ข้อมูลเบื้องต้น
ปี 1999 แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังจดจำเรื่องราวเรื่องหนึ่งที่นึกถึงทีไร ข้าพเจ้าก็อดที่จะชื่นใจ ปลี้มใจ ทุกทั้งที่ข้าพนึกถึง
เพื่อน หญิงของข้าพเจ้าคนหนึ่ง เล่าเรื่องชายลึกลับคนหนึ่งให้ฟังที่เธอพบ เธอเล่าให้ผมฟังพร้อมๆๆกับรอยยิ้ม และความปลาบปลื้ม ข้าพเจ้าไม่คิดเลยว่า หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องของเธออีกประมาณ 1 ปี ข้าพเจ้าก็ได้พบกับชายลึกลับคนนี้ด้วยตัวเอง
เย็นวันหนึ่งในปี 1999 ที่ประเทศนิวซีแลนด์ วันนั้นเป็นวันที่อากาศค่อนข้างหนาวเย็นและลมแรง วันสุดท้าย ที่ข้าพเจ้าหมดสัญญาการเช่าหอพัก ข้าพเจ้าต้องขนข้าวของออกจากหอพัก เพื่อจะย้ายที่อยู่ใหม่ ข้าพเจ้ายืนข้างๆๆสัมภาระ 3-4 กล่อง ยืนใจจดใจจ่อหารถเพื่อเข้าไปในเมือง วันนั้นเป็นวันที่โชคร้ายมาก ข้าพเจ้ายืนคอยรถกว่า 2 ชั่วโมง ก็ยังไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมา
จนกระทั้งพลบค่ำ มึดสลัวๆๆๆ ก็มีแท็กซี่คันหนึ่งวิ่งผ่านมา และรับข้าพเจ้าขึ้นรถ ข้าพเจ้าขึ้นรถด้วยความ ว้าวุ่นใจมาก เพราะชายคนนี้ดูหน้าตาหน้ากลัว ผู้ชายคนนั้นหน้าตาเหมือนคนเอเซีย ผิวคล้ำ ผมยุ่งรกรุงรังไม่น่าไว้วางใจ ข้าพเจ้าไม่มีทางเลือก ถึงจะกลัวอย่างไร ถ้าไม่ไปกับเขา ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะมีรถแท็กผ่านมาอีกหรือเปล่า ข้าพเจ้าจึงนั่งรถไปด้วยใจกระวนกระวาย
ในระหว่างนั่งในรถ ชายคนนี้ก็สอบถามถึงที่มาที่ไปของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามาจากเมืองไทยหรือเปล่า หน้าตาเหมือนคนไทยจังเลย ข้าพเจ้าแปลกใจมากทำไมเขาจึงสอบถามเรื่องราวบ้านเมืองของข้าพเจ้ามากมาย เหลือเกิน ยิ่งถามข้าพเจ้าก็ยิ่งกลัว
และแล้วแกก็ถามถึงเรื่องส่วนตัวของข้าพเจ้า ซึ่งแกถามเป็นภาษาอังกฤษว่า
"คุณพ่อที่รัก ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง ท่านสบายดีไหม "
ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่า พ่อสบายดี โทรศัพท์หากันทุกวัน
"สุขภาพท่านเป็นอย่างไรบ้าง ฝากความคิดถึง ฝากความเคารพ
ถึงคุณพ่อคุณด้วยนะครับ ผมคิดถึงท่านครับ"
ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่า ได้ครับ แล้วจะบอกให้ กลับถึงบ้านเมื่อไร จะรีบไปบอกเลย
ข้าพเจ้าตอบไปเพื่อจะให้แกจบๆๆเรื่องที่เราจะต้องคุยกัน ข้าพเจ้าแปลกใจว่าทำไม
แกถึงคุยกับข้าพเจ้ามากจังเลย ผิดปกติของคนขับรถแท็กซี่ทั่วไป
ชายคนนี้ขับรถไป นั่งยิ้มไป แกทำไมถึงอารมณ์ดีจังเมื่อแกคุยกับข้าพเจ้า ในขณะที่
ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวแกอย่างบอกไม่ถูก น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
และแล้วชายคนนี้ก็จอดรถที่บ้านพักหลังใหม่ของข้าพเจ้า แกลงจากรถ และกุลีกุจอ
ขนข้าวของลงมาให้ข้าพเจ้าด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้ม
หลังจากขนของเสร็จ ชายคนนี้ เอื้อมมือมาจับที่บ่าของข้าพเจ้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า
"น้องเอ๋ย พี่ดีใจมากที่มีโอกาสพบคนไทย พี่ไม่ได้พบคนไทยมานานแล้วพี่มาอยู่ที่เมืองนี้กว่า 20 ปี ไม่ค่อยได้เห็นคนไทยมาที่นี่กัน"
" วันนี้พี่ดีใจมาก เห็นคนไทยแล้วทำให้พี่รู้สึกอบอุ่นเหมือนได้พบกับญาติคนหนึ่งพี่เป็นชาว กัมพูชา อพยพมาที่นิวซีแลนด์เมื่อหลายสิบปีก่อน
เพราะด้วยพระ บารมีและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ได้ให้ที่พักพิงในยามที่เราหนีตาย มาพักในแผ่นดินไทย พี่ๆๆและครอบครัวถึงได้มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ มีความหวังและได้ชีวิตใหม่
ชีวิตของครอบครัวของพี่มีได้มาถึงทุกวันนี้เพราะพระมหากรุณาของในหลวงของประเทศไทย"
หลังจากชายคนนี้พูดจบ แกก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบกระเป๋าเงินออกมา พร้อมกับพูดว่า
" แม้จะผ่านมาหลายปี พี่เก็บภาพนี้ในกระเป๋าเงินของพี่ตลอดเวลา พี่เก็บภาพนี้เพราะพระองค์คือผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของเรา เราซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ครอบครัวของเรา รัก และเทอดทูลบูชาพระองค์ตลอดเวลา เพราะพระองค์คือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของครอบครัวของเรา"
หลัง จากพูดเสร็จ แกก็จับมือของข้าพเจ้า และหยิบธนบัตรในมือของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าเตีรยมไว้เพื่อจ่ายเป็นค่าโดยสารให้กับเขา แต่ชายคนนั้นหยิบธนบัตรจากมือของข้าพเจ้าใส่กระเป๋าเสื้อของข้าพเจ้าแทน
และบอกข้าพเจ้าว่า วันนี้พี่ขอมาส่งน้องชายของพี่นะ "
หลัง จากแกจากไป ข้าพเจ้าพึ่งเข้าใจคำถาม ของแกที่ถามเกี่ยวกับพ่อของข้าพเจ้า พ่อที่รักและเคารพของข้าพเจ้า นั้นแกหมายถึงใคร และข้าพเจ้าก็เข้าใจทันทีเลยว่า ทำไมชายคนนี้ถึงเก็บภาพในหลวงและพระราชินีขณะทรงชุดพลางทหาร เดินออกเยี่ยมพสกนิกร ข้าพเจ้าเข้าใจในความรู้สึกของชายคนนี้ทำไมเก็บภาพนี้ในกระเป๋าเงินของแกมาก ว่า 20 ปีแม้จะผ่านมาหลายปี ภาพในกระเป๋าเงินของชายคนนี้ยังอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้านึกถึงทีไรก็อด ปลาบปลื้มไม่ได้ว่า
พระองค์ทรงที่รักยิ่งและพระองค์ทรงอยู่ในใจไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้นแต่อยู่ในใจของพี่น้องเพื่อนบ้านของเราด้วย
รักในหลวงครับ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
ความคิดเห็น