คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ϟ Heart & Soul 003
“Don’t let me go. hold me in your beating heart
I won’t let go, forever not enough”
— RAIGN
( fanart by. on pic )
ช่วงนี้กิลด์วุ่นวายแปลกๆ
มิร่าเจนคิดพลางมองสมาชิกกิลด์ที่แย่งชิงใบภารกิจกันอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนสงครามยังไงอย่างงั้น ทั้งๆที่ปกติก็ไม่เห็นกระตือรือร้นกันขนาดนี้แท้ๆ
“คึกครื้นเหมือนเดิมเลยนะ แฟรี่เทลเนี่ย”
“อ่าว! กิลดาซ กลับมาแล้วเหรอ!” วาคาบะปลีกตัวออกมาจากหน้ากระดานบอร์ดภารกิจ ทักทายกับคนหน้าประตู ชื่อที่ไม่คุ้นหูทำให้มิร่าเจนหันไปมองตาม
ชายวัยกลางคนผิวแทนมีเคราเล็กน้อยเดินเข้ามาในกิลด์ด้วยสีหน้าท่าทางยิ้มแย้ม หลังจากเสียงทักทายของวาคาบะ กระดานบอร์ดภารกิจก็ได้รับความสนใจน้อยลง เพราะทุกคนต่างเปลี่ยนมาพุ่งความสนใจมาให้คนที่มาใหม่แทน
“อ่าว กิลดาซ เป็นไงบ้าง หายไปนานเลยนี่หว่า” มาคาโอเข้าไปตบไหล่เบาๆ
“ยิ่งเดินทาง ยิ่งนานขึ้นทุกทีเลยนะนายเนี่ย”
“มีของฝากหรือเปล่า”
“ไปคราวนี้ได้สาวมากี่คนล่ะ” เสียงหัวเราะพูดคุยกันสนุกสนาน มิร่าเจนมองคนหน้าแปลกสำหรับเธออย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ยิ่งการที่เธอไม่รู้จักอีกฝ่ายในขณะที่คนอื่นๆต่างยินดีปรีดาที่อีกคนกลับมาด้วย
“ตาลุงนั่นมันอะไรกันยะ”
“กิลดาซ มาสู้กัน!!” เสียงแหวกอากาศมาพร้อมร่างเล็กที่วิ่งมากับกำปั้นเพลิงที่ติดไฟ
โครม!!
ทันทีที่เข้าถึงตัว นัตสึก็ถูกซัดออกไปจนแทบจะทะลุกำแพง มิร่าเจนผงะด้วยความตกใจ มองกลับไปยังเจ้าของหมัดนั้นซึ่งไม่ใช่ใครนอกจากตาลุงแปลกหน้าคนนั้น
“นะ นี่มันบ้าอะไรเนี่ย”
“ต้องพูดว่า ‘กลับมาแล้วเหรอ’ สิ นัตสึ”
“กลับมาแล้วเหรอ กิลดาซ”
“ว่าไงเกรย์ ไม่เจอกันนาน ยังตัวกระจ้อยหร่อยเหมือนเดิมเลยนี่” กิลดาซเดินเข้ามาขยี้หัวของเกรย์ไปมาจนเจ้าตัวร้องลั่น
“โอ๊ะ!” มิร่าเจนสะดุ้งเฮือก เมื่อตาลุงคนนั้นหันมาเห็นเธอ กิลดาซเดินเข้ามาใกล้เธอก่อนจะมองด้วยความสงสัย
“สาวน้อยคนนี้เป็นใครกันเนี่ย สมาชิกระหว่างที่ฉันไม่อยู่งั้นเหรอ?” กิลดาซยิ้ม แต่สำหรับมิร่าเจนมันดูคุกคามมาก เธอถอยหลังจนแทบจะชิดติดกำแพง เหมือนเห็นควันหื่นๆ ลอยออกมาจากตัวของตาลุงนี่เลย
“อย่ามาใกล้ฉันนะ ตาลุง!”
“โอ้ววว ยิ่งพูดงี้ยิ่งดูน่ารักขึ้นจริงๆด้วย”
“โรคจิต!”
“น่ารักจริงเลย ชื่ออะไรหรอจ๊ะ” มิร่าเจนเห็นมือขยุกขยิกเหมือนปลาหมึกค่อยๆยื่นมาหาเธอ เธอหน้าเสียทันที ตาลุงโรคจิตนี่มันอะไรเนี่ย!
“นั่นกิลดาซนี่” หากแต่เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นก็หยุดมือปลาหมึกนั่นจากมิร่าเจนได้ เธอถอนหายใจเบาๆก่อนจะมองผ่านไหล่ของลุงโรคจิตนี่ไป
“อ่าว ลัคซัสนี่!” กิลดาซละความสนใจจากเธอทันที ก่อนจะโผเข้าโอบไหล่ลัคซัสที่สูงไล่เลี่ยกัน
“ไม่เจอกันซะนาน โตขึ้นเยอะเลยนี่หว่า ฮ่าๆ” กิลดาซตบไหล่ของลัคซัสถูกอกถูกใจ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ยิ้มตอบด้วยความยินดี
ระ รู้จักกันด้วยเหรอ...?
“ว่าไงคืนนี้ ไปหาเหล้ากระแทกปากกันหน่อยมั้ย ฉลองที่ฉันกลับมายังไงล่ะ!”
“จะออกไปดื่มที่อื่นงั้นเหรอ?”
“ก็แหงดิ! ที่นี่ไม่มีสาวๆสวยๆให้แกล้มบันเทิงเลยนี่หว่า!”
ลัคซัสยิ้ม “ก็จริงนะ”
สนิทกันขนาดไหนยะ!?
มิร่าเจนมองทั้งสองคนที่เข้ากันเป็นปรี่เป็นขลุ่ย แอบแปลกใจไม่น้อยที่ลัคซัสดูร่าเริงกว่าปกติที่มักจะนิ่งขรึมและไม่ค่อยจะสุงสิงกับใคร
“เลิกพาหลานฉันเสียคนสักที”
“โทษกันแบบนี้ได้ยังไง มาสเตอร์ ลัคซัสมันก็เป็นลูกผู้ชายนะ เรื่องดื่มเป็นเรื่องธรรมดา”
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้โว้ย!” มาสเตอร์โวยวายใส่ทั้งสองที่เอาแต่หัวเราะกันโดยไม่สนใจคำต่อว่านั้นๆ มิร่าเจนย่นหน้าไม่สบอารมณ์แปลกๆ ทำไมหมอนั่นดูร่าเริงชะมัด
“เธอคงไม่รู้จักสินะ” คาน่าเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเศร้าๆอย่างที่มิร่าเจนก็ไม่เข้าใจ
“เป็นอะไรไปน่ะ คาน่า”
คาน่าส่ายหัว “เปล่าหรอก คนนั้นคือกิลดาซเป็นจอมเวทย์ระดับเอสของแฟรี่เทล เขาไม่ค่อยได้อยู่ที่กิลด์น่ะ”
“อ๋อ...” มิร่าเจนครางเบาๆ เท้าคางมองไปยังบาร์ที่ทุกคนมุ่งเข้าไปสังสรรค์ให้กับการกลับมาของกิลดาซ จอมเวทย์ระดับเอส งั้นสินะ
แต่เดี๋ยว…
“จอมเวทย์ระดับเอสหรอ?!” มิร่าเจนหันไปถามเสียงดังใส่คาน่า ซึ่งทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“อ๊ะ มิร่าเจนจะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก ธรรมเนียมของแฟรี่เทลน่ะ”
“ธรรมเนียม?”
“ช่วงนี้ของทุกปีจะมีการจัดสอบเพื่อเลื่อนขั้นจอมเวทย์ระดับเอส โดยมาสเตอร์จะเป็นคนเลือกผู้เข้าสอบเอง แต่ละปีก็จะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะผ่านและได้รับการยอมรับ” คาน่าว่าพลางชี้ขึ้นยังชั้นบนของกิลด์
“บนชั้นสองจึงเป็นพื้นที่สำหรับจอมเวทย์ระดับเอสเท่านั้นที่ขึ้นไปได้ บนนั้นจะมีภารกิจเฉพาะระดับเอสเท่านั้นด้วย”
“ตาลุงโรคจิตนั่นน่ะเหรอ?!” มิร่าเจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าตาลุงโรคจิตนั่นจะแข็งแกร่งถึงขั้นเป็นจอมเวทย์ระดับเอสได้ ดูจากท่าทางตอนนี้ยังไงมันก็แค่ลุงขี้เมาชัดๆเลย!
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวเจอกันนะ” ลัคซัสขอตัวไปทำภารกิจก่อนจะโบกมือลา
“กลับมาให้ทันล่ะ!”
“หึ จะเลี้ยงหรอไงลุง?” ลัคซัสยักคิ้วพลางยิ้มเล็กน้อยทิ้งท้ายไว้ก่อนจะออกไปจริงๆ กิลดาซหัวเราะคิกคักก่อนจะพึมพำว่าไอ้ตัวแสบอะไรสักอย่าง
หลังจากนั้นในกิลด์ก็วุ่นวายไปเสียงโหวกเหวกร่วมกันของสมาชิกกิลด์ เสียงตุบตับของนัตสึที่ถูกฟาดไปรู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแต่ก็ยังลุกขึ้นต่อ ทุกๆคนดูรักและเข้ากันได้ดีกับกิลดาซ มากซะจนมิร่าเจนรู้สึกเป็นส่วนเกิน
ทุกๆคนดูสนิทกันมากเลย
“อ่าว คาน่า มิร่าเจน มาด้วยกันสิ มาฉลองกัน!” เลวี่ยิ้มร่าก่อนจะกระชับมือของทั้งสองแล้วลากเข้าไปหากลุ่มคนตรงนั้น มิร่าเจนไม่ทันได้ตั้งตัว พอจะบอกปฎิเสธก็มายืนจ้องอยู่ตรงหน้ากิลดาซซะแล้ว
“สวัสดี ฉันชื่อ กิลดาซ เธอคงเป็นสมาชิกใหม่สินะ ชื่ออะไรล่ะ” คำถามอย่างเป็นมิตรรัวมาเป็นชุด แต่ครั้งนี้ไม่ได้ดูคุกคามจนโรคจิตแบบเมื่อกี้แล้ว นั่นทำให้มิเร่าจนอึกอั่กอยู่ครู่นึงก่อนจะยอมบอก
“มิร่าเจน”
“มิร่าจังเหรอ ชื่อน่ารักเหมาะกับเธอดีนะ ดูจากท่าทางแล้ว...” กิลดาซไล่สายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ต้องโตขึ้นมาเป็นผู้หญิงที่ดีแน่ๆ ฮ่าๆๆ” มิร่าเจนหน้าแดงจัดยกมือขึ้นปิดตัวเองแล้วฟาดขาใส่อีกฝ่ายแรงๆ
“ตาลุงโรคจิต!”
“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วทั้งกิลด์เหมือนในทุกวันของแฟรี่เทล เพียงแต่วันนี้มันเปี่ยมไปด้วยความยินดีและรอยยิ้มมากกว่าวันไหน
เพราะเป็นวันที่ครอบครัวของพวกเราได้กลับบ้าน
หลังจากที่จัดการลิงป่าวัลแคนแล้วช่วยชีวิตนัตสึมาได้ อ่อ แล้วก็ยังได้รู้ว่าไอ้เจ้าเด็กนั่นกำลังคบกันกับ ‘ลิซานน่า’ น้องสาวท่าทางน่ารักของมิร่าเจนที่เขาเพิ่งเจอครั้งแรกวันนี้ หน้าตาคล้ายกันแบบที่ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆเลยล่ะ
“หือ?” กิลดาซกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะยิ้มแห้งๆทันทีเมื่อเขาเห็นคนที่ยืนรออยู่
“หลงทางหรือไงลุง” ลัคซัสถามเสียงแข็ง สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก กิลดาซรู้ตัวว่าอีกฝ่ายคงไปรอเก้อที่บาร์ในเมืองตามที่นัดจนอดทนไม่ไหว
“อย่าโกรธไปเลยนะ เอาเป็นว่าเดี๋ยววันนี้ฉันเลี้ยงนายเอง ไปที่แฟรี่เทลกัน”
“ไหนบอกว่าอยากไปดื่มที่อื่นไง”
“แหมๆ ก็ฉันไม่มีเงินนี่หว่า ถ้าดื่มที่แฟรี่เทลมันติดไว้ได้นี่ ไปเถอะน่าๆ” กิลดาซตบบ่าลัคซัสทีนึงแล้วออกเดินนำออกไปพร้อมเสียงหัวเราะ ลัคซัสหรี่ตามองอย่างเหนื่อยใจกับตาลุงนี่พลางยิ้มออกมา
“ทำแบบนี้เดี๋ยวปู่ก็โวยวายอีกหรอก” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่สุดท้ายเขาทั้งคู่ก็มาหยุดกันอยู่ที่หน้าบาร์ของแฟรี่เทลเหมือนเดิม กิลดาซเล่าเรื่องการผจญภัยในช่วงทำภารกิจให้เขาฟัง เขาเองก็แลกเปลี่ยนชีวิตระหว่างนี้ เขากับกิลดาซสนิทกันพอตัว คงเพราะอีกฝ่ายก็เห็นเขามาตั้งแต่เด็กๆ ได้รับความไว้ใจจากปู่ แถมยังเป็นสมาชิกคนแรกๆของกิลด์ด้วย
“แล้ว...” กิลดาซวางแก้วเหล้าในมือลง “เรื่องลาคริม่า เป็นยังไงบ้าง”
ลัคซัสเลิกคิ้วแปลกใจที่อีกฝ่ายให้ความสนใจในเรื่องนี้ เขาเงียบไปสักครู่นึงก่อนจะยกแก้วไม้ที่มีกลิ่นของเหล้าคลุ้งในมือขึ้นดื่ม
“ก็ไม่ยังไงนี่”
“งั้นเหรอ...” บรรยากาศระหว่างทั้งคู่เงียบลง กิลดาซรู้เรื่องมาเมื่อครั้งก่อนที่เขากลับมาที่กิลด์ อีวาน พ่อของลัคซัสทำการฝังลาคริม่าให้กับลัคซัสซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเด็กอ่อนแอ อีวานเป็นพวกบ้าความแข็งแกร่งและอำนาจ เขาต้องการให้ลัคซัสยิ่งใหญ่เหนือยิ่งกว่าใคร และตอนนั้นเองที่มาสเตอร์มาคาลอฟมองเห็นภัยจากตัวของอีวานเลยได้ทำการเนรเทศออกไป
“จริงๆแล้ว ฉันพบอีวานระหว่างภารกิจ” ลัคซัสเบิกตากว้างเขาหันมาให้ความสนใจกับกิลดาซทันที
“เจอพ่อด้วยงั้นเหรอ?!”
“ฉันกะว่าจะรายงานให้มาสเตอร์ฟังพรุ่งนี้ และเขาคงไม่อยากให้ฉันบอกนาย”
“งั้นเหรอ...” ลัคซัสกำหมัดแน่น แม้พ่อจะเป็นคนฝังลาคริม่าให้เขาและมันเจ็บปวดจนสร้างบาดแผลที่ตาขวานี้ แต่มันก็ทำให้เขาแข็งแกร่งและอีกฝ่ายก็ยังเป็นพ่อของเขา นานแล้วที่เขาไม่เคยได้ยินเรื่องของพ่อเลย ปู่เองก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนี้กับเขามาโดยตลอด
“แต่ว่า...” กิลดาซเกริ่น
“เห็นแก่ความเป็นพ่อลูกของนายกับอีวาน ฉันจะยอมบอกนาย โดยที่เรื่องนี้ต้องเป็นความลับเฉพาะเรา ตกลงไหม?” กิลดาซยิ้มให้กับลัคซัสที่ตาโตตกใจไปไม่น้อย เขาไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะยอมใจดีหรือขัดคำสั่งของปู่
ลัคซัสคลี่ยิ้ม รอยยิ้มที่แสนนุ่มนวลแบบที่กิลดาซไม่ได้เห็นมานานของอีกฝ่าย “ขอบคุณครับ”
วันนี้ทุกคนในกิลด์มารวมตัวกัน มิร่าเจนก็เพิ่งได้สังเกตว่ากิลด์นี้มีสมาชิกอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นและลุ้นไปด้วยกัน เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่มาสเตอร์จะประกาศรายชื่อของผู้มีสิทธิ์เข้าสอบ
มิร่าเจนกัดเล็บจนแทบจะเป็นบ้า แถมปล่อยเงามืดล้อมรอบกายจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แม้กระทั่งน้องๆ สาเหตุก็คงเพราะท่าทางที่แสนมั่นอกมั่นใจของเอลซ่านั่นเอง
อย่าบอกนะ ว่ายัยนั่นจะได้ถูกเลือก ไม่มีทาง!!
เธอรู้ว่าเอลซ่าแข็งแกร่ง แต่ถ้าลองวัดพลังกันจริงๆก็ยังพอสูสีกันอยู่เห็นๆ ถ้าเอลซ่าจะได้ไป เธอก็ต้องได้ไปด้วยสิ! แต่ถึงงั้นก็เถอะ... ถึงงั้น... เอลซ่าอยู่ที่กิลด์นี้มาก่อนเธอหลายปี ต่อให้ฝีมือจะสูสีกันก็จริง แต่โอกาสที่เธอจะได้ถูกเลือกมีน้อยกว่าเห็นๆ
ฉันไม่ยอมเด็ดขาด ไม่ยอมแพ้ยัยเอลซ่าเด็ดขาดเลย!!
“จะฆ่าคนหรือไง”
“อย่ามายุ่งน่า!” มิร่าเจนเถียงเสียงแข็ง ไม่หันไปมองคนที่กล้าเข้ามาทักเธอในเวลานี้ มันคงมีไม่กี่คนหรอก แล้วไอ้เสียงแบบนี้เธอก็จำได้ดีเอามากๆซะด้วย
“ทุกคน!!!!” เสียงของมาสเตอร์ทำให้ทุกคนหันไปสนใจ เสียงพูดคุยต่างเงียบลงเพื่อหยุดฟังคำประกาศที่พวกเขาทุกคนเฝ้ารอลุ้นระทึกมาตลอดสัปดาห์
“อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าในช่วงนี้ของปี จะเป็นการสอบระดับเอสอันเป็นธรรมเนียมปฎิบัติกันมาช้านานของแฟรี่เทล โดยปีนี้เราจะไปสอบกันที่เกาะเทนโรว สำหรับตัวขัดขวางจะเป็นความลับ” ทุกคนดูตื่นเต้นกับความลับที่ทำให้การสอบดูน่าสนุกและโหดมากยิ่งขึ้น
“ดีล่ะ เครื่องชักร้อนแล้ว”
“นี่นัตสึ นายคงไม่ได้ถูกเลือกหรอกนะ” ลิซานน่าเอ่ยห้ามคนที่ดูจะคาดหวังไว้ซะเยอะ ทั้งๆที่ดูยังไงเด็กตัวแค่นี้ก็ไม่มีทางได้รับเลือกอยู่แล้ว
“ใช่แล้วนัตสึ ถ้าเป็นเอลซ่าสิ ยังน่าจะพอเป็นไปไ— โอ้ย! ทำอะไรเนี่ย มิร่าเจน!” เกรย์โวยวายลั่นเมื่อเขาถูกมิร่าเจนฟาดเข้ามาเต็มๆหลัง
“หึ นิสัยพาลเป็นเด็กๆแบบนี้มันไม่ดีเลยนะ มิร่าเจน”
“หุบปากไปเลย ยัยหมูอ้วน!”
“ว่าไงนะ อยากร้องไห้ขี้มูกโป่งงั้นเหรอ เดี๋ยวฉันจัดให้!”
“พี่ครับอย่าทะเลาะกันสิ” เอลฟ์แมนเหงื่อตกกับการวางมวยอีกครั้งของพี่สาวและเอลซ่า เช่นเดียวกับคนอื่นๆตรงนั้น
“ลัคซัส!!”
“!!” เพราะเสียงทะเลาะทำให้ทุกคนไม่ได้ยินรายละเอียด หากแต่ชื่อของลัคซัสก็ถูกประกาศขึ้น มิร่าเจนกับเอลซ่าที่ยื้อดึงผมเปียและหางม้ากันหยุดชะงัก
“เอาล่ะ ปีนี้ก็มีแค่ห้าคนเท่านั้น กฎการเลือกคู่หูก็เดิมๆ ห้ามเลือกจอมเวทย์ระดับเอส อีกหนึ่งอาทิตย์เจอกันที่ท่าเรือ!!” มาสเตอร์จบการประกาศแล้วหายไปในพริบตา เสียงผู้คนเริ่มกลับมาอีกครั้งมีทั้งเสียงที่ดีใจ ผิดหวัง และเสียงของการจับคู่
คู่งั้นเหรอ?
มิร่าเจนหันมองลัคซัส หมอนั่นไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แถมจากที่ดูๆ ก็ยังไม่มีใครกล้าพอจะเข้าไปเป็นคู่หูของเขาแน่ มิร่าเจนทุบกำปั้นกับฝ่ามือของตัวเอง
หนทางเอาชนะเอลซ่าอยู่แค่เอื้อม เธอนี่มันอัจฉริยะจริงๆ มิร่าเจน!!
“ลัคซัส!” มิร่าเจนชี้ไปยังร่างสูงด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ฉันจะยอมเป็นคู่หูให้นายเอง!!”
“ขอปฎิเสธ”
“อะไรนะ!” มิร่าเจนแทบไม่เชื่อหู อีกฝ่ายปฎิเสธเธอแบบไม่ใยดีเลยสักนิด
“นะ นี่ฉันยอมมาเป็นคู่หูให้นายเลยนะ ตาบ้า!”
“ไม่ได้ขอนี่ บาย” ร่างสูงโบกมือลาหยอยๆออกจากกิลด์ ไม่สนใจมิร่าเจนที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงกับการถูกเมิน
เป็นแบบนี้จะไปเอาชนะยัยเอลซ่าได้ยังไง ถ้าฉันได้เข้าร่วม ถึงแม้จะเป็นแค่คู่หู ถ้าแสดงศักยภาพให้ได้เห็นล่ะก็ หนทางสู่ระดับเอสมันก็คงง่ายขึ้น เผลอๆครั้งหน้าฉันอาจจะได้ถูกเลือกเข้าสอบด้วย ก่อนยัยเอลซ่าซะอีก!
“ฉันไม่ยอมหยุดแค่นี้หรอกน่า!!”
ลัคซัสสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาบนเตียงกว้าง เขาขยี้ตาสองสามครั้งก่อนจะลุกขึ้นมานั่งหน้ามึนนิ่งๆอยู่บนเตียง ในบ้านที่เงียบสงบเพราะบ้านหลังกว้างนี้เหลือแค่เขาคนเดียวเท่านั้น ลัคซัสเหลือบมองนาฬิกาปลุกข้างเตียง เพื่อพบว่าเขาตื่นก่อนที่มันจะได้ปลุกอีกแล้ว
เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจไปมาพลางหาววอดใหญ่ หลังจากนี้อีกแค่หกวันเขาจะต้องเข้าร่วมการสอบระดับเอส การหลีกเลี่ยงกิลด์เพื่อไปฝึกวิชาคงเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดีที่สุด
เขาลุกออกจากเตียง เดินดิ่งไปที่หน้าต่างเพื่อจะเปิดม่านของอาทิตย์จ้าสว่าง หากแต่ทันทีที่ม่านบางถูกเปิดออกลัคซัสก็ปิดในทันที
เมื่อกี้มันอะไร…
ปึง! ปึง!
“ลัคซัส!!” เสียงแบบนี้กับไอ้หน้าที่บี้จนแทบจะกลืนทะลุเข้ามาจากหน้าต่างเมื่อครู่ ไม่ต้องให้เปิดอีกทีลัคซัสก็รู้ถึงหายนะขนาดย่อมที่มาเยือนในเช้านี้ทันที
มิร่าเจน!
“ยัยบ้านั่นมาทำอะไรนะ...”
“คนที่จะเป็นคู่หูของนายน่ะ มีแค่ฉันเท่านั้นแหละย่ะ!!” เหมือนเสียงพึมพำเบาๆก็มากพอจะให้มิร่าเจนได้ยินแล้วตอบคำถาม ลัคซัสสะดุ้งโหยงอยู่หลังหน้าต่าง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกขนพองสยองกล้ากับเด็กสาวคนนี้
ทั้งๆที่เขาปฎิเสธไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานที่กิลด์ ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมลามือ ไม่ต้องใช้หัวคิดให้มาก ลัคซัสก็รู้ได้เลยว่าหากก้าวพ้นออกไปจากบ้านหลังนี้เมื่อไหร่ แค่เพียงเปิดแง้มประตูก็พอ มิร่าเจนก็พร้อมที่จะเข้ามาตะปบเขาเหมือนเสือล่าเหยื่อแล้วจะไม่ยอมหยุดจนกว่าเขาจะยอมให้เธอไปสอบด้วยแน่ๆ
“บอกไว้ก่อนนะ ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่!!” เสียงโวยวายของมิร่าเจนราวกับย้ำเจตนาที่ไม่มีวันสั่นคลอนง่ายๆ ลัคซัสถอนหายใจ เกาหัวแกรกๆ พลางคิดหาทางออก
เอาไงดีล่ะทีนี้
หลังจากที่ล็อคบ้านปิดหน้าต่างอย่างแน่นหนาที่สุดเท่าที่ชีวิตเคยทำ ลัคซัสที่เอานั่งๆนอนๆฟังเพลงอ่านหนังสือมาได้ครึ่งวันจนท้องร้อง เขาก็ลองแหวกม่านเล็กๆเพื่อดูที่ทางในการหลบหนี มิร่าเจนยังคงเฝ้าอยู่ ยัยนั่นเดินวนรอบบ้านเขาชนิดที่ว่าคงสามารถวัดที่วัดวาไปได้หมดแล้ว เผลอๆอาจจะฝังระเบิด ตั้งฐานลับดักเขาไว้แล้วด้วยซ้ำ ดูจากการที่เธอเริ่มก่อแคมป์รับมื้อเที่ยงของตัวเองแล้ว ทั้งๆที่อยู่บ้านแท้ๆ แต่ลัคซัสไม่ได้รู้สึกปลอดภัยสักนิด
โครก คราก
เสียงท้องร้องย้ำเตือน เขายังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่ตื่นมา ปกติส่วนใหญ่เขาออกไปหาอะไรทานในเมืองไม่ก็ที่กิลด์ แต่อย่างที่บอก ถ้าหลุดออกไปจากบ้านเมื่อไหร่ มิร่าเจนต้องฆ่าเขาแน่ๆ
“ถึงงั้นก็เถอะ จะให้อยู่เฉยๆแบบนี้จนวันสอบก็ไม่ได้หรอกนะ” ลัคซัสพูดกับตัวเอง นอกเหนือจากท้องร้อง สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเขาคงไม่อาจปล่อยเวลาหนึ่งสัปดาห์ให้ผ่านพ้นไปเฉยๆได้แน่
ลัคซัสใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดหลายปีในการทำภารกิจ นี่ถือเป็นภารกิจอย่างหนึ่งที่ไร้ค่าจ้างแต่โครตคุ้มค่าที่จะทำ เขาขอตั้งชื่อมันว่าภารกิจหลบหนีลิงตุงตังนามมิร่าเจน ใบหน้าเคร่งขรึมครุ่นคิดถึงทางหนีทีรอดที่พอจะเป็นไปได้โดยหลีกเลี่ยงการปะทะ
จะว่าไป... ยังมีวิธีนี้อยู่นี่นา!
มิร่าเจนดมกลิ่นหอมของสตูนมข้นที่เธอทำเอง ถึงจะเป็นลัคซัสก็เถอะ หมอนั่นที่ไม่ได้กินอะไรเลยพอได้กลิ่นหอมนี้ก็ต้องอดใจไม่ไหวแน่นอน เธอยิ้มกรุ่มกริ่ม ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องเป็นคู่หูของเขาให้ได้
“เพื่อเอาชนะยัยเอลซ่า!!”
“ทำอะไรอยู่เหรอคะพี่?” เสียงของลิซานน่าทำให้มิร่าเจนหันไปมองด้วยความสงสัย
“มาเฝ้าเจ้าคนปากแข็งน่ะ” ลิซานน่าเอียงคออย่างสงสัย
“ช่างเถอะ ลิซานน่าล่ะ มาทำอะไรแถวนี้เหรอ?”
“อ่อ มีคนฝากมาบอกพี่น่ะค่ะ” ลิซานน่ายิ้มกรุ่มกริ่มอย่างร้ายกาจ ซึ่งมิร่าเจนรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย
“คะ ใคร...”
“เขาบอกว่าให้พี่กลับบ้านไปได้แล้วเพราะเขาคงไม่กลับมาที่นี่จนกว่าวันสอบนั่นแหละค่ะ”
“เขา?” มิร่าเจนชักสงหรณ์ไม่ดี ยิ่งรูปประโยคที่ลิซานน่าบอกมันยิ่งฟังดูคุ้นๆ ลิซานน่าส่งยิ้มหวานให้ก่อนจะรีบคลายความสงสัยทั้งหมดของพี่สาว
“ใช่แล้วค่ะ ลัคซัสเขาฝากหนูมาบอก เมื่อกี้เขาไปที่กิลด์มาค่ะ”
“ไม่จริง!!” เธอเฝ้าสังเกตรอบบ้านนี้ แทบยังวางค่ายกลอย่างดี ถ้าหมอนั่นไปสะกิดโดนเพียงนิดมันจะส่งเสียงร้องแน่ๆ
หรือว่าจะใช้วิธีนั้น!!
ทันใดนั้น มิร่าเจนก็รีบวิ่งไปที่หลังบ้าน มองขึ้นไปยังชั้นสอง เพื่อพบกับหน้าต่างที่เปิดอยู่พร้อมผ้าม่านที่ปลิวไหวตามสายลม ใกล้กันนั้นมีกิ่งไม้ที่หนาพอจะใช้ปีนได้อยู่ใกล้ๆ
ลัคซัสปีนกิ่งไม้นั่นมาที่ต้นไม้ใหญ่ก่อนจะเดินข้ามไปที่กิ่งอีกฝั่งซึ่งยื่นพ้นออกไปนอกรั้วแล้วคงกระโดดลงไป เพราะงั้นถึงไม่ติดสัญญาณเตือนของค่ายกลที่เธอวางเอาไว้
มิร่าเจนกำหมัดแน่น เด็กสาวตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความเจ็บใจ แม้กลิ่นสตูจะหอมอร่อยแค่ไหน แต่ตอนนี้มิร่าเจนไม่สนใจอีกต่อไป เมื่อดวงตาสแซฟไฟร์เงยหน้ามองท้องฟ้าสดใสที่ยิ้มรับร่าเริงเหมือนตอกย้ำความพ่ายแพ้ในครั้งนี้
“ลัคซัส!!!”
“เฮ้อออ”
“เป็นอะไรไปน่ะ เอลฟ์แมน ถอนหายใจเสียงดังเชียว” เลวี่เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือภาษาโบราณ มองหนึ่งในพี่น้องสตราอุสที่ดูกลุ้มใจ
“ก็ช่วงนี้น่ะสิ ทั้งพี่แล้วก็ลิซานน่าไม่มีใครยอมกลับบ้านเลย” เอลฟ์แมนบ่นอย่างน้อยอกน้อยใจ
“ลิซานน่าก็ตัวติดกับนัตสึกับแฮปปี้ ส่วนพี่ก็เอาแต่ไปวุ่นวายอยู่กับลัคซัสเขา”
“อ่าว? ลัคซัสเขาไม่อยู่ที่เมืองตั้งเป็นอาทิตย์แล้วนี่ ลิซานน่าก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” เลวี่สงสัย เพราะในวันที่ลัคซัสฝากลิซานน่าให้ไปบอกมิร่าเจน เธอเองก็อยู่ในเหตุการณ์เช่นกัน สาเหตุที่ลัคซัสไม่ยอมกลับเมืองมาเป็นอาทิตย์จนกว่าจะถึงวันสอบ หนึ่งในนั้นก็เพราะต้องการหนีจากมิร่าเจนเนี่ยแหละ
“พี่เขาไม่ยอมเชื่อยอมฟังน่ะสิ บอกว่าเป็นแผนการก็เลยไปเฝ้าที่บ้านแล้วก็ตามหารอบๆเมืองทุกวันเลย บางวันก็ไปนอนค้างที่หน้าบ้านลัคซัสด้วย ถึงฉันจะเป็นห่วงพี่เขา แต่ก็ห้ามไม่ได้อยู่ดี”
“เอาน่า ไม่ใช่ความผิดของนายหรอกนะ” เลวี่พูดให้กำลังใจผสมกับความจริง ยังไงซะก็คงไม่มีใครไปห้ามมิร่าเจนที่ตั้งใจไว้แล้วได้แน่ๆ ขณะเดียวกันเลวี่ก็เหลือบเห็นเด็กสาวที่กำลังพูดถึงเดินเข้ากิลด์มาพอดี
“นั่นไง มาแล้ว”
“พี่ครับ!” เอลฟ์แมนยิ้มออก แต่ก็หุบแทบทันทีที่เห็นมิร่าเจนในสภาพหมดอาลัยตายยาก เด็กสาวเดินดิ่งเข้ามาลูบหัวเขาเบาๆก่อนจะทรุดนั่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
“ไม่ร่าเริงเลยนะ”
“ฉันยอมแพ้แล้ว” เลวี่เลิกคิ้ว
“เรื่องลัคซัสน่ะเหรอ?”
“ใช่ ฉันทำวิธีทางแล้ว ปีนี้ขอลาก่อน ไว้ปีหน้าฉันจะหาทางไปเองเลยทีเดียวแล้วกัน แล้วจะไม่ง้อหมอนั่นด้วย” เลวี่ได้ยินทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ถึงจะไม่ง้อ แต่ยังไงเผลอๆปีนี้ลัคซัสก็อาจจะเป็นคนที่สอบผ่านเป็นระดับเอสก็ได้
“แหมๆ ไม่ลองอีกสักหน่อยล่ะ เรือคงยังไม่ออกหรอกนะ”
“พอเถอะ จะไปไหนก็ไปกันเถอะ” มิร่าเจนเหนื่อยหน่ายเกินไปที่จะพยายามอีก ตลอดสัปดาห์ที่ไปนั่งเฝ้าให้ยุงหามทรมานร่างกายเหลือเกิน เขาปฎิเสธเธอซะขนาดนี้ ต่อให้วันนี้ไปตื้อถึงท่าก็คงโดนปฎิเสธอีกอยู่ดีนั่นแหละ
“ตายซากอะไรของเธอน่ะ” มิร่าเจนเงยหน้าขึ้นทันควัน เมื่อเสียงที่เธอเฝ้ารอฟังมาตลอดหลายวันดังขึ้นในตอนที่เธอกำลังจะตัดใจจากทุกอย่าง ดวงตาของเธอมองตรงไปที่หน้าประตูกิลด์ แสงยามเช้าจ้าชวนให้หยีตาแต่ก็ฝืนมองแล้วปรับมันให้ชิน
“ลัคซัส...”
“เรือจะออกแล้ว ทำไมยังไม่รีบไปอีก” มิร่าเจนเลิกคิ้วสูง สีหน้าไม่ซ่อนถึงความสงสัยได้เลย นี่ตานั่นพูดบ้าอะไรอยู่ ก็เรือจะออกแล้วทำไมเขายังรีบไปที่ท่าเรืออีกล่ะ?
“ให้ตายสิ” ลัคซัสขยี้หัวตัวเองแรงๆ ก่อนจะตะโกนออกมาดังๆด้วยคำพูดสั้นๆที่มากพอจะทำให้มิร่าเจนยิ้มออกได้ในรอบสัปดาห์
“ก็คู่หูของฉันน่ะ มีแค่เธอไม่ใช่หรือไง!!” ลัคซัสมองรอยยิ้มที่ค่อยๆปรากฏขึ้นทีละน้อย ก่อนที่ร่างนั้นจกระโดดร่าเริงอยู่บนโต๊ะ
“เย้!! ทำได้แล้ว!! เลวี่! เอลฟ์แมน! ฉันทำได้แล้ว! ลัคซัสให้ฉันไปด้วยแล้ว ยัยเอลซ่าล่ะ ยัยนั่นไปไหน ยัยนั่นรู้ต้องอกแตกตายแน่ๆ ฮะๆ ฉันได้ไปสอบระดับเอส!!”
ลัคซัสยิ้มอย่างอ่อนใจ ก่อนจะรีบเก๊กหน้านิ่งตีขรึม เขาก็อยากจะให้อีกฝ่ายได้อยู่ดีใจอวดคู่แข่งคนสำคัญอยู่หรอก แต่ถ้าทำแบบนั้น มีหวังทั้งเขาและเธอจะตกเรือจนไม่มีใครได้ไปสอบระดับเอสแน่
“อย่ามัวแต่โวยวายน่า ถ้าไม่รีบไปตกเรือขึ้นมาไม่ใช่ความผิดฉันแล้วนะ”
“อ๊ะ! เดี๋ยวก่อนสิ รอก่อน ขอฉันเก็บของเดี๋ยว... ไม่สิ ไม่ทันแน่ ต้องไปแล้ว! พี่ไปนะเอลฟ์แมน ฝากบอกลิซานน่าด้วย แล้วก็! ที่สำคัญที่สุดต้องบอกเอลซ่าด้วยนะ รู้ไหม” เอลฟ์แมนรับคำสั่งของพี่สาวแทบไม่ทัน เขาได้แต่พยักหน้ารับหน้าตื่นก่อนจะมองพี่เขาที่รีบวิ่งตามลัคซัสออกไปอย่างตื่นเต้น รอยยิ้มหวานฉาบอยู่บนใบหน้า ความดีใจไม่อาจซ่อนได้ในแววตาสีน้ำเงินคู่นั้น
“ไม่ได้เห็นพี่เป็นแบบนี้มานานเลยนะครับ”
สายลมยามค่ำคืนหนาวเย็นบาดผิวผิดกับยามกลางวัน
ร่างของเด็กหนุ่มนอนหนุนแขนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเนินเขาสูงที่ทำให้มองเห็นเมืองแมคโนเลียทั่วทั้งเมือง
หูฟังถูกครอบเอาไว้ที่ใบหูแต่ไม่มีเสียงเพลงใดๆ
เขาแค่เคยชินกับการมีอะไรบางอย่างไว้ที่ตรงนี้
“บ้านช่องไม่มีให้กลับหรือไง
ไอ้เด็กเหลือขอ”
บางทีลัคซัสคิดว่าเขาควรจะเปิดเพลงให้ดังๆไปเลยถ้ารู้ว่าจะต้องมีคนมารบกวนเวลาพักผ่อน
เขาลืมตามองร่างเล็กของชายสูงวัยที่มีศักดิ์เป็นปู่ของเขาเอง
“มีอะไร?”
“พรุ่งนี้แล้วนะ”
“ผมไม่ลืมหรอก
เรื่องสำคัญขนาดนั้น”
“ถ้าแกไม่ลืม
แกก็ควรจะจำได้ว่าฉันให้หาคู่หูด้วยนะ”
ลัคซัสแอบชะงักไปเพียงพริบตาก่อนจะตีหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไร
“ไม่จำเป็นสักหน่อย
จะมีหรือไม่มีแค่ทดสอบให้ผ่านได้ก็เป็นระดับเอสแล้วนี่
แถมคนที่ไปสอบด้วยก็ไม่ได้เป็นระดับเอสด้วยกันสักหน่อย” ลัคซัสตอบไปตามความจริง
จริงๆแล้วเขาก็นึกสงสัยถึงเงื่อนไขของการสอบมานานแล้ว
เพราะเขาไม่เห็นถึงประโยชน์ของคนที่ถูกเลือกไปเป็นคู่หูที่ร่วมกับผู้ถูกเลือกเลย
“มันก็จริงอย่างที่แกว่า” มาคาลอฟกอดอกพึมพำ “แต่ว่า... การจะเป็นยอมเวทย์ระดับเอสไม่ใช่แค่แข็งแกร่งแต่มันต้องเข้ากับคนอื่นได้
เหตุผลที่ว่าทำไมทุกปีถึงต้องให้ผู้ถูกคัดเลือกพาคู่หูไปด้วยคนหนึ่งมันก็เพราะอย่างงั้นนั่นแหละ” คำอธิบายของมาคาลอฟเรียกสีหน้าที่เปลียนไปให้กับลัคซัส
เขาเองก็เพิ่งจะฉุดคิดได้หลังจากที่ได้ยิน ทั้งๆที่ควรจะเอะใจได้ง่ายๆ
“หึ งั้นเหรอ” ลัคซัสยิ้ม การที่เขาไม่เอะใจรู้ คงเพราะยังแข็งแกร่งไม่มากพอสินะ
“จะว่าไปแกต้องหนีมิร่าเจนเพราะเรื่องคู่หูนี่” ลัคซัสหุบยิ้ม พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ในหัวพลันนึกถึงเด็กสาวที่ตั้งค่ายกลล้อมบ้านเขาไว้
รู้สึกขนลุกนิดๆแฮะ...
“ทำไมล่ะ แกมีปัญหาอะไรหรือไง
ก็ดูสนิทกันดีนิ?”
ลัคซัสเลิกคิ้วทวนคำ “สนิท?”
“แกมันพวกมนุษย์สัมพันธ์แย่นี่
ฉันไม่ค่อยเห็นแกสุงสิงกับใครเท่าไหร่เลย แต่ดูกับมิร่าเจนแกก็ดูสนิทด้วยดี
จากที่ผ่านๆมาน่ะนะ”
“ไม่ได้สนิทสักหน่อย”
“งั้นไม่ถูกกันหรือไง”
“ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ”
“แล้วมันยังไงล่ะ ไอ้เด็กบ้า!” ลัคซัสเกาหัวแกรกๆ จะให้อธิบายยังไงดี เขาไม่ได้เกลียดหรือไม่ชอบอะไร
แต่จะให้บอกว่าสนิทก็คงไม่ใช่ เอาเข้าจริงพวกเขาพูดคุยกันน้อยมาก
เพราะเขาเองที่ไม่ค่อยได้สุงสิงกับใคร แถมในเวลาปกติมิร่าเจนก็อยู่กับพวกเอลซ่า
พวกนัตสึซะมากกว่า ยัยนั่นก็มีเพื่อนของเธอ เขาเองก็เลือกจะปลีกตัวอยู่คนเดียว
เพราะงั้นจะให้พูดว่าสนิท มันก็คงไม่ใช่...ล่ะมั้ง?
“ถ้าไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน
ก็เลือกเธอไปด้วยกันเถอะ” คำพูดของมาคาลอฟอ่อนลงเรียกความสนใจของลัคซัส
เขามองปู่ด้วยความสงสัย
“ทำไมปู่ถึงอยากให้มิร่าเจนเป็นคู่หูผม
เพื่อตัวผมงั้นเหรอ?”
มาคาลอฟส่ายหน้า “เปล่า ฉันแค่ไม่เคยเห็นเด็กคนนั้นเป็นแบบนี้”
“แบบไหน?”
“แบบที่พยายามอย่างมาก
แล้วก็ลึกๆแล้วฉันดีใจนะ”
ลัคซัสรู้สึกสับสน
เขาไม่เข้าใจว่าปู่ต้องการบอกอะไร “ดีใจอะไรน่ะ?”
“ดีใจที่แกคิดสร้างปฎิสัมพันธ์กับใครบ้าง
แล้วก็ดีใจที่คนๆนั้นเป็นมิร่าเจนที่เต็มไปด้วยความรักยังไงล่ะ” มาคาลอฟหันมายิ้ม
ยิ้มให้อย่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความดีใจอย่างที่ปากพูดจริงๆ
ตรงข้ามกับลัคซัสที่ฟังแล้วยิ่งขนลุก
เขาถอยผงะออกจากปู่ราวกับความคิดนั้นเป็นสิ่งสยดสยอง
“ความรัก ยัยนั่นน่ะเหรอ...” ภาพมิร่าเจนที่จ้องตามหลอกหลอนเขาที่ปรากฏอยู่ในหัวนั้น ห่างไกลจากคำว่าความรักโดยสิ้นเชิง
“ปากแข็งจริง
ทั้งๆที่ตัวเองก็สนใจเขาอยู่แท้ๆ”
“อะไรนะ?!”
“ช่างเถอะ ฉันเบื่อจะคุยกับแกแล้ว
พรุ่งนี้เช้าอย่าไปสายล่ะ ถ้าพลาดล่ะก็ไม่มีวนกลับมารับหรอกนะ!!” มาคาลอฟกล่าวลาพร้อมทั้งเดินจากไปโดยไม่สนใจลัคซัสที่ยังหน้ามึน
“แก่แล้วพูดใจไม่รู้เรื่องเลย” เขาบ่นกับตัวเองก่อนจะข่มตาลงหลับอีกครั้ง
สูดกลิ่นลมยามค่ำคืนปล่อยให้มันกล่อมเขาสู่นิทราอย่างช้าๆ
.
.
.
.
.
“ลัคซัส!”
เสียงเรียกดังทุ้มแทรกเข้ามาภายใต้หูที่ถูกปิดด้วยหูฟังที่ไร้เสียงเพลง
ลัคซัสค่อยๆลืมตาขึ้น มองเจ้าของเสียงเรียกตัวเล็กไม่ใช่ใครเลย นั่นคือมิร่าเจน
ก่อนที่ลัคซัสที่เคลื่อนสายตามองไปยังรอบๆ
ที่ล้อมไปด้วยน้ำทะเลแต่ที่อยู่ไม่ไกลแถมสะดุดตาคงเป็นเกาะที่ตั้งตระหง่านด้วยต้นไม้สูง
บ่งบอกว่าพวกเขาได้มาถึงสนามสอบแล้ว
ระหว่างทางเขารู้สึกมึนหัวนิดๆ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาจึงเลือกที่จะหลับตานั่งอยู่เฉยๆ
ไม่ร่วมพูดคุยกับใครจนเผลอหลับไป
ผิดกับมิร่าเจนที่วางท่ายิ่งใหญ่เพราะเป็นคู่หูอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม
เลยคุยโวถึงความแข็งแกร่งของตัวเองที่ลัคซัสไม่ได้ใส่ใจนัก
“เฮ้!
ตื่นหรือยังเนี่ย?” มิร่าเจนเท้าเอวเอ็ดเขา
ลัคซัสพิจราณาร่างบอบบางตรงหน้า ทบทวนคำพูดที่เขาได้ยินจากปู่มา
สนใจงั้นเหรอ?
“อะไร? เมาเรือหรือไงยะ?! นี่ถ้าอ่อนแอขนาดนี้ ระวังฉันจะได้เป็นระดับเอสแทนนะ!” รอยยิ้มชั่วร้ายทำเอาลัคซัสคิ้วกระตุก เขาจึงจัดการผลักหัวนั่นไปสักทีให้หายหมั่นไส้
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโวยวายลั่นของอีกฝ่ายแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ
ลัคซัสมองไปยังเกาะเทนโรวที่อยู่ใกล้เข้ามา
ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังเวทมหาศาลที่แผ่ออกมาอ่อนๆเลย เกาะศักดิ์สิทธิ์ของกิลด์แฟรี่เทล
“เอาล่ะ”
เสียงของมาสเตอร์เรียกความสนใจของทุกคน
“ฉันจะขออธิบายกฎกติกาให้ฟังของการทดสอบรอบแรกให้ฟัง”
“รอบแรกเหรอ?” มิร่าเจนคิ้วขมวด
“ในรอบแรกนี้จะเป็นการแข่งการเอาตัวรอดในป่า
เพื่อไปยังเส้นชัย ซึ่งจุดที่จะบ่งบอกว่าเป็นเส้นชัยนั้นก็คือควันไฟตรงนั้น” ทุกคนมองตามก่อนจะพบกับควันไฟที่ลอยสูงอยู่ที่กลางเกาะ
“โดยทุกคนจะมีจุดเริ่มต้นต่างกัน
ซึ่งจะต้องจับฉลากเอาเอง แล้วเรือรำนี้จะวนไปส่งทุกคนตามจุดต่างๆบนเกาะ
ทันทีที่ส่งทุกคนจนถึงเกาะ การแข่งขันก็จะเริ่มขึ้นได้ สัญญาณคือพลุไฟสีเขียว”
“ฝึกการเอาตัวรอดงั้นเหรอ”
“ถ้าโชคดีจับได้ทางที่ใกล้ ก็สบายเลยน่ะสิ!”
“เห ปีนี้ดูง่ายกว่าที่คิดแฮะ”
เสียงพูดคุยของผู้เข้าร่วมเริ่มดังขึ้นหลังจากมาสเตอร์กล่าวกติกาจบ
มิร่าเจนเองก็คิดไม่ต่างกัน
เธอไม่คิดว่าการสอบระดับเอสจะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวขนาดนี้
การเอาตัวรอดในป่าโดยภารกิจทั่วไปก็ต้องเผชิญกันอยู่แล้ว บางทีอาจจะเผชิญกันจนชินแล้วด้วยซ้ำ
“เอาล่ะทุกคน
จับฉลากที่อยู่ในกล่องนั่น”
ทุกคนทยอยเข้าไปจับฉลากที่อยู่ในกล่องสีดำที่วางไว้ที่กลางเรือ
ลัคซัสและมิร่าเจนเป็นคู่สุดท้ายที่เข้าไปจับ แม้มิร่าเจนจะขัดใจนิดหน่อย
แต่ลัคซัสที่ยืนยันว่าไม่อยากไปเบียดแย่งแถมไม่สนใจด้วยว่าจะดีจะร้ายทำให้เธอต้องยอมยืนรอ
“ชายหาด” นั่นคือจุดเริ่มต้นของพวกเธอ
มิร่าเจนมองหน้าหาดจากหน้าเกาะกับจุดที่ควันไฟลอยสูง
ดูเป็นระยะทางที่ไกลไม่น้อยเลยทีเดียว
“เอาล่ะ
ทุกคนได้สถานที่ของตัวเองกันแล้วใช่ไหม”
“ครับ//ค่ะ”
“ถ้างั้นเราจะเริ่มทยอยส่งทุกคน
และขอบอกอะไรไว้ก่อน...”มาสเตอร์จงใจเว้นระยะ
ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าขี้เล่นให้หายไป
“ถ้าคิดจะดูถูกการทดสอบนี้
คิดว่ามันเป็นแค่การเอาตัวรอดล่ะก็
ก็รู้ตัวไว้เลยว่าพวกนายไม่มีทางได้เป็นจอมเวทย์ระดับเอสแน่ เพราะการสอบครั้งนี้
ฉันจะให้เหลือรอดเพียงแค่สามคู่เท่านั้น”
“แค่สามคู่งั้นเหรอ?!!” ทุกคนต่างตระหนกตกใจ จากที่ทุกคนต่างสบายอกสบายใจต้องหน้าถอดสีกันทันที
ไม่เว้นแม้กระทั่งมิร่าเจนที่ยังตกใจไปด้วย
แค่การเอาตัวรอดสำหรับจอมเวทย์ที่ออกภารกิจบ่อยครั้งมันก็ไม่น่าจะมีอะไรน่ากลัวขนาดที่จะสามารถคัดทั้งหมดจากแปดคู่ให้เหลือสามได้เลยนี่นา?!
“แล้วกติการอบที่สองล่ะ?” ท่ามกลางผู้คนที่ต่างตื่นกลัวกับคำพูดของมาสเตอร์
ลัคซัสกลับเป็นคนเดียวที่แสดงท่าทางนิ่งเฉย แถมยังถามถึงกติกาอื่นๆในรอบสอง
จะว่าไปมาสเตอร์พูดว่ารอบแรก
นั่นก็แปลว่าจะต้องมีการทดสอบรอบอื่นๆด้วย!?
มาคาลอฟสบตากับลัคซัส เฉดสีฟ้าในดวงตาของหลานชายไม่มีความหวาดกลัวเลยสักนิด
แต่ในเวลาเดียวกันมันก็ไม่ได้แสดงถึงความเย่อหยิ่งโอหัง
กลับกันเต็มไปด้วยระมัดระวังและห่างไกลคำว่าประมาทโดยสิ้นเชิง
มาคาลอฟยิ้ม “ถ้าอยากจะรู้กติกาในรอบสอง ก็ผ่านมาฟังให้ได้แล้วกัน”
“หึ” ลัคซัสที่ได้ยินคำตอบก็หัวเราะออกมาทันที
สมกับที่เป็นปู่ เขาละสายตาจากปู่ไปยังเกาะเทนโรวที่ใกล้เข้ามาทุกที
“ในฐานะมาสเตอร์ฉันขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมและโชคดี!!”
ทันทีที่เหยียบลงบนหาดทรายสีขาวนุ่มละเอียด
ความรู้สึกต่อมาที่ตามมาคือพลังเวทย์มหาศาลจากพื้นดิน
กระทั่งมิร่าเจนเองยังสัมผัสได้
“นี่มันเกาะอะไรกันแน่”
“เกาะศักดิ์สิทธิ์ของกิลด์เรา” ลัคซัสให้คำตอบการพึมพำของเธออย่างง่ายดาย
“พลังเวทย์มหาศาลขนาดนี้เลยงั้นเหรอ”
แม้จากภายนอกจะดูเป็นแค่เกาะร้างกลางทะเลที่อุดมสมบูรณ์แต่มีรูปร่างประหลาดก็ตาม
ใครจะไปรู้ว่ามันเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ของแฟรี่เทล
ว่าแต่...
“ทำไมมันถึงเรียกว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์
แค่เพราะมันมีพลังเวทย์มหาศาลงั้นเหรอ?”
“นั่นก็เพราะ...”
หวี้ดดดดด ตู้ม!
เสียงพลุถูกยิงขึ้นแทรกคำพูดของลัคซัส สีเขียวของมันแตกกระจายเป็นดอกไม้กว้าง สัญญาณของการเริ่มการแข่งขันทำให้ลัคซัสเร่งฝีเท้าออกเดินโดยไม่ได้อธิบายต่อ มิร่าเจนจึงทำได้แต่เพียงวิ่งตามอีกฝ่ายออกไป
จากกลิ่นทะเลค่อยๆเปลี่ยนเป็นกลิ่นของป่ารกทึ้บกับทางเดินแข็งกระด้าง จากที่เคยเร่งฝีเท้ากลายเป็นการก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อนแทน แต่ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็แทบจะไม่เห็นความต่างเลยสักนิด ควันไฟก็ยังลอยสูงให้เห็น และพวกเธอก็มุ่งหน้าไปตามทาง แต่ไม่เห็นจะมีวี่แววว่ามันจะใกล้ขึ้นหรือยังไง
“นี่จะต้องเดินไปถึงไหนกันเนี่ย” มิร่าเจนเริ่มหัวเสีย กอดอกเดินลงส้นเท้าปึงปัง
ไม่เห็นมีอะไรที่จะทดสอบความแข็งแกร่งสักนิด เธอคิดว่าการทดสอบจอมเวทย์ระดับเอสก็คือการจับคนเก่งๆมาซัดกันจนตายไปข้าง
ใครที่สามารถเอาชนะยืนอยู่ได้คนสุดท้ายเป็นคนสุดท้ายก็จะได้เป็นระดับเอสซะอีก
อีกอย่างที่ชวนให้หงุดหงิด
ก็น่าจะเป็นเพราะคู่หูที่ไม่ยอมพูดจาของเธอเอง
“นายไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ!”
มิร่าเจนหมดความอดทนจนต้องหันกลับมาหาที่ระบาย ก่อนที่ดวงตากลมโตจะกระพริบปริบๆ
เมื่อพบความว่างเปล่าแทนที่ร่างสูงของคนหน้ามึน
“ลัคซัส”
มิร่าเจนเรียกชื่อซ้ำ ก่อนจะเดินย้อนกลับไปในทางเดิน
สาดส่องสายตามองหาคนที่ดูเหมือนจะผลัดหลงกันซะได้
“ให้ตายสิ”
มิร่าเจนถอนหายใจ เธอมองซ้ายขวา บรรยากาศของป่าดูน่ากลัวขึ้นแปลกๆเมื่อเธอรู้ตัวว่าอยู่คนเดียว
มิร่าเจนไม่รอช้าที่จะเดินย้อนกลับไปเพื่อตามหาคนที่กล้าทิ้งเธอไว้แบบนี้
“ลัคซัส!
ลัคซัสได้ยินฉันไหม! เฮ้! ลัคซัส!!”
ยิ่งตะโกนเรียกเท่าไหร่
แต่เสียงที่ได้ตอบกลับมามีเพียงเสียงสะท้อนของตัวเอง มิร่าเจนเริ่มหวั่นใจ
บางทีอาจเกิดอะไรขึ้นกับลัคซัส
คิดได้แบบนั้นมือที่ทั้งสองข้างก็บีบตัวเข้าหากันด้วยความเจ็บใจ
ทั้งที่เขาอุส่ายอมไว้ใจให้เรามาเป็นคู่หูแท้...
“ลัคซัส!!”
ความคิดเหล่านั้นทำให้เธอยิ่งร้อนใจ ส้นรองเท้ากระแทกกับพื้นหินกระด้างจนปวด
มิร่าเจนตัดสินใจถอดมันทิ้งแล้วออกวิ่งได้อย่างถนัด เธอสาดส่องสายตามองไปรอบๆ
ปากก็ป้องตะโกนเรียกชื่อของคนที่หายไป
“อยู่ที่ไหนน่ะ ลัคซัส!” มิร่าเจนตะโกนเสียงดังก้อง มือจับหัวเข่าทั้งสองข้างพลางหอบอยู่เบาๆ
เธอวิ่งมาไกล แต่ถึงงั้นก็ยังไม่ถึงหาดทรายที่เริ่มต้นสักที
ตอนนั้นเองที่เธอเหลือบเห็นบ้านไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
ควันจางๆจากปล่องไฟบ่งบอกมีใครอยู่ข้างใน
บางทีอาจจะเป็นลัคซัสที่เธอตามหาอยู่ก็ได้?!
มิร่าเจนไม่ปล่อยให้ความสงสัยทำงานอยู่นาน
เธอไม่รอช้าที่จะตรงเข้าไปที่บ้านหลังนั้น
มิร่าเจนเปิดประตูออกโดยไม่คิดจะเคาะด้วยซ้ำ
เธอเข้ามาในบ้านที่เงียบสนิทไร้วี่แววของผู้คน
คิ้วเรียวเลิกสูงอย่างแปลกใจเมื่อพบว่ากองไฟที่เตาผิงไม่มีแม้กระทั่งเศษไม้จะให้จุดเลยด้วยซ้ำ
เมื่อกี้ตาฟาดงั้นเหรอ?
“หือ?” ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างมืดลงจนน่าสงสัย
มิร่าเจนรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ
เธอตั้งท่าให้พร้อมรับกับการโจมตีใดๆก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ปีศาจ!!”
มิร่าเจนตัวชาวาบราวกับถูกสาดน้ำเย็นจัด
เสียงแห่งความเกลียดชังที่ตะโกนกึกก้องดังมาจากด้านหลัง
ก่อนที่ดวงตาสีฟ้าจะเบิกกว้างแล้วถูกย้อมไปด้วยแสงสะท้อนสีเพลิงของไฟที่โหมล้อมของชาวบ้านที่แออัดกันอยู่ที่นอกบ้าน
“มะ มะ ไม่...” มิร่าเจนเสียงสั่นคลอน ความหวาดกลัวก่อตัวขึ้น
จนเหมือนโซ่ที่ตรึงให้ร่างนี้เกร็งแน่น
“ปีศาจ!!
ฆ่ามัน!! เหลือแค่พี่ของมันคนเดียวเท่านั้น!!!”
“เหลือแค่ฉัน.. หมะ
หมายความว่ายังไง...” มิร่าเจนสับสน
แต่แล้วดวงตาเบิกกว้างก็ซีดลง แข้งขาของเธออ่อนยวบไร้น้ำหนัก เมื่อภาพที่ชาวบ้านต่างแหวกออกให้เธอได้เห็นนั้นทำให้หัวใจเธอหยุดเต้น
ร่างเปื้อนเลือดของเด็กชายและเด็กหญิงที่เธอรู้จักดี
น้องๆของเธอตามร่างกายมีบาดแผลและร่องรอยการถูกทำร้ายมากมาย
มิร่าเจนทรุดตัวลงกับพื้นก่อนจะต้องสะดุ้งโหยงเมื่อความร้อนค่อยๆระอุขึ้นอยู่รอบตัว
“กรี๊ด!!”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เพลิงไฟลุกโหมไหม้บ้านหลังนี้ มิร่าเจนสับสน
ร่างกายของเธอหวาดสั่นเต็มไปด้วยความกลัว
“ปีศาจ!
ปีศาจ!! ฆ่ามัน ต้องฆ่ามัน”
“ฆ่านังปีศาจนั่น ฆ่ามันซะ
ก่อนที่มันจะฆ่าเรา”
“ไม่ ไม่นะ ไม่ ไม่...” น้ำตาเอ่อล้นออกมาจนไหลอาบ มิร่าเจนไร้ทางหนี หัวใจของเธอถูกจับกุมไปด้วยความหวาดกลัวจนสุดขั้วหัวใจ
เธอร้องไห้ไปพร้อมกับการพึมพำคำเดิมเหมือนสะกดจิตตัวเอง
มือทั้งสองยกปิดหูหวังจะปกปิดเสียงที่ได้ยิน แต่มันกลับยิ่งดังกึกก้องยิ่งขึ้น
เพราะแท้จริงแล้วเสียงเหล่านั้นดังหลอกหลอนอยู่ภายในจิตใจเธอเสมอมา...
“หยุด... พอสักที...”
“ปีศาจ!!”
โครมม!!
ท่อนไม้ของจากส่วนบนของบ้านล่วงลงมาตรงหน้า
ประตูไม้ที่พุพังถูกพังด้วยเสียมจอบของชาวบ้าน
“ปีศาจ!
มันอยู่ตรงนั้น ฆ่ามันเร็ว!!” มิร่าเจนตัวกระตุกสั่น
ดวงตาฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตามากมาย ความหวาดกลัวตัวตายทำให้เธอถอยหนีจนหลังชิดติดกับกำแพง
“ไม่ อย่านะ..”
“ปีศาจ!”
ยิ่งพูดเหมือนยิ่งผู้คนเหล่านั้นยิ่งเข้ามาใกล้มากขึ้น
มิร่าเจนรู้สึกเหมือนกำแพงถูกกระชับเข้าไป
ราวกับต้องการยื่นส่งเธอให้กับยมทูตตรงหน้า
“ช่วยด้วย เอลฟ์แมน ฮึก...
ลิซานน่า... ฮึ่ก... ช่วยด้วย” มิร่าเจนอ้อนวอนขอร้อง
เธอรู้สึกเหมือนแตกสลายเมื่อคำขอนั้นไม่ได้ผลเลยสักนิด ยมทูตยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
สีหน้ารังเกลียดและสายตาที่โกรธชัง เธอไม่ได้ตั้งใจ เธอไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไม...
ทำไมถึงต้องเป็นปีศาจ... ไม่ ฉันไม่ได้ต้องการมันสักหน่อย ได้โปรด
อย่าเกลียดฉันเลย...
มือหนึ่งถูกยื่นมาเชื่องช้า
แม้รู้ดีแก่ใจว่าไร้ทางแต่มิร่าเจนก็พยายามจะถอยหนีจากมัน
สองมือของคนๆนั้นยื่นตรงมาที่ลำคอของเธอ หวังจะบีบรัดให้หักคามือ
มิร่าเจนหลับตาแน่น น้ำตาไหลออกมาเหมือนเป็นครั้งสุดท้าย
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!”
เสียงกรีดร้องจนสุดเสียง
มิร่าเจนรู้ว่าความตายมาเยือนแล้ว หากแต่มันน่าแปลกที่ความตายกลับไปทรมานอย่างที่คิด
มันเพียงแค่ทำให้รู้สึกชื้นแฉะและมีเพียงความเย็นบาดผิวเท่านั้น
มิร่าเจนค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า
นั่นทำให้เธอพอจะเห็นเคล้ารางๆถึงฝนที่ตกลงมา เธอตัดสินใจลืมตาขึ้นจนเต็ม
และภาพที่ชัดเจนตรงหน้าก็ทำให้เธอชาวาบอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?” คำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงหา สัมผัสมือที่ลาดไหล่นั้นอบอุ่น
ใบหน้าที่แสดงออกถึงความกังวล
และดวงตาสีเดียวกันที่สะท้อนภาพที่หวาดสั่นกลัวของตัวเธอเอง
“มิร่าเจน ไม่เป็นอะไรใช่ไห—”
คำถามถูกแทนที่ด้วยการสวมกอดอย่างแน่นหนาจากร่างบอบบาง
มิร่าเจนกอดรัดร่างหนานาบแน่น
ฝังตัวลงไปกับอีกฝ่ายราวกับหวาดกลัวกับการสูญเสียสัมผัสและคนตรงหน้านี้
ลัคซัสนิ่งชะงักกับปฎิกิริยาของมิร่าเจน
แต่เขาก็ไม่ได้ต่อว่าหรือคิดที่จะถามไถ่
ลัคซัสเพียงกอดตอบใช้มือลูบหัวของเธอเบาๆแทนคำปลอบโยนที่เขาเคยเรียนรู้มาจากแม่
“ฉันอยู่ตรงนี้”
ในถ้ำเย็นเฉียบหากไม่ได้แสงไฟอุ่นๆจากกองไฟนี้
มิร่าเจนห่อตัวเองไว้ใต้เสื้อคลุมของคนที่กำลังนวดมือให้กับเธออยู่ตอนนี้
มิร่าเจนมองลัคซัสที่เธอไม่รู้จัก
การนวดที่อ่อนนุ่มเพื่อคลายอาการเกร็งจัดของเธอ เขาที่ดูตั้งใจกับเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้
ทำให้มิร่าเจนรู้สึกใจเต้นแปลกๆ
ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาซะเลย...
“ขะ ขอบใจนะ”
มิร่าเจนชักมีกลับ ถ้าเป็นปกติเธอคงกระชากไปแล้ว
แต่เมื่อสักครู่นี้เธอเพียงละออกจากมันมาเบาๆ
เบาชนิดที่ถ้าหากอีกฝ่ายรั้งไว้มันก็คงไม่หลุดแน่ๆ ไม่มีคำพูดระหว่างกันทำให้บรรยากาศดูน่าอึดอัด
“นะ นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่ไหน”
“เพราะฉันเกือบจะติดกับดัก”
“กับดับ?” มิร่าเจนทวนคำพูด ลัคซัสขยับตัวนั่งลงตรงข้ามเธอก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“คิดว่าคงเป็นภาพลวงตาของมิสกัน
เกาะนี้เต็มไปด้วยพลังเวทย์การแยกพลังเวทย์ออกจากกันนั้นเป็นเรื่องยากพอตัว
พอฉันจับทิศทางได้เลยหลีกเลี่ยงมัน แต่...” ลัคซัสลดสายตาลงจดจ้องกองไฟแล้วจมลงอยู่ในความคิดของตัวเอง
“ลัคซัส...” มิร่าเจนเรียกชื่อของอีกฝ่ายเบาๆ
เธอรู้สึกไม่ดีเลยที่สีหน้าของเขาเหมือนกำลังรู้สึกผิดแบบนี้
“เธอรู้หรือเปล่าว่าทำไมการทดสอบถึงให้เลือกคู่หูมาด้วย”
มิร่าเจนตอบคำถามด้วยการส่ายหน้า
“เพราะต้องการวัดการเข้ากันได้ในการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น”
คำตอบของลัคซัสทำให้มิร่าเจนฉุดคิด แค่ความแข็งแกร่งไม่ได้ทำให้เป็นจอมเวทย์ระดับเอส
การทำงานร่วมกับคนอื่นให้ได้ก็คือส่วนที่สำคัญ
ถ้าอย่างนั้นในการสอบครั้งนี้เธอก็เป็นตัวถ่วง
มิร่าเจนจิกเล็บลงกับแขนของตัวเอง
“ขอโทษนะ”
“เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษ” ลัคซัสสวนกลับเสียงแข็ง
ทำให้มิร่าเจนคิดว่าลัคซัสคงโกรธจนไม่อาจยอมรับคำขอโทษจากเธอได้ ก็แหงล่ะ
นี่คือการสอบที่ลัคซัสควรจะผ่านไปได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเลือกเธอมาเป็นคู่หูด้วยความงอแงของตัวเธอเอง
บางทีลัคซัสอาจจะผ่านมันไปแล้วก็ได้....
หัวใจของเธอปวดหนึบเหมือนถูกบีบด้วยความสมเพชของตัวเอง
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอ มิร่าเจน” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเงยสบเข้ากับสีฟ้าของลัคซัสที่จ้องอยู่ก่อน
“ฉันเองก็มีส่วนที่พลาดอยู่
การทำงานเข้ากันไม่ใช่แค่ทำงานด้วยกันได้ แต่มันหมายถึงการเข้าใจถึงคู่หูของเรา
ไม่ใช่ว่าใครทำไม่ได้ก็คือถ่วง มันคือการทำงานและช่วยเหลือกัน เราไว้ใจกัน
และฝากหลังของกันและกันไว้ได้” มิร่าเจนสารภาพอย่างไม่เขินอาย
เธอไม่อาจละสายตาจากลัคซัสได้เลยจริงๆ
“ที่แฟรี่เทลทุกคนคือครอบครัว
ที่นี่ไม่มีใครที่ทิ้งครอบครัวของตัวเองได้หรอกน่า” ลัคซัสกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มที่เหมือนสักลงภายในหัวใจของเธอ
มิร่าเจนรู้สึกอบอุ่นขึ้นได้แม้จะอยู่ในความชื้นแฉะของสายฝน
น้ำตาของเธอไหลรื้นคลออยู่เต็มหน่วยจนภาพรอยยิ้มของอีกฝ่ายดูเบลอไปแล้ว
หากแต่ความรู้สึกที่หัวใจพองโตนี้ยังคงชัดเจน
ตั้งแต่วันนั้น...
มิร่าเจนหวนระลึกถึงในวันที่เธอตัดสินใจจะจากไปพร้อมกับตัวตนที่แสนอ่อนแอและสับสน
วันที่เธอชนเข้ากับเขา วันที่เฉดสีฟ้าของเขาตรึงเธอไว้ วันที่เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงหัวใจไม่ก็วิญญาณออกไปจากร่างด้วยตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของเขา
ลัคซัสในวันนี้ก็ยังคงเหมือนวันแรกที่พบกัน
ยังเป็นความชัดเจนในเวลาที่เธอสับสน
เป็นความอบอุ่นในตอนที่เธอรู้สึกแตกหักรวดร้าว
เป็น
‘ครอบครัว’
ที่ยอมรับในตัวของเธอ
“ฮึก...” มิร่าเจนสะอื้นออกมา
ไม่อาจหยุดยั้งน้ำตาที่ไหลออกมาได้ สองมือปาดเช็ดมันออก เธอไม่ได้อยากร้องไห้
เพราะเธอไม่ได้เศร้าเสียใจเลยสักนิด
ไม่เลยสักนิดที่จะต้องรู้สึกเสียใจ
“ดีใจ ฮึก..
ดีใจจริงๆที่ได้มาอยู่ที่แฟรี่เทล ฮึก....”
ลัคซัสมองเด็กสาวที่ร้องไห้ไปพร้อมกับรอยยิ้มแสนดีที่ดูขัดกัน
เขามองมันด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มแสนเอ็นดู เขายังจำได้ในวันที่เธอตรงหน้าเลือกจะจากไป
ทิ้งโลกภายนอกไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง ด้วยตัวตนที่แสนอ่อนแอไร้กำลัง เขาขอบคุณความรู้สึกในวันนั้นที่ทำให้เขาได้ช่วยเธอไว้ให้อยู่ที่นี่
ที่แฟรี่เทลแห่งนี้....
มาแล้วจ้า! HEART&SOUlบทที่สามแบบเต็มๆ
ในที่สุดก็ได้มาต่อสักที เพิ่งได้พักจากกิจกรรม
ได้กลับบ้านเลยถือโอกาสรีบเขียนรีบอัพ
ถ้าเรื่องเร่งรีบหรือกระชับเกินไปต้องขออภัยนะคะ
ตอนนี้ตอนแรกจะไม่หวานขนาดนี้ ไปๆมาๆไหงออกมาหวานจังงง
เอาเถอะ รีบใส่ ก่อนจะไม่ได้ใส่ เนอะๆ 5555555555
ส่วนรูปประกอบรูปอาจไม่เข้ากันกับเนื้อเรื่อง
แต่เราชอบในคำที่โปรยในรูป
ที่เล่นควายหมายคำว่า mean
ที่แปลได้สองอย่างคือ "ใจร้าย" กับ "มีความหมาย"
ตามภาพนั้นเขียนว่า
Why are you so mean ?
Don't you know how much you mean to me
(ทำไมได้ถึงใจร้ายกับฉันนักล่ะ?
เธอไม่รู้หรอว่าเธอมีควาหมายกับฉันแค่ไหน)
เราว่ามันเหมาะกับครึ่งแรกของพาร์ทนี้มากเลย
ปกติคำโปรยแต่ละตอนจะเป็นเมนหลักอารมณ์ในตอนนั้นๆ
เพราะมันยังมีครึ่งหลังอีก ซึ่งจะตรงกับคำโปรยตอนกว่านี้ค่ะ
ติชม คำผิด กรี๊ดกร๊าด ตามสบายเลย
ฝากคอมเม้นให้เป็นกำลังใจด้วยนะคะ
#ด้วยรักและมิร่าซัส ♥
ความคิดเห็น