คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : (requested story) WONKYU : THE PRINCE AND THAT MAN
THE PRINCE AND THAT MAN
SIWON & KYUHYUN
“เจ้าชายหายไป!”
“อะไรนะ! เจ้าชายหายไปไหน! รีบส่งทหารไปตามหาเจ้าชายเดี๋ยวนี้!”
“ไม่พบเจ้าชายเลยขอรับ!”
“ตามหา! ตามหาคนกว่าจะเจอ!”
เช้าวันที่อากาศแจ่มใส เกิดความโกลาหลขึ้นมาพระราชวังโอ่อ่า เนื่องจากเจ้าชายเพียงองค์เดียวของเมืองได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งๆที่วันนี้เป็นวันอภิเษกสมรสของเจ้าชายกับเจ้าหญิงจากต่างเมือง ที่เล่าลือกันว่างดงามเกินจะพรรณนา เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่เป็นกุลสตรี กริยามารยาทที่ถูกฝึกมาแต่อ้อนแต่อ่อน
ช่างเหมาะสมกับเจ้าชายรูปงามเกินที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบ
ตึก ตึก ตึก
เสียงรองเท้ากระทบพื้นปูนที่ถูกขัดเป็นเงาดังก้องทั่วบริเวณ ร่างสูงวิ่งลัดเลาะไปตามเส้นทางอย่างรวดเร็วและชำนาญ ใบหน้าคมอาบไปด้วยหยาดเหงื่อบ่งบอกว่าเหนื่อยเพียงใด แต่เจ้าตัวก็ไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย
“นั่นไงเจ้าชาย!”
เสียงของใครสักคนดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝีเท้าอีกเป็นสิบที่วิ่งกระเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีนิลเบิกโพลงขึ้นอย่างไม่คาดคิด สมองสั่งการให้ตัวเองเลี้ยวซ้ายอย่างกะทันหัน
ฟึ่บ!
“อยู่นิ่งๆ...”
หูได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา แม้อยากจะหันไปมองหน้าคนที่พูดขนาดไหนก็ไม่อาจทำได้ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นเพียงสีดำ... สมองเริ่มประมวลผลถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่อย่างรวดเร็ว
เขาตัดสินใจเลี้ยวซ้าย แต่พอเลี้ยวมาก็เจอกับเงามืดของผ้าคลุมสีดำสนิทที่คลุมทั้งตัวเขาเอาไว้ เจ้าของผ้าคลุมยืนชิดกับเขา ทำให้รู้ว่าอีกคนนั้นตัวเล็กกว่าเขาแต่ก็ไม่มากนัก
“เจ้าชายหายไปไหนแล้ว!”
เสียงทหารนายหนึ่งดังขึ้นเบื้องหน้าเขา ทหารนายนั้นหันซ้ายหันขวาอย่างไม่เข้าใจก่อนจะตัดสินใจวิ่งนำทหารทั้งหมดไปอีกทาง
เขาก็ไม่เข้าใจ... ทั้งๆที่เขายืนอยู่ตรงนี้ แต่ทหารพวกนั้นกลับมองผ่านเขาไปราวกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ
“เจ้าชาย...” เสียงเรียกแผ่วเบาทำให้เขาหันกลับมามองหน้าเจ้าของผ้าคลุมสีดำ ที่บัดนี้ถูกดึงออกไปจากตัวพวกเขาเรียบร้อย มันทำให้เขาเห็นใบหน้าของคนที่ช่วยเขาไว้ได้อย่างชัดเจน... ใบหน้าขาวเรียว นัยน์ตาสีเขียวแปลกตาที่เผยให้เห็นเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างถูกซ่อนไว้ภายใต้ผ้าปิดตาสีดำ ริมฝีปากสีซีด ร่างโปร่งอยู่ในชุดสีดำสนิท ยิ่งเพิ่มความลึกลับให้คนคนนี้อีกมากโข
“เจ้าเป็นใคร”
“ข้ากระหม่อมเป็นใครนั้นไม่สำคัญเท่ากับการที่เจ้าชายทรงหนีพิธีอภิเษกสมรสหรอก...” ริมฝีปากสีซีดเอ่ยตอบเขานิ่ง น้ำเสียงทุ้มราบเรียบ ไม่ได้ส่อแววเสียดสีหรือตำหนิติเตียนใดใด
“พิธีอภิเษกสมรสของข้าไม่สำคัญเท่ากับการที่ข้าจะรู้จักชื่อของคนที่ช่วยข้าไว้หรอก” พอเขาพูดจบ อีกฝ่ายก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยราวกับเจอของที่ถูกใจ
“ข้ากระหม่อมเป็นเพียงคนต้อยต่ำ ไม่สมควรที่องค์ชายจะรู้จัก”
“ถ้าเจ้าเป็นเพียงคนต้อยต่ำ คงไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้... จริงไหม?”
ยิ้ม...
ริมฝีปากบางของคนตรงหน้ายกเป็นรอยยิ้มที่เขาดูไม่ออกว่ายิ้มเพราะอะไร
“นั่นก็แค่เวทมนตร์หลอกเด็ก”
“ผู้ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ มีสองประเภท....” เจ้าชายพูดพร้อมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ “หนึ่ง... เทพ และสอง... ปิศาจ”
“................”
“เจ้า... เป็นแบบใด”
หลังจบคำถามทั้งสองสบตากันนิ่ง...
“แล้วเจ้าชายคิดว่าข้ากระหม่อมเป็นแบบใดเล่า”
“...............”
ไม่มีคำตอบจากคนที่ชื่อได้ว่าเป็นเจ้าชาย ร่างโปร่งในชุดดำสนิทยื่นมืออกไปตรงหน้าเจ้าชายช้าๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้าย
“แต่ข้าเป็นแบบใดก็คงไม่สำคัญเท่ากับการที่ตอนนี้พระองค์ทรงต้องการความช่วยเหลือจากข้ากระหม่อมกระมัง”
‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧
“เจ้าหญิงนานะทรงสวยทั้งกายและใจ...” เสียงทุ้มเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวพูด
“ข้าไม่ได้อยากแต่งงานกับคนที่สวยทั้งกายและใจ”
“แล้วพระองค์ต้องการอภิเษกสมรสกับคนแบบใด...”
เหมือนเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพราะคนถามไม่ได้มองหน้าเจ้าชายเลยแม้แต่น้อย เจ้าตัวกำลังเดินไล่หาหนังสือจากชั้นหนังสือที่สูงกว่าสามเมตรภายในห้องสมุดที่ใหญ่โตและโอ่อ่า...
ภายในประสาทของคนชุดดำที่แสนจะลึกลับตรงหน้า...
หลังจากที่เขาตอบรับความช่วยเหลือ คนตรงหน้าก็พาเขามาที่ประสาทกลางป่าที่เขาสาบานได้ว่าไม่เคยมีในเมืองของเขา
“คนที่รักข้า...” เจ้าชายตรัสตอบเสียงหนักแน่น เรียกให้นัยน์ตาสีเขียวหันมามอง “...ด้วยใจจริง”
“พระองค์ทรงเป็นเจ้าชาย....” กล่าวย้ำ ราวกับจะเตือนว่าคนตรงหน้ามีความสำคัญมากเพียงใด เหตุใดจะไม่มีคนรักด้วยใจจริง
“ถ้าเลือกได้ ข้าอยากเป็นเพียงชายธรรมดา”
“พระองค์ทรงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าจะไม่มีทางเป็นแบบนั้น”
“งั้นหรือ...”
ไม่มีเสียงตอบรับ... ใบหน้าคมของคนที่จะได้ขึ้นเป็นพระราชาองค์ต่อไปเหม่อไปยังชั้นหนังสือที่เรียงรายอยู่
“พวกขุนนางคอยจะแทงข้างหลังข้าทุกเมื่อที่ข้าเผลอ... การเป็นพระราชาจะต้องคอยระแวงอยู่ทุกเพลา แม้แต่ความสุขส่วนตัวก็ต้องถูกกลืนหายไป.. แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดเล่าถ้าข้าได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุด แต่กลับต้องหนาวเหน็บและอ่อนแอจากการต่อสู้”
“เหตุใด....” เสียงทุ้มเอ่ย ลากนัยน์ตาสีเขียวมาสบกับนัยน์ตาสีนิลของอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัวอาญา “พระองค์จะต้องทรงกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง”
“................”
“ในอนาคตจะมีราษฎรนับหมื่นนับแสนที่รอคอยความช่วยเหลือจากพระองค์ อย่าให้ความรู้สึกหวาดกลัวในพระหฤทัยมาบั่นทอนหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือประชาชน”
“เจ้า... เป็นใครกันแน่”
เจ้าของนัยน์ตาสีนิลเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ....
มีไหวพริบในการพูด เพียงแค่ได้ฟังก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ฉลาดเพียงใด
ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย ยิ่งสงสัยก็ยิ่งเพิ่มความอยากรู้...
ไหนจะผ้าที่ปิดตาอีกข้างนั่นอีกเล่า
“ทำไมเจ้าต้องปิดตาซ้ายของเจ้า....” ไวเท่าความคิด ก็ส่งพระสรุเสียงถาม
“เหตุใดองค์ชายจึงอยากรู้เรื่องของกระหม่อม” น้ำเสียงไม่ได้มีแววข่มขู่ อีกฝ่ายเพียงแค่ถามเหมือนพูดประโยคทั่วไป
“ข้าแค่สงสัย”
“ความช่างสงสัยของพระองค์อาจจะนำพระองค์ไปสู่หายนะโดยที่พระองค์ไม่ทรงรู้ตัว”
คำเตือนที่แฝงไปด้วยคำข่มขู่ถูกส่งไปยังเจ้าชายของเมือง...
“............”
“แต่ถือว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าชาย...” เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ละจากชั้นหนังสือมายืนตรงหน้าอีกคนที่เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาไม่เข้าใจ
“พระองค์ถามกระหม่อมว่ากระหม่อมเป็นเทพหรือปิศาจ... คำตอบอยู่ตรงนี้” พูดจบ มือขาวซีดก็ปลดผ้าปิดตาสีดำของตัวเอง เผยให้เห็นนัยน์ตาอีกข้างที่เคยถูกปิดไว้
เขานิ่งอึ้งด้วยความไม่เข้าใจ คิ้วเรียวขมวดแน่นอย่างสงสัยและงงงวย...
แวบแรกที่เห็นนัยน์ตาข้างขวานั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวไปทั่วร่าง
“นัยน์ตาข้างนี้คงตอบพระองค์ได้ว่ากระหม่อมเป็นใคร”
นัยน์ตาสีแดงดุจเลือดนก....
สัญลักษณ์ของพวกปิศาจ สัญญาณบางอย่างในใจร้องเตือนว่าอย่าเข้าใกล้อีกฝ่ายไปมากกว่านี้ อย่าเข้าไปยุ่งกับพวกปิศาจที่ฆ่ามนุษย์อย่างพวกเขาเยี่ยงผักปลา
แต่ในขณะเดียวกัน อีกเสียงกลับร้องว่าอย่าทำอย่างนั้น...
“เจ้า...”
“กระหม่อมเป็นปิศาจ” ร่างโปร่งในชุดดำสนิทเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อย้ำชัดถึงสถานะของตน
“แต่ตาซ้ายของเจ้าเป็นสีเขียว”
ประโยคของเจ้าชายทำให้คนถูกถามเหยียดยิ้มออกมาก่อนตอบ “พระองค์เคยได้ยินเรื่องเล่าจากดินแดนปิศาจหรือไม่”
“เรื่องเล่า?”
“ใช่ เรื่องเล่า... เรื่องเล่าที่เกี่ยวกับบุตรชายคนเดียวของท่านเจ้า ความผิดพลาดที่มิอาจจะยอมรับ”
‘พระองค์ได้โปรด! พระองค์ได้โปรดอย่าทำแบบนี้!’ เสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นกลางห้องห้องหนึ่ง เบื้องหน้ามีบุรุษที่ใครๆต่างก็เรียกว่า ‘ท่านเจ้า’ กำลังนั่งอยู่ด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
‘ข้าตัดสินใจแล้ว อารา’
‘แต่ถึงอย่างไรคยูฮยอนก็เป็นบุตรของท่าน!’ หญิงสาวเจ้าของนาม ‘อารา’ ยังคงเรียกร้องความเป็นธรรมให้เด็กชายที่ยืนอยู่ต่อไป
เด็กชายคนนั้นอายุราวเจ็ดขวบ มีผิวสีขาวซีดราวกับหิมะ ริมฝีปากบางสีสดเรียบสนิทเหมือนไม่เคยมีรอยยิ้ม นัยน์ข้างขวาเป็นสีแดงเลือดนกเฉกเช่นชาวปิศาจทั่วไป แต่นัยน์ตาข้างซ้ายกลับเป็นสีเขียวมรกต
สีเขียวมรกตที่เป็นดุจตราบาปในชีวิต
‘ใช่ คยูฮยอนเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของข้า...’ นัยน์ตาสีแดงเลือดนกของท่านเจ้ามองสบกับนัยน์ตาสีแปลกของเด็กชายด้วยความเอื้ออาทร ‘แต่เพราะเขาเกิดจากเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ ถ้าเขาอยู่ที่นี่ต่อไป จะเกิดความวิบัติใหญ่หลวงต่อดินแดนปิศาจ’
‘พระองค์....’
‘ข้าเห็นทุกสิ่ง อารา... เห็นว่าเมื่อเขาโตไปเขาจะเป็นนักเวทย์ที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ชะตาชีวิตของเขาจะเป็นไปในทิศทางไหน’
‘..................’ หญิงสาวเงียบเสียงลงเมื่อบัดนี้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าเหตุใดท่านเจ้าแห่งดินแดนปิศาจถึงต้องทำแบบนี้กับลูกชายคนเดียวของตัวเอง
‘คยูฮยอน
’ เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเด็กชายด้วยความรัก นัยน์ตาสีแดงสดที่มักจะฉายแววแข็งแกร่งและเด็ดขาดอยู่เสมออ่อนลงทันทีเมื่อสบกับนัยน์ตาสองสีของอีกคน
‘เจ้าเข้าใจพ่อใช่ไหม....’
‘................’
เกิดความเงียบขึ้น เป็นบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกเศร้าใจอย่างหาใดเปรียบมิได้... ก่อนที่เด็กชายเพียงคนเดียวในห้องจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเจ็บปวดไว้เหลือคณา
‘เพียงแค่พระองค์ตรัสมาคำเดียวว่าไม่ต้องการหม่อมฉัน หม่อมฉันจะไปให้ไกลโดยที่พระองค์ไม่ต้องทรงเอ่ยขอ’
ณ วินาทีนี้เขาไม่ต้องการคำปลอบโยนใดๆให้รู้สึกดีขึ้น กลับกัน... เขาต้องการคำที่ใจร้ายที่สุดจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ เพื่อที่เขาจะได้หักห้ามใจไม่ให้หันกลับมาสู่ดินแดนแห่งนี้อีก
‘คยูฮยอน....’
‘ได้โปรดกรุณาหม่อมฉัน’
เกิดความเงียบชั่วอึดใจ ท่ามกลางความเงียบนั้นน้ำใสๆออกมาคลอที่หน่วยตาทั้งสองข้างของเด็กชาย...
‘จงไปให้พ้น ณ ที่แห่งนี้ แล้วอย่าได้หันหลังกลับมาอีก คยูฮยอน’
..ก่อนจะไหลลงมาอย่างสุดจะต้านทาน
“เด็กชายคนนั้นคือกระหม่อมเอง เป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก” เสียงทุ้มยังเอ่ยพูดต่อไป รอยยิ้มเหยียดประดับอยู่บนริมฝีปากสีซีด เจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงเพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่เคยชินสักทีกับความรู้สึกเช่นนี้
“เจ้า......”
“หมดเวลาท่องเที่ยวโลกกว้างแล้วเจ้าชาย” ร่างโปร่งพูดตัดบท “พระองค์ควรจะกลับไปอยู่ในที่ของพระองค์ได้แล้ว”
เจ้าชายขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เขาจึงพูดต่อ “พระองค์มี ‘หน้าที่’ อะไรที่ต้องกลับไปทำ พระองค์ควร ‘ระลึก’ ว่าพระองค์คือใคร”
“..................”
“หันกลับไปเผชิญโลกแห่งความจริง ตัดสินทุกสิ่งด้วยสายพระเนตรของพระองค์เอง นั่นคือสิ่งที่เจ้าชายพึงกระทำ”
“ข้าไม่....” อีกฝ่ายเอ่ยได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบไป เมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่คนตรงหน้าพูด
ไม่ผิดไปจากความจริงเลยแม้แต่น้อย.....
ภาระหน้าที่ของเจ้าชายที่เขาละเลยและเอาแต่หนีมัน
ความสุขในอุดมคติที่เขาละเมอเพ้อพกมานานแสนนาน
“ไม่มีใครที่จะอยู่บนโลกนี้โดยมีความสุขตลอดไปกระหม่อม...”
“............”
“คนเป็นเจ้าเหนือคนต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน และแม้ว่าจะเจ็บปวดเจียนตายเพียงใด พระพักตร์ของพระองค์จะต้องนิ่งสงบ มือของพระองค์จะต้องไม่สั่น และสายพระเนตรของพระองค์จะต้องไม่หวั่นไหว”
“ท่านเจ้าแห่งแดนปิศาจสอนเจ้ามาเช่นนี้หรือ”
ส่งคำถามกลับไป เพียงเสี้ยววินาทีที่เห็นนัยน์ตาสองสีของอีกฝ่ายวูบไหวก่อนที่มันจะกลับมาสงบนิ่งดังเดิม
“นั่นคือคุณสมบัติสำคัญของการเป็นพระราชา”
เจ้าของนัยน์ตาสองสีตอบไปอีกแบบหนึ่ง ทั้งสองคนสบตากันเนิ่นนาน ยากจะคาดเดาความรู้สึก ก่อนที่นัยน์ตาสองสีจะเบือนออกไปอีกทาง ปิดเปลือกตาลงช้าๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้าย
“หยุดลุ่มหลงในความรักที่ไม่มีอยู่จริง... เลิกใฝ่ฝันหาในความสุขที่ไม่เคยมาถึง
นั่นคือสิ่งที่พ่อของกระหม่อมสอนมาโดยตลอด...”
‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧
‘ หยุดลุ่มหลงในความรักที่ไม่มีอยู่จริง... เลิกใฝ่ฝันหาในความสุขที่ไม่เคยมาถึง’
นั่นสินะ... ไม่ผิดไปจากความจริงเลยแม้แต่น้อย
การพูดนั้นง่ายเพียงแค่เอื้อนเอ่ย แต่การกระทำนั้นยากกว่าเป็นร้อยเท่า
เจ้าบอกให้ข้าเลิกลุ่มหลงในความรัก... บอกให้ข้าเลิกใฝ่ฝันหาความสุข
แต่ตัวเจ้ากลับร่ำร้องหามันอยู่ทุกเวลา.....
ความรักที่เจ้าไม่เคยได้รับ ความสุขที่เจ้าไม่เคยได้สัมผัส
ถ้าเจ้าได้ลิ้มรสของมันสักครั้ง อยากรู้หรือไม่ว่ามันจะหอมหวานชวนให้ลุ่มหลงเพียงใด....
‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧
“เดินไปตามทางนี้เมื่อเจอทางแยกให้เลี้ยวขวา เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระองค์จะเจอกับทางออก และอย่าได้หันหลังกลับมาอีก”
เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสองคือทางเดินที่ขนาบไปด้วยต้นไม้รกครึ้ม เมื่อมองไปข้างหน้าก็พบแต่ความมืดมิด รอบตัวมีไอจางๆออกมา ยิ่งเพิ่มให้บรรยากาศดูลึกลับมากยิ่งขึ้น
“ที่นี่คือที่ไหน เหตุใดข้าจึงไม่เคยรู้ว่ามีที่แบบนี้ในเมืองของข้า” เจ้าชายตรัสถาม เรียกให้นัยน์ตาสีแปลกของอีกคนหันมาสบ
“กระหม่อมขอทูลลาพระองค์เพียงเท่านี้ ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย”
ตอบไพล่ไปอีกเรื่องเช่นเคย...
พระพักตร์ของเจ้าชายตั้งตรง นัยน์ตาสีนิลมองไปยังทางเบื้องหน้าด้วยแววตาแน่วแน่ เท้าเตรียมจะก้าวเดินแต่กลับชะงักเพราะคำพูดของอีกคน
“ในอนาคต... กระหม่อมเห็นว่าพระองค์จะทรงได้เป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรเพียงใด ราษฎรต่างเคารพรัก เทิดทูนบูชาพระองค์ ... ขอเพียงในวันนี้ อนาคตอันใกล้เช่นนี้... กระหม่อมอยากให้พระองค์ทรงกล้ำกลืนความเจ็บปวดทั้งหมดที่ได้รับ กดมันให้ลึกลงไปในหัวใจ... ปิดตายและกักขังมันไว้ด้วยโซ่ตรวน....”
เจ้าชายหันกลับมามองใบหน้าของคนที่พูดด้วยแววตาคาดไม่ถึง...
ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าพวกปิศาจมีพลังวิเศษมากมาย...
แต่การพยากรณ์อนาคต มิใช่มีแต่ท่านเจ้าเท่านั้นหรือที่สามารถทำได้
ที่สำคัญ... การพยากรณ์ชีวิตคนอื่นในแต่ละครั้ง จะทำให้อายุสั้นลง
แล้วเหตุใด.......
“กระหม่อมเตือนพระองค์ด้วยความหวังดี...”
เขาไม่สามารถสบกับนัยน์ตาสองสีนั้นได้ ไม่สามารถรู้ว่าคนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เพราะยามนี้ใบหน้าของอีกคนสงบนิ่ง นัยน์ตาสีแปลกหลุบลงต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“การพยากรณ์ชีวิตคนอื่น จะทำให้อายุของเจ้าสั้นลง”
ริมฝีปากสีซีดฉีกเป็นรอยยิ้มเหยียด
“กระหม่อมเต็มใจ.....”
“....................”
“ขอเพียงแค่พระองค์ไม่เดินไปในทางที่ฝืนโชคชะตา กระหม่อมเต็มใจที่จะพยากรณ์...”
...ทางที่ฝืนโชคชะตาเช่นนั้นหรือ?
ในพระทัยของเจ้าชายเกิดความสงสัยในคำพูดที่เป็นปริศนาของอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม ร่างของคนตรงหน้าก็ค่อยๆจางหายไป จนในที่สุดก็เหลือเขาเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ ตัดสินใจล้มเลิกความตั้งใจที่จะถามคำถาม หันหน้ากลับไปทางที่จะกลับสู่พระราชวัง ก้าวเท้าเดิน...
และไม่หันหลังกลับมาอีก....
‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧
‘เจ้ามีความสุขหรือที่ปล่อยเขาไป’ เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลัง เรียกให้นัยน์ตาสองสีที่บัดนี้ข้างหนึ่งถูกปิดด้วยผ้าปิดตาดังเดิมหันมามอง
นัยน์ตาสองสีของอีกฝ่ายจ้องกลับมา... เหมือนกันราวกับแกะ ไม่สิ... คงบอกว่าเหมือนไม่ได้ เพราะว่า ‘พวกเขา’ ก็คือคนคนเดียวกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกันคงมีแค่สิ่งเดียวคือการชุดที่สวมใส่ เขาใส่ชุดสีดำทั้งตัว แต่อีกฝ่ายนั้นเป็นชุดสีขาวสว่าง
“เจ้ากำลังเห็นข้าร้องไห้เสียใจหรือ” เป็นคำตอบที่เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
‘ใจเจ้ากำลังร้องไห้’
“..............”
‘เจ้าอาจจะโกหกคนทั้งโลกได้ แต่ต้องไม่ใช่ข้า...’
“...เช่นนั้นหรือ” ตอบรับเสียงเบา ไม่ได้โต้เถียงใดใดอีกต่อไป ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอย่างช้าๆ ชายชุดขาวถอนหายใจก่อนที่จะก้าวเข้ามาใกล้อีกคนที่ยืนเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง มองไปในที่ที่ไกลแสนไกล...
‘ในอนาคต...’
“อนาคตของเขาจะต้องไม่มีข้า” ริมฝีปากสีซีดพูดตัดบท ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร
‘เจ้าไม่มีทางหนีโชคชะตาพ้น’
“ข้าจะเป็นคนกำหนดโชคชะตาของข้าเอง”
‘ข้าเตือนเจ้าแล้ว....’
‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧
วันแล้ววันเล่าที่ผ่านไป จากวันกลายเป็นเดือน จากเดือนกลายเป็นปี จากปีหลายเป็นสิบปี...
สรรพสิ่งหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
รวมถึง...จากเจ้าชายสู่การเป็นพระราชา
“ฝะ...ฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาททรงหายตัวไป!!”
“อะไรนะ?! ทหาร! รีบออกไปตามหาฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!”
ใจกลางป่าที่เป็นสถานที่พำนักชั่วคราวของพระราชาที่เสด็จออกมาประพาสป่ากลับต้องวุ่นวายเพราะผู้ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินบัดนี้ได้หายตัวไป
....ริมฝีปากหยักยกเป็นรอยยิ้มสนุกเมื่อหูแว่วได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกตามหาตัวเขากันซะให้วุ่น ขายาวพาร่างของตนมาถึงริมรำธาร ทิ้งน้ำหนักตัวนั่งลงบนโขดหิน ชมบรรยากาศอันเงียบสงบที่หาได้ยากนักในชีวิต
ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ที่เขาหนีออกมาอย่างนี้... เดาได้ไม่ยากว่าเขาคงมีเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วยามที่จะอยู่คนเดียว สักพักทหารองครักษ์คงจะตามตัวเขาเจอเป็นแน่ คิดแล้วก็ขำ เขาเป็นถึงพระราชาของแผ่นดิน มีสิทธิ์จะทำอะไรได้ตั้งมากมาย แต่กลับชอบที่จะหนีออกมามากกว่า..
หรืออาจจะเป็นเพราะเขาหวังว่าสักวันหนึ่งคงจะเจอคนผู้นั้นอีก...
ไม่สิ! เขาสะบัดหัวไล่ความคิดออกไป มันจะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นอีกได้อย่างไรในเมื่อเวลาก็ผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว ที่สำคัญไม่ว่าครั้งใดที่หนีออกมา เขาไม่เคยเจอคนผู้นั้นอีกเลย... ไม่รู้ว่าเหตุใดใจของเขามักจะพร่ำหาคนคนนั้นอยู่ตลอด
ในวันนี้เขาได้เป็นพระราชา... มีพระมเหสีอยู่ข้างกาย แต่เหตุใดเขากลับรู้สึกว่าตัวเองขาดบางสิ่ง
แล้วอีกคนเล่า... จะรู้สึกเหมือนเขาบ้างหรือไม่....
“ทุกคนตามหาตัวพระองค์กันให้วุ่น...”
เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลังทำให้คนที่นั่งอยู่ริมลำธารหันกลับไปมอง ริมฝีปากหยักเตรียมจะพูดแต่ก็ต้องกลายเป็นอ้าค้างไว้เช่นนั้นเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่
ร่างสูงโปร่ง ผิวขาวจัดราวกับหิมะถูกคลุมชุดสีดำสนิท นัยน์ตาสองสีที่ข้างหนึ่งถูกปิดด้วยผ้าปิดตา เหลือเพียงอีกข้างที่เป็นนัยน์ตาสีเขียวสว่าง ใบหน้าเรียวได้รูป ริมฝีปากสีซีด ทุกอย่างรวมกันเป็น ‘คนคนนั้น’ อย่างไม่ต้องสงสัย... ผ่านไปเกือบสิบปีคงมีแต่เขาเท่านั้นที่โตขึ้น ในขณะที่อีกฝ่ายเหมือนหยุดอายุของตัวเองไว้ที่เดิม
ความฝัน... ต้องเป็นความฝันเป็นแน่....
“พระองค์ไม่ได้นอนหลับ เหตุใดจึงคิดว่าตัวเองฝันอยู่”
“เจ้า.....” พูดได้แค่นั้นก็คว้าอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของร่างกาย มิใช่เป็นเพียงแค่อากาศธาตุ ซบใบหน้าลงไปกับไหล่ลาด แขนล็อกอีกคนแน่นไม่ให้ขยับ
คิดถึง......
คิดถึงเหลือเกิน..........
นั่นคือความรู้สึกที่เขามั่นใจที่สุดในวินาทีนี้ ไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกที่ผ่านมาตลอดเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมาคืออะไรจนวันนี้
คิดถึงนัยน์ตาสีแปลกของคนคนนี้ที่ไม่เคยหลบตาเขาเช่นคนอื่น
คิดถึงวาจาที่พูดกับเขาตรงไปตรงมาอย่างไม่เกรงกลัว
คิดถึงทุกสิ่งที่เป็นคนคนนี้....
“ฝ่าบาท!!! ฝ่าบาททรงอยู่ตรงไหนพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงเรียกของเหล่าทหารทำให้เขาผละออกจากอีกคน สบกับนัยน์ตาสีเขียวเพียงชั่ววินาทีก่อนจะรู้สึกว่ามวลอากาศบิดเบี้ยว เกิดแสงสว่างจ้าจนต้องหลับตาลง เมื่อลืมตาก็พบว่าที่ที่ยืนอยู่นั้นไม่ใช่ข้างลำธารอีกต่อไป แต่กลายเป็นห้องที่เหมือนห้องทำงาน ส่วนคนที่พาเขามาที่นี่ยืนมองออกไปข้างนอกผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ที่เหมือนเป็นแหล่งให้แสงสว่างเพียงสิ่งเดียวภายในห้อง
นัยน์ตาสีเขียวมองไปไกลเกินกว่าที่เขาจะล่วงรู้
“กระหม่อมเคยบอกพระองค์ไปแล้วว่าอย่าหันหลังกลับมาอีก เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงรับฟังคำพูดของกระหม่อม”
“..................”
“เฝ้าตามหากระหม่อมไปเพื่อเหตุใด... พร่ำหากระหม่อมไปทำไม ในเมื่อพระองค์ก็ทรงรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“คิดถึง......” เขาเอ่ยเสียงเบา นัยน์ตาสีเขียวเบือนมาสบ
“ข้าคิดถึงเจ้า”
“................”
“...ขอเพียงเวลานี้ที่ข้าไม่ใช่พระราชา เป็นเพียงชายสามัญคนหนึ่ง ละทิ้งภาระหน้าที่ทุกสิ่งอย่าง จมอยู่ในโลกแห่งความฝันที่มีเพียงข้าและเจ้า”
“................”
“...จะได้หรือไม่...”
.... มือขาวที่คลุมด้วยชุดสีดำสนิทยื่นออกมาข้างหน้าแทนคำตอบ เขายิ้มออกมาก่อนจะจับอีกคนเข้ามากอดเต็มแรง พร่ำบอกว่าคิดถึงอีกฝ่ายเพียงใด
นัยน์ตาสีเขียวปิดลง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มอ่อน
‘กระหม่อมเองก็เช่นกัน....’
‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧‧
- แฮ่ รีเควสของใครเอ่ย ช่วงนี้อารมณ์มาเพราะกำลังติดเดอะมูนที่ซูฮยอนเล่น ฝ่าบาทหล่อได้อีกค่า TT_______________________TT
- อยู่มหาลัยแล้วเวลาว่างเยอะแต่คิดพล็อตไม่ออกเลยสักนิดเดียว มันอาจจะแลดูตันๆงงๆไปบ้างก็ขอโทษนะคะ
- สาเหตุหลักที่ทำให้กว่าจะจบแต่ละเรื่องคือตอนจบค่ะ เราเป็นคนที่แต่งตอนจบแต่ละเรื่องได้ห่วยแตกบรม
ความคิดเห็น