ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( shortfiction - ) HAEEUN WONKYU ❤

    ลำดับตอนที่ #1 : Corrosive 1 : จุดเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 55


     

    Corrosive 1 : จุดเริ่มต้น

     

     

     


     

     

    “เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป.........”

     

     


     

     

     

     

                ตึ่ง ตึง ติ๊ง

     

     

                เสียงโปรแกรมเอ็มเอสเอ็นสุดฮิตดังจากแลปท็อปที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ เรียกความสนใจจากเจ้าของได้เป็นอย่างดี แทบจะไม่ต้องมองก็รู้ว่าใครมาทักในเวลาแบบนี้

     

     

                DONGhae : ทำชีวะเสร็จยัง

     

                KYUhyun : กำลังทำ ทำไม

     

                DONGhae : จะขอลอก

     

     

                คนถูกขอลอกทำหน้าเอือมทันที แม้จะรู้ว่านิสัยขี้เกียจของอีทงเฮเป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็แก้ไม่หาย ตอนเด็กเคยขี้เกียจยังไง ตอนโตก็ขี้เกียจอย่างนั้น และทั้งๆที่รู้ว่ามันขี้เกียจ เขาก็น่าจะปล่อยให้มันโดนอาจารย์ตีไป ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมพอมันมาขอลอกสุดท้ายก็ต้องให้มันลอก

     

     

                อาจจะเป็นเพราะคำว่า เพื่อนถึงต้องช่วยเพื่อน แม้จะรู้ว่ามันผิดที่ให้ลอก แต่ยังไงก็ยังเป็นเพื่อนกัน จะขี้เกียจ จะชั่ว จะเลวขนาดไหนก็เพื่อนกัน

     

     

                DONGhae : นะๆๆ มึงก็รู้ว่ากูไม่เก่งชีวะเลยสักนิดดดดดดดดดด

     

                KYUhyun : ถ้าสารภาพว่าขี้เกียจกูจะยอมให้ลอก

     

                DONGhae : เออๆ กูขี้เกียจ ขี้เกียจมากๆ พอใจยัง พรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้า กูจะไปรอมึงที่ห้อง

     

     

                พูดเองเออเองเสร็จสัพ นี่แหละนิสัยอีกอย่างของอีทงเฮ เป็นเพื่อนกันมาสิบกว่าปี ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นหน้าอีกฝ่ายแล้ว รู้จักเห็นไส้เห็นพุงกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีอะไรจะต้องปิดบัง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดเพราะๆ

     

     

                KYUhyun : ถ้ามึงมาสายกูจะให้ฮยอกแจลอกก่อน

     

                DONGhae : นี่ฮยอกแจก็ยังไม่ได้ทำเหรอวะ

                                   แต่ไม่ได้เว้ย กูจะต้องได้ลอกก่อนดิ เพื่อนนะเว้ยเพื่อน

     

                KYUhyun : ฮยอกแจก็เพื่อน

     

     

                พอคยูฮยอนพูดไปอย่างนั้น อีกฝ่ายก็หมดคำที่จะพิมพ์ตอบกลับมา เถียงไม่ได้ว่าฮยอกแจก็เพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกัน แต่เขานี่ยังไม่ได้ทำเลยสักกะตัว หนังสือก็ยังไม่ได้เปิด

     

     

                KYUhyun : หกโมงสี่สิบห้ากูจะไปนั่งรอที่โต๊ะ ฮยอกแจก็นัดกูเจ็ดโมง มึงต้องมาก่อน

     

                DONGhae : รักมึงนะ ซึ้งน้ำตาแทบไหล

     

                KYUhyun : ตอแหล

                                  หมดแล้วใช่ไหมกูจะได้ไปทำต่อ ถ้าไม่เสร็จก็อดลอกกันหมด

     

                DONGhae : เออออออออออออออออออออ

     

     

                หมดธุระอีทงเฮก็ซายน์เอ้าท์ออกเอ็มแล้วล้มตัวลงนอนเอาแรงเพื่อพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า ผิดกับคยูฮยอนที่ละจากโน้ตบุ้คมาทำการบ้านชีวะซึ่งใกล้จะเสร็จเต็มที มองนาฬิกาก็พบว่าห้าทุ่มเข้าไปแล้ว คิดแล้วก็ได้แต่ปลงกับชีวิต เป็นเพื่อนกับอีทงเฮนี่ชีวิตหาความสงบสุขได้ยากจริงๆ

     

     

     

     

     

     

    ••••••••••••••••••••••••••••

     

     

     

     

     

     

                เสียงจอแจของเด็กนักเรียนในห้องดังขึ้นรอบทิศ บ่งบอกว่าถึงเวลาพักเที่ยง อาจารย์ประจำวิชาสังคมแสนน่าเบื่อซึ่งเป็นคาบสุดท้ายเดินออกจากห้องไป แต่ก็ไม่วายสั่งการบ้านให้นักเรียนต้องโห่ออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

     

     

                ปั้ก

     

     

                เสียงกระเป๋าจาคอบกระทบหลัง ความรู้สึกต่อมาคือโคตรเจ็บ ทำเอาอีทงเฮที่นอนหลับมาตลอดคาบถึงกับสะดุ้งตื่น

     

     

                “จะนอนไปถึงไหน แดกข้าว”

     

     

                ซีวอนเป็นเจ้าของจาคอบและเป็นคนที่ลงมือปลุกเขาด้วยวิธีป่าเถื่อนแต่ใช้ได้ผลชะงัก เจ้าตัวส่งยิ้มมาให้เขา แต่เป็นรอยยิ้มที่เขาคิดว่ามันช่างกวนตีนเสียนี่กระไร

     

     

                “เออๆ” พูดจบก็หยิบหนังสือที่ใช้แทนต่างหมอนลงจาคอบของตัวเอง

     

     

                “เมื่อคืนนอนดึกเหรอ” เสียงของเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเขายื่นหน้าเข้ามาถามพร้อมรอยยิ้มกว้างล้อเลียน

     

     

                “เอาหน้าออกไปเลยอีฮยอกแจ”

     

     

                “แหม อยากจะเข้าใกล้ตายล่ะ” พูดจบก็ถอยหลังกลับมาเก็บของของตัวเองเข้ากระเป๋าต่อ แต่ปากก็ยังคงทำหน้าที่พูดต่อไป “เมื่อคืนได้ข่าวว่าดวลเท็มเพิ่ลรันกับจุนซูแล้วแพ้นี่ เป็นไงบ้างล่ะ ขอแก้ตัวไปกี่ตา 55555555555555555555555555

     

     

                “พูดมากน่า” คนแพ้เท็มเพิ่ลรันได้แต่พูดอย่างหงุดหงิด อีฮยอกแจเป็นพวกชอบแกล้งคนอื่นไปทั่ว แถมยังชอบยั่วโมโหเขาเป็นที่หนึ่ง เมื่อคืนเขาก็แค่พลาดท่าหรอก จุนซูมันเล่นทุกวันผิดกับเขาที่มักจะใช้ไอโฟนฟังเพลงมากกว่า

     

     

                กว่าจะเดินออกจากห้องได้ก็โดนฮยอกแจทับถมไปไม่รู้กี่รอบ เมื่อเช้ายังดีที่มาถึงโรงเรียนก่อนฮยอกแจ (ถึงจะสายจากเวลาที่นัดคยูฮยอนไปห้านาทีก็เหอะ) เลยได้ลอกชีวะก่อน ฮยอกแจก็บ่นนั่นบ่นนี่ไป ยังดีที่พอเจ็ดโมงครึ่งซีวอนมันก็มา แถมทำเสร็จอีกต่างหาก ฮยอกแจก็เลยได้ลอกของซีวอนไป สรุปว่าลอกเสร็จกันถ้วนหน้า

     

     

                พอมาถึงโรงอาหารก็แยกย้ายกันไปซื้อข้าว พอซื้อเสร็จก็มานั่งกินโต๊ะเดียวกัน ข้างซ้ายของเขาเป็นคยูฮยอน ตรงข้ามเป็นฮยอกแจ และตรงข้ามคยูฮยอนก็เป็นซีวอน กับคยูฮยอนนี่รู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้ ส่วนซีวอนกับฮยอกแจมาสนิทกันตอนม.หนึ่ง จนตอนนี้ม.ห้าก็ยังอยู่ห้องเดียวกันและกลุ่มเดียวกัน สนิทกันจนตบหัว ถีบตูดกันได้หมด

     

     

                “เออนี่ คยูฮยอน อ.จินยองฝากมาบอกว่ากินข้าวเสร็จให้ขึ้นไปหาเขาที่ห้องด้วย เขาจะคุยเรื่องที่ให้วาดรูปงานนิทรรศการอ่ะ”

     

     

                ฮยอกแจพูดขึ้น คยูฮยอนพยักหน้าเป็นอันว่ารับรู้แล้วกินข้าวต่อ ในพวกเขาสี่คน คยูฮยอนเป็นคนที่พูดน้อยที่สุด แต่ก็เป็นคนที่เรียนเก่งที่สุด แถมเวลาพูดอะไรแต่ละทีทุกคนก็ต้องฟังเหมือนมันมีออร่าแห่งความเป็นผู้ใหญ่กระจายอยู่รอบตัว

     

     

                “ถามจริงเหอะ ทำไมมึงเลือกมาเรียนสายวิทย์กับพวกกูวะ มึงเก่งพวกศิลป์ๆมากเลยนะเว้ย” ซีวอนถามด้วยความสงสัย คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมาก่อนตอบ

     

     

                “เพราะถ้ากูแหวกแนวไปเรียนศิลป์ แล้วใครจะให้พวกมึงลอกการบ้าน”

     

     

                “เออจริง 55555555555555555555555555 โดยเฉพาะมึง ทงเฮ เกาะคยูตลอดอ่ะ” ฮยอกแจพูดขึ้นมาเพิ่มออพชั่นด้วยการหัวเราะเสียงดัง แถมท้ายด้วยการทับถมเขา

     

     

                “อ้าวไอ้ห่านี่ แต่กูก็ไม่ได้บังคับให้มันมาเรียนนะเว้ย”

     

     

                “มึงไม่บังคับก็เหมือนบังคับแหละ มึงคิดดูดิ ถ้าไม่มีไอ้คยูนะ ชีวิตมึงจะเละขนาดไหน”

     

     

                “ขนาดเล่นเท็มเพิ่ลรันยังแพ้เขาเลย”

     

     

                ประโยคสุดท้ายนี่คยูฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงสะใจเล็กๆ แล้วหันไปแท็กมือกับฮยอกแจที่หัวเราะอยู่ก่อนแล้ว เออ ทับถมเขาเข้าไปสิ เยาะเย้ยเขาเข้าไปสิ พูดไปก็หงุดหงิดเลยก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ พอกินเสร็จคยูฮยอนก็เดินออกไปหาอ.จินยอง เขาบอกให้ซีวอนกับฮยอกแจขึ้นห้องไปก่อน แล้วเดินมาเข้าห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลโรงอาหารสักเท่าไหร่ ทำธุระเสร็จเรียบร้อยพอเดินออกมานอกห้องน้ำก็เจอกับซีวอนที่ยืนเหมือนรออะไรบางอย่างอยู่

     

     

                “อ้าว มึงไม่ได้ขึ้นห้องไปกับไอ้ฮยอกแจเหรอ”

     

     

                เขาเดินเข้าไปทัก อีกฝ่ายสะดุ้งเหมือนกำลังใจลอย มันมองเขาด้วยสีหน้าตื่นๆแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจมันมากขึ้นไปอีก

     

     

                “มึงเป็นอะไรเนี่ย” ถามย้ำไปอีกที

     

     

                “เอ่อ... มึงมานี่กับกูหน่อย” พูดจบมันก็เดินนำหน้าเขาไปทางสวนหย่อมแถวๆตึกศิลปะที่ไม่ค่อยมีคนไปสักเท่าไหร่ เขาก็เดินตามไปอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก จะสงสัยก็แค่ท่าทีแปลกๆ พอเดินมาถึงสวนหย่อมซีวอนก็หยุดเดิน ตัวสูงๆของมันหันหลังกลับมาทางเขา แววตาฉายชัดถึงความลังเล ตื่นเต้นแล้วก็หวาดกลัวอย่างเต็มเปี่ยม

     

     

                “พากูมาซะไกล จะสารภาพรักกับกูเหรอไง” เขาพูดติดตลก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ตลกด้วย เขาจึงหุบยิ้มแล้วทำหน้านิ่งๆแทน

     

     

                “ตกลงมีอะไรจะพูดกับกู ซีวอน”

     

     

                “กู.....” อีกฝ่ายพูดเสียงเบาจนแทบจะเป็นเสียกระซิบ ซ้ำยังไม่สบตา

     

     

                “หะ?”

     

     

                “กูชอบ..........” ซีวอนยังคงพูดเสียงเบาอย่างต่อเนื่อง ความไม่แน่ใจและความกังวลเริ่มออกมาทางกริยาอาการมากขึ้น ใบหน้าที่ใครๆก็ชมว่าหล่อของมันเต็มไปด้วยเหงื่อ

     

     

                “ไอ้ซีวอนครับ  ปกติมึงไม่ได้เป็นแบบนี้ มีอะไรก็พูดมาดังๆ ทำแบบนี้ไม่สมกับเป็นมึงเลยนะ”

     

     

                “กู....

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                กูชอบฮยอกแจ”

               

     

     

     

     

     

                “อะไรนะ...........”

     

     



     

     

     

     

    ••••••••••••••••••••••••••••

     

     

     

     



     

     

     

                “กูชอบฮยอกแจ”

     

     

                คยูฮยอนชะงักขาที่กำลังจะก้าวออกไปเมื่อได้ยินเสียงของซีวอน เขาเพิ่งจะคุยกับอ.จินยองเรื่องวาดรูปเสร็จ เดินออกมาจากตึกก็เห็นแว้บๆ ว่าทงเฮเดินมาทางนี้จึงเดินตามมาเพื่อจะเรียกขึ้นห้องพร้อมกัน แต่ไม่นึกว่าจะมาได้ยินคำบอกชอบฮยอกแจจากปากของซีวอน

     

     

                จากมุมนี้เขาเห็นสีหน้าของทงเฮชัดเจน เห็นชัดว่ามันกำลังฉายแววตกใจขนาดไหนกับคำพูดของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนรัก

     

     

     

     

    เพื่อนรักที่กำลังบอกว่าชอบ เพื่อนรักอีกคนหนึ่ง

     

     

     

     

                ริมฝีปากของคยูฮยอนเผยรอยยิ้มเย้ยหยันในโชคชะตาของเพื่อน ความรู้สึกในหัวตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด แต่สรุปออกมาได้เพียงสั้นๆว่า วุ่นวายมันจะต้องวุ่นวายแน่เพราะชเวซีวอนกำลังทำลายเส้นกั้นที่พวกเขาทุกคนได้ทำตกลงกันไว้เมื่อห้าปีก่อน

     

     

     

    เส้นกั้นที่พวกเขาตกลงกันไว้ว่า

    ห้ามรักใครคนใดคนนึงคิดกับอีกคนเกินกว่าคำว่าเพื่อน

     

     

     

     

                “มึงลืมที่พวกเราตกลงกันไว้แล้วเหรอ...” ทงเฮพูดขึ้นหลังจากตั้งสติได้ เขาไม่เห็นหรอกว่าซีวอนกำลังทำสีหน้าแบบไหนออกมาเพราะซีวอนยืนหันหลังให้เขาอยู่ แต่หลังจากที่ทงเฮพูด ก็เกิดความเงียบขึ้นนานกว่าที่อีกฝ่ายจะตอบกลับเบาๆ

     

     

                “ไม่ลืม ไม่เคยลืม.....”

     

     

                “แล้วมะ...”

     

     

                “แต่กูห้ามไม่ได้ทงเฮ” ซีวอนพูดแทรก “กูห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้ กูพยายามบอกกับตัวเองแล้วว่าฮยอกแจเป็นแค่เพื่อน กูบอกกับตัวเองเป็นล้านๆครั้งว่าอย่าล้ำเส้นที่พวกเราขีดไว้ แต่กูทำไม่ได้ กูห้ามใจตัวเองไม่ได้”

     

     

                พูดจบมือหนาก็ทึ้งหัวตัวเองราวกับคนบ้า สิ่งที่ซีวอนพูดก็ถูก ไม่มีใครห้ามหัวใจตัวเองได้ ไม่มีใครห้ามความรู้สึกที่เรียกว่ารักได้ แต่สิ่งที่ซีวอนผิดก็คือการล้ำเส้นของคำว่าเพื่อน พอคำว่าชอบถูกเอ่ยออกมา ทุกสิ่งมันก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกคนรู้ดี พวกเขาทั้งสี่คนรู้ดี จึงสร้างเส้นกั้นไว้ตั้งแต่แรกที่ตกลงจะเป็นเพื่อนกันไปจนวันตาย

     




     

     

    พวกเขาแค่ต้องการรักษามิตรภาพความเป็นเพื่อนนี้ไว้ตลอดไป

     




     

     

                “นานแค่ไหนแล้วซีวอน”

     

     

                “ปีที่แล้ว ตอนม.สี่เทอมสอง”

     

     

                หนึ่งปี... คยูฮยอนนับเวลาในใจ มันคงนานจนซีวอนมั่นใจว่านี่คือความรัก นานจนซีวอนกล้าที่จะบอกตรงๆว่าชอบฮยอกแจ แต่สิ่งที่เขาแปลกใจคือแทนที่ซีวอนจะไปบอกฮยอกแจตรงๆ กลับมาบอกทงเฮแทน

     

     

                ตอนนี้ทงเฮทำหน้านิ่งจนเขาไม่เข้าใจ มันนิ่งเกินไป ปกติทงเฮจะเป็นคนที่เฮฮา ไม่ชอบเรื่องจริงจังใดๆ แต่เวลานี้ เหมือนทงเฮจะจริงจังกับเรื่องตรงหน้ามาก เขาหลับตาลงช้าๆ ในหัวสมองเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แปลกใจ และสับสน ก่อนจะลืมตาช้าๆ แล้วตัดสินใจยุติบรรยากาศทั้งหมดด้วยการเดินเข้าไปหาทั้งสองคนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

     

                และเชื่อเถอะว่าเขาทำได้แนบเนียนจนไม่มีใครสงสัย

     

     

                ทงเฮเป็นคนแรกที่เห็นเขา ฉับพลันใบหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นอีทงเฮคนเดิมที่มีรอยยิ้มบนใบหน้า

     

                “อ้าว มึงคุยกับอ.จินยองเสร็จแล้วเหรอ”

     

                เจ้าของรอยยิ้มบนใบหน้าทักเขา เรียกให้ซีวอนหันหน้ามาอย่างเร็ว ทำให้เขาทันเห็นสีหน้าลำบากใจนั่นเพียงแวบเดียว... แต่นั่นก็เกินพอ

     

     

                “อือ นี่พวกมึงมาทำอะไรกันตรงนี้เนี่ย แล้วจะขึ้นห้องได้ยัง”

     

     

                “เออดิ ไปเหอะ อยู่ตรงนี้แล้วยุงเยอะชิบหาย” พูดจบทงเฮก็เดินนำหน้าออกไป

     

     

     

     

     

     

    ••••••••••••••••••••••••••••

     

     


     

    - เริ่มแรกคงจะไม่เข้าใจไปบ้าง แต่ทุกปมในเรื่องที่เราผูกไว้จะถูกเฉลยในตอนถัดไปและถัดไป

    - เรื่องไม่ได้เป็นฟิคยาวมาก แต่ก็คงเกือบสิบตอนอยู่เหมือนกัน เราวางพล็อตไว้อย่างเดียว ส่วนพิมพ์นี่แล้วแต่โอกาสจะเอื้ออำนวยล้วนๆค่ะ 555555555555555

    - หวังว่าทุกคนจะสนุกกับเรื่องนี้เนอะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×