คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : รับน้อง
1
“บันนี่ว้อยยย ตื่นได้แล้ว วันนี้พี่เค้านัดรายงานตัวตอนเจ็ดโมงเช้านะ”
เสียงปลุกจากเพื่อนร่วมห้องฟังดูไม่เสนาะหูเท่าไหร่ในเวลานี้สำหรับฉัน ฉันเงยหน้ามองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บริเวณฝาผนังของห้องก็พบว่า นี่มันเพิ่งจะตีห้าครึ่งเท่านั้นเอง =_= โธ่ นี่ยัยฟรุตตี้ (รูมเมทฉัน) ไม่รู้รึไงนะว่าเมื่อคืนกว่าที่ฉันจะได้นอนก็เกือบตีสามแล้ว
ฉันขดตัวเข้าไปในผ้าห่มหวังจะหลับตานอนต่ออีกสักครึ่งชั่วโมงก็ยังดี ถ้าพี่เขานัดเจ็ดโมง ฉันว่าฉันตื่นหกโมงครึ่งก็ยังทันนะ แต่เพื่อนรักของฉันไม่ปล่อยให้ฉันทำเช่นนั้น เมื่อเจ้าหล่อนไขกุญแจเข้ามาในห้องนอนของฉันแล้วลงมือเขย่าตัวฉันทันที
“บันนี่ ตื่นได้แล้ว กว่าแกจะอาบน้ำแต่งตัว ไปสายเดี๋ยวก็โดนลงโทษให้ทำอะไรแปลกๆหรอก”
“ขออีกสิบนาทีน่า”
“ไม่ได้ ลุกขึ้นมาจากเตียงเดี๋ยวนี้เลยนะ รายงานตัวเสร็จเดี๋ยวแกก็แวบอยู่ดี”
สุดท้ายฉันก็ทนฟังมันบ่นบวกกับการที่มันเขย่าตัวฉันราวกับฉันเป็นตุ๊กตาไม่ไหว ต้องยอมลุกออกจากที่นอนแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำเสียไม่ได้
บางทีฉันก็คิดว่าแม่แอบมาสิงร่างเพื่อนของฉัน เพราะการปฏิบัติตัวของมันในบางครั้งนี่เหมือนกับแม่ของฉันไม่มีผิดเพี้ยน จะต่างกันก็แค่ประโยคๆเดียว ที่แม่จะพูดให้ฉันฟังเป็นประจำ แต่ฟรุตตี้ไม่เคยพูดเลยสักครั้ง นั่นก็คือประโยคที่ว่า
‘บันนี่ เมื่อไหร่ลูกจะเก็บห้องให้สะอาด นอกเหนือจากมุมเกมของลูกสักที’
นั่นแหละคือความแตกต่างเดียวของทั้งสองคน เพราะฟรุตตี้เองก็มีส่วนที่มันทำรกเหมือนกัน ถ้ามันมาบอกให้ฉันเก็บล่ะก็โดนกระทบทั้งคู่แน่ๆ
ส่วนเรื่องคำว่ามุมเกมที่แม่ฉันพูดบ่อยๆนั้น มันหมายถึงมุมๆหนึ่งในห้องนอนที่บ้านของฉัน ที่จะมีตู้กระจกเอาไว้วางเครื่องเกม แผ่นเกมนานาชนิด และมันเป็นมุมเดียวในห้องนอนของฉันที่สะอาด ส่วนที่อื่นน่ะ รกเสียยิ่งกว่ารก เพราะว่าฉันไม่ต้องการที่จะให้เครื่องเกมพวกนั้นเปื้อนฝุ่น เพราะมันจะเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพของเครื่องเกมได้ง่ายๆ
ทุกคนมักจะเรียกฉันว่า เด็กติดเกม มันเป็นคำที่ฉันไม่ชอบเอาเสียเลย ฉันน่ะไม่ได้เป็นเด็กติดเกมนะ ฉันก็แค่รักการเล่นเกมมากกว่าการทำอย่างอื่นเท่านั้นเอง ฉันเล่นเกมได้ทุกประเภท แต่เกมที่ฉันชอบเล่นมากที่สุดก็จะเป็นเกมจำพวกเกมจีบหนุ่ม เกมพวกนี้มักจะเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ ฉันเลยเรียนมัธยมปลายมาในสายศิลป์-ญี่ปุ่น แต่ตอนนี้ฉันขึ้นมหาวิทยาลัยแล้วล่ะ เป็นเฟรชชี่คณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองไทย
การที่ฉันเพิ่งจะเป็นเฟรชชี่นี่แหละมันทำให้ฉันจำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมงานรับน้อง ซึ่งอันที่จริงแล้วฉันคิดว่าไม่ต้องเข้าร่วมก็ไม่เสียหายอะไร แต่ฟรุตตี้กลับบังคับขู่เข็ญฉันสารพัดให้ฉันไปเป็นเพื่อน
พูดถึงฟรุตตี้แล้วก็จะขอเท้าความถึงมันหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวจะน้อยใจ ฟรุตตี้เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน ซึ่งฉันมีเพียงคนเดียว พูดได้เลยว่ามันเป็นหนึ่งเดียวที่รับนิสัยฉันไหวตอนเรียนมัธยม เพราะว่าเราเป็นคนประเภทเดียวกัน คือคลั่งไคล้บางสิ่งบางอย่าง กรณีฉันคือเกม ส่วนฟรุตตี้คลั่งไคล้ในการดูทีวีทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรายการแบบใดก็ตาม จะซีรี่ย์เกาหลี ญี่ปุ่น ละครไทย หนังการ์ตูน รายการวาไรตี้ คุณเธอเหมาหมด แต่ที่ชอบที่สุดคงจะเป็นการ์ตูน เห็นดูหมดตั้งแต่การ์ตูนพากย์ยันการ์ตูนซับ จนตอนนี้ก็เริ่มหนมาดูแบบไม่มีซับ
เราสองคนจะคุยกันได้ทั้งเรื่องการ์ตูนและเกม ฉันดูการ์ตูนบางเรื่องกับมัน ส่วนมันก็เล่นเกมบางเกมกับฉัน แต่ถ้าถามว่าจะให้ฉันไปนั่งดูทีวีเป็นอาชีพแบบมัน หรือให้มันมานั่งเล่นเกมเป็นอาชีพแบบฉัน บอกไว้เลยว่ายาก พวกฉันมีแนวทางของตัวเองและไม่คิดจะเปลี่ยนมันด้วย
แต่ใช่ว่าฉันจะมีมันเป็นเพื่อนแค่คนเดียวนะ ฉันมีเพื่อนเยอะแยะมากมายเชียวล่ะ แต่ก็เป็นแค่คนประเภทคบกันแค่ฉากหน้า มีแค่ฟรุตตี้ที่เรียกได้ว่าสนิทกันจริงๆ
ฉันเคยคบกับเพื่อนคนอื่นๆสมัยที่ยังไม่เจอกับฟรุตตี้ก็จะมีปากเสียงกัน จนสุดท้ายก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น
‘เธอพูดถึงแต่เกมๆๆ เราฟังที่เธอพูดไม่รู้เรื่องเลย’ จากกลุ่มเพื่อนผู้หญิงช่างเมาท์
‘เกมน่ะ มันไม่ได้ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงหรอกนะ’ จากกลุ่มเพื่อนนักกีฬา
‘เราว่าเธอเอาเวลาที่เล่นเกมมาอ่านหนังสือเรียนจะมีประโยชน์กว่านะ’ จากกลุ่มเด็กเนิร์ด
เป็นต้น จริงๆมันก็มีอีกเยอะนะ แต่ฉันพูดแค่นี้ก็พอ พูดเยอะไปก็ประจานตัวเองเปล่าๆ
“แกปลุกฉันนี่แกอาบน้ำรึยัง” ฉันหันไปถามฟรุตตี้หลังจากที่พาตัวเองออกจากห้องน้ำมาแต่งตัวจนเสร็จแล้วพบว่ามันยังแต่งชุดนอนอยู่เลย
“ยัง กะว่าจะปลุกแกอาบก่อนแล้วฉันค่อยไปอาบ” ฟรุตตี้ตอบฉันในขณะที่สายตามันยังคงจับจ้องอยู่กับจอทีวี ให้ตายสิ ทำตัวแบบนี้เนี่ยนะ
ฉันเดินไปหน้าทีวีแล้วกดปิดสวิตซ์ พอจอทีวีดับลงคนตรงหน้าฉันก็ลุกขึ้นมาเปิดใหม่และกลับไปนั่งที่เดิมเพื่อดูต่อทันที แบบไม่คิดจะอาบน้ำใช่มั้ยเนี่ยย
“แกไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยนะ ปลุกฉันแล้วตัวเองไม่ยอมอาบน้ำแบบนี้ได้ที่ไหน” ฉันชี้นิ้วสั่งคนติดทีวีที่ยังคงดูการ์ตูนในหน้าจอต่อไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน จนฉันหมดความอดทนเดินไปปิดทีวีและถอดปลั๊กทีวีออก
“แก๊ นั่นมันรีรันที่ฉันยังไม่ได้ดูเมื่อวานนะ” ฟรุตตี้แว้ดขึ้น ฉันคิดว่าฉันคงคิดผิดที่เลือกมาอยู่ที่หอของคนรู้จักที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันแถมยังกว้างขวางอย่างที่นี่ มันทำให้ฉันสองคนอยู่สบายเกินไปไงล่ะ =_=
หลังจากที่ฉันฉุดกระชากลากดึงจนฟรุตตี้ยอมไปอาบน้ำแล้ว ฉันก็เดินมากินอาหารเช้าที่ฟรุตตี้ทำเตรียมไว้ให้ (มันทำไว้เพราะวันนี้เป็นเวรที่ต้องทำหรอก) ไม่นานนักฟรุตตี้ก็เดินออกมาจากห้องในชุดนิสิตรีดเนี้ยบอย่างดี
“แกไปกันเหอะ ก่อนที่ฉันจะเปิดทีวีแล้วไม่อยากไปจากมัน”
“โอเค แกไปรอหน้าห้องเลย” ฉันรับคำฟรุตตี้ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อหยิบเครื่องเกม PSP ที่ชาร์จเอาไว้มาพกใส่กระเป๋าเพื่อเอาไปนั่งเล่นคลายเหงาในงานรับน้องวันนี้ และดึงสายชาร์จเครื่องเกม 3DS แล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะตามเดิม ฉันไม่คิดจะพกมันไปเพราะว่าราคามันแพงกว่า PSP เป็นไหนๆ แถมตอนนี้ฉันก็กำลังติดเกมจีบหนุ่มใน PSP งอมแงมเลยด้วยสิ~
แบตเตอรี่เต็มเรียบร้อย แค่นี้ก็เหลือแค่ไปหาที่สงบๆสักที่ในมหาวิยาลัยเพื่อนั่งเล่นเกมรอเวลาให้งานรับน้องบ้าๆนั่นจบเท่านั้นเองสินะ J
“งั้นพอพี่เค้าให้พักกินข้าวเที่ยงแล้วแกก็โทรหาฉันแล้วกันนะ” ฉันหันไปบอกกับฟรุตตี้ที่จะวิ่งหนีฉันไปรวมพลกับพวกรุ่นน้องที่มารับน้องเหมือนกัน ฟรุตตี้รีบรับคำฉันแล้วออกตัววิ่งไปทันที
ฉันเดินไปตามทางเดินของมหาวิทยาลัย เพราะว่าตอนนี้คนส่วนมากจะไปรวมกันอยู่ที่ลานกิจกรรมที่ใช้ทำกิจกรรมรับน้องกัน ฉันเลยเลี่ยงมาอีกทางที่อยู่ไกลจากลานกิจกรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งได้มาเจอกับสวนหย่อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่เต็มไปหมด ฉันเลือกที่จะไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ในมุมค่อนข้างอับเพื่อหลบรุ่นพี่ พอมั่นใจแล้วว่าที่นั่งตรงนี้โอเค ฉันก็เริ่มเปิดเกมเล่นต่อทันที
‘Bunny Aishiteru’ (Bunny ฉันรักเธอ)
ฉันมองหน้าจอ PSP ด้วยแววตายิ้มกริ่ม หลังจากที่ตรากตรำเล่นมาได้สองวัน ในที่สุดยูยะก็บอกรักฉันแล้ว นับเป็นความสำเร็จอันสูงส่ง แต่ฉันจะประมาทไม่ได้ ฉันยังไม่ลืมวันนั้น วันที่ฉันเล่นจนผู้ชายที่ฉันตามจีบบอกรักแล้ว แต่ฉันดันทำอีเวนต์ท้ายเรื่องพลาด จนเกมโอเวอร์ต้องเล่นใหม่อีกรอบ TOT มันเป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆนะ เพราะงั้นฉันควรจะต้องเซฟไว้ก่อนจริงไหม
“รุ่นน้องปี 1 ใช่ไหม ทำไมไม่ไปเข้าร่วมงาน” เสียงตำหนิดังขึ้นพร้อมกับปฏิกิริยาดึงเครื่องเกมจากมือของฉัน ซวยล่ะสิ ยังไม่ได้เข้าเซฟเกมเลย
ฉันเงยหน้ามองด้วยสายตามองค้อนรุ่นพี่คนนั้นเต็มที่ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของพี่เขาชัดๆ แล้วก็พบกับความจริงที่ว่า... หล่อชะมัดเลยอ่ะ หล่อเหมือนกับพระเอกในเกมจีบหนุ่มที่ทำกราฟฟิคได้คุณภาพเยี่ยม -0-
ร่างสูงโปร่งผมสีดำขลับซอยระต้นคอจนทรงคล้ายๆ ผมบ็อบ ยิ่งอยู่ในชุดนิสิตแบบถูกระเบียบยิ่งดูลงตัวแบบคาดไม่ถึง ที่คอห้อยป้ายชื่อที่เขียนว่า ‘P’ Hiro อักษรฯ’ ยิ่งทำให้ฉันคิดว่ามันเป็นพรหมลิขิต มีอย่างที่ไหน ชื่อเดียวกับตัวละครที่ฉันชอบมากที่สุดในบรรดาเกมที่เล่นมาทั้งหมด แถมยังเรียนคณะเดียวกับฉันอีก
“ว่าไง ทำไมถึงไม่ไปเข้าร่วมงาน”
“ช่วยคืน PSP มาได้ไหมคะ พอดีฉันยังไม่ได้เซฟ” ฉันไม่ตอบคำถามของพี่เขาและพยายามแบมือเรียก PSP ของตัวเองคืนมา แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวเอา PSP ของฉันพลิกไปพลิกมาอีก
“เกมจีบหนุ่มงั้นเหรอ ไร้สาระชะมัดเลย” เขาพูดก่อนจะกระทำชำเรา PSP ฉันด้วยการปิดเครื่องและยัดมันลงในกระเป๋าของเขา ไม่นะ ฉันยังไม่ได้เซฟเกมเลย TOT
“ไปเข้างานจนจบงาน แล้วฉันจะคืนให้เธอ” พูดจบรุ่นพี่คนนั้นก็กลับหลังหันเดินกลับไปทางเดิมที่เดินมาเมื่อครู่ โดยที่ไม่พูดกับฉันสักคำว่าจะให้ฉันไปเอาลูกรักของฉันคืนได้ที่ไหนหรือจะติดต่อเขาได้อย่างไร แล้วถ้าฉันไม่ได้คืนล่ะ TOT
ฉันขอกลับคำพูด แม้ว่าเขาจะหน้าตาดี! และมีชื่อเหมือนฮิโระคุงตัวละครตัวโปรดของฉันในเกม แต่! แต่!! แต่!!!!!! นิสัยเขาแย่กว่าฮิโระคุงของฉันเยอะเลย อย่างนี้ไม่โปรดเลยสักนิด L
“ไหนว่าจะไปเล่นเกมจนงานเลิก”
“เล่นบ้าอะไรล่ะ PSP โดนรุ่นพี่ยึดไปแล้ว” ฉันหันไปบอกฟรุตตี้ด้วยใบหน้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง นี่ดีนะที่งานรับน้องครั้งนี้เป็นรับน้องแบบรวมสองคณะ ฉันเลยโทรถามฟรุตตี้เพื่อเดินมาหามันได้แบบไม่ต้องสนใจว่าเราอยู่กันคนละคณะ
“จริงดิ รุ่นพี่คนไหนมายึดไปอ่ะ”
“ผู้ชาย ชื่อฮิโระ แกดูดิชื่อเหมือนฮิโระคุงของฉันอ่ะ แต่ทำตัวแบบนี้เนี่ยนะ ฮึ่ยย”
“ฮิโระ!!!! จริงดิ แกเจอรุ่นพี่ชื่อฮิโระเหรอ”
“แกจะตื่นเต้นทำไม” ฉันหันไปบอกฟรุตตี้ด้วยใบหน้าเอือมๆ ปกติฟรุตตี้ตามติดรุ่นพี่หล่อๆ ที่ไหนล่ะ ยิ่งวันนี้เราเพิ่งได้มาอย่างเป็นทางการวันแรก ยัยนี่ก็น่าจะยังไม่รู้จักใคร
“โหยย ก็พวกรุ่นพี่ที่เป็นสต๊าฟน่ะบอกว่าพวกฉันน่ะโชคร้ายที่ฮิโระไม่มา เขาว่าหล่อสุดๆ เดือนคณะอักษรเลยนะแก”
“หล่ออ่ะหล่อ แต่ถ้านิสัยทราม ฉันก็ไม่เอาเหมือนกันล่ะ”
“โอ๋เอ๋ๆ จะพักแล้วล่ะ งั้นหนีไปกินข้าวกันป่ะ?”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวอีพี่ฮิโระอะไรนั่นจะมาหาว่าฉันโดดแล้วไม่คืนลูกรักฉันให้อีก” ฉันพูดแบบปลงๆก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงข้างฟรุตตี้ จนยัยนั่นยอมขยับให้ฉันนั่งได้เอง ปล่อยให้ฉันยืนเด่นอยู่ท่ามกลางผู้คนตั้งนาน =_=
“เอาน่า กิจกรรมก็ไม่ได้มีอะไรมากเท่าไหร่หรอก”
ฉันถอนหายใจพรืดกับคำพูดของฟรุตตี้ ไอ้กิจกรรมที่ไม่มีอะไรนี่แหละที่มันทำให้เบื่อ พอไม่มีอะไรฉันก็อยากจะเอาเกมขึ้นมาเล่น แต่ ณ ตอนนี้ไม่มีเกมให้เล่นเนี่ยสิ ฉันก็ต้องทนนั่งเบื่อต่อปายยย
คอยดูนะ ฉันจะจำรุ่นพี่ที่ชื่อฮิโระให้เข้ากระดูกดำเลยเชียว L
“เอาล่ะ ใครจะเป็นคนตอบพี่เนี่ยว่าทำไมเธอสองคนถึงมาเข้าร่วมกิจกรรมช้าแบบนี้”
อา มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่ในตอนนี้ ฉันกับฟรุตตี้เพียงแค่สองคนกำลังยืนประจันหน้ากับรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันพอจะจำได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในพี่ว้ากเมื่อเช้า ซึ่ง...เพียงพอแน่นอนสำหรับการข่มขู่ฉันและฟรุตตี้ อย่างว่าล่ะใช้เสียงดังเข้าข่มย่อมน่ากลัวกว่าอยู่แล้ว
“พี่อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะคะ”
“อยากได้คำตอบที่เป็นความจริงครับน้อง ^^++”
พี่คนเดิมหันมาตอบฉันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่มันแลดูเป็นยิ้มที่ไม่เป็นมิตรยังไงชอบกลแฮะ แล้วบอกว่าต้องการเหตุผลที่เป็นความจริง ฉันก็คิดว่าคงจะตอบความจริงอยู่แล้วล่ะ ฉันโกหกไม่ค่อยเป็น(?) แต่ด้านหลังของฉันก็มีฟรุตตี้ที่คอยดึงเสื้ออยู่เบาๆ แต่ถี่ เป็นเชิงว่าไม่ให้ฉันตอบแต่ให้ปล่อยให้รุ่นพี่เขาบ่นไป ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันไปตอบพี่เขา
“พวกฉันออกไปเล่นเกมที่ห้างข้างๆมาค่ะ”
“โฮ่ว แล้วมันเป็นเหตุผลที่สมควรกับการมาสายมั้ยครับเนี่ย”
“ไม่สมควรค่ะ” ฝ่ายตรงข้ามทำหน้าตาพึงพอใจขึ้นมาอีกนิดตอนที่ฉันพูดประโยคเมื่อครู่ออกไป แต่ก็แค่ก่อนที่ฉันจะพูดประโยคต่อไปเท่านั้น “เพราะพวกฉันเล่นเกมยังไม่จบเลยด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าควรจะเล่นให้จบก่อนค่อยออกมาน่าจะดีกว่า”
พูดไปฉันก็ยังเสียดายสิบบาทนั่นไม่หายเลย แม้ว่ามันจะเป็นเงินแค่ 10 บาทก็เถอะ แต่มันก็เอาไปทำอะไรได้หลายอย่างนะ : (
“แล้วพี่ควรจะลงโทษน้องยังไงดีล่ะครับเนี่ย” พี่คนเดิมปั้นหน้าโหดเสมอต้นเสมอปลายใส่ฉัน หลังจากที่โดนฉันพูดอะไรที่เขาน่าจะคาดไม่ถึงไปเมื่อครู่นี่
“คิดว่าไม่สมควรลงโทษอะไรเลยค่ะ” ฉันยังคงปั้นหน้ามึนเถียงรุ่นพี่คนนั้นต่อไปโดยที่มีฟรุตตี้คอยกระตุกเสื้อยิกๆ อยู่ด้านหลัง โอเค ฉันเข้าใจนะว่าจริงๆแล้วพวกฉันมีส่วนผิด แต่การที่รุ่นพี่มาข่มขู่รุ่นน้องอย่างนี้มันก็ไม่สมควรเหมือนกัน
“ไม่ได้ร้อกกก มันจะเป็นการลำเอียงต่อน้องคนอื่นๆนะ”
“งั้นพี่ว่ามาว่าจะทำอะไรพวกฉัน”
“เฮ้อ จริงๆแล้วพี่เป็นคนใจดีนะ เอาเป็นว่าน้องเลือกเอาว่าใครจะเป็นคนโดนลงโทษ”
“ฉันเอง แกกลับไปนั่งเถอะ” ฉันหันไปพูดกับฟรุตตี้ในประโยคหลัง ตอนแรกเธอก็ไม่ยอมไปหรอก จนฉันต้องผลักไหล่พาเดินกลับไปนั่งแล้วเดินออกมาหารุ่นพี่คนเดิมอีกที ในขณะที่คนอื่นเค้าก็ไปร่วมกิจกรรมกันแล้ว
“ฮ้า เป็นน้องสินะ” เขาทำหน้าดีใจซะเต็มประดาที่คนที่จะต้องโดนเขาลงโทษนั้นเป็นฉัน คงจะแค้นที่ฉันยืนเถียงให้เสียหน้าล่ะสิ =_=
“พี่มีภารกิจจะมอบหมายให้ ในตอนนี้คณะอักษรศาสตร์มีสต๊าฟที่โดนงานรับน้องแล้วไปแฝงตัวอยู่กับเพื่อนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ น้องก็แค่ไปตามกลับมา”
“แค่นั้น ? แล้วไม่คิดจะบอกฉันหน่อยเหรอว่ารุ่นพี่คนนั้นชื่ออะไร”
“ฮิโระ พี่บอกได้แค่นี้ ยังไงก็มีป้ายชื่อห้อยคออยู่แล้วนี่ ขอให้น้องโชคดี~”
ฮิโระ นี่ถ้าฉันคิดไม่ผิดล่ะก็ จะต้องเป็นฮิโระคนเดียวกับที่ยึดลูกรักของฉันไปอย่างแน่นอน คนชื่อฮิโระที่นี่คงไม่มีเกลื่อนนักหรอก
ฉันเดินไปตามเส้นทางที่มีลูกศรชี้ไปยังสถานที่รับน้องของคณะวิศวะ-สถาปัตย์ มหาวิทยาลัยของฉันจัดงานรับน้องแบบคณะคู่ ดีที่อักษรกับนิเทศจัดด้วยกัน ฉันกับฟรุตตี้ถึงได้อยู่ที่เดียวกัน แต่ถ้าจะถามว่าทำไมถึงจัดคู่ ก็คงตอบได้แค่ว่าประหยัดเนื้อที่ในการทำกิจกรรมล่ะมั้ง อย่างน้อยฉันกับฟรุตตี้ก็คิดแบบนั้น
“เฮ้ โดดงานเหรอน้อง” เสียงเรียกพร้อมแรงที่ตบลงมาบนไหล่ฉันทำเอาฉันสะดุ้งเฮือกและหันไปด้วยความตกใจ ก่อนจะพบว่าเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งที่แขวนป้ายสต๊าฟของคณะสถาปัตย์
“เปล่า พอดีเลย สต๊าฟของคณะอักษรที่ชื่อฮิโระน่ะ อยู่ที่นี่ใช่มั้ย”
“อ๋อ หมอนั่นน่ะนะ อยู่สิ โดนรุ่นพี่ใช้ให้มาตามล่ะสิ”
“ประมาณนั้น ช่วยนำทางหน่อยได้มั้ย...คะ”
ฉันเดินตามรุ่นพี่คนเมื่อครู่มาจนได้เจอกับผู้ชายที่ฉันอุตส่าห์ถ่อสังขารมาตามหาถึงที่นี่พี่เขาก็ขอตัวกลับไปที่งานของเขา ทิ้งให้ฉันยืนดูอีตารุ่นพี่ฮิโระอะไรนั่นห่างๆอย่าง(ไม่)ห่วงๆ
“รุ่นพี่ฮิโระ?”
“มีธุระอะไร เด็กอักษรเรอะ ก็บอกแล้วไงว่าจะมาช่วยงานฝั่งนี้”
เขาหันมาพูดใส่ฉันเป็นชุดจนฉันตั้งตัวแทบไม่ติด ฉันไม่น่าแขวนป้ายชื่อมาเลย เขาจะได้ไม่รู้ว่าฉันเป็นเด็กอักษร แล้วดูสิพอเห็นว่าฉันเป็นเด็กอักษรก็ใส่ใหญ่เลยนะ
“มีรุ่นพี่บอกว่าให้มาตามตัวพี่กลับไปค่ะ”
“ตามทำไม ญาติใครเสียจนสต๊าฟไม่พอรึไง”
“เปล่าเว้ย ก็เขาบอกให้ฉันมาตามเพราะว่านายโดดมาช่วยงานที่ฝั่งนี้ฉันเลยต้องมา คิดว่าฉันอยากจะมานักรึไงฮะ แล้วถ้าให้ดีนะช่วยคืน PSP ของฉันมาด้วยจะดีที่สุด”
ร่างสูงหันมามองหน้าฉัน ก่อนจะเริ่มไล่สายตาจากหัวจนถึงเท้าและขึ้นมาที่หน้า ทำหน้าครุ่นคิดบางอย่าง อย่าบอกนะว่าจำฉันไม่ได้น่ะ
“ฉันว่าฉันบอกแล้วนี่ว่าจะคืนให้หลังจบงานน่ะ”
“เออ ไม่คืนก็ไม่คืน แต่ช่วยกลับไปที่คณะกับฉันหน่อยได้มั้ย”
“กลับไปบอกพวกมันนะว่าฉันคุยเรียบร้อยแล้วว่าฉันจะมาช่วยงานที่นี่ ซึ่งพวกมันก็ตอบตกลงแล้ว เพราะงั้นอย่าได้ส่งเด็กมาวุ่นวายกับชีวิตฉันอีก -*-“ พูดจบเขาก็หันหลังเดินไปหลบมุมกับพวกเด็กวิศวะกลุ่มใหญ่ซะงั้น ฉันเลยไม่สามารถเดินตามไปได้
แต่...วุ่นวายกับชีวิตเขางั้นเหรอ ฉันต่างหากที่ต้องพูดแบบนั้นน่ะ ฮึ!!!!
“ไหนฮิโระล่ะครับน้อง พี่จำได้ว่าให้ไปพามันที่โดดงานกลับมานี่นา O_O” พี่คนเดิมที่เป็นคนสั่งให้ฉันต้องถ่อไปถึงคณะวิศวะกล่าวขึ้นพร้อมทำท่าสอดส่ายสายตาไปรอบๆ เหมือนกำลังหาตัวคนที่ใช้ให้ฉันไปลากกลับมาอยู่แต่ก็หาไม่พบ
“พี่สนุกมากมั้ยคะ”
“ครับ? น้องพูดอะไรน่ะ พี่ไม่เข้าใจ”
“ฉันถามว่าสนุกมากมั้ยที่ทำให้ฉันต้องเดินจากคณะอักษรไปถึงคณะวิศวะแถมยังได้คำตอบที่บอกว่าหมอนั่นคุยกับพวกนายเรียบร้อยแล้วเนี่ยนะ คิดว่าคนที่ต้องเดินไปเดินมาท่ามกลางแดดร้อนๆ จะสนุกกับพี่มั้ยล่ะ หา!!!”
พูดจบฉันก็เดินไปหาฟรุตตี้ที่ยังคงนั่งอยู่ในแถว และทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เพื่อนซี้ที่ยังคงทำหน้าเอือมระอาใส่ฉัน เหมือนจะบอกว่าฉันทำตัวเหมือนเดิมอีกแล้ว
“ฉันว่าพี่เขาโกรธแกว่ะ จ้องตาแทบหลุดเลย”
“เหรอ ไม่เห็นจะสนเลย”
จึ้กๆ
ฉันหันไปตามแรงสะกิดที่หัวไหล่ก็ได้พบกับผู้หญิงที่เป็นรุ่นพี่สต๊าฟคนหนึ่ง ที่คอของพี่เขามีป้ายที่เขียนว่า ‘P’ Erng นิเทศน์’ พี่เอิงเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยราวกับว่าเป็นนางเอกในเกมจีบสาวคุณภาพดีๆสักเกม (แกมีอย่างอื่นเปรียบแทนไหม -*-)
“อย่าสนใจหมอนั่นเลย ปกติชอบแกล้งรุ่นน้องอยู่แล้วน่ะ >_O”
“เหรอ ก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้วล่ะ”
และเพราะความปากไว+ปากตรงกับใจเกินไปนิด ทำให้ฉันเผลอพูดอย่างห้วนๆ ใส่พี่เขาไป ทั้งๆ ที่พี่เขามาดีแท้ๆ เลย
“อ่อจ้ะ ไม่คิดอะไรก็ดีแล้วล่ะ ^^;; ” แง ดูสิ พี่เขาทำหน้าลำบากใจที่จะคุยกับฉันเลย (ถึงฉันจะพูดไม่ดีกับรุ่นพี่หลายคน แต่ถ้าเขาดีกับฉันส่วนมากฉันก็จะพยายาม(?)ดีกับเขาตอบนะ TOT
“เอ่อ...” ฉันตั้งใจจะพูดขอโทษพี่เอิง แต่ฟรุตตี้คงคิดว่าฉันจะพูดอะไรห้วนๆ หรือปากร้ายใส่พี่เขาไปอีกเลยออกแรงกระตุกเสื้อฉัน จนฉันตัดสินใจที่จะไม่พูดดีกว่าเพื่อเป็นการกันรำคาญฟรุตตี้
“เอ้า กิจกรรมวันนี้หมดแล้วล่ะ เดี๋ยวช่วงต่อไปจะเฉลยพี่-น้องรหัสแล้ว ลุกเร็วเด็กๆ”
ฉันถูกเสียงจากรุ่นพี่ด้านหน้าเรียกให้ลุกขึ้น หวังว่าเขาจะพาไปเฉลยหรือยังไง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการสลายกลุ่มของเด็กๆ ทั้งหมดแทน
“เอ้า งงล่ะสิ งี้แหละพวกไม่ยอมเข้ากิจกรรม”
“มันจะดีมากถ้าคนที่เข้ากิจกรรมแล้วรู้เรื่องอย่างแกจะอธิบายให้ฉันฟัง”
“เออน่า อีกสัก 10 นาทีค่อยไป ให้พี่ๆ เขาไปเข้าที่กันก่อน”
ถ้าฉันจะบอกว่าฉันไม่เข้าใจที่มันพูด ฉันจะมีความผิดมั้ยเนี่ย เข้าที่อะไรกันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย =_=
****************************************************************
ความคิดเห็น