คนเมาที่นอนบนเตียงเอ่ยเรียกเขา เหมือนมันดูจะมีสติขึ้นเยอะ ขาก้าวเข้าไปยืนข้างเตียงไม่ได้พูดอะไรตอบ

     

                “ฮยอกแจ....”

     

                “...........”

     

                “กู.....” พูดแล้วก็เงียบ ยื่นมือออกไปแนบกับหน้าผากมันก็รู้สึกร้อน ไข้คงจะขึ้น ตามันดูลอยๆเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่พอจะเอามือออกมันกลับคว้าหมับที่ข้อมือเขาแล้วเอาไปแนบกับแก้มตัวเอง

     

                สาวใช้อดที่จะหน้าแดงขึ้นมากะทันหันไม่ได้เมื่อเห็นมุมแบบนี้ของทั้งสองคน เธอทำงานที่นี่มานานพอดู และก็รู้ว่าคุณทงเฮกับคุณฮยอกแจเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก คุณทงเฮมักจะมานอนกับคุณฮยอกแจเสมอ ทั้งๆที่ห้องนอนของแขกก็มี และคุณฮยอกแจที่พวกเธอรู้จักคือคนที่โลกส่วนตัวสูงปรี๊ด เพื่อนที่เคยมาบ้านก็มีแค่ไม่กี่คน

     

     

                แค่เห็นสายตาของคุณทงเฮก็รู้ว่ารักคุณฮยอกแจเกินกว่าคำว่าเพื่อน

     

     

                เธอมั่นใจว่าหลายๆคนก็ต้องคิดอย่างเธอ แต่สิ่งที่เธอไม่รู้คือใจคุณหนูของบ้านอย่างคุณฮยอกแจ เมื่อมองภาพตรงหน้าเธอก็ยิ่งหน้าแดงเมื่อเห็นว่าคุณฮยอกแจใส่แค่ชุดอาบน้ำสีขาวที่ผูกไว้หลวมๆ เผยให้เห็นอกขาวๆ ที่ไม่เคยโดนแดด แถมได้รับการดูแลอย่างดี หยดน้ำเกาะพรายที่หน้าและหัว แอบกรีดร้องในใจเสียงดัง

     

     

                คุณฮยอกแจเซ็กซี่ที่สุด!

     

     

                “ออกไปเถอะ” เธอดึงสติกลับมาแทบไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายพูด แต่สายตาก็ยังไม่ละจากคนที่นอนอยู่บนเตียง

     

                “แต่ว่า.....”

     

                “ไม่เป็นไร เดี๋ยวจัดการเอง” ราวกับถูกอ่านใจ พวกเธอเป็นห่วงว่าคุณฮยอกแจจะดูแลคุณทงเฮไม่ไหว เพราะตัวต่างกัน ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แล้ว แต่คุณทงเฮไข้ขึ้น เมื่อกี้ก็เพ้อหาคุณฮยอกแจไม่หยุด

     

                แต่เมื่อเห็นสายตาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายก็ทำให้เธอไม่กล้าพูดอะไรต่อ ได้แต่สะกิดเพื่อนอีกคนแล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ

     

                “ฮยอกแจ....”

     

                “........”

     

                “ฮยอกแจ....”

     

                คนไข้ขึ้นเพ้อเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันก็ยังจับมือเขาแน่น ได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง ทรุดตัวลงบนเตียงแล้วเอ่ยปากตอบ

     

                “อะไร” คราวนี้มันพยายามลืมตาขึ้นมามองเขา มือที่แนบอยู่กับแก้มมันสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ดูท่าว่าจะไม่ลดลงง่ายๆ อีทงเฮเป็นผู้ชายที่แข็งแรงก็จริง แต่เวลาป่วยนี่ก็อ่อนแอแบบสุดๆ จนไม่น่าเชื่อ

     

                “อ...”

     

                “...........”

     

                “อยู่กับกู..... นะ” มันพูดพร้อมกับส่งสายตาอ้อนๆแบบที่เขามั่นใจว่าไม่มีใครเคยเห็น เขายิ้มบางๆ เลื่อนมืออีกข้างไปลูบแก้มอีกฝ่าย แล้วพูด

     

     

     

     

                “จะให้กูทิ้งมึงไปไหนได้ล่ะ”

     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

                ง่วง.. ง่วงมาก.. ง่วงมากที่สุด...

     

                คืออารมณ์ของเขาตอนนี้ ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเรียนอย่างไม่สนใจใคร ตอนนี้เป็นช่วงพักระหว่างชั่วโมงเลยมีเวลาให้พอนอนบ้าง เมื่อคืนก็แทบจะไม่ได้นอน ไม่สิ ต้องเรียกว่าไม่ได้นอนเลยมากกว่าเพราะไอ้คนเป็นไข้เสือกพร่ำเพ้ออะไรไม่รู้ทั้งคืน แถมตัวก็ร้อน เขาต้องเอาผ้าเช็ดตัวให้ตั้งหลายรอบ กว่าไข้จะลดก็หกโมงเช้า เลยรีบให้มันแต่งตัวใส่ชุดเขามาโรงเรียน

     

                “เฮ้ย! ไอ้ลูคิเมียเป็นไร” เสียงไอ้ซึลองตะโกนมาจากข้างหลัง “ไอ้ทงเฮมันจัดหนักมึงรึงายยยยยยยยยยย”

     

                พอมันพูดจบก็มีเสียงหัวเราะกวนส้นตีนของคนในห้องเป็นซาวน์ประกอบ เขาเงยหน้าที่เพิ่งฟุบลงไปมามองไอ้คนต้นเสียง

     

                “อยากให้กูจัดหนักกับมึงบ้างมั้ยล่ะ” พูดพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “เดี๋ยวกูเรียกไอ้โจควอนให้”

     

                555555555555555555555555555555555555555555555555555555555” เสียงหัวเราะจากทั่วทุกสารทิศถูกกระหน่ำใส่ซึลอง มันได้แต่หน้าซีดแล้วชี้นิ้วมาทางเขาอย่างคาดโทษ เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เป็นที่รู้กันดีว่าโจควอนห้องสามแม่งโคตรน่ากลัวสำหรับไอ้ซึลอง อาทิตย์ที่แล้วเห็นมาจิกหัวไอ้ซึลองโขกกับโต๊ะจนเลือดไหลเพราะเห็นว่าไอ้ซึลองไปด่าอะไรเขาก็ไม่รู้ เดือดร้อนคนอื่นต้องเข้ามาห้าม

     

                “มึงดูโทรมๆนะเว้ยฮยอกแจ ไปให้พ่อไอ้คิบอมมันตรวจดีเปล่า หน้าซีดชิบหาย” ดงฮยอนเสือกหน้าตัวเองเข้ามาใกล้ๆ แล้วถามด้วยแววตาฉงน เขาทำหน้าเอือมพลางเอามือดันหน้ามันออกไปอย่างแรงจนมันแทบหงายหลัง

     

                “กูแค่อดนอน ทำไมต้องไปหาหมอ”

     

                “กูจะบอกว่าพ่อไอ้คิบอมเป็นหมอหมาอ่ะมึง 55555555555555555555555555555555555” พูดจบมันก็หัวเราะเสียงดัง

     

                “หึหึ หมอหมาเหรอ เอาตีนกูไปแดกก่อนเลยไปไอ้ห่า!” พูดจบก็ลุกขึ้นไล่เตะมันไปรอบห้อง เรียกเสียงหัวเราะจากคนในห้องได้อีกครั้ง

     

                “ไอ้เหี้ยฮยอกแจหยู้ดดดดดดดดดดดดด โอ้ย! ทำไมมึงวิ่งเร็วอย่างงี้ ไหนบอกว่าอดนอน!

     

                “กูแค่อดนอนไม่ได้ทำให้การวิ่งของกูช้าลงหรอก มึงมานอนแนบธรณีให้กูกระทืบดีกว่า”

     

                “ไม่อ๊าววววววววว!!!!!!!!!!! ไอ้ทงเฮ้ช่วยกูด้วยยยยยย!!!!!!!!

     

                “กูช่วยมึงไม่ได้หรอก”

     

                “ไอ้เพื่อนเลวววววววววววววว โอ้ย! ไอ้ห่าฮยอกแจอย่าถีบ! โอ้ย!!

     

                ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะจากคนทั้งห้องเมื่อมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า “5555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555

     

               

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

     

                ออดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

     

                เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น เหล่าลิงทั้งหลายในห้องก็รีบเก็บของยัดใส่กระเป๋าแล้วสลายโต๋ไปตามทางของตัวเองอย่างรวดเร็ว ยกเว้นก็แต่เขาสองคนที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

     

                “ไปห้างกับกูหน่อยดิ” ทงเฮหันมาบอกเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้กัน ใบหน้าขาวเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

     

                “ไปทำอะไรวะ”

     

                “กูอยากได้กีตาร์ตัวใหม่”

     

                “หายไข้แล้วเหรอไง”

     

                “กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะเว้ย”

     

                “เหรอ” มันยกยิ้ม “แล้วเมื่อคืนใครวะเพ้อเรียกชื่อกูทั้งคืนเลย J

     

                รู้สึกเหมือนหน้าร้อนๆ หลังจากที่มันพูดประโยคนั้นออกมา เมื่อคืนก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้สติถึงขนาดจำอะไรไม่ได้หรอก แต่เลี่ยงที่จะไม่พูดถึงมันตลอดทั้งวัน เขิน... อีทงเฮกำลังเขินอย่างหนักเมื่อนึกย้อนไปถึงสภาพของตนเมื่อคืน จำได้ขึ้นใจทุกคำทุกเหตุการณ์ จำได้แม้กระทั่งคำพูดของมันที่ทำให้เขาหัวใจพองโต

     

     

     

     

    “จะให้กูทิ้งมึงไปไหนได้ล่ะ”

     

     

     

     

              มันพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น รอยยิ้มที่มีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นคนได้รับ...

     

                “กีตาร์ตัวเก่าใช้ไม่ได้แล้วเหรอไง” ฮยอกแจพูดเมื่อพวกเขาเดินออกมาถึงหน้าโรงเรียนเพื่อขึ้นรถเมล์ ปกติถ้ามาโรงเรียนมันจะไม่ได้เอารถสุดหรูของตัวเองมาด้วยเหตุผลว่า

     

                เดี๋ยวคนอื่นหาว่ากูอวดรวย

     

                ไม่ปฏิเสธว่ามันรวยจริงๆ รวยมาก บ้านหลังใหญ่โตแต่กลับมีแค่มันที่อยู่กับคนใช้อีกเป็นโขยง พี่ซองมินพี่ชายมันก็ไปเรียนต่อเมืองนอก พ่อก็ทำงานหนักบินไปบินมาระหว่างเกาหลีอเมริกา แต่ตอนนี้รู้สึกว่าจะอยู่ที่จีน ไปขยายกิจการอะไรอีกก็ไม่รู้

     

                และถึงแม้ครอบครัวมันจะรวยแค่ไหน แต่ตัวมันกลับติดดิน ไปไหนก็ได้ กินอะไรก็ได้ ไม่ได้เรื่องมากเหมือนพวกคนรวยเขาชอบทำกัน ทุกวันมันจะไปกลับด้วยรถเมล์ แต่เมื่อเช้าให้รถที่บ้านมาส่ง คนนี่มองกันให้รึ่ม โรงเรียนที่พวกเขาเรียนอยู่ไม่ใช่โรงเรียนคนรวยอะไร ตัวเขาและเพื่อนคนอื่นเองก็ไม่ได้รวยอะไร ฐานะปานกลางกันทั้งนั้น พอเห็นเบนซ์หรูๆมาจอดถึงในโรงเรียนก็แตกตื่นกันเล็กน้อย

     

                “ไอ้กึนซอกยืมไปแล้วทำพังอ่ะดิ เซ็งชิบ”

     

                “เอาไปทำอีท่าไหนวะ”

     

                “เมาแล้วเอาไปฟาดหัวไอ้จงชิน แตกไม่เหลือซาก ยังดีที่มันใช้เงินมา” พูดแล้วก็ทำหน้าเซ็ง

     

                “อือ” มันตอบแค่นั้นแล้วก็เงียบกันไป พอดีกับที่รถเมล์มา

     

                พอมาถึงที่ห้างพวกเขาก็เดินไปที่ร้านขายเครื่องดนตรีที่เป็นร้านประจำของพวกเขา พอเข้าไปก็เจอกับเจ้าของร้านที่ต้อนรับอย่างดีบอกให้เลือกได้ตามสบาย เขาเดินไปตรงโซนกีตาร์ ส่วนฮยอกแจแยกออกไปตรงโซนเบส

     

                เลือกตัวที่ชอบแล้วนั่งลองเสียงอยู่สักพักก็เดินมาหาอีกคน แทบจะไม่ต้องเดินหาเพราะมันมีเบสสีสวยวางอยู่บนตัก นิ้วเรียวยาวดีดไปตามสายให้เกิดเสียง หลับตาพริ้มเหมือนล่องลอยไปกับเสียงดนตรี

     

                นี่คืออีกมุมของอีฮยอกแจที่เขารัก

     

                มันจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้จับเครื่องดนตรี เหมือนได้ปลดปล่อยความทุกข์ใจของมันออกมา เหมือนกับว่าเขาได้รู้จักอีกตัวตนของมันผ่านเสียงดนตรี

     

                มันดีดเบสอีกสักพักก็วางลงแล้วหยิบกีตาร์โปร่งสีดำสนิทขึ้นมาวางบนตักแทน แล้วเริ่มดีดเป็นทำนอง ริมฝีปากบางร้องเพลงเสียงเบา

     

     

     

    조금 웃어요 행복한 미소로
    โช กึม ดอ อุซ ซอ โย แฮง โบค คัน มี โซ โร

    ยิ้มให้มากขึ้น รอยยิ้มเธอที่มีความสุข

    자꾸만 그대를 찾는 마음 달래도록
    ชา กุ มัน คือ แด รึล จาช นึน แนน มาม ทัล แร โด โรค

    เธอทำให้หัวใจฉันได้รับการปลอบโยน เธอจงเก็บรักษามันไว้


    조금 웃어요 세상이 그댈 질투하도록
    โช คึม ดอ อุซ ซอ โย เซ ซัง งี คือ แดล ชิล ทู ฮา โด โรค

    ยิ้มให้มากขึ้น โลกใบนี้จะต้องอิจฉาเธอ


    자꾸만 그댈 부르는 맘이 욕심도 내지 못할테니
    ชา กุ มัน คือ แดล บู รือ นึน แน มาม มี โยค ชิม โด แน ชี โมซ ฮาล เท นี

    หัวใจฉันที่ร้องเรียกเธออยู่ร่ำไป แต่มันคงไม่เป็นความอิจฉาไปหรอกนะ

     

     

     

                พอร้องถึงคำสุดท้ายเสียงหวานก็หยุดร้องไปดื้อๆ ริมฝีปากบางยิ้มบางๆที่ไม่มีใครเดาอารมณ์ถูก ภาพนี้อยู่ในสายตาของคนทั้งร้านที่มองคนหัวขาวอย่างลืมตัว ราวกับตกอยู่ในภวังค์ รวมถึงเขาด้วย แต่เจ้าตัวดูเหมือนจะไม่สนใจใครตามเคย

     

                “ฮยอกแจ”

     

                เอ่ยเรียกชื่ออีกคนแล้วเดินเข้าไปหา คนถูกเรียกก็เงยหน้ามามองเขานิดหน่อยก่อนจะลุกขึ้นยืน

     

                “ได้แล้วเหรอ”

     

                “เออดิ แล้วนี่จะซื้อเหรอ” เขาบุ้ยปากไปทางกีตาร์กับเบสที่อยู่ในมือของอีกคน ที่ถามเพราะที่บ้านมันก็มีอยู่แล้วทุกอย่าง แทบจะเปิดวงดนตรีได้เลยด้วยซ้ำ

     

                “อืม สวยดี อันที่บ้านเป็นของพี่ซองมิน เดี๋ยวพังมาล่ะโดนด่าหูชา แล้วไหนกีตาร์มึง”

     

                “ให้พี่เขาไปดูในสต็อกให้อยู่”

     

                “น้องครับกีตาร์ได้แล้ว” พนักงานที่เดินเข้ามาส่งกีตาร์ยื่นให้พอดี ฮยอกแจเห็นว่าเขาได้ของแล้วเลยก้มลงเก็บกีตาร์กับเบสใส่กระเป๋าแล้วเขาก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกัน         

     

                “ไปหาไรกินกันป่ะ” ทงเฮพูดขึ้นพลางคว้าข้อมืออีกคนมาเตรียมเดินไปโดยไม่รอคำตอบ ในหัวสมองนึกถึงอาหารหลากชนิดในห้างใหญ่แห่งนี้

     

                “กูจะกลับบ้าน หนัก”

     

                ลืมไป... ฮยอกแจที่แบกทั้งกีตาร์ทั้งเบสแถมตัวมันก็เล็กนิดเดียวมองหน้าเขานิ่งๆ แต่ก็ดูออกว่ามันหนัก และถึงแม้จะดูออก เขาก็หิวมากเกินกว่าที่จะตามใจมัน

     

                “ไม่เอา กูหิว”

     

                “ฟังนะ.. มึงหิว มึงก็ไปกิน กูจะกลับบ้าน แล้วมึงก็กลับบ้านตัวเอง ไม่ต้องมาทำเนียน”

     

                ทงเฮหน้ายู่ด้วยความขัดใจ “กูหิว กูอยากกิน กูอยากให้มึงไปด้วย”

     

                “ทงเฮ...”

     

                “เอาเบสมึงมานี่ กูถือเอง แล้วมึงก็ตามกูมาเงียบๆเลย” ทงเฮคว้าเบสบนหลังอีกคนมาถือไว้เองแล้วออกแรงลากฮยอกแจให้ไปตรงโซนของกินอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าแบบไหน รู้หรอกนะว่ามันไม่พอใจ เพราะมันไม่ชอบโดนออกคำสั่ง

     

                แต่การที่มันก้าวเท้าตามเขามานั่นก็หมายถึงมันยอมแพ้เขา...

     

                แอบคิดเข้าข้างตัวเองอีกครั้งไม่ได้ อีฮยอกแจที่ไม่เคยยอมใครแม้กระทั่งพ่อมันยังต้องยอมตามใจมัน แต่มันกลับตามใจเขาเสมอแม้ว่าจะทำหน้าไม่พอใจขนาดไหน

     

                “ร้านนี้” มันพูดเบาๆแล้วหยุดเดิน ทำให้เขาต้องหยุดตามไปด้วย พอมองตามสายตามันไปก็ไปหยุดกับร้านอาหารหรูสไตล์อังกฤษที่มีคนไม่มากนัก แต่ร้านอย่างนี้ก็แพงน่ะสิว้อย เขาไม่ใช่คนรวยอย่างมันนะที่จะได้กินอะไรหรูๆ

     

                ส่งสายตาไปหามันประมาณว่ากูไม่เอา ไม่มีเงิน แต่มันก็ไม่สนใจสักนิด กลับลากเขาไปหน้าร้าน แต่พอถึงทางเข้าเขาก็หยุดเดิน มันเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

     

                “กูไม่มีเงินจ่ายหรอกนะ”

     

                “กูบอกเหรอว่าจะให้มึงจ่าย” พอมันพูดแค่นี้ก็รู้ทันที... เขาพยายามจากลากมันออกมาอีกครั้ง บริกรที่ยืนอยู่หน้าร้านมองมาทางพวกเขาอย่างสนใจ

     

                “เฮ้ยไม่เอา ฮยอกแจไอ้ห่าอย่าทำอย่างนี้”

     

                “ทำยังไง มึงเพื่อนกูนะทงเฮ จ่ายเงินค่าข้าวให้แค่นี้จะเป็นอะไรวะ”

     

                “แต่มันแพงเกิน” เขายังไม่ยอมแพ้

     

                “กูบอกมึงไปกี่ครั้งแล้ว ทงเฮ” มันพูดหน้านิ่งไม่แพ้น้ำเสียง

     

                “......................”

     

                “อ ย่ า ขั ด ใ จ กู” พูดจบมันก็ลากเขาไปอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเอาแรงมาจากไหน ขนาดเขายื้อสุดกำลังมันก็ยังลากเขาไปได้หน้าตาเฉย แต่อยู่ดีๆมันก็หยุดเดิน ทำให้เขาที่ก้มหน้าก้มตาแงะมือมันเงยหน้าไปมอง

     

                “มาผิดร้านหรือเปล่าครับน้อง”

     

                บริกรผู้ชายใส่ชุดพนักงานที่ยืนอยู่หน้าร้านกันไม่ให้ฮยอกแจเข้าพร้อมกับถามด้วยแววตาดูถูก เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นแค่เด็กไม่เกิน 18 คงไม่มีเงินมากินร้านอาหารหรูๆอย่างนี้ เมื่อเขาหันไปมองหน้าเพื่อนรักก็เห็นว่ามันทำหน้านิ่งแถมปล่อยรังสีไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิม คิ้วเรียวขมวดแน่นเป็นปม ริมฝีปากเรียบตึง

     

                “หึ....” มันแค่นเสียงหัวเราะ

     

                “.................”

     

                เงียบทั้งเขาและบริกรผู้โชคร้าย เขาได้แต่คิดในใจ...

     

                “เรียกพี่จองซูออกมา”

     

                “หะ?”

               

                อีฮยอกแจพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งพลางเอ่ยชื่อใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก แต่ปฏิกิริยาของบริกรผู้ชายคนนั้นกลับตกใจ

     

                “ปาร์คจองซู ผู้จัดการร้านน่ะ เรียกออกมาเดี๋ยวนี้”

     

                “ดะ...เดี๋ยวนะน้อง นี่น้องคิดว่าน้องเป็นใครอยู่ดีๆจะมาเรียกผู้จัดการอย่างนี้ได้ยังไง” บริกรเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเด็กในชุดอาชีวะที่ดูยังไงก็ไม่เกิน 18 ตรงหน้ามาเรียกหาผู้จัดการร้านเหมือนตัวเองเป็นคนใหญ่คนโต

     

                “.......................” อีฮยอกแจไม่ได้พูดอะไร

     

                ข้อเสีย ไม่สิ... ต้องเรียกว่านิสัยส่วนตัวของอีฮยอกแจคืออยากได้อะไรแล้วต้องได้ อย่างที่เขาบอก มันไม่เคยโดนขัดใจ นี่คงเป็นนิสัยเดียวที่เป็นนิสัยของพวกลูกคนรวยที่มันได้มา ปาร์คจองซูผู้จัดการร้านอะไรนั่นก็คงเป็นคนรู้จักของมันอีก

     

                ไม่น่าล่ะ.... ทำไมถึงได้ลากเขามาร้านนี้

     

                “อะไรน่ะ”

     

                เสียงหวานของผู้หญิงอีกคนดังขึ้นข้างหลังบริกรทำลายความเงียบได้อย่างดี เจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้พวกเขาเผยให้เห็นว่าอายุของเธอคงเกือบๆสามสิบปี แต่งชุดสูทที่ดูทะมัดทะแมงสำหรับผู้หญิงทำงาน

     

                “พี่อึนจอง” ฮยอกแจพูดอีกครั้ง และดูเหมือนจะเป็นชื่อของผู้หญิงคนนี้ เธอหันมาตามเสียงเรียก

     

                “คุณฮยอกแจ!

     

               

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

     

     

                “อ๋อออออ ตกลงว่าพี่สาวคนนั้นเป็นผู้ช่วยสาขานี้ แต่ร้านอาหารนี่เป็นหนึ่งในกิจการของพ่อมึงว่างั้นเหอะ”

     

                “อืม”

     

                “ไมไม่บอกตั้งแต่ทีแรกวะ กูก็กลัวไม่มีเงินจ่าย ร้านหรูชิบหาย”

     

                มันละสายตาจากอาหารตรงหน้ามามองเขา “อ้าว กูไม่เคยบอกเหรอ”

     

                อีทงเฮอยากจะตบหัวคนตรงหน้าให้ทิ่มลงไปกับจานพาสต้า ยังมีหน้ามาถามกูอีกนะไอ้ห่า คิดแล้วก็อารมณ์เสียที่เผลอปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อเลยก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานของตัวเอง

     

                “เฮ้ยทงเฮ อย่างอนดิ”

     

                “..................”

     

                “เดี๋ยวกูเบิ้ลพาสต้าให้สองจานเลย หายงอนยัง”

     

                นี่มึงเห็นว่ากูเห็นแก่กินขนาดนั้นเลยเหรอ.... เขาคิดในใจ แต่ก็พยักหน้าไปเรียบร้อยแล้ว เห็นว่ามันยิ้มขำแต่สายตายังไม่ละไปจากเขา

     

                “ตะกละ” มันด่า

     

                “ของฟรีใครๆก็อยากแดก”

     

                “เอาเหอะ แดกไปให้หมดร้านเลยก็ได้”

     

                ยิ่งมองจากมุมนี้ทงเฮก็ยิ่งเห็นความแตกต่างระหว่างเขากับมัน ยังมีอะไรหลายๆอย่างในตัวมันที่เขาไม่รู้และไม่เคยได้สัมผัส ไม่รู้สิ... รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ทั้งๆที่สนิทกันขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่เขาก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรในตัวมันสักเท่าไหร่

     

                “เงียบทำไมวะ”

     

                “เปล่า”

     

                มันหรี่ตามองเขาเหมือนพิจารณาอะไรบางอย่าง แล้วสักพักก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

     

                “อย่าคิดแบบนั้น”

     

                “แบบไหน”

     

                “แบบที่มึงกำลังคิด”

     

                “แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูคิดยังไง”

     

                “ทงเฮ.....”

     

                เขามองหน้ามัน รู้สึกอิ่มไปโดยปริยาย เขารู้ว่ามันรู้ว่าเขาคิดยังไงอยู่ มันรู้ใจเขาไปหมดทุกเรื่องแค่มองตา มองอาการของเขา

     

     

     

                มันรู้จักเขาซะขนาดนั้น แต่มันก็ยังทำเป็นมองข้ามความรู้สึกของเขาทุกครั้ง....

     

     

     

                “ทำไมวะ....” เขาเอ่ยปากพูดเสียงเบา

     

                “..................”

     

                “ทำไมมึงต้องมองข้ามความรู้สึกของกูไปเสมอ...”

     

     

                มันไม่ได้หลบตา แต่กลับมองเขาตรงๆด้วยแววตาที่บอกไม่ถูก เนิ่นนานที่ไม่มีใครพูดอะไร กลายเป็นความเงียบที่บีบรัดหัวใจเขาให้ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮยอกแจไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไร

     

     

                “แล้วเป็นเพื่อนกันไม่ได้เหรอ...” ริมฝีปากบางพูดเสียงเบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ

     

                “................” เขาเองกลับเป็นฝ่ายพูดไม่ออก

     

                “เป็นเพื่อนกันอย่างเก่าไม่ได้เหรอทงเฮ”

     

     

                พยายามแล้ว....

     

                เขาพยายามมาตลอดที่จะมองข้ามความรู้สึกของมันไปเพื่อรักษาคำว่าเพื่อน ไม่อยากเสียใครไปอีก ไม่อยากเปลี่ยนสถานะให้มันใกล้ชิดมากกว่านี้เพราะกลัวว่าถึงวันหนึ่งที่เลิกรากันไปจะไม่มีโอกาสกลับมาเป็นเพื่อนกันอีก

     

                อีฮยอกแจก็แค่คนโลภมากที่อยากรักษาความสัมพันธ์นี้ให้คงอยู่ตลอดไป

     

     

                “มึงไม่เข้าใจ...” ทงเฮพูด นัยน์ตาคมอ่อนแสงลงแต่ยังไม่ละสายตาจากเขา

     

                “ใช่... กูไม่เข้าใจ”

     

                “.............”

     

     

                น้ำตาใสๆไหลคลอหน่วยตาลูกผู้ชายของอีทงเฮ... เขาไม่เคยร้องไห้ แม้ว่าเสียใจขนาดไหนก็ไม่เคยร้องไห้ แต่ครั้งนี้... มันมากเกินไป หนักเกินไป รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก กำลังจะจมน้ำตายโดยที่ไม่มีใครมาช่วย

     

                ดิ้นรน เรียกร้อง ไปเพื่ออะไรกันนะอีทงเฮ... จะดิ้นรนให้ฮยอกแจมารัก จะเรียกร้องให้ฮยอกแจเห็นความรู้สึกของเขาไปเพื่ออะไร

     

     

                ในเมื่อมันไม่เคยสนใจเขาตั้งแต่แรก

     

     

                ปาดน้ำตาบนหน้าออก มองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรัก ก่อนจะเอ่ยถามคำถามสุดท้ายที่ตัดสินทุกอย่าง

     

     

                “มึงรักกูบ้างมั้ย”

     

                “ทงเฮ....” ฮยอกแจเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงเบา

     

                “บอกกูมาเลยตรงๆ ไม่ต้องกลัวว่ากูจะเจ็บอะไรอีก ไม่ต้องคิดว่ากูจะรู้สึกยังไง ไม่ต้องเป็นห่วงกู ไม่ต้องคิดว่ากูเป็นเพื่อนมึง ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น แค่ตอบคำถามของกูมา”

     

     

                “...กูไม่ได้รักมึงแบบนั้น”

     

               

                “............”

     

               

                “ทงเฮ กู....” อีกฝ่ายหยุดชะงักไปเมื่อเห็นน้ำตาของเขาที่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

     

               

                “พรุ่งนี้เราจะกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมมึงวางใจได้...”

     

                พูดจบอีทงเฮก็คว้ากีตาร์ของตัวเองแล้วเดินออกนอกร้านไป ไม่คิดจะหันหลังกลับมาฟังคำร้องเรียกชื่อตนเองจากอีกคน

     

               

                ถึงแม้จะยาก... จะลำบาก และจะปวดใจแค่ไหนเขาก็ต้องทำ

     

                ทำเพื่อความสุขของอีกคนที่มันอยากให้เขาเป็น

     

     

     

     

                อีทงเฮจะยังคงมีอีฮยอกแจในใจตลอดไป.........

               

     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

     

     

    Signeun..


     

     - จบแล้ว.... จบแล้วจริงๆนะ..... ไม่มีสเปต่อแล้วนะ .........

     - จริงๆ แล้วแนวที่เราถนัดคือแนวนี้ค่ะ *ทำหน้าจริงจัง* แนวที่มันไม่ได้ลงเอยกันตอนท้ายนี่แหละ!

     

    - ขอเม้าท์นิดหน่อยเกี่ยวกับหนังเรื่อง HOME ความรัก ความสุข ความทรงจำจะบอกว่าเป็นหนังที่ห้ามพลาด เนบีมสุดยอด!!!!! เราไปดูตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรง ไม่ผิดหวัง ไม่ผิดหวังจริงๆ จิกเบาะแทบแหกตอนกอดกัน ตอนป้าต่ายก็เศร้าค่ะ น้ำตานองหน้าเลยทีเดียว ส่วนตอนพี่นุ่นพี่เจมส์ก็ลึกซึ้ง (แต่ขอติหน่อยเถอะว่าจะให้พิชแต่งหน้าจัดไปไหนวะ  = =)


     

    ปล. ข้องใจมากเลย ทีแรกเราขึ้นไว้ 30% พอเข้ามาดูอีกทีทำไมมันหายไป เป็นอย่างนี้มาสองตอนแล้ว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กดี ต้องคอยมาแก้ตลอด เบื่อ


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×