ดอกเหมยห่อไฟ + E-book พร้อมโหลด
ตอนที่ 5 : ตอนที่ 1 มีแค่เราสองคน [อัป 85%]
ตอนที่ 1 มีแค่เราสองคน (ต่อ)
ร้านอาหารที่ญาณินเลือกเป็นหนึ่งในสองร้านที่อยู่ระหว่างมอลล์และโรงแรมเวียงรวี เป็นร้านอาหารไทย อาหารรสชาติดีและมีชื่ออยู่ไม่น้อย เคยเห็นออกรายการโทรทัศน์อยู่หลายครั้ง โดยเจ้าของเป็นหญิงชราวัยกว่าเจ็ดสิบปีที่ยังดูแลการปรุงอาหารในครัวด้วยตัวเอง ถ้ามีเวลาก็มักออกมาพูดคุยกับลูกค้าด้วย และที่สำคัญร้านนี้มีเก้าอี้สำหรับแตงหวาน รวมถึงบ้านเด็กเล่นที่แตงหวานโปรดปรานนัก
ญาณินมองคนที่วิ่งผ่านประตูรั้วจำลองพลาสติกสีส้มสดที่ล้อมรอบบ้านเด็กเล่นออกมา ซึ่งมีพนักงานของร้านคอยดูแลกลุ่มหนูน้อยในนั้นอยู่ และเธอก็เลือกโต๊ะรับประทานอาหารที่สามารถมองเห็นแตงหวานได้ตลอดเวลา จึงวางใจปล่อยให้หนูน้อยเล่นลูกโป่งอยู่ด้านใน เพราะอยากทดแทนลูกโป่งตรงโถงมอลล์ที่เจ้าตัวร่ำร้องอยากได้เมื่อครู่ใหญ่
คนตัวจ้อยวิ่งปรู๊ดเดียวก็มาถึง เกาะขอบโต๊ะเขย่งเท้ามองอาหารแล้วบอกรัวเร็ว
“น้าอ่อน กิน...แตงหวานกินข้าว”
“ไหนเมื่อกี้แตงหวานบอกน้าอ่อนว่าอิ่มแล้วไงคะ”
ญาณินกระเซ้า ขณะช่วยคนหิวข้าวปีนป่ายขึ้นมานั่งบนเก้าอี้เด็กที่ทางร้านมีพร้อมให้บริการ ปกติแล้วญาณินจะฝึกวินัยเรื่องการกินอยู่ให้แตงหวาน เมื่อสักครู่ก็ให้หนูน้อยกินอิ่มก่อนไปเล่น และเมื่อหมี่ผัดผักกระเฉดที่เจ้าตัวชอบหนักหนาซึ่งปรับรสชาติอ่อนลงเพื่อให้เด็กกินได้มาถึง แตงหวานก็รีบป้อนใส่ปาก แต่กินได้ไม่กี่คำ อาหารพร่องไม่ถึงครึ่งจาน คนอยากเล่นก็รีบวางช้อนลงแล้วขอน้ำดื่ม ก่อนจะปีนลงจากเก้าอี้ เร่งเร้าให้เธอพาไปเล่นในบ้านเด็กที่หมายตาอยู่
แตงหวานตักรับประทานอาหารเองได้ แต่ด้วยวัยที่ยังเด็กนัก จึงหนีไม่พ้นที่จะทำอาหารหกและเลอะ ถ้าเป็นที่บ้านเธอก็ปล่อยให้กินจนอิ่ม แล้วค่อยทำความสะอาดตามทีหลัง แต่พอเป็นร้านอาหารข้างนอก การจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นก็คงไม่ได้ จึงต้องช่วยดูแลหนูน้อยขณะตักป้อนอาหารให้เป็นไปด้วยดี
คราวนี้แตงหวานกินจนหมดจาน แถมยังขอจากจานของเธออีก ใช้เวลานานทีเดียว เจ้าตัวจึงวางมือ ไม่สนใจอาหารบนโต๊ะ ไม่หันมองอีก เป็นสัญญาณว่ากินจนอิ่มแปล้แล้วละ
ญาณินชำระค่าอาหารมื้อนั้นเสร็จก็พาหลานสาวออกจากร้าน ตรงไปเข้าห้องน้ำด้านนอกเพื่อล้างหน้าล้างตาให้หนูน้อย แต่พอเสร็จก็ไม่ยอมขยับตัวไปไหน ทำท่าคอพับคออ่อนแล้วทิ้งตัวพิงซบกับต้นขาของเธอ
“ง่วงแล้วใช่ไหม ตาปรือเชียว เรานี่น้า พอท้องอิ่มหนังตาก็หย่อน”
หญิงสาวอดขำหลานสาวตัวดีออกมาไม่ได้ ขณะจัดการตัวเองไปอย่างทุลักทุเลโดยมีคนตัวจ้อยเกาะติดขาอยู่ เสร็จแล้วก็ช้อนอุ้มขึ้น เธอไม่เสี่ยงที่จะให้แตงหวานเดินออกไปในสภาพสะลึมสะลือแบบนี้ ยิ่งตอนนี้เป็นเวลากว่าหกโมงเย็น แสดงว่าเธอและแตงหวานใช้เวลาอยู่ในมอลล์นานพอสมควร แถมแตงหวานยังเล่นซน ปล่อยพลังกันเต็มที่ในบ้านเด็ก จึงไม่แปลกที่เจ้าตัวจะมีสภาพอย่างที่เห็น
ป้ายรถสองแถวที่จะโดยสารกลับบ้านพักตั้งอยู่ทางด้านหน้ามอลล์ ญาณินจึงต้องเดินกลับทางเดิม ตอนนี้ผู้คนคงหนาตากว่าเมื่อช่วงบ่ายที่เข้ามา การอุ้มแตงหวานพาดบ่าไว้จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแน่นอน
การอุ้มเด็กน้อยวัยสองขวบเศษ พร้อมสะพายกระเป๋าส่วนตัว แล้วยังต้องหอบหิ้วเป้สัมภาระของเด็กน้อยกับถุงชอปปิงอีกใบ ในระยะทางเดินสั้นๆ แค่จากมอลล์ไปถึงป้ายรถสองแถวไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถ...แต่ไม่ใช่กับสภาพผู้คนหนาตาเช่นตอนนี้
“โอ๊ย! แย่จริง ตอนซื้อของน้าอ่อนก็ได้ยินเขาพูดว่าจะมีแฟชั่นโชว์ตอนค่ำ เราน่าจะรีบออกมาก่อน มัวแต่กินเพลินจนเลยเวลา นี่จะผ่ากลางงานออกไปยังไง”
ญาณินบ่นพึมพำกับหลานสาวที่หลับฟุบบนบ่า พร้อมกันนั้นก็พยายามซอกแซกเดินผ่านผู้คนที่จับกลุ่มยืนออมองไปทางหน้าเวที
เสียงจอแจมาพร้อมกับกลุ่มคนที่ดูหนาตาเกินกว่าที่คิด เดาไม่ยากว่าแฟชั่นชุดนี้นอกจากแบรนด์เสื้อผ้าที่น่าสนใจ ก็คงมีนางแบบนายแบบคนดัง หรือไม่ก็ศิลปินดารามีชื่อขึ้นโชว์ถึงจูงใจผู้คนได้ขนาดนี้ จะว่าไปโปสเตอร์หน้ามอลล์ก็มีติดอยู่ ญาณินเพิ่งนึกออกว่าตอนเข้ามาก็เห็นอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้อ่านจึงไม่รู้รายละเอียด เพราะไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความสนใจ...อย่างน้อยก็ช่วงจังหวะชีวิตตอนนี้
0 ความคิดเห็น