คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ϟ Heart & Soul 005
“Why I got you on my mind?
But my heart don't understand”
— Ellie Goulding
“หะ?”
หลังจบการทดสอบจอมเวทย์ระดับเอสลง แฟรี่เทลก็กลับมาวุ่นวายในระดับปกติได้พักใหญ่ๆ แล้วจู่ๆวันนี้ผู้หญิงประหลาดคนหนึ่งก็เดินดิ่งเข้ามาที่กิลด์แบบไม่มีที่มาที่ไป พร้อมกับคำพูดแสนเอาแต่ใจแต่ไร้เหตุผลสิ้นดี!
“ฉันจะเป็นสมาชิกของแฟรี่เทล เพราะว่าฉันคือเทวภูติ”
“พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจเลย!” มิร่าเจนเห็นด้วยกับมาคาโอและวาคาบะที่พูดพร้อมกัน แต่ถึงงั้นผู้หญิงคนนั้นก็ทำเพียงขยับแว่นอย่างเหย่อหยิ่ง ไม่สนใจไม่ว่าใครจะพูดอะไรอยู่ดี
“ไม่สนย่ะ และก็ไม่เกี่ยวกับพวกนายด้วย! ไปเรียกมาสเตอร์มาเดี๋ยวนี้เลย!”
“แปลกจัง อะไรของเธอนะ” เลวี่ละความสนใจออกจากหนังสือภาษาประหลาดตรงหน้าที่มิร่าเจนนั่งมองอย่างขยาดจนจะอ้วกแทนมาเป็นพักแล้ว
“มีศรัทธาที่ดี แบบนี้สิถึงจะสมเป็นสมาชิกของกิลด์เรา” เอลซ่ากอดอกพลางพยักหน้าอย่างยอมรับ ในขณะมิร่าเจนหรี่ตามองทั้งเท้าคาง
“อะไรของเธอ ยัยนั่นยังไม่ทันจะได้เป็นสมาชิกของกิลด์เราเลยนะยะ”
“ตอนนี้ยังแต่ไม่นานก็ใช่” เอลซ่าพูดอย่างมั่นใจ
“เหรอ? คิดว่าตัวเองเป็นมาสเตอร์หรือยังไงล่ะ” คำพูดแขวะกัดของมิร่าเจนทำให้เอลซ่ามีน้ำโห
“คิดจะหาเรื่องฉันรึไง มิร่าเจน”
มิร่าเจนแสยะยิ้มกว้าง “ก็เออน่ะสิ”
โครม!
“ว้ายยย!” เลวี่ร้องกรี๊ดตอนหนังสือของเธอกระเด็นไปพร้อมโต๊ะโดยไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะเงยหน้าพบกับปีศาจสาวแห่งแฟรี่เทลกำลังปล่อยพลังอาฆาตใส่กัน
“เอลซ่ากับมิร่าเจนตีกันอีกแล้ว!”
“ไปดูกันเถอะ นัตสึ!”
“พี่ครับ พอเถอะน่า” และเสียงหมัดปะทะหมัดก็แลกกันอย่างดุเดือดถูกล้อมรอบไปด้วยคนที่ต่างสนใจการปะทะกันของทั้งสองสาวที่อาจได้ชื่อว่าถูกจับตามองความแข็งแกร่งที่สุดในรุ่นของแฟรี่เทล
“คิดว่าถักผมเปียแล้วจะน่ารักขึ้นหรือไงยะ ยัยผู้หญิงด้านชา!” มิร่าเจนว่าพลางเตรียมจะดึงปลายผมเปียสีแดงของเอลซ่า แต่ไม่ทันที่จะได้เอื้อมถึงมิร่าเจนกลับถูกกดลงกับพื้นเพียงแค่ชั่วพริบตา
“อย่าคิดจะยุ่งกับผมของฉันเชียว” มิร่าเจนกัดฟันใต้ร่างของเอลซ่า ถึงจะแปลกใจที่อีกฝ่ายดูโกรธผิดปกติ แต่บางทียัยนี่อาจเป็นคนรักผมมากก็ได้
“ปล่อยฉันนะ!” มิร่าเจนพยายามดิ้นขลุกขลักก่อนจะใช้ขายกสูงมากพอจะกระแทกให้เอลซ่าลุกออกไปได้
“หยุดๆ ทั้งคู่เลย!” ก่อนที่การปะทะหมัดจะได้เริ่มต่อ ก็มีผู้กล้าบางคนที่เข้าจับสองสาวจับแยกจากกันในที่สุด
“เอางี้ เอเวอร์กรีนรอก่อนแล้วกัน มิร่าเจนช่วยไปตามมาสเตอร์ให้ทีนะ”
“ทำไมต้องฉันล่ะ!?” มิร่าเจนแย้งขึ้นไม่พอใจ เธออยากจะอยู่สู้กับเอลซ่าต่อนี่
“พี่มิร่า” เสียงน้อยๆของลิซานน่าทำให้มิร่าเจนหันไปมอง เธอใช้ภาษามือให้พี่สาวย่อตัวเข้ามาฟังใกล้ๆ มิร่าเจนยื่นหูทำตามอย่างว่าง่าย
“บางที ลัคซัสเขาก็อาจจะอยู่ด้วยนะ” ชื่อของลัคซัสทำให้มิร่าเจนคิ้วขมวด เธอมองหน้าลิซานน่าอย่างไม่เข้าใจว่าน้องสาวต้องการจะสื่ออะไร เด็กสาวยิ้มแก้มกลมส่งให้ แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้ความสงสัยของมิร่าเจนน้อยลงเลย
แต่จะว่าไปก็ไม่เห็นหมอนั่นมาสักระยะแล้วเหมือนกัน
หลังจากการสอบระดับเอส ลัคซัสก็หาตัวจับยากกว่าเดินเป็นเท่าตัว ปกติเองก็เป็นคนที่ไม่ค่อยจะอยู่ที่กิลด์สักเท่าไหร่ ตอนนี้พอมาถึงกิลด์ทีไรก็เอาแต่เก็บตัวเองอยู่บนชั้นสองอย่างเดียว นั่นทำให้มิร่าเจนห่างเหินจากอีกฝ่าย เพราะมันเป็นที่ๆเดียวที่มิร่าเจนเข้าไปไม่ได้
จู่ๆ ก็ลัคซัสกลายเป็นตัวตนที่ดูไกลออกไปจากเธอ
“ไปตามเถอะนะ พี่มิร่า” มิร่าเจนบอกตัวเองว่ามันเป็นเพราะคำขอของน้องสาวทำให้เธอยอมวางมือจากเอลซ่า แต่ก็ไม่หมายหัวไว้กลับมาต่อ
ไม่ได้หมายความว่าเธออยากเจอลัคซัสเลย
ทางเดินไปยังห้องมาสเตอร์เป็นเส้นทางที่มิร่าเจนค่อนข้างจะชินตา แต่มันก็ชวนให้นึกหวนนึกถึงความทรงจำครั้งล่าสุดที่มีกับมัน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย เพราะครั้งล่าสุดที่มาที่นี่เธอได้ฟังเรื่องราวของลัคซัส และวันนั้นก็เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์แย่ๆ ที่ทำให้มิร่าเจนได้แต่ตั้งคำถามอยู่ในใจ
“ตัวผมน่ะ ถูกมองด้วยสายตาลำเอียงมาตลอดว่าเป็นหลานปู่มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว!” เสียงตวาดลั่นนั้นทำให้มิร่าเจนชะงักฝีเท้า มันดังออกมาจากประตูห้องทำงานของมาสเตอร์ของแฟรี่เทล นี่เป็นอีกครั้งแล้วใช่ไหม ที่เธอบังเอิญได้ยินอะไรที่ไม่สมควรได้ยินเข้า แต่เดี๋ยวก่อน... เสียงแบบนี้มัน...
“ลัคซัส...” มิร่าเจนพึมพำชื่อนั้นแผ่วเบา ฝ่ามือขาวทาบทับอยู่กับบานประตูอย่างแผ่วเบา ลัคซัสอยู่ข้างในจริงๆ
“ทำอะไรก็ถูกมองว่าเป็นหลานของมาคาลอฟ เป็นหลานของมาสเตอร์ เลยไม่เคยถูกยอมรับจริงๆสักที!!!!” ดวงตาสีน้ำเงินกลมโตเบิกกว้าง ภาพของผู้คนที่เคยกล่าวหาลัคซัสในตอนนั้นฉายซ้ำเข้ามาในหัวของเธอ แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกจุกอยู่ในอกไม่ใช่ภาพเหล่านั้นหากแต่เป็นความจริงที่เธอภาวนาไม่ให้มันเกิดขึ้นมาโดยตลอด
ลัคซัสรู้... เขารู้มาตลอด...
“นั่นเป็นปัญหาของตัวเจ้ามากกว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้รับการยอมรับ ตลอดไปได้หรอก” เสียงอ่อนๆของมาสเตอร์ราวกับต้องการสอนให้เขาเข้าใจ
“ปู่ไม่มีความรู้สึกเลยหรือยังไง!” เสียงตวาดของลัคซัสแบบที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขึ้นเสียงกับปู่ตัวเองได้เลย
“ทำไมถึงขับไล่พ่อออกไป!!” เสียงตวาดที่ดังก้องด้วยความโกรธแสนสับสน แต่มิร่าเจนที่ยืนฟังอยู่กลับรู้สึกว่ามันฟังดูเจ็บปวดและสั่นคลอนอยู่นัยน์ที มิร่าเจนเต็มไปด้วยความตกใจ ทุกเรื่องที่เธอเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่เคยรู้
แต่ลัคซัสกลับรับรู้ทุกอย่างมาโดยตลอด
“พูดอะไรหน่อยสิ!”
.
.
.
.
จนกระทั่งผ่านมานานถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็แล้ว มิร่าเจนก็ยังไม่ได้พูดอะไรสักนิดเกี่ยวกับเรื่องที่เธอได้ยินในวันนั้น นอกจากเพราะไม่กล้าถามออกไป อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอไม่อาจพูดถึงเรื่องวันนั้นได้อีก คงเป็นการที่ลัคซัสแทบจะหายตัวไปจากแฟรี่เทลแห่งนี้
นอกจากที่เจ้าตัวจะปลีกวิเวกตัวเองออกไปนอกกิลด์นานขึ้นและบ่อยขึ้นกว่าเก่า งานภารกิจระดับเอสทำให้ใช้ระยะเวลามากขึ้น แต่ถึงกระนั้นระดับลัคซัสก็จัดว่าไม่ธรรมดา ด้วยความสามารถของเขา มิร่าเจนก็ไม่แปลกใจเลย นับวันลัคซัสยิ่งพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ราวกับคนๆนี้ไม่มีลิมิต สามารถพัฒนาไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด
นั่นทำให้ตัวตนของลัคซัสไกลออกไปลิบตา
มิร่าเจนพบว่าระยะห่างระหว่างเธอกับเขา ไม่ใช่แค่ระยะแค่ชั้นสองของกิลด์ แต่เป็นระยะห่างทั้งความสามารถ ความสัมพันธ์ ความไว้ใจที่เธอได้รับ ทุกๆอย่างมันห่างกันไปเรื่อยๆ เหลือแต่ระยะห่างที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นและความห่างเหินที่เย็นชาเหลือเกิน
“บอกว่าอย่าเล่นบ้าๆยังไงล่ะยะ!” เสียงโวยวายแปดหลอดของเอเวอร์กรีนทำให้มิร่าเจนกลับสู่ปัจจุบัน ภายในกิลด์ที่ก็ยังวุ่นวาย และชั้นสองที่ยังคงเงียบงัน ผ้าคลุมขนเฟอร์ปกคลุมแผ่นหลังกว้างไว้ไม่ไหวติง เห็นเพียงมือที่ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มเบาๆเท่านั้น
“อะไรกันเล่า นิดเดียวคงไม่เป็นไรหรอกน่า!” ดูเหมือนบิ๊กสโลวจะพยายามจะถอดแว่นของเอเวอร์กรีนออก ในขณะที่เจ้าตัวขัดขืนสุดกำลังแถมด้วยท่าทางจริงจังไม่มีล้อเล่น
“ก็บอกว่าไม่ได้ไง!!”
“ทั้งสองคนพอสักที” เป็นฟรีดที่เข้ามาจับทั้งคู่แยกออกจากกัน เขาต่อว่าบิ๊กสโลว์ด้วยท่าทีสุขรุมตามนิสัย และเอเวอร์กรีนที่กระชับแว่นกรอบสี่เหลี่ยมของตัวเองอย่างระมัดระวัง
หลังจากเอเวอร์กรีนเข้ามาเป็นสมาชิกของแฟรี่เทลด้วยเหตุผลแค่ว่าเธอชอบชื่อกิลด์ ไปไงมาไงก็ไม่รู้ พอรู้อีกทีเธอก็เข้าไปสนิทกับฟรีดและบิ๊กสโลว์ซะแล้ว กลายเป็นทีมสามคนที่ต้องเห็นใครคนใดคนหนึ่ง ต้องเห็นอีกสองคนพ่วงติดมาด้วยเป็นเรื่องชินตา
“เอาล่ะ ทุกคนฟังทางนี้หน่อย!” เสียงหนึ่งดังเรียกความสนใจของคนในกิลด์ที่แสนวุ่นวายนี้
“อาทิตย์หน้าก็จะเป็นงานประจำปีของพวกเราแฟรี่เทล นั่นก็คือ….” ไม่ต้องรอให้คนนำกล่าวจบ ทุกคนก็ต่างพร้อมใจตะโกนเป็นเสียงเดียวกันไม่เว้นกระทั่งมิร่าเจนด้วย
“แฟนตาเซีย!!”
เสียงร้องแห่งความตื่นเต้นสนั่นลั่นไปทั่วทั้ง งานที่พวกเราจะได้ใช้เวทย์มนต์เพื่อสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ผู้คน การประกวดแข่งขันแสนพิเศษ และขบวนพาเหรดสุดแสนอลังการของเหล่าจอมเวทย์แห่งแฟรี่เทล เทศกาลเก็บเกี่ยวของเมืองแมคโนเลีย ถูกแต่งแต้มสีสันด้วยเหล่าภูติ
นั่นแหละ คือ งานแฟนตาเซีย
“โดยปีนี้มาสเตอร์อนุญาตให้มิร่าเจนกับเอลซ่าทำขบวนได้แล้ว!!!”
“ขี้โกงนี่หว่าแล้วฉันล่ะ!?” เสียงโวยวายขอความยุติธรรมของนัตสึยังคงน่ารำคาญ แต่ใบหน้าที่งอง้ำเหมือนจะน้อยใจอยู่ในดวงตาก็ชวนให้มิร่าเจนอดเอ็นดูไม่ได้
“เพราะนายยังฝึกฝนมาไม่พอยังไงล่ะ” เอลซ่ากอดอกด้วยความสง่าภูมิใจ ดวงตาเป็นประกายแวววับซึ่งไม่ซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้เลย ซึ่งก็ช่างชวนมิร่าเจนหมั่นไส้ซะเหลือเกิน
“มั่นใจอะไรยะ คิดว่าเธอจะชนะฉันได้หรอ ยัยผู้หญิงที่ไม่มีความนุ่มนวลอย่างเธอน่ะ”
“โฮ่… ถ้าเธอพูดขนาดนี้ ก็ออกไปงัดกับฉันข้างนอกดูสักยกดีไหมล่ะ”
“ข้างนอกอะไร ตรงนี้เลยก็ได้ ฉันไม่กลัวอยู่แล้ว”
ลิซานน่าถอดถอนหายใจกับรังสีฟาดฟันของทั้งคู่ มันเป็นภาพที่เธอไม่อยากจะเห็นให้ชินตาเอาซะเลย แต่ก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่บ่นประโยคเดิมๆออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ทะเลาะกันอีกละ”
“เสียงดังน่ารำคาญชะมัด” เสียงทุ้มเยือกเย็นลงมาจากชั้นสองทำให้ทุกอย่างหยุดลง มิร่าเจนละสายตาจากเอลซ่า เพื่อสบเขากับดวงตาคู่เดิมที่เปลี่ยนไปจนเหมือนเธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
ชายหนุ่มสูงใหญ่ทาบทับด้วยผ้าคลุมขนสัตว์ตัวใหญ่ เท้าคางมองลงมาด้วยสายตาที่สุดแสนจะรำคาญเหมือนมองแมลงตีกัน ภายในอกข้างซ้ายของมิร่าเจนบีบแน่นอย่างบอกไม่ถูก
“ลัคซัส...”
“ฝากด้วยนะ ฟรีด”
“แต่ว่ามาสเตอร์....” ฟรีดพยายามจะปฎิเสธกับคำขอร้องที่ได้รับ
แต่ก็กระอั่กกระอ่วนใจด้วยความเคารพที่มีให้กับมาสเตอร์มาคาลอฟ
เขาถูกขอร้องให้ช่วยเฝ้าดู ลัคซัส เดรเยอร์
หลานชายคนเดียวของอีกฝ่าย ซึ่งเท่าที่คลุกคลีนั้น ฟรีดไม่มั่นใจนักว่าลัคซัสเป็นคนยังไง
สำหรับเขาลัคซัสนั้นไม่ใช่คนที่เข้าถึงได้ง่ายเลยๆ
เหมือนมีกำแพงหินเหล็กกล้าตีกรอบไว้กับทุกคน
อีกอย่างเขาก็ไม่ค่อยชอบหมอนั่นสักเท่าไหร่
“ถือว่าฉันขอร้องแล้วกัน”
มาสเตอร์กล่าวด้วยท่าทีสงบแต่น้ำเสียงในประโยคฟรีดกลับสัมผัสได้ถึงความร้อนรนใจที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“เขาเป็นคนที่ฉันรักมาก
แต่ก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้เพราะจะต้องปล่อยให้เขาเติบโต”
“ถ้าจะปล่อยให้เขาเติบโต
ผมก็คงไม่จำ—”
“เพราะเขายังเป็นเพียงเด็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับโลกใบนี้” มาสเตอร์แทรกขึ้นมาก่อนที่ฟรีดจะได้พูดจบ
“ความแข็งแกร่งของเขาถ้าเดินไปในเส้นทางที่ผิด
ความผิดพลาดนั้นจะตราอยู่ในใจเด็กคนนั้น และฆ่าเขาไปตลอดชีวิตที่เหลือ
ฉันไม่อยากให้หลานฉันต้องพบเจอกับอะไรแบบนั้น”
ฟรีดเงียบทุกคำที่จะเสนอมาค้าน
ไม่ใช่เพราะยอมแพ้แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงสิ่งที่มาสเตอร์ต้องการฝากฝัง
ตรงหน้าเขาไม่ใช่มาสเตอร์มาคาลอฟที่ยิ่งใหญ่เลย คำขอตัดพ้อเมื่อครู่
เหมือนถูกพูดในฐานะของปู่คนหนึ่งที่รักหลานของตัวเองอย่างสุดหัวใจ
“เข้าใจแล้วครับ มาสเตอร์"
งานแฟนตาเซียของแฟรี่เทล ยังคงเป็นไฮไลท์ของเทศกาลเก็บเกี่ยวเมืองแม็คโนเลียทุกปี ปีนี้ก็อีกเช่นกัน แสงสีและพลุเวทย์มนต์ยังสร้างสีสันและเสียงหัวเราะจากผู้คนในเมืองจนกึกก้อง ราวกับเสียงโห่ร้องแสนยินดี รูปขบวนเวทย์มนต์จากจอมเวทย์แฟรี่เทลเต็มไปด้วยสีสันและเอกลักษณ์ที่แตกต่าง เหล่าจอมเวทย์ต่างร่ายรำอย่างสนุกสนานเหมือนกับเหล่าภูติ
พาเหรดที่ได้รับความสนใจที่สุดในปีนี้คงไม่พ้นขบวนที่คนต่างเฝ้ารอตั้งแต่ได้ยินข่าวร่ำลือคงไม่พ้นพาเหรดในธีมปีศาจสาวของจอมเวทย์เด็กสาวที่ถูกจับตามองเรื่องความแข็งแกร่งที่สุดในเจเนอเรชั่นนี้
เอลซ่าและมิร่าเจน
สองสาวในชุดพาเหรดธีมปีศาจ
ต่างโชว์พลังเวทย์ของตัวเองบนรูปพาเหรดที่เหมือนปราสาทสีทึบแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกน่ากลัว
แต่กลับสร้างรอยยิ้มให้กับผู้พบเห็นเมื่อปีศาจสาวทั้งสองต่างทะเลาะกันอยู่บนพาเหรดจนคนอื่นๆยังยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนใจ
ถึงกระนั้นก็ยังคงเป็นพาเหรดที่ดีและถูกพูดถึงที่สุดเช่นกัน
หลังจากขบวนเสร็จสิ้น การเฉลิมฉลองที่แท้จริงก็เริ่มต้น
ผู้คนต่างดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ แต่คงไมมีที่ไหนจะครื้นเครงเกินหน้าที่กิลด์แห่งนี้
เหล้าถังไวน์ถังยกออกมาสุมดื่มกันจนเหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
เสียงหัวเราะดังลั่นจนน่ารำคาญแต่ไม่มีใครนึกใส่ใจ
มีแต่จะร่วมด้วยช่วยกันส่งเสียงเอะอะไปทั่วซะมากกว่า
“ฉันไม่ยอมแพ้ อึก...
เธอหรอกน่าาาาา”
“เหมือ.. อึก เหมือนกัน!”
นอกจากขาประจำอย่างพวกคาน่า
วันนี้สองสาวปีศาจก็ร่วมกันแข่งดวลเหล้าไปด้วย
ท่าทางที่เมาแอ๋ทั้งคู่เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ในกิลด์ด้วยความเอ็นดู
ก่อนที่ทั้งคู่จะสลบน็อคหลับกันไปทั้งคู่ ตื่นมาก็คงถามหาผลแพ้ชนะ ซึ่งนั่นแหละ
ถ้าพรุ่งนี้มีคนที่มีสติพอจะจำได้ล่ะนะ
ลัคซัสเองก็เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว
เขากลับมาจากภารกิจ
แน่นอนว่าดึกดื่นเสียจนผู้คนในกิลด์ต่างเมาหลับกันไปหมด
จะเหลือก็แต่หน้าเดิมๆอย่างมาคาโอ วาคาบะ และคาน่าที่ดูใกล้จะไม่ไหวแล้ว
“อ่าว ไง ลัคซัสกลับมาแล้วเหรอ”
ลัคซัสพยักหน้ารับ
พยายามเดินแหวกและเลี่ยงพื้นที่ผู้คนที่เกลื่อนกลาด
เดินเข้ามาจนถึงบริเวณบาร์ข้างในที่ทั้งสามอยู่
“ง๊ายยยยย ลัคซ้าดดดดดดด เอิ่ก...” แทบล้มลงไปเพราะไม่ทันตั้งตัวตอนที่คาน่าโถมทั้งตัวมาที่เขา
ลัคซัสรับเอาไว้
กอดเอวอีกฝ่ายไว้หลวมๆพยุงไม่ให้คนเมาไม่มีสติล่วงลงมาจากเค้าท์เตอร์บาร์ คาน่าดื่มหนักขึ้นทุกวัน
หรืออาจจะทุกวินาทีจนจากที่เฉยๆลัคซัสก็ชักเป็นกังวล
นี่ถ้าเผลอเมาจนแก้ผ้าไม่เป็นงานตามล้างตามเช็ดหรือไง
รู้งี้น่าจะแยกกลับบ้านไปเลยอย่างที่ฟรีดแนะนำ
“ห้ามๆยัยนี่ซะบ้าง” หันไปเอ็ดผู้ใหญ่ที่สุดในที่นี้สองคนที่ยิ้มแห้งไปชั่วครู่
ก่อนจะตบไหล่เขาเบาให้ไม่ต้องจริงจัง
“คาน่า คาน่า” ลัคซัสเรียกชื่อคนที่ไม่มีท่าทีจะออกไปจากตัวเขา
พอพยายามมองดูถึงได้รู้ว่าหลับไปแล้ว
“ไหนๆก็ไหน
นายพายัยนั่นไปที่ห้องพักทีละกัน เอิ่ก... พวกฉันก็เมาจะแย่”
ลัคซัสส่ายหน้าให้ แต่ก็พยุงร่างของคาน่าขึ้นพาดบ่า
เขาเริ่มรู้สึกคิดผิดที่ย้อนกลับมาที่กิลด์ เหมือนกลับมาตามล้างตามเช็ดยังไงไม่รู้
เขาพาร่างของเธอมายังห้องพักภายในกิลด์ แปลกใจไม่น้อยตอนที่เห็นร่างของเด็กผมสีฟ้าที่คุ้นดี
สัปหงกหงึกอยู่บนเก้าอี้ ในมือมีหนังสือที่เปิดอ่านค้างไว้
“งือ... ลัคซัสหรอ” ลัคซัสพยักหน้าให้ เลวี่จึงลืมตาตื่นเต็มตา
ก่อนจะกระโดดลงมาจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่
“ทำไมไม่ไปนอนที่เตียงดีๆ” เขาถามในขณะที่วางร่างของคาน่าลงกับเตียง กลัวยัยตัวเล็กจะปวดคอเมื่อยตัวที่ต้องไปนั่งหลับแบบนั้น
“ก็กลัวว่าจะมีคนเมาพับมาอีกน่ะสิ
แล้วก็มีเห็นไหม”
เลวี่บุ้ยปากมองคาน่าที่หลับยิ้มไม่รู้เรื่อง จะว่าไปภายในห้องนี้ก็มีแต่พวกผู้หญิงที่เขาคุ้นหน้าดีนอนกันอยู่ทั้งนั้น
หรือพูดอีกอย่างคือมีแต่พวกน้องสาวภายในกิลด์ของเขาทั้งนั้นจะยัยคาน่า เลวี่
หรือว่าจะเป็นมิร่าเจน
แต่เขาไม่ขอนับยัยตัวแสบเอลซ่าเป็นน้องละกัน
ลัคซัสขยับเข้าไปใกล้เตียงของมิร่าเจน
ภาพที่เขาเห็นทำให้รู้สึกประหลาดอยู่ในใจ
แต่ลัคซัสค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นความรู้สึกในแง่ที่ดี
อย่างน้อยหัวใจเขารู้สึกใกล้เคียงกับคำว่าอบอุ่น
พี่น้องสตาร์อุสสามคนนอนก่ายกอดกันกลมบนเตียงลังไม่กว้าง
แต่ใบหน้าก็ยังบ่งบอกถึงความสุขดี น้องชายและสาวกอดร่างของพี่คนโตตรงกลางไว้
ใบหน้าที่เริ่มสวยงามอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆยังมีสีแดงระเรื่อ คงเมาหนักจนลัคซัสคิดสภาพไม่ออก
ช่วงหลังเขากับมิร่าเจนไม่ค่อยได้พูดคุยกัน
ถ้าจะต้องโทษใครก็คงเป็นเพราะเขาที่เลือกจะเก็บตัวอยู่แต่ชั้นสอง
แต่ทุกครั้งที่มองลงมาทีชั้นล่าง
อารมณ์บางอย่างในดวงตาของเด็กสาวคนนี้ทำให้เขาระคนสงสัย
ทำไมต้องเจ็บปวด?
ไมค่อยเข้าใจนัก แต่เขาก็รู้ว่ามิร่าเจนพยายามอย่างหนักที่จะเป็นจอมเวทย์ที่แข็งแกร่ง
อาจจะเพราะอยากเอาชนะเอลซ่าด้วย
แต่เขาคิดว่าเหตุผลหลักคงอยากปกป้องสิ่งสำคัญอย่างครอบครัว
ภาพที่เขาเห็นตอนนี้บอกชัดเจน
เช่นเดียวกับเขา
ลัคซัสเองก็อยากจะปกป้องแฟรี่เทลที่เป็นเหมือนครอบครัว
ถึงจะไม่เคยได้รับการยอมรับ
ถึงจะถูกมองด้วยสายตาลำเอียงและคำนินทา เขาก็ยังคงอยู่ที่นี่
มิร่าเจนน่ะเก่งกาจ แค่ยังขาดประสบการณ์
จู่ๆความคิดที่ว่าจะลองพายัยนี่ไปร่วมภารกิจด้วยก็แวบเข้ามาในหัวโดยที่ลัคซัสไม่เข้าใจนัก
เขาไม่อยากพาครอบครัวไปเสี่ยง แต่กลับอยากให้มิร่าเจนไปร่วมกับภารกิจของจอมเวทย์ระดับเอส
“หึ”
ขำกับตัวเอง บางทีเขาอาจจะเหนื่อยสะสมมากเกินไป สมองก็เลยทำงานรวนๆนั่นแหละ
“ขำอะไรเหรอ?”
“เปล่า”
ลัคซัสปฎิเสธเลวี่ที่เข้ามาแทรกท่ามกลางความคิด “แล้วไม่กลับบ้านหรือไง?”
เลวี่ส่ายหน้า “ไม่ล่ะ พวกเจ็ทกับดรอยอยู่ที่นี่เหมือนกัน”
“หือ?”
ลัคซัสเลิกคิ้ว แปลกใจที่จู่ๆทั้งสามก็สนิทกัน
บางทีเขาอาจจะทำภารกิจมากไปจนไม่มีเวลาได้ทันสังเกต
น่าแปลก... ในเมื่อเขาดันจำได้ถึงทุกสายตา
ทุกเฉดดวงตาสีฟ้าของพี่สาวสตาร์อุส หม่นหมองอย่างไร สดแล้วเป็นยังไง
เขากลับจำมันได้ดีเลย
เป็นอะไรของแกเนี่ย ลัคซัส!
“ลัคซัสไม่น่ากลัวจริงๆด้วย ฮิ” จู่ๆเสียงหัวเราะใสแบบกลั้นระดับเสียงไม่ให้รบกวนคนที่หลับอยู่ของเลวี่ทำให้ลัคซัสขมวดคิ้ว
“คิดว่าฉันน่ากลัว?”
“อืม”
เลวี่พยักหน้าเบา “ตอนแรกที่มิร่าเจนบอกว่าลัคซัสไม่ได้น่ากลัวก็ไม่เชื่อหรอกนะ
คนอื่นก็เถียงกันจะตาย”
“….”
“แต่ก็พอเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมมิร่าเจนพูดแบบนั้น”
“ทำไมล่ะ”
ลัคซัสทวนคำอย่างสนใจ
“ก็ดูสายตาเวลาที่ลัคซัสมองมิร่าเจนสิ ถึงจะนิ่งเฉยแต่ไม่แข็งกระด้าง
แต่ดูเหมือนกำลังใส่ใจ... จดจำ เก็บรายละเอียด ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก
แต่ในฐานะคนที่เป็นคนมองดูก็ยังรู้สึก อืม... ยังไงดีล่ะ” เลวี่ทำท่าใช้ความคิด
พยายามที่จะอธิบายหาคำจำกัดความให้กับสิ่งที่เธอรู้สึก
“เหมือนถูกมองอย่างถูกรัก...ล่ะมั้ง”
มาแล้วนะ มาโครตช้าแต่ก็มา HEART&SOUlบทที่ห้าแบบเต็ม
ขอโทษที่หายไปนานมากกกกก โดนชีวิตมหาลัยลากไป หลั่งน้ำตาเลย
แถมกลับไปติ่งอีกครั้ง ยาวเลยยาวววว เพิ่งจะมีไฟกลับมาน่อย
ช่วงนี้กลับมาตอนแฟรี่เทลจะจบ ฮาาา แต่ก็ดีค่ะ ฟิคนี้เขียนอิงออริอยู่แล้ว
ถ้าออริจบเราแบบไหน มีโมเม้นเพิ่มจะเป็นผลให้กับอารมณ์คู่อยู่แล้ว
คงกลับมาเรื่อยๆนะคะ ปิดเทอมอยู่ จะพยายามให้จบเฟสแรกค่ะ
สำหรับรูปเล่ม ฮาร์ท แอนด์ โซล ตอนนี้
ภาพประกอบเสร็จแล้วค่ะ ปกกับที่คั่นด้วย
แม้เนื้อเรื่องจะยังเลยก็ตาม 5555555
เล่มแรกจะรวม 8 ตอน +2 ตอนพิเศษค่ะ
ยังไงถ้าใครสนใจ ติดตามได้เรื่อยๆนะคะ
ขอบคุณที่ให้ความรักมิร่าซัสและฟิคเอื่อยๆเรื่องนี้นะคะ <3
ติชม คำผิด กรี๊ดกร๊าด ตามสบายเลย
ฝากคอมเม้นให้เป็นกำลังใจด้วยนะคะ
ขอขอบคุณทุกคนที่ไม่ทิ้งฟิคเรื่องนี้นะคะ รักน้าาา
#ด้วยรักและมิร่าซัส ♥
ความคิดเห็น