คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ϟ Heart & Soul 004
“Then I heard your heart beating,
You were in the darkness too
So I stayed in the darkness with you”
— Florence
+ The Machine
ชุดกระโปรงยาวคุมเข่าสีครีมดูเรียบร้อย
มิร่าเจนมองตัวเองในกระจกคิ้วขมวดกับภาพสะท้อนที่ไม่ค่อยคุ้นตา เพราะความรีบร้อนที่ทำให้ไม่ได้พกอะไรมาเลย
กลายเป็นว่าเธอต้องขอยืมเสื้อผ้าของคนอื่น
เพราะงั้นถึงจะไม่ค่อยชอบก็ต้องจำใจใส่มันอยู่ดี
พ้นออกมานอกเต็นท์
ที่นี่คือจุดรวมพลที่นัดหมายหากเกิดเหตุฉุกเฉินอะไร จริงๆจะเรียกว่าจุดพักก็ไม่ผิดนักเพราะที่นี่คือแหล่งรวมทุกคนที่มาเข้าสอบครั้งนี้
ทั้งมาสเตอร์และผู้เข้าสอบรวมไปถึงทีมผู้ช่วยที่คอยมาดูแลสวัสดิการต่างๆ
“มิร่าเจน” เสียงของมาสเตอร์เรียกให้เธอเข้าไปหา
มาสเตอร์แสดงสีหน้าแปลกใจนิดหน่อยตอนที่เห็นเธอ ขอเดาว่าน่าจะเป็นเพราะชุดหวานเลี่ยนเรียบร้อยนี่แน่ๆ
แต่ครู่เดียวเท่านั้นมาสเตอร์ก็แย้มยิ้มออกมา
“เปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว
งั้นก็เตรียมตัวกลับเลยไหม”
“กลับ?” มิร่าเจนทวนคำอีกครั้ง
“ใช่
คนที่ตกรอบแรกไป ส่วนใหญ่เลือกที่จะกลับกิลด์กันก่อน
เพราะเหนื่อยและต้องการพักผ่อน ฉันคิดว่าเธอเองก็น่าจะเหมือนกันนะ” มาสเตอร์กล่าวด้วยความเป็นห่วงซึ่งไม่แปลกเลย
ก่อนหน้านี้ในการทดสอบครั้งแรก
เวทย์ภาพหลอน สร้างผลกระทบให้แก่จิตใจของเธอมาก สภาพจิตใจฉันไม่สามารถแข่งต่อได้
นั่นทำให้มิร่าเจนรู้สึกแย่ที่ต้องถูกคัดออกแล้วปล่อยให้ลัคซัสร่วมการทดสอบต่อเพียงคนเดียว
ทั้งๆที่ลัคซัสเชื่อใจเลือกเธอมาเป็นคู่หู
มือบางบีบเข้าหากันแน่นด้วยความเจ็บใจ
“หนู...ไม่กลับได้ไหมคะ”
“หือ?” มาสเตอร์มาคาลอฟมองเด็กสาวตรงหน้าที่เลือกปฎิเสธ
ทั้งที่ในการทดสอบก่อนหน้านี้ก็เสียขวัญอย่างมาก
แต่เธอก็เลือกที่จะอยู่ต่อแม้จะไม่สามารถแข่งต่อได้งั้นเหรอ?
“ลัคซัส...
เขายังสู้อยู่” มิร่าเจนพึมพำ “เขายอมฝากหลังไว้กับหนูแล้ว หนูทิ้งเขาไม่ได้หรอกค่ะ”
ลัคซัสได้บอกเธอถึงสิ่งสำคัญของการสอบในครั้งนี้
เสียงทุ้มต่ำกล่าวอย่างนุ่มนวลว่าอะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเลือกคู่หู
...ความเชื่อใจกันและกัน เป็นสิ่งที่มิร่าเจนไม่เคยตระหนักถึงมาก่อน
เธอเข้าร่วมการสอบเพราะเพียงแค่อยากเอาชนะเอลซ่า
เป็นความเห็นแก่ตัวของตนเองที่ไม่คำนึงถึงผู้อื่น ลัคซัสเชื่อใจเธอและยอมพามาด้วยแท้ๆ
แต่เธอกลับไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย สุดท้ายก็ต้องปล่อยเขาไปเพียงลำพังอย่างไม่มีทางเลือก
แย่ที่สุด...
มาคาลอฟเหลือกตากับความนัยที่แฝงอยู่ในประโยคของมิร่าเจน
เจ้าเด็กบ้าคนนั้นยอมพึ่งคนอื่น?...มาคาลอฟไม่อยากจะเชื่อหูของตนเองเลย
ตั้งแต่เสียครอบครัวไปจะเรียกได้ว่าลัคซัสปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอกไปเลยก็ว่าได้
ถึงแม้จะอยู่ร่วมกันกับคนในกิลด์ได้ แต่ก็มักจะถอยห่างออกมาก้าวหนึ่งเสมอและระยะห่างนั้นไม่เคยน้อยลงเลย
แต่รู้สึกช่วงหลังมานี้เด็กคนนั้นยอมเปิดใจรับอะไรใหม่ๆมากขึ้นด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง
ไม่สิ...ถ้าจะพูดให้ถูกคือ ไม่ใช่ว่าลัคซัสยอมรับใครหรือยอมปรับตัวเข้าหาคนอื่น
แต่มีใครบางคนพยายามเข้าหาเขามากกว่า
มาคาลอฟเงยหน้ามองร่างบางที่ก้มศีรษะอย่างรู้สึกผิด
ดวงตาเฉียบคมสีครามหรี่ลงต่ำ ริมฝีปากอมชมพูที่มักพ่นคำกล่นด่าต่างๆนานาขบเม้มเข้าหากัน
ไหนจะชุดกระโปรงที่ไม่เข้ากับเธอคนนี้เอาเสียเลย ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งนัก
บางทีการทดสอบครั้งนี้อาจมีอะไรดีๆมากกว่าที่คิด
“มาสิ”
มิร่าเจนเงยหน้ามองมาคาลอฟที่ส่งยิ้มมาให้อย่างอบอุ่น
“ไปอยู่ข้างๆเจ้าเด็กบ้านั่นซะสิ”
คำอนุญาตของมาคาลอฟทำให้หัวใจอับเฉาของมิร่าเจนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ริมฝีปากของเด็กสาวค่อยๆฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“ค่ะ!”
ภาพการต่อสู้อันแสนดุเดือดถูกฉายอยู่บนลาคริม่าจอยักษ์ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ผู้ที่ตกรอบส่วนใหญ่เลือกกลับไปที่กิลด์ด้วยความผิดหวังเพราะไม่อาจทนอยู่ดูการต่อสู้ในรอบต่อไปได้
เกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จึงเหลือเพียงพวกผู้คุมสอบกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องบางส่วนที่ยังคงอยู่เฝ้าดูการต่อสู้ในรอบสุดท้าย
มาคาลอฟผู้เป็นมาสเตอร์รุ่นที่สามของกิลด์แฟรี่เทลยกมือขึ้นกอดอกชมการแข่งขันอย่างใจจดใจจ่อ
การทดสอบผ่านมาสองรอบแล้วยังไม่มีผู้ใดล้มจอมเวทย์ระดับเอสผู้เก่งที่สุดคนนี้ได้เลย
มาคาลอฟแอบคิดว่าบางทีเขาอาจจะเลือกคู่ต่อสู้ที่หินเกินไปสำหรับเด็กๆ
“ปีนี้อาจจะไม่มีใครสอบผ่านเลยก็ได้”
มาคาลอฟบ่นกับตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ตัวเก็งในการสอบครั้งนี้ต่างพ่ายแพ้กันไปจนหมด
คนที่กำลังสู้อยู่ตอนนี้เองก็คงอยู่ได้อีกไม่นานแน่นอน มาคาลอฟเห็นสภาพอันน่าอนาถใจของเหล่าลูกๆแล้วส่ายหน้าอย่างปลงๆ
ชายร่างสูงล้มตึงไปทันทีหลังจากรับพลังเวทย์แสนรุนแรงเข้าไปเต็มๆ
เสียงกู่ร้องดังขึ้นทันทีที่รู้ผล
ทุกคนต่างเชื่อมั่นว่าผู้คุมสอบปีนี้แข็งแกร่งมากกว่าปีไหนๆและคงไม่มีใครจะเอาชนะเขาคนนี้ได้
รอยยิ้มและเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจนเริ่มรู้สึกหนวกหู
มีเพียงหญิงสาวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีสีหน้าเรียบเฉย
มิร่าเจนไม่สนใจการแข่งขันที่ผ่านมาเลยสักนิด
สิ่งเดียวที่นัยน์ตาคู่สวยกวาดมองหาคือชายหนุ่มผู้ซึ่งมีอายุน้อยที่สุดในการแข่งครั้งนี้และจากการมาถึงที่หมายช้าที่สุดของลัคซัสทำให้เขาได้เข้าสอบรอบนี้เป็นคนสุดท้าย
เป็นเพราะเธอติดกับดักลวงตาของมิสกัน
ลัคซัสจึงต้องเสียเวลายื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“ถ้าไม่มีฉันสักคน...” มิร่าเจนขบริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ
ลัคซัสควรได้คู่หูที่ดีกว่าเธอ
หรือไม่หากเขามาเข้าสอบเพียงลำพังก็คงได้เข้าสอบรอบนี้เป็นคนแรกจากทักษะที่สูงกว่าคนทั่วไปของเขา
ลัคซัสไม่ควรเสียเวลามาช่วยเหลือและปลอบประโลมความโศกเศร้าของเธอเลย
เธอมันแย่มิร่าเจน
เธอมันเห็นแก่ตัว...มิร่าเจนได้แต่กล่นด่าตนเองอยู่ในใจ
ลัคซัสสูญเสียพลังเวทย์ส่วนหนึ่งไปเพื่อกระชากตัวเธอออกมาจากโลกในจินตนาการซึ่งมันไม่ง่ายเลย
เขายอมสละพลังนั้นเพื่อช่วยเหลือเธอทั้งที่รู้ว่าเธอจะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา
หากถูกดุด่าสักนิดมิร่าเจนคงจะรู้สึกดีกว่านี้มาก
ความผิดพลาดนี้ไม่ควรถูกตอบแทนด้วยความอบอุ่นและคำว่า ‘ไม่เป็นไร’
เลยสักนิด...ไม่คู่ควรเลย
“ลัคซัสล่ะ!!”
ชื่อของชายหนุ่มฉุดรั้งสติของเธอให้กลับสู่โลกแห่งความจริง
เสียงโห่ร้องจากคนในกิลด์ดังมาด้วยความตื่นเต้นและนี่เป็นครั้งแรกที่ร่างเล็กมีความรู้สึกร่วมไปกับพวกเขา
ใบหน้ามนเงยขึ้นมองภาพที่ปรากฏอยู่บนจอขนาดใหญ่ตรงหน้า
สิ่งที่พลังเวทย์ฉายให้เห็นคือชายหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึม
ใบหน้าคมสมวัยมีเหงื่อเกาะอยู่นิดหน่อย สาเหตุคงมาจากการวิ่งสุดแรงเพื่อมาให้ถึงจุดหมายในการสอบรอบก่อน
เวลาพักเพียงชั่วครู่น้อยเกินไปสำหรับการฟื้นฟูร่างกายที่เหนื่อยล้า
แต่เขาก็ไม่แสดงความอ่อนแอนั้นออกมาให้ใครเห็นเลย
“ลัคซัส”
ริมฝีปากเรียวเล็กขยับอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีครามส่องประกายอย่างมีความหมาย
เสียงเรียกนี้ไม่มีทางส่งไปถึงเขาแน่นอน
แต่มิร่าเจนกลับเกร็งตัวทันทีที่ลัคซัสจ้องกลับมาผ่านลาคริม่าสื่อสารราวกับรับรู้ถึงคำกล่าวนั้น
ริมฝีปากของเขายกยิ้มเล็กน้อยก่อนหันกลับมาสนใจคู่ต่อสู้เบื้องหน้าด้วยใบหน้าตึงเครียด
“ลัคซัส! ลัคซัส!”
เสียงเชียร์ดังขึ้นไม่ขาดสาย
ดูเหมือนความเจ็บแค้นจะทำให้ไม่มีใครเข้าข้างผู้คุมสอบเลย
มิร่าเจนเป็นอีกคนหนึ่งที่ใจเต้นโครมไปกับทุกคน
ดวงตาคู่สวยจ้องมองภาพการต่อสู้อย่างไม่ละสายตา ทั้งๆที่บุคคลทั้งสองในสนามยังไม่แม้แต่จะขยับตัวด้วยซ้ำไป
“พยายามเข้านะลัคซัส” มิร่าเจนผสานมือเข้าหากัน
เสียงของเธอเบามากจนถูกกลบทับด้วยเสียงเชียร์จากคนอื่นๆ
แต่ความรู้สึกของเธอนั้นมีมากกว่าแรงเชียร์จากคนกลุ่มนี้เป็นไหนๆ
จากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ทำให้มิร่าเจนรู้ว่าจอมเวทย์ระดับเอสที่ยืนยิ้มเยาะอยู่ตรงนั้นเก่งกาจมากแค่ไหน
เขาแทบจะไม่ขยับกายให้มากมายเกินความจำเป็นและใช้เพียงพลังเวทย์มหาศาลอัดกระแทกคู่ต่อสู้จนล้มคว่ำไปเท่านั้น
ลัคซัสแข็งแกร่ง...มิร่าเจนเชื่อแบบนั้น
แต่เธอก็ยังคงกังวลอยู่ดี
นัยน์ตาสีฟ้ากลับมาให้ความสนใจชายหนุ่มสองคนในจอภาพอีกครั้ง
พวกเขาเพียงมองหน้ากันและกันโดยไร้ซึ่งคำพูด ถึงอยู่ในท่าเตรียมพร้อมตลอดเวลาแต่ก็ยังรวบรวมสมาธิอย่างแน่วแน่ไม่ประมาท
ความกดดันเพิ่มมากขึ้นจนผู้ชมทั้งหลายต่างพากันเงียบปากตามไปด้วย
ทั้งลุ้นการกระทำของทั้งคู่และลุ้นผลที่จะตามมาต่อจากนี้
ลัคซัสเป็นฝ่ายยอมเคลื่อนไหวก่อน
ร่างของเขาหายจากจอภาพไปในพริบตา ก่อนจะปรากฏตัวออกมาอีกครั้งด้านหลังชายหนุ่มร่างสูง
ปล่อยหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังเวทย์ของตนเข้าใส่ร่างนั้นอย่างรวดเร็ว
แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายสามารถรับมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
“เร็วมาก” ความรวดเร็วนั้นทำให้มิร่าเจนเผลอมองตามด้วยความตื่นตะลึงจนลืมหายใจ
เป็นครั้งแรกที่เธอได้สัมผัสถึงพลังการต่อสู้ของลัคซัสและมันนั่งทึ่งมากทีเดียว
ลัคซัสขมวดคิ้วทันทีที่ถูกยิ้มเยาะ ประกายสายฟ้าจากพลังเวทย์ค่อยๆก่อตัวขึ้นรอบกาย
ก่อนจะส่องสว่างอย่างแรงกล้า ความรุนแรงทางกายภาพเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจนชายร่างสูงนิ่วหน้าและรีบกระโดดหลีกหนีไปทางด้านหลัง
ความกดอากาศก่อตัวขึ้นอย่างหนาแน่นจนท้องฟ้าสดใสถูกกลืนกินด้วยสีของรัตติกาลของเมฆก้อนใหญ่ที่หลอมรวมกันเพื่อปิดกั้นแสงอาทิตย์ส่องสว่าง
เสียงคำรามของสายฟ้าดังกึกก้องไปทั่วทั้งเกาะ
เมฆครึ้มสีดำค่อยๆหลั่งรินหยาดน้ำจากฟากฟ้าลงมาสู่ผืนดิน
ทั้งกดดันและน่าเกรงขาม
พลังเวทย์นั้นรุนแรงขนาดธรรมชาติยังหวาดกลัว
“เวรล่ะ ฝนตก!”
ชายหนุ่มร่างสูงหลายคนรีบหลีกกายหลบเม็ดฝนที่เริ่มเทลงมา โชคดีที่มีผืนผ้าของเต็นท์ขนาดใหญ่กางเอาไว้เพื่อกันแดดในตอนแรก
ทุกคนจึงปลอดภัยจากสายฝนที่ยังคงความรุนแรงอย่างสม่ำเสมอ
“ให้ตายสิ”
สายฝนที่สาดกระเซ็นมาโดนใบหน้าหวานทำให้มิร่าเจนที่ยังคงใจจดใจจ่อกับการต่อสู้รู้สึกหงุดหงิดใจที่ถูกขัดอารมณ์
หลายคนในนี้เริ่มส่งเสียงวิจารณ์ต่างๆนานาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่มิร่าเจนไม่ให้ความสนใจกับเสียงพูดคุยใกล้หูเลย
เธอยังคงตื่นเต้นที่ได้เห็นถึงพลังที่มากเกินคาดคิดของชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนคนนั้น
เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นไปทั่วทั้งเกาะ
พื้นดินถูกทำลายจนกลายเป็นเศษดินละเอียดล่องลอยปะปนไปกับสายลมและบดบังทัศนียภาพจนหมองมัว
สายฝนที่ตกลงมาไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย
“บ้าชิบ! มองไม่เห็นเลย”
“เป็นยังไงบ้างวะ” เสียงโวยวายชวนให้หงุดหงิด
ทุกคนต่างลุ้นการต่อสู้นี้มากจนไม่อาจนั่งดูเฉยๆได้ แต่ถึงจะผุดลุกขึ้นมาตอนนี้ก็มองไม่เห็นอะไรอยู่ดี
แล้วทำไมร่างบางที่นั่งนิ่งมาโดยตลอดถึงต้องลุกขึ้นยืนด้วยนะ?
มาคาลอฟหันมองปฏิกิริยาของเด็กสาวแล้วยกยิ้ม
ภูมิใจที่ถึงจะแก่ปูนนี้แต่เขาก็ยังคงมีสายตาเฉียบแหลมและมองเห็นอะไรดีๆผ่านสาวน้อยร่างบางคนนี้
รอยย่นระหว่างคิ้วปรากฏขึ้นชัดเจนเมื่อชายชราหันกลับมาเพ่งมองภาพจากจอลาคริม่าอย่างตั้งใจ
เสียงการปะทะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทุกครั้งที่เกิดการระเบิดของพลังเวทย์จะสามารถมองเห็นร่างของบุคคลทั้งสองได้ชั่วครู่
ก่อนความเร็วของพวกเขาจะกลับมาทำให้การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วเหนือสายลม
นี่คือการต่อสู้ของจอมเวทย์ระดับสูง...มิร่าเจนกลั้นใจมองอย่างตื่นเต้น
ตั้งแต่มาที่เกาะนี้ มิร่าเจนก็รู้สึกว่าลัคซัสคนนี้ต่างจากลัคซัสที่เธอรู้จักมากทีเดียว
สิ่งที่เธอคุ้นเคยคือชายหนุ่มมาดขรึมที่มักปลีกวิเวกอยู่เพียงลำพัง
เธอรู้จักเพียงแค่ตัวตนนั้นของเขาเท่านั้น
มิร่าเจนเคยคิดว่าเธอเป็นอีกคนที่ค่อนข้างสนิทกับเขามากกว่าใครๆ
แต่เปล่าเลย...เธอยังไม่รู้จักชายหนุ่มคนนี้ดีพอ
หรือเธออาจจะไม่รู้จักตัวตนของเขาเลยด้วยซ้ำ
“อะไรกัน”
“ไม่ไหวเหรอวะ”
มิร่าเจนสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเห็นลัคซัสล้มขลุกลงไปกองอยู่กับพื้นจนร่างกายเต็มไปด้วยเศษดินและบาดแผล
ถึงไม่ร้ายแรงแต่ดูจากใบหน้าที่บิดเบี้ยวของลัคซัสแล้วคงเจ็บน่าดู ร่างสูงไหวไหล่ตามแรงหอบหายใจ
ก่อนจะใช้แขนที่บาดเจ็บฝืนพยุงร่างขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้
ชายหนุ่มร่างสูงผู้ทรงอำนาจเองก็มีสภาพสะบัดสะบอมไม่ต่างกัน
เพียงแต่เขายังคงยืดหยัดอยู่ได้ด้วยกำลังที่เหลืออยู่ของตน มือหนายกกุมหัวไหล่ที่น่าจะหลุดจากการปะทะกับลัคซัสไว้แล้วนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด
เมื่อเห็นว่าฝืนยื้อต่อไปแบบนี้ไม่เป็นผลดีแน่ ร่างสูงจึงร่ายวงเวทย์ขนาดใหญ่ให้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
ความรวดเร็วของการร่ายเวทย์นั้นทำให้ลัคซัสเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตะลึงเช่นเดียวกับมิร่าเจน
“ลัคซัส!” ร่างบางเผลอร้องเรียกทันทีที่พลังเวทย์ถูกปล่อยอัดกระแทกร่างของลัคซัส
ความรุนแรงนั้นมากพอจะทำให้การสื่อสารจากลาคริม่าพร่ามัวจนดับวูบไป
มิร่าเจนตกใจ
เมื่อครู่ก่อนการสื่อสารจะคลุมเครือเธอยังเห็นลัคซัสพยุงตนเองแทบจะไม่ไหวอยู่เลย
แล้วในสภาพแบบนั้นเขาจะหลบเวทย์เมื่อครู่ได้อย่างไรกัน
ไหนจะร่างกายที่บอบช้ำนั่นอีก
ริมฝีปากของมิร่าเจนสั่นระริก
“ไม่จริง”
ลัคซัสจะแพ้เหรอ?
ลาคริม่าสื่อสารกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
ภาพตรงหน้าถูกบดบังด้วยฝุ่นควันจึงไม่อาจเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทันที
โชคดีที่สายลมช่วยพัดพาม่านดินออกไปอย่างช้าๆ จึงทำให้พอมองเห็นสภาพของพื้นดินที่ถูกทำลายจนเละเทะ
แต่ไร้ซึ่งเงาของเด็กหนุ่ม!
ชายร่างสูงชะงักไปพลางรีบเหลียวหลังกลับมาทันทีที่หูของเขาได้ยินเสียงหวีดร้องของสายฟ้า
แต่ไม่ทันการเสียแล้ว
ใบหน้าคมถูกต่อยเข้าเต็มๆจนโครงหน้ายุบ ความรุนแรงนั้นทำให้ชายหนุ่มร่างสูงกระเด็นออกไปไกลจนกระแทกกับโขดหินขนาดใหญ่เข้าอย่างจัง
ลัคซัสยืนหอบหายใจจนร่างสั่น
เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงและพลังเวทย์
บาดแผลตามร่างกายที่ฝืนทนมาตลอดเริ่มออกอาการจนร่างเริ่มรู้สึกชา สุดท้ายร่างสูงใหญ่ก็ทรุดลงชันเข่าข้างหนึ่งกับพื้น
นัยน์ตาอ่อนแรงจ้องมองคู่ต่อสู้ที่นอนหงายอย่างหมดสภาพ
มันจบแล้ว...
“เขาทำได้”
มิร่าเจนบีบมือของตนเองแน่นอย่างลืมตัว มุมปากเล็กยกยิ้มด้วยความตื่นเต้นและดีใจ ชัยชนะของลัคซัสทำลายความเศร้าในจิตใจของเธอไปจนหมดสิ้น
เพราะหากเขาแพ้เธอจะไม่มีวันให้อภัยตนเองเลย
รอยยิ้มหวานแสนน่ารักนี้ปรากฏให้เห็นได้ไม่บ่อยนักและอาจมีขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
“ลัคซัสชนะแล้ว!”
ท่ามกลางเสียงร้องของมิร่าเจนคนอื่นๆยังคงอึ้งกันยกใหญ่ไม่เว้นแม้กระทั้งมาคาลอฟที่อ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ
มีเพียงสาวน้อยคนเดียวในที่นี้เท่านั้นที่ลุกขึ้นยืนส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ
ใบหน้าวิตกกังวลไม่สมวัยของเธอเลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยความยินดีอย่างสุดหัวใจ
เวลาผ่านไปสักพักก่อนมาคาลอฟจะตั้งสติกับผลการต่อสู้ที่ออกมาเกินคาดคิด
“ลัคซัสเป็นผู้ชนะ!”
เสียงประกาศก้องนั้นเป็นหลักฐานแห่งความสำเร็จอันแสนพึงพอใจ
มิร่าเจนยังคงยิ้มไม่หุบ
ท้องฟ้ากลับคืนความสดใสอีกครั้งหลังจากเมฆดำสลายหายไป แสงแดดอ่อนๆที่สาดส่องลงมายังร่างของชายหนุ่มนั้นช่างดูงดงามราวกับภาพวาดประดับผาผนังของจิตกรชื่อดัง
ในตอนนั้นเองชายหนุ่มได้เบนสายตากลับมาทางลาคริม่าสื่อสาร
นัยน์ตาสีสวยจ้องมองตรงมาอย่างแน่วแน่ก่อนริมฝีปากของเขาจะขยับยิ้มน้อยๆ มิร่าเจนเผลอยิ้มกลับไปโดยไม่รู้ตัวเสมือนพวกเขายืนจ้องหน้ากันและกันอยู่ด้วยกันข้างๆ
ลัคซัส เดรเยอร์ คือ
จอมเวทย์ระดับเอส แห่งแฟรี่เทล...
บรรยากาศแสนรื่นเริงของการเฉลิมฉลอง
แม้จะเรื่องปกติแต่มันกลับครื้นเครงมากกว่าเดิมเพราะเป็นการต้อนรับเหล่าผู้ทดสอบการคัดเลือกจอมเวทย์ระดับเอส
ท่ามกลางผู้ใหญ่ที่เสียงดังไปกับเหล้าเบียร์
กลุ่มเด็กๆก็สังสรรค์ด้วยขนมนมเนยและน้ำผลไม้
โดยที่กลางวงมีร่างของหญิงสาวที่พูดไม่หยุด
“แล้วก็นะ
ตอนที่ลัคซัสปล่อยสายฟ้ามาตอนสุดท้ายน่ะ มันสุดๆไปเลย”
มิร่าเจนเล่าเรื่องราวด้วยความตื่นเต้นไม่ต่างจากตอนที่เธอได้เห็น
“แต่เท่าที่ฟังดู
เหมือนเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลยนี่นา” เอลซ่าสะบัดปอยผมสีแดงของตัวเองพลางมองคนที่ยืนพูดไม่หยุดเกี่ยวกับการได้เข้าร่วมการสอบ
ทั้งๆที่เท่าที่ฟังก็ไม่เห็นว่ามิร่าเจนจะได้เป็นประโยชน์อะไรเลย
ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงที่จี้ใจ
แต่ไม่มีทางที่มิร่าเจนจะยอมเสียหน้า เด็กสาวหัวเราะหึ
“คนอย่างเธอจะไปเข้าใจอะไร
ก็เธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งนี่นา ต่อให้พูดยังไงก็คงไม่เข้าใจหรอกนะ เอลซ่า” ท่าทางยิ้มยียวนแบบเหนือกว่าสะกิดคิ้วกระตุกอย่างไม่สบอารมณ์
“หมายความว่ายังไงหะ”
เอลซ่ากดเสียงเย็นจนน่ากลัว
“ก็หมายความอย่างที่พูดไงล่ะ
ยัยบื้อ”
“โธ่ ไม่เอาน่า”
และอีกครั้งที่ลิซานน่าอ่อนใจกับการวางมวยของพี่สาวของเธอและคู่อริตลอดกาล
“พี่ฮะ
พอเถอะนะครับ” เอลฟ์แมนที่รู้งานรีบเข้ารั้งพี่สาวของเขาอย่างดี
เช่นเดียวกับเลวี่ที่ถึงแม้จะตัวเล็กกว่าเอลซ่าเป็นไหนๆ
แต่ก็รีบเข้าไปช่วยรั้งเอลซ่า
“เอลซ่าใจเย็นๆก่อนนะ”
“นั่นสิ
ใจเย็นๆก่อน” เกรย์เองก็เข้ามาช่วยด้วย
“ตีกันเลยเซ่
รออะไรอยู่!” จะมีก็แต่นัตสึที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยสักอย่าง
ดวงตาของเด็กชายเป็นประกายเฝ้ารอการวิวาทของเอลซ่าและมิร่าเจน
“ทั้งสองคนใจเย็นๆก่อนนะ”
ก่อนที่สงครามขนาดย่อมของเด็กสาวจะเกิดขึ้น
ผู้ใหญ่ที่พอจะเห็นเค้าความพินาศจึงรีบเข้ามาห้ามไว้
“จะว่าไปมาสเตอร์ยังไม่ออกมาร่วมฉลองด้วยกันเลย
มิร่าเจนฝากไปตามให้ทีได้ไหม?”
“เชอะ
ฝากไว้ก่อนเถอะ!” มิร่าเจนคาดโทษก่อนจะเดินแยกออกไป เธอรู้ดีว่าเป็นเพียงข้ออ้างที่จะจับแยกเธอกับเอลซ่าออกจากกัน
แต่ที่ยอมลามือง่ายๆ เพราะรู้ว่าเถียงไปเถียงมาจะกลายเป็นเธอแพ้
เพราะอันที่จริงก็เป็นอย่างที่เอลซ่าพูด
เธอแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ….
มิร่าเจนเดินไปตามทางเดินเงียบตรงข้ามกับห้องโถงที่อึกทึก
มุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของมาสเตอร์แห่งแฟรี่เทลที่สมควรออกมาร่วมสังสรรค์
แต่จนตอนนี้ก็ไม่ยอมออกมาร่วมฉลองให้กับการสอบจอมเวทย์ระดับเอส แต่ถ้าพูดแบบนั้น
มิร่าเจนขอค้านว่าคนที่สมควรจะอยู่ในงานตอนนี้แต่กลับปฎิเสธหน้าตาย
ลัคซัส
ซึ่งในปีนี้มีเพียงเขาคนเดียวที่สอบผ่านและได้เลื่อนขั้นเป็นจอมเวทย์ระดับเอส
แต่แทนที่หมอนั่นจะยินดีปรีดามาร่วมงาน กลับปฎิเสธแล้วหนีกลับไปก่อนหน้าตาเฉย ทิ้งให้วีรกรรมของเขาถูกถ่ายทอดผ่านเสียงเล่าของเธอ
“แล้วทำไมฉันต้องมาพูดเรื่องหมอนั่นให้คนอื่นฟังด้วยนะ…”
มิร่าเจนใช้สองมืออังแก้มตัวเองอย่างไม่เข้าใจ เธอส่ายหน้าให้กับความไม่รู้แล้วเลือกจะเลิกสนใจมัน
ปึง!!
“ว่ายังไงนะ!!”
เสียงทุบโต๊ะตามด้วยเสียงดังทำให้มิร่าเจนสะดุ้งโหยงอยู่ที่หน้าประตูของห้องมาสเตอร์
เด็กสาวชะงักมือขาวนวลไว้ที่ลูกบิดโดยไม่ยอมขยับมัน
นั่นเสียงของคนที่ชื่อกิลดาซนี่?
“เจ้าอีวานมันเป็นพ่อแท้ๆของลัคซัสเลยนะ!”
เพียงชื่อของจอมเวทย์สายฟ้าก็ทำให้มิร่าเจนรู้สึกชาวาบเหมือนถูกฟ้าผ่า
ฟังจากน้ำเสียงที่ตึงเครียดมิร่าเจนเข้าใจว่าตัวเองรับรู้อะไรที่สมควรเข้าซะแล้ว
พ่อแท้ๆของลัคซัสงั้นเหรอ… ตั้งแต่ๆเข้ามา
มิร่าเจนก็ไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ของลัคซัสเลย ที่บ้านก็ดูเหมือนจะอยู่คนเดียว จะว่าไปหมอนั่นก็อยู่คนเดียวตลอดเลย
มิร่าเจนหลุบตาต่ำด้วยใบหน้ากังวล
เหงาหรือเปล่านะ
“เหมือนลัคซัสจะตามหาอีวานอยู่ตลอด ลึกๆแล้วก็คงต่อต้านสิ่งที่ฉันทำ…”
แม้จะมองไม่เห็นแต่เสียงของมาสเตอร์ที่ลอดผ่านประตูแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ
มิร่าเจนอยู่ตรงที่หน้าประตูด้วยความรู้สึกที่ตีกันเอง
นี่เป็นเรื่องที่เธอไม่ควรรู้ เธอควรเดินออกไปจากตรงนี้
แต่กระนั้นสองขาก็ยังไม่ก้าวไปไหน ใบหูเหมือนจะขยับเข้าไปแนบชิดกับประตู
ความสนใจทั้งหมดของเธอมีน้ำหนักมากกว่าความถูกต้องที่ควรจะเป็น
ชื่อของลัคซัสคือความสนใจที่มิร่าเจนถูกดึงเข้าไป
“มาสเตอร์ทำถูกแล้ว
เจ้าบ้านั่นทำเรื่องไม่ดีไว้ตั้งหลายอย่าง นี่ยังไม่รวมเรื่องที่มันทำกับลัคซัสอีก
ไม่คิดเลยว่า-”
“กิลดาซ!” เสียงเรียกที่ดังทำให้มิร่าเจนที่แอบฟังอยู่อดตกใจไปด้วยไม่ได้
“ตอนนี้ที่นี่ไม่ได้มีแค่เรา”
มิร่าเจนเข่าแทบทรุดยวบลงไป เธอถอยผงะออกมาจากประตู
สองขาเตรียมจะก้าววิ่งออกไปให้ทันก่อนจะประตูจะเปิดออก
ซวยแล้ว!
“มิร่าเจน เข้ามาสิ” แต่ทว่าคำพูดของมาสเตอร์นั้นชะงักฝีเท้าที่เตรียมออกวิ่ง
น้ำเสียงไม่ได้แฝงไปด้วยการติเตียนหรือไม่พอใจ เป็นเสียงปกติเหมือนดั่งเช่นทุกครั้งที่เรียก
ดวงตากลมโตเลิ่กลั่กอย่างลังเล
ก่อนจะก้าวเข้าไป ค่อยๆเปิดประตูช้าๆ
มิร่าเจนลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ยิ่งเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ในเสื้อคลุมสีน้ำตาล
กิลดาซที่เคยดูบ้าบอกลายเป็นดูเคร่งขรึมผิดกันจนน่ากลัว มาสเตอร์ที่คอยยิ้มแย้มรับในเวลานี้ที่มีความผิดแม้ไม่ต้องทำอะไรแต่มิร่าเจนก็ไม่กล้ามองหน้ามาสเตอร์ตรงๆอยู่ดี
“คือ
ฉันไม่ได้ตั้งใจ พอดีจะมาตามมาสเตอร์ ก็เลย…”
“ช่างเถอะๆ”
มาคาลอฟยกมือขึ้นบอกเด็กสาวว่าตนไม่ถือสาอะไร “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“อีวาน….” มิร่าเจนเอ่ยชื่อนั้นอย่างกล้าๆกลัวๆ เด็กสาวกำมือแน่นเพื่อรวบรวมความกล้าอยู่ภายใน
“พ่อของลัคซัส
ทำไมเขาถึงไม่ได้อยู่ที่นี่งั้นเหรอคะ”
“นี่เธ-” ฝ่ามือของมาคาลอฟกห้ามกิลดาซเอาไว้ มาสเตอร์แฟรี่เทลจ้องมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างเพ่งพินิจกับการตัดสินใจจะตอบคำถามนั้น
นิสัยของมิร่าเจนไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของใคร
เธอรู้ว่าทุกคนย่อมมีความลับบางอย่างที่ปกปิดไว้ แล้วเชื่อเถอะว่าเธอเข้าใจความรู้สึกที่อยากจะปกปิดนั้นดี
แต่กับความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นและความค้างคาใจที่เธอไม่ชอบต่อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลัคซัส
มิร่าเจนตีความได้ว่ามันคือความรู้สึกที่คนในครอบครัวมีต่อกัน
ครอบครัวจะช่วยเหลือกัน…
“อีวานทำเรื่องที่เกินกว่าจะให้อภัยได้
เขาได้สร้างปัญหาให้แก่แฟรี่เทล และ…”
มาคาลอฟหยุดพูดด้วยสีหน้าไม่ดี มือเล็กที่กอดกันไว้เผลอบีบแขนตัวเองจนแขนเสื้อยับ
ก่อนจะได้กล่าวต่อ
“ฉันทำการเนรเทศอีวานออกจากกิลด์” มิร่าเจนแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“เดี๋ยวสิคะ
เขาทำเรื่องแย่ขนาดไหน ทำไมถึงขั้นต้องไล่เขาออกจากกิลด์เลยเหรอคะ?!”
“ฉันบอกไม่ได้” มาสเตอร์มาคาลอฟตอบอย่างหนักแน่นย้ำในคำพูด
มิร่าเจนไม่เข้าใจ
ถึงเธอจะไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่หากอีวานเป็นพ่อของลัคซัส
นั่นเท่ากับว่าเขาคือลูกชายแท้ๆของมาสเตอร์ เป็นโดยสายเลือด
สายใยและสายสัมพันธ์ที่เรียกว่าครอบครัวจริงๆ
แล้วทำไมถึงได้ผลักไสครอบครัวของตัวเองออกไปกัน?!
“แต่ว่-”
“ในฐานะมาสเตอร์ของแฟรี่เทล
ฉันทำเพื่อรักษาทุกคนไว้”
“แต่เขาเป็นลูกชายแท้ๆของมาสเตอร์
เป็นครอบครัวแท้ๆเลยนะ!!” มิร่าเจนขึ้นเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความไม่พอใจในคำตอบ
มาสเตอร์มาคาลอฟก้มหน้าต่ำลง
เขาเงียบไปพร้อมกับนัยน์ตาที่ค่อยๆหลับลง จมอยู่ส่วนลึกในใจ
เพื่อใช้เวลากลั่นกรองมันออกเป็นคำตอบ
“ในฐานะพ่อ
ฉันเจ็บปวดกับเรื่องนี้”
มิร่าเจนลดท่าทีแข็งขืนลงเพราะท่าทีที่อ่อนลงของมาสเตอร์
จากที่เธอเคยเต็มไปด้วยความไม่พอใจ กลับกลายเป็นความสลดใจที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นมาแทนที่
ภาพของมาสเตอร์ที่จำใจทำเรื่องนี้นั้น เป็นของจริงที่เธอสัมผัสได้
ตะกอนถูกแกว่งอยู่ภายในความคิดของมิร่าเจน
เพื่อกิลด์ที่เป็นดั่งครอบครัว
ทำให้ต้องจำใจผลักไสครอบครัวแท้จริงของตัวเองออกไปอย่างไม่มีทางเลือก งั้นเหรอ.....
ที่ที่ลัคซัสเรียกว่าครอบครัวคือที่ที่ขับไล่พ่อของเขาออก…อย่างงั้นเหรอ?
“ออกไปฉลองกันดีกว่า
เดี๋ยวคนอื่นจะสงสัยเอานะ” กิลดาซที่เข้าใจถึงบรรยากาศระหว่างมาสเตอร์และมิร่าเจนแล้วนิ่งฟังอยู่นานเลือกที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย
“นั่นสินะ
ต้องรีบไปเมาตามเจ้าพวกนั้นให้ทันสักหน่อยแล้ว!”
เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น มาสเตอร์มาคาลอฟกลับมาร่าเริงได้อย่างรวดเร็ว
แม้จะเป็นการหัวเราะที่ดูเหมือนทุกที แต่มิร่าเจนก็รู้ว่ามันคือการกลบกเกลื่อนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้และบรรยากาศแย่ๆ
“งั้นขอตัวไปก่อน” มิร่าเจนกล่าวลา หันหลังเดินออกมาโดยที่ไม่ได้สนใจต่อว่ามาสเตอร์และกิลดาซจะว่ายังไง
เธอพาตัวเองกลับมาห้องโถง
ที่ยังคงมีเสียงดังเอะอะของการสังสรรค์
มิร่าเจนมองหากลุ่มเด็กๆเพื่อกลับไปรวมตัวอีกครั้ง
“มิร่าเจน คู่หูตอนสอบของลัคซัสนี่”
แต่ทว่าก่อนที่จะได้หาใครเจอ
มิร่าเจนกลับถูกทักทายด้วยหนึ่งในสมาชิกของแฟรี่เทล
“ใช่ มีอะไร?”
“พอดีเลย
เรามาถามเธอกันเถอะ ว่าเจ้าลัคซัสมันเป็นยังไง”
มิร่าเจนเลิกคิ้วสูง มองกลุ่มคนรอบตัวด้วยความสงสัย
“มีปัญหาอะไรกับลัคซัสหรือไง?”
“โห่ววว ไม่หรอก” หนึ่งในนั้นแสร้งทำท่าหวาดกลัว ยกมือขึ้นสูงเหมือนขอโทษ “ใครจะไปกล้ามีปัญหากับหลานรักของมาสเตอร์ล่ะ”
คำพูดแขวะกัดทำให้เด็กสาวชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
“หมายความว่าไง?”
“เถอะน่า
เธอเองก็น่าจะรู้ดีนี่นา ที่ลัคซัสมันสอบผ่านน่ะ
ยังไงก็เพราะว่าเป็นหลานของมาสเตอร์อยู่แล้ว”
“ไม่รู้อะไรเงียบไปเถอะ” มิร่าเจนเสียงแข็ง เท้าเอวอย่างไม่สบอารมณ์
“อะไร เรื่องจริง
เขาก็รู้กันทั้งนั้น”
หนึ่งในนั้นช่วยเสริมพร้อมกับคนอื่นๆที่เห็นด้วย
“เป็นถึงการสอบเลื่อนขั้นเป็นระดับเอส
มิร่าเจนเธอเองก็ไม่ใช่ฝีมือธรรมดา แต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรมากมาย
ไม่ได้ช่วยอะไรนักแต่เจ้าลัคซัสยังผ่านมาได้ ฮะๆ ง่ายไปมั้ง”
เสียงจากคนใหม่ที่เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาจากด้านหลังทำให้มิร่าเจนผงะไป
“นั่นน่ะสิ้! ขนาดพวกเคยทำภารกิจยากๆกว่าเจ้าเด็กนั่นตั้งเยอะยังไม่ผ่านเล้ยยย”
“เออ ฉันน่ะรู้ผลตั้งแต่ได้ยินชื่อหมอนั่นได้คัดเลือกเข้าสอบแล้ว”
“หลานรักนี่น้าา ไม่เห็นแปลกเลย”
“ช่างเถอะน่า
เจ้าเด็กนั่นถ้าได้เป็นเพราะเส้นสาย ยังไงก็ทำภารกิจระดับเอสของจริงไม่ไหวหรอก”
เสียงหัวเราะดังร่วมกันของผู้คนที่พูดคุย
หากแต่เป็นเสียงหัวเราะที่มิร่าเจนขยะแขยง
นี่มันบ้าอะไร?!
คนพวกนี้พูดบ้าอะไร
คนพวกนี้กล้าพูดแบบนี้ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นได้ยังไง
คนพวกนี้พูดโดยที่ยังไม่เห็นถึงพลังของสายฟ้าที่ฟาดฟันลงมา ความแข็งแกร่งที่ทำธรรมชาติยังต้องแปรปรวน
ความอ่อนโยนที่ไม่เคยทิ้งใครเอาไว้ข้างหลัง
คนพวกนี้เป็นแฟรี่เทล เป็นครอบครัวจริงๆน่ะเหรอ?
“หุบปากซะ!!”
มิร่าเจนทนไม่ไหวอีกแล้ว เธอตวาดออกไป ส่งเสียงเล็กแหลมของเธอท่ามกลางเสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจเหล่านั้น
“พวกนายทุกคนไม่รู้อะไรเลยสักนิด
อย่ามากล่าวหาลัคซัสแบบนั้นนะ!!”
มิร่าเจนโกรธจนมือที่กำกันแน่นสั่น วินาทีนั้นเองที่ตัวเธอมีแต่คำถามเต็มไปหมด
นี่คือแฟรี่เทลที่ลัคซัสบอกว่าเป็นครอบครัวที่อยากจะปกป้องงั้นเหรอ?
นี่คือผู้คนที่มาสเตอร์รักษาไว้โดยแลกกับการทำร้ายครอบครัวที่แท้จริงงั้นเหรอ?
นี่คือแฟรี่เทลที่มิร่าเจนเข้าใจจริงๆงั้นเหรอ?
แล้วทำไมถึงมีคนแบบนี้
แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้
ทำไม ทำไม
ทำไม
.
.
.
.
.
แฟรี่เทลเป็นครอบครัวไม่ใช่เหรอ?
มาช้ายังดีกว่าไม่มา! HEART&SOUlบทที่สี่
แล้วก็ได้มาอัพสักที กว่าจะได้อัพนี่ก็จะมิดเทอมละ
โถ ชีวิต..... สู้ต่อไปเพื่อมิร่าซัส
สำหรับ ฮาร์ท แอนด์ โซล ตอนนี้
แต่เราชอบในคำที่โปรยในรูปไรท์เตอร์กำลังทำการรวมเล่มอยู่ค่ะ
เรื่องนี้แบ่งเป็นช่วงๆ คงมีหลายเล่มแน่
แต่ที่ทำเนี่ยเพราะอยากได้ล้วนๆค่ะ 555555555 แบบว่าอยากได้เอง
เพราะเราชอบ หาฟิคคู่นี้ไม่ได้ ก็จะรวมเก็บเอง เป็นบ้าค่ะ 55555555
ตอนนี้ก็กำลังดำเนินการทำรูปประกอบกับปกอยู่
แต่ที่มาบอกเผื่อใครสนใจอยากจะเก็บด้วย ก็เม้นบอกได้นะคะ
ใครอยากเก็บเป็นแฟนคู่นี้เราเข้าใจความขาดแคลน ถถถถถ
เผื่อใครอยากเก็บด้วย มีความสนใจยังไง เราจะได้รู้ไว้ค่ะ
แต่ยังไงตอนนี้ก็ดำเนินการภาพประกอบกับปกไป 40-50 % แล้ว
ถึงไม่มีไรท์ก็ทำเก็บเองอยู่ดี ฮาาาา
สำหรับครั้งหน้าจะมาเมื่อไหร่บอกไม่ได้
เพราะไม่มีความแน่นอนในชีวิตเลยค่ะ แต่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเคลียร์ภาคเด็กให้จบ
ก่อนสิ้นปีแน่นอนค่ะ อยากเขียนภาคแฟนตาเซียแย่แบ้วว
ติชม คำผิด กรี๊ดกร๊าด ตามสบายเลย
ฝากคอมเม้นให้เป็นกำลังใจด้วยนะคะ
ขอขอบคุณทุกคนที่ไม่ทิ้งฟิคเรื่องนี้นะคะ
รักน้าาา
#ด้วยรักและมิร่าซัส ♥
ความคิดเห็น