ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ซาตานที่รัก (ชื่อเดิม-คุณซาตานสุดที่รัก)

    ลำดับตอนที่ #3 : ซินเดอเรลล่าผู้อาภัพ 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 222
      1
      24 ก.ค. 54

    ตอนที่ 2

    ซินเดอเรลล่าผู้อาภัพ

     “ถ้าให้หนูพูดตามความรู้สึกของผู้หญิงนะ คิดว่าตอนนี้พี่อุ้มไม่น่าจะกลับไปที่ห้องแน่นอนคงต้องรอสักพักหรือไม่ก็สักตอนค่ำๆ ไปเลยค่ะ” แก้วพูดอย่างมั่นใจ จอมพยักหน้าเห็นด้วย “ผมว่าคนกำลังตกใจน่าจะเตลิดไปไหนไม่ไกลหรอกครับเพียงแต่ตอนนี้เราไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง”

    “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปเติมแรง ไประดมความคิดกันก่อนดีกว่า”

    พูดจบพายุใช้มือตบเกียร์เหยียบคันเร่งให้รถทะยานไปถนนข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

    แก้วซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะด้านหน้าเอี้ยวตัวไปมองจอมด่นหลังแล้วย่นคิ้วเข้าหากัน

    เป็นอะไรไปอ่ะจอม?
          จอมกำลังนั่งตัวลีบ กะพริบตาปริบๆ ออกอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด พายุเหลือบตามองผ่านกระจกมองหลังเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

    “เป็นอะไรไปครับน้องจอมทำไมนั่งตัวเกร็งแบบนั้นล่ะเบาะหลังรถออกจะกว้างจะนอนลงไปทั้งตัวเลยพี่ก็ไม่ว่าหรอก เพิ่งออกกะกลางคืนมาไม่ง่วงหรือครับ” พูดกลั้วหัวเราะ “พี่ไม่จับตัวไปขายหรอกน่า”

    “เอ่อ...ผมเกรงใจและก็ไม่กล้าหรอกครับ” เด็กหนุ่มพูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวก้มมองสำรวจตัวเองที่เนื้อตัวมอมแมมด้วยเข้ากะที่ปั๊มมาทั้งคืน “ทุกอย่างมันหรูเกินไปสำหรับคนฐานะต่ำต้อยแบบผม กลัวว่าจะไปทำให้มันเป็นรอยเปื้อนสกปรก”

     ผิดกับคนถามที่หัวเราะด้วยน้ำเสียงสดใส

    “โธ่เอ้ย! พี่ก็นึกว่าเราเป็นอะไร”

    พายุส่ายหน้า 
          “คิดมากไประวังจะปวดหัวนะหนุ่มน้อย ถ้าเบาะมันเปื้อนเราก็เช็ดสิเดี๋ยวก็เหมือนเดิมแล้วง่ายจะตาย รถมันก็เป็นแค่เพียงปัจจัยที่ห้า คนเขาซื้อมาเพื่อใช้เป็นพาหนะในการเดินทางพาเราไปยังที่ต่างๆ เท่านั้น มันไม่ใช่ตัวที่จะมาใช้วัดระดับฐานะของคนเราว่าคนนี้รวยหรือไม่รวย ดีหรือไม่ดีเราซื้อมาก็ต้องใช้สิ ถ้ามามัวเกรงใจว่ากลัวเบาะมันจะเปื้อนคราวหน้าคงต้องหาผ้ามาคลุมแล้วล่ะ ขับไปก็ระแวงไปเป็นโรคประสาทตายกันพอดี”

    จอมเริ่มยิ้มออก
          พายุรู้สึกถูกชะตากับเด็กนิสัยดีสองคนนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพียงเด็กปั๊มเขาจากที่เขาสัมผัสได้แก้วและจอมยังนิสัยดีกว่าพวกคนรวยมีเงินที่อยู่ในสังคมของเขาเสียอีก เงินก็เป็นเพียงตัวบอกฐานะแต่ไม่อาจจะวัดคุณธรรมของคนดีๆ ได้เลย

    “พี่คิดว่าการเกรงใจคนเป็นสิ่งที่ดีมาก เด็กควรจะให้การเคารพผู้ใหญ่เพราะอาวุโสกว่าจอมทำถูกต้องแล้วเมื่อเด็กทำในสิ่งที่ดีผู้ใหญ่ก็ควรที่จะเกรงใจเด็กด้วยเหมือนกันไม่ใช่สัก มันเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกันสังคมเราก็จะน่าอยู่ซึ่งในสมัยนี้หาได้น้อยมากนะ”

    “อย่างยัยเจ๊เจ้าของร้านกาแฟถึงจะขับรถใหม่ป้ายแดงแต่ปากจัดแถมยังมีนิสัยชอบดูถูกคน เราจัดว่าเป็นคนไม่น่านับถือและไม่น่าเกรงใจใช่ไหมจ้ะ”

    แก้วเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความคันปากเต็มทน

    “อันนั้นพี่ให้แก้วลองคิดเองดูก่อน” หนุ่มรุ่นพี่ถามกลับ “คิดว่าเป็นยังไงครับ”

    แก้วตอบทันที “ไม่คนดีค่ะ เขาด่าเราโดยใช้อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่เหมารวมว่าสิ่งที่เห็นจะต้องเป็นอย่างที่เขาคิดซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้”

    พายุพยักหน้า
          “การที่เรายังไม่รู้จักคนๆ นั้นหรือเห็นบางสิ่งที่ไม่ชอบใจก็ไม่ควรจะไปตัดสินจากเพียงแค่เห็นครั้งแรกแล้วไปกล่าวหาว่าเสียๆ หายๆ ทั้งที่ยังไม่หาข้อมูลเสียก่อนว่าเป็นจริงอย่างที่เห็นหรือเปล่า” พูดเสริม “มันเป็นกรรมด้วยนะเพราะมันจะทำให้เกิดวจีกรรมและมโนกรรมแต่พี่ก็เกือบจะทำกายกรรมโดยการชกปากยัยเจ๊นั่นแต่ก็ยอมล่ะเหลืออดเต็มทน” กลั้วหัวเราะสดใส “แต่อย่าทำตามเพราะมันไม่ดีหรอก”

    “วจีกรรม มโนกรรม กายกรรมคืออะไรงงจังครับ” จอมอยากรู้

    “จำง่ายๆ เลยจะได้ไม่เผลอทำ วจีกรรมคือการกระทำด้วยการพูดเช่น พูดวาจาส่อเสียด ด่าคน มโนกรรมคือการกระทำทางความคิดเช่นคิดอกุศล คิดไม่ดีกับคนๆ นั้นอะไรแบบนี้ส่วนกายกรรมคือการกระทำทางการกระทำเช่นที่พี่จะชกยัยเจ๊นั่นไงทุกอย่างเป็นกรรมหมดเดี๋ยวนี้ผลกรรมก็เร็วแบบติดจรวดด้วยสิ”

    หนุ่มรุ่นพี่อธิบายให้ฟังเข้าใจง่ายๆ ก่อนจะยุติการสนทนาด้วยการหันไปขับรถต่อปล่อยให้เด็กสองคนประมวลพฤติกรรมของตัวเองว่าตัวเองเคยทำผิดข้อไหนมาบ้าง

    “นึกแล้ว...พี่อุ้มก็เป็นเหมือนซินเดอเรลล่าในนิทานเลยนะคะ” อยู่ๆ แก้วก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ

    พายุเลิกคิ้วข้างเดียวนิดนึงแล้วหันมาถามความหมายของประโยคนั้นด้วยความสนใจ

    “มันเป็นยังไงหรือครับ...ทำไมแก้วถึงต้องเปรียบเทียบว่าพี่อุ้มเป็นซินเดอเรลล่าด้วยล่ะ”

    “ก็ซินเดอเรลล่ากำพร้าแม่และถูกแม่เลี้ยงใจร้ายใช้งานหนัก แถมยังกีดกันไม่ให้เธอได้เข้าไปร่วมงานเต้นรำที่ปราสาทของเจ้าชายอีก แต่แล้วก็มีนางฟ้าใจดีออกมาช่วยแล้วก็ใช้เวทมนต์เสกชุดสวยสดงดงามให้ใส่และยังเสกฟักทองให้กลายเป็นรถม้าทองคำคันหรูพาเธอเดินทางไปยังงานเต้นรำที่ปราสาทของเจ้าชายไงคะ” นึกยิ้มๆ มันเป็นนิทานเรื่องที่เธอชอบมาก

    แก้วเล่าย้อนอดีตไปถึงครั้งที่เจอปานพิมพ์ครั้งแรก

    “ปีที่แล้วนี้เองพี่อุ้มมาสมัครงานที่ปั๊มแต่ได้งานที่ร้านกาแฟเพราะเปิดรับอยู่พอดี หนูช่วยพามาหาที่พักได้ก็ในชุมชนใกล้ๆ นี่แหละค่ะ เห็นห้องเช่าแล้วหนูเบ้หน้าเลย จอมมันบอกว่าห้องนี้แคบเท่าแมวดิ้นตายเลยให้ตายเถอะแต่ค่าเช่าถูกมาก...พี่อุ้มบอกขอแค่พอมีที่ซุกหัวนอนได้หลบแดดหลบฝนได้ก็พอแล้ว พวกหนูงี้อึ้งพูดไม่ออกเลยตามใจเพราะรู้ว่าได้เงินเดือนน้อย ถึงพี่อุ้มจะไม่เคยบ่นว่าตัวเองลำบากแค่ไหนแต่หนูก็รู้นะว่าความจนนี่มันทรมานดีจริงๆ”

    ด้วยเพราะแก้วเองก็เป็นคนที่มีฐานะยากจน ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวในฐานะลูกสาวคนโต ต้องจากบ้านเกิดมาทำงานในเมืองหลวงตามคำชักชวนของเพื่อนๆ ที่ล่วงหน้ามาเป็นโรบินฮูดขุดทองก่อนแล้วเพื่อหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เคยเป็น

    โชคดีที่เจอนายจ้างดี ถึงเจ๊วรรณจะแสนตระหนี่แต่ก็ยังเช่าบ้านสองชั้นซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานให้ลูกจ้างที่ทำงานในปั๊มอยู่รวมกันอย่างสบายพร้อมซื้อข้าวสารให้อีกเดือนละกระสอบใหญ่อีกด้วย เจ้าตัวพูดขำๆ ว่าจะขุนให้เด็กในปั๊มให้อ้วนๆ จะได้มีแรงขยันทำงาน เด็กในปั๊มจึงรักเจ๊วรรณและขยันขันแข็งกันทุกคน

    “พี่อุ้มไม่มีเพื่อนที่ไหน แถมยังต้องมาถูกยัยแม่มดใจร้ายกดขี่ข่มเหงใช้งานกินเวลาทุกวัน หึหึ โอทีล่วงเวลารึฝันไปเถอะไม่มีให้หรอกถ้ามีโลกคงจะเกิดกลียุคหรือไม่ก็ต้องรอน้ำท่วมหลังเป็ดก่อนแน่ๆ แทนที่จะจ้างลูกจ้างมาอีกสักคนมาสลับวันกันทำก็ไม่จ้างงกมากๆ หนูว่าเจ้านายของหนูงกแล้วนะยังใจดีกว่ายัยแม่มดใจร้ายร้อยเท่าพันเท่าเลยล่ะ”

    คนเล่าพูดอย่างฉะฉานชัดเจน ทำสีหน้าท่าทางประกอบแบบอินจัดจนคนฟังทั้งสองคนอดที่จะหัวเราะด้วยความชอบใจไม่ได้

    เด็กสาวห่อไหล่เอียงหน้ายิ้มอายๆ ด้วยเพิ่งจะรู้ตัวว่ากำลังโดนแซว

    “พอได้สตาร์ทแล้วหยุดไม่อยู่เลยนะยัยแก้ว”

    เพื่อนหนุ่มเย้า ด้วยแก้วเป็นเด็กน่ารัก ร่าเริง คุยเก่งและขยันเขาเองก็แอบชอบเธออยู่ลึกๆ แต่ไม่กล้าบอกเพราะกลัวเสียเพื่อนดีๆ ไปเหมือนกัน

    “เดี๋ยวเถอะนายจอม...อย่ามาแซวฉันนะ คดีความเมื่อเช้ามืดฉันยังไม่หายเคืองนะ ชิ!

    แก้วแกล้งพูดพร้อมสะบัดหน้าหนีกลบเกลื่อนอาการหน้าแดง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของสาวรุ่นพี่ที่เธอได้สัมผัสมาตั้งแต่ระยะที่ได้เริ่มรู้จักกันต่อเพราะเริ่มติดพันเสียแล้ว

    “อย่างคุ้มล่ะค่ะ...จ้างลูกจ้างคนเดียวเดือนละห้าพันบาททำงานสารพัดเหมือนเป็นคนใช้ เผลอๆ นะหนูว่าคนใช้ตามบ้านยุคสมัยนี้ได้เงินเดือนมากกว่าห้าพันอีกเพราะขนาดหนูทำงานเป็นกะรวมโอทีแล้วยังได้ตั้งเดือนละเจ็ดพันกว่าบาทเลยแต่ก็ส่งให้ที่บ้านสี่พันนะ แม่หนูลูกเยอะน้องๆ กำลังกินกำลังนอนแม่บอกว่าจะเก็บไว้เป็นค่าเทอมให้น้องได้เรียนหนังสือด้วย” 

    คนเล่าออกอาการกระฟัดกระเฟียด เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ เหลือบไปเห็นจอมที่ยักคิ้วยิ้มล้อเลียนเลยเปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยวใส่เพราะถ้าไม่เกรงใจเจ้าของรถอาจจะมีการปีนข้ามฟากจากเบาะหน้าไปตะลุมบอลด้านหลังรถ จึงได้แต่มองสบตาอย่างคาดโทษว่าฝากไว้ก่อน

    “เมื่อกี้อย่าว่าแต่พี่เล็กที่อยากชกหน้ามันเลย หนูเองยังอยากเข้าไปตบมันให้หน้าหัน หนูไม่เชื่อที่เขากล่าวหาหรอกเพราะหนูทำโอทีตั้งแต่ห้าโมงเย็นเพราะไม่มีอะไรทำแล้วก็เข้ากะต่อจนถึงเจ็ดโมงเช้าเจอพี่อุ้มตลอด รู้เลยว่าพี่อุ้มเป็นคนขยันขนาดไหน...คนบ้าอะไรก็ไม่รู้สงสัยจะเป็นหญิงเหล็กทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาดยังจะมีอารมณ์มายิ้มได้ด้วยแต่ก็นะนังแม่มดกับลูกของมันยัง...”

    “แก้ว!”

    จอมร้องปราม ถลึงตาใส่เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวพูดมากไปแล้วด้วยรู้ว่าเธอกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร เขาไม่อยากให้ไฟที่เริ่มมอดลงไปแล้วกลับโหมขึ้นมาใหม่

    “เราขอโทษ...”

    เห็นจอมมีท่าทีขึงขัง เด็กสาวจึงหน้าจ๋อยพูดเสียงอ่อยลง

    โดยหุบปากที่จะไม่เล่าให้พายุฟังว่า หลายครั้งที่พวกเธอเห็นปานพิมพ์โดนอดีตนายจ้างคนนี้ตบจนหน้าหันมาแล้วต่อหน้าต่อตา ด้วยเหตุผลที่ดูเหมือนจะหาเรื่อง อาทิ เพียงแค่ว่าทำแก้วกาแฟตกแตก แถมยังโดนหักค่าแรงในวันนั้นอีกด้วย สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์กับเหตุการณ์นั้นไปทั่วทั้งปั๊ม ลูกค้าที่เอ็นดูบาริสต้าสาวหลายคนเมื่อทราบข่าว จึงพร้อมใจกันสั่งแค่กาแฟและนำเงินที่เตรียมจะซื้อเค้กหรือขนมไปหย่อนกล่องใส่ทิปแทนเพราะปานพิมพ์ไม่ยอมรับเงินเปล่าๆ โดยเด็ดขาด

    สร้างความอิจฉาริษยาให้กับลินฤดีลูกสาวของกมลรัตน์เป็นอย่างมากเพราะวันที่หล่อนต้องมาทำกาแฟแทนบาริสต้าคนสวยในวันหยุดนั้นไม่มีลูกค้าประจำแวะเข้ามาซื้อกาแฟเลยสักราย อาจจะมีเพียงขาจรที่หลงเข้ามาบ้าง

    “หนูมั่นใจเกินร้อยเลยว่าคนในปั๊มไม่เชื่อที่ยัยเจ๊นั่นกล่าวหาไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตบมือเชียร์ที่พี่เล็กพูดตอกกลับใส่ ยัยเจ๊นั่นอย่างแสบสันต์หรอกค่ะ”

    “จริงครับพี่ชายวันนี้พี่เป็นฮีโร่ของผมเลยนะ”

    จอมเงยหน้าจากนอนเล่นตุ๊กตาหมีที่วางอยู่เบาะหลังเอ่ยชื่นชมพายุ 

    “สะใจจริงๆที่ยัยเจ๊นั่นโดนเอาคืนซะบ้าง ผมเห็นมันด่าพี่อุ้มทุกวันเลยทำอะไรก็ขัดหูขัดตามันไปหมด จนผมนะแค้นแทนอยากจะแอบไปปล่อยลมยางรถป้ายแดงของมันหรือเอาเรือใบไปโรยตามทางให้มันขับรถมาเหยียบจนยางรั่วทั้งสี่ล้อเสียให้เข็ดแต่ทำไม่ได้เดี๋ยวมันไปฟ้องเจ๊วรรณ”

    เขาเองก็ไม่ชอบหน้าอดีตนายจ้างของสาวรุ่นพี่มานานแล้วเหมือนกัน

    “ผมว่าประเด็นหลักๆ อาจจะเพราะอิจฉาที่พี่อุ้มเป็นคนสวยและก็สวยกว่ามันมากด้วยนะครับ ลูกค้าก็ติดเยอะ ใครๆ ก็รักคงจะแอบหมั่นไส้เป็นทุนเดิม พอเห็นว่าด่าแล้วไม่สู้ รู้ว่าพี่อุ้มไม่มีที่ไปเลยได้ทีข่มใหญ่เลย”

    เด็กหนุ่มพูดในมุมมองของตัวเองที่เป็นผู้ชายคนนึง

    หลังจากจอมพูดจบแก้วก็เริ่มแฉเจ้าของร้านกาแฟต่อด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า

    “ไม่มีคนชอบยัยเจ๊นั่นหรอกคะพี่เล็ก หล่อนนะจ่ายค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ก็ช้าไม่เคยตรงเวลาสักเดือน ร้านกาแฟก็ออกจะขายดิบขายดีบอกแต่ว่ายังไม่มีตังค์ตลอดเลย เห็นเจ๊วรรณบ่นว่าถ้าไม่ติดสัญญาเช่าที่อยู่ล่ะก็ไล่มันออกจากปั๊มไปนานแล้ว หาคนใหม่มาเช่าจะดีเสียกว่าอีก ก็ต้องโทษเจ๊วรรณด้วยแหละเพราะตอนแรกดันงกเผลอไปทำสัญญาเช่ากับยัยแม่มดนั่นตั้งสามปีจะมาคิดกลับลำตอนนี้ก็เปลี่ยนไม่ได้แล้วก็ได้แต่รอเวลาเหลืออีกตั้งสองปีแหน่ะ”

    แก้วนั่งนับนิ้วแล้วทำตาโตชูสองนิ้วคิดว่าตัวเองจะต้องเจอนังแม่มดตัวร้ายนี่ไปอีกสองปีเลยหรือนี่!

    “คนเห็นแก่ตัวแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนก็คงจะมีแต่คนเกลียด ลูกสาวของยัยเจ๊นี่ก็นิสัยไม่ต่างจากแม่เลยนะครับ แถมปากมันก็ร้ายพอกับแม่ของมันแบบนี้หรือเปล่าที่เขาบอกว่าดีเอ็นเอเดียวกันอะไรมันก็จะเหมือนกัน”

    แก้วเหยียดปากใส่เพื่อนหนุ่มด้วยความหมั่นไส้ในความเป็นนักทฤษฎีย์จ๋า

    “จอมแกไม่ต้องมาวิเคราะห์ตอนนี้ให้เสียเวลาหรอกเพราะกรณีเรื่องของนังแม่มดใจร้ายใครเขาก็เห็นกันอยู่ว่าเป็นสันดานเดิมของมันเหมือนกับที่โบราณบอกว่าดูช้างให้ดูหางดูนางให้ดูแม่น่ะ...เคสนี้แม่นเป๊ะ! นักวิทยาศาสตร์ฝรั่งมาเห็นสุภาษิตของคนไทยโบราณที่เคยเปรียบไว้ถูกเผงแล้วยังต้องอายเล้ย”

    แต่ก็นะ...

    นึกถึงเรื่องเมื่อเช้าแล้วก็สะใจมิใช่น้อย...มันคงจะอับอายขายหน้าไปอีกนาน

    “ใช่เลยดูช้างให้ดูหางดูนางให้ดูแม่ แหม...นึกอยูตั้งนานแหน่ะฉลาดจริงเลยเพื่อนเลิฟ”

    จอมพูดชมยิ้มๆ เล่นทำเอาแก้วอมยิ้มแก้มแดงระเรื่ออีกรอบ เด็กหนุ่มแอบชำเลืองมองพายุเพราะเขาเห็นหนุ่มรุ่นพี่นิ่งเงียบไปตั้งแต่แก้วเริ่มพูดจ้อไม่หยุด “ฉันว่าเราเกรงใจพี่เขาบ้างเถอะคุยกันดังลั่นรถมาตลอดทางเลยเดี๋ยวพี่เขาจะรำคาญ” พูดอ้อมแอ้มด้วยความเกรงใจ

    “โอ้ย...ก็มันเรื่องจริงนี่ฉันเก็บกดมานานแล้วขอระบายสักวันเถอะนะ...”

    แก้วพูดโพล่งเสียงดังอย่างลืมตัวเมื่อนึกขึ้นได้จึงหันไปถามเจ้าของรถเสียงอ่อย

    “พี่เล็กคงจะไม่ถือสาหนูใช่ไหมคะ...”

    พายุหัวเราะและส่ายหน้ายิ้มๆ เขากำลังฟังเด็กสองคนเถียงกันด้วยความเพลิดเพลินทีเดียว

    “ทำไมพี่ต้องเอามาถือให้หนักด้วยล่ะครับ ถ้าสิ่งที่เราพูดหรือทำอยู่นี้ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน พี่ว่าไม่น่าจะผิดหรอกและอีกอย่างพี่ชอบคนพูดตรงๆ ไม่ชอบคนใส่หน้ากากเข้าหากันเหมือนในสังคมปัจจุบันนี้เท่าไรนักหรอกนะ...นอกจากจะไม่มีความจริงใจให้กันแล้ว...เผลอๆ ยังอาจจะแอบถือมีดไว้มาคอยแทงเราข้างหลังด้วยก็ได้”

    หนุ่มรุ่นพี่พูดยิ้มๆ “เราสองคนยังเด็กสังคมนี้ยังมีอะไรอีกเยอะที่เรายังไม่ได้เรียนรู้”

    แก้วนึกถึงปานพิมพ์พร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

    “สงสารพี่อุ้มจังตอนนี้เตลิดหนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้...”


         

    ขณะขับรถพายุนิ่งฟังเรื่องราวของปานพิมพ์จากปากของแก้วและจอมด้วยความหดหู่หัวใจจนพูดอะไรไม่ออกไม่เคยคิดเลยว่าสิบปีที่ไม่ได้เจอกันเธอจะเจอเรื่องอะไรมากมายขนาดนี้

    เขาขอสัญญากับตัวเองว่าต่อไปนี้จะเป็นคนเติมเต็มส่วนที่ขาดให้กับเธอเอง

    สิบปีที่ก่อนที่เขาจะได้มาพบปานนพิมพ์แล้วมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น เธอเป็นนางฟ้าผู้ใจดีเป็นคนเปลี่ยนชีวิตใหม่ให้กับเขา...นายพายุ รุจิรักษ์ศิลป์ ถ้าไม่มีเธอเขาคงจะไม่มีวันนี้

    หลังจากจบงานทำบุญ 100 วันของแม่เขาได้ไม่ถึงปี คุณย่าก็ประกาศตัดขาดความเป็นแม่ลูกจากลูกชายคนเดียวเด็ดขาดเพราะไม่พอใจที่พ่อของเขาแต่งงานใหม่กับผู้หญิงที่ท่านไม่ชอบ เขาเองก็เกลียดแม่เลี้ยงเข้าไส้เลยพาลโกรธพ่อไปด้วยแต่ลึกๆ เขายังรักและเคารพท่านไม่เคยเปลี่ยนแปลง

    จำได้ว่าเขาเลิกคิดทิฐิพ่อตั้งแต่ตอนเรียนจบมหาวิทยาลัย ได้ขับรถแอบซุ่มดูอยู่ข้างกำแพงบ้านของพ่อรวมถึงมหาวิทยาลัยที่พ่อทำงานอยู่ ทำแบบนี้ไปๆ มาๆ อยู่หลายวัน

    เห็นว่าพ่ออยู่อย่างไม่สบายนักในบ้านเดี่ยวสองชั้นแบบธรรมดา หน้าตาของท่านแก่ลงไปมากกว่าอายุจริงหลายปีแต่ยังคงความดูดีและสมาร์ทเหมือนเดิม แต่ก็ดูไม่มีความสุขเหมือนสมัยแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่...เขาไม่เห็นพ่อยิ้มเลย

    ความจริงเงินเดือนของตำแหน่งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเอกชนและเงินปันผลจากหุ้นโรงพยาบาลของแม่ที่ถูกตัดแบ่งออกไปให้พ่อเฉลี่ยต่อเดือนมันก็มากไม่ใช่น้อยถ้าจะใช้แบบฟุ่มเฟือยจริงๆ ก็ยังเหลือเฟือเอาไปลงทุนเพื่อต่อเงินก็ยังได้

    มันสามารถที่จะใช้ดำรงชีวิตอยู่ได้แบบสมฐานะสบายๆ ในสังคมไฮโซที่แม่เลี้ยงของเขาชอบแต่ทำไมพ่อยังดูเหมือนกับคนไม่มีความสุข

    หรือพ่ออาจจะอยากอยู่แบบสมถะ

    หรือแม่เลี้ยงของเขาไม่ธรรมดาจริงๆ อย่างที่ได้ยินมากันแน่!

    เขาตกใจมากไม่ใช่น้อยเมื่อแอบมาได้ยินแม่พลอยกับคุณย่าคุยในวันหนึ่งตอนนั้นเขาอยู่เพียงป.6 กำลังเกเร ดื้อและไม่ฟังใครจนต้องเรียนซ้ำชั้นอยู่หลายปี

    จับใจความได้ว่า...

    ผู้หญิงที่ชื่อศจีตั้งใจมาเกาะพ่อของเขาด้วยเห็นว่าเป็นหม่อมหลวงมีต้นตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงและที่สำคัญมีฐานะร่ำรวยมากจากสมบัติเก่า

    คุณพ่อต้องเดินออกจากบ้านไปไม่ได้แม้กระทั่งสักสตางค์แดงเดียวจากเงินปันผลของบริษัทมีเพียงสมบัติ เงินส่วนตัวเท่านั้นที่ให้นำติดตัวไปด้วยได้ซึ่งก็มากพอให้พ่อไปซื้อบ้านสุดหรูอยู่ได้อย่างสบาย

    เวลานั้นท่านหญิงผกามาศเห็นลูกชายเป็นคนนอกครอบครัวไปแล้วจริงๆ

    เมื่ออยู่ม.4 คุณย่าเริ่มมาเคี่ยวเข็นให้เขาทำงานไปพร้อมกับเรียนต้องทำ 2 อย่างในเวลาเดียวกันและเกรดเฉลี่ยห้ามตก! งานต้องดี! เหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่มันทำให้พายุกลายเป็นคนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจเมื่ออายุเพียง 23 ปี เขายังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ

    เหมือนชีวิตของเขาสมบูรณ์ มีความสุขดีไม่ขาดอะไรแต่ความจริงชีวิตของเขายังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง

    ถ้าขาดอีกครึ่งหนึ่งของหัวใจที่หายไปเขาจะมีชีวิตอยู่ไปจนแก่อย่างมีความสุขได้อย่างไรกัน...

    เมื่อกลับไปอยู่โรงเรียนประจำที่ศรีราชาตอนม.3 ทำให้การติดต่อขาดหายไป เขาพยายามตามหาตัวปานพิมพ์ตามสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทุกแห่งทุกครั้งที่ปิดเทอมโดยไม่ได้บอกใครเพราะกลัวจะโดนกีดกัน เมื่อไม่พบจึงได้แต่ฝากเบอร์ไว้ตามสถานที่ต่างๆ ให้รีบติดต่อเขาทันทีเพราะจะมีรางวัลเป็นเงินสดก้อนโตให้อย่างงาม

    แต่มันเหมือนเกลียวคลื่นที่สาดเข้ามากระทบฝั่งแล้วหายไป

    แต่แปลกมาก...วันนี้เขากับพบเจอตัวเธอแล้วอย่างง่ายดายมันเป็นความบังเอิญเหลือเกินมากอย่างคาดไม่ถึง?

    แค่เพียงโจ๊กหมูจากร้านเจ้าประจำเพียง 1 ถุงที่คุณย่าเกิดอยากกินแล้วให้เด็กรับใช้ไปเรียกเขาที่เรือนหลังเล็ก ตั้งแต่ตี 5 เพื่อให้ขับรถออกมาซื้อและยังบอกให้แวะเติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งนี้อีกทั้งที่ท่านก็รู้ว่าเขาไม่เคยปล่อยให้น้ำมันรถหมดถัง...ความจริงเขาไม่แวะก็ได้แต่ไม่อยากขัดใจเลยเลี้ยวรถแวะเข้ามาเล่นๆ พอเห็นร้านกาแฟสดแล้วอดจะแวะซื้อไปฝากคนที่บ้านไม่ได้

    ไม่คิดเลยว่า...มันจะทำให้เขาได้พบกับเธอ...ปานพิมพ์



    รถของพายุเลี้ยวผ่านประตูทางเข้ามาจอดเทียบบนลานกว้างที่ปูด้วยหินศิลาของบ้านทรงไทยโบราณหลังงามริมแม่น้ำเจ้าพระยาจังหวัดปทุมธานี มันดูโอ่อ่าและน่าเกรงขาม

    นอกจากเรือนใหญ่แล้วยังมีเรือนเล็กแยกออกไปอีกอย่างเป็นสัดส่วนถึง 4 หลังแต่ละหลังจะมีชื่อเรียกขานอย่างไพเราะตามชื่อของดอกไม้ อาทิ เรือนกรรณิการ์ เรือนมัลลิกา เรือนมะลิวัลย์ เรือนมะลุลี บริเวณรายรอบมีการจัดแต่งสวนไว้อย่างสวยงามด้วยพรรณไม้ไทยนานาชนิด

    “บ้านใครคะพี่เล็กทำไมมันดูอลังการงานสร้างแบบนี้”

    แก้วเปิดประตูรถลงมากวาดตามองความงดงามของบ้านทรงไทยขนาดใหญ่เพราะไม่เคยเห็นของจริงอย่างใกล้ชิดมาก่อนเลยในชีวิตจึงอดที่จะหันมาถามคนพามาด้วยความตื่นเต้นไม่ได้

    “บ้านของคุณย่าพี่เองครับ เรือนไทยหมู่หลังนี้สร้างตั้งแต่สมัยที่คุณตาทวดของพี่ท่านเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ในวัง เมื่อท่านแต่งงานแล้วด้วยความที่อยากจะมีความเป็นส่วนตัวจึงขออนุญาตแยกตัวออกมาสร้างอยู่กับครอบครัวที่จังหวัดปทุมธานี ไม่ห่างจากบางปะอินบ้านเดิมนัก อายุของมันก็มากโขอยู่หรอกนะ ประมาณร้อยกว่าปีได้กระมังทั้งหลังสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมด บ้านที่สร้างด้วยไม้จะแข็งแรงมากโดยเฉพาะไม้สัก สมัยนั้นไม้สักหาง่ายและราคาไม่แพงเราจึงเอาทั้งต้นใหญ่ๆมาทำเป็นเสาบ้านได้อย่างไม่ต้องกลัวสียดาย ถึงบ้านนี้มันจะมีอายุมากก็จริงแต่ไม่มีปัญหาเรื่องเก่าหรือทรุดโทรมเพราะเราจะคอยดูแลรักษาให้ดูเหมือนตอนสร้างใหม่อยู่ตลอด”

    ชายหนุ่มพูดเท้าความให้เด็กทั้งสองฟังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อหยิบถุงใส่โจ๊กและขนมที่ซื้อมาฝากคนในบ้านออกมาจากกล่องโฟมเก็บกลิ่นอาหาร ด้วยนี่ก็เวลาสายมากแล้วเขาไม่รู้ว่าท่านจะยังอยากกินมันอยู่หรือเปล่า

    “ตอนกลางคืนมันจะมีผีออกมาเหมือนในหนังที่เราเคยดูในโรงไหมครับพี่ชาย”

    จอมผู้มีจิตนาการสูงส่งคิดเดาไปตามบรรยากาศเก่าแก่ของบ้านถามด้วยความหวั่นเกรง ห่อไหล่เข้าหากันด้วยความกลัว

    “ผมไม่อยากจะนึกเลยว่าพอตกตอนกลางคืนมันจะน่ากลัวขนาดไหนยิ่งอยู่ติดริมแม่น้ำแบบนี้อาจจะมีพรายน้ำโผล่ขึ้นมาจากน้ำหรือผีออกมาจากต้นเสาตกมันก็ได้นะ”

    พายุตบไหล่จอมเบาๆ แล้วอดหัวเราะด้วยความขบขันกับความคิดอันแสนบรรเจิดของเด็กหนุ่มไม่ได้ 

    “ที่นี่ไม่มีผีหรอกครับ ตอนกลางคืนมันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ถึงด้านนอกเราจะอนุรักษ์ของเดิมไว้เหมือนเดิมแต่ด้านในเราก็นำเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย เราตกแต่งให้มันกลมกลืนกันไม่ให้มันแตกต่างแปลกออกไปมาก ที่นี่ก็เหมือนบ้านคนที่เขาอยู่อาศัยทั่วไปนั่นแหละตัวพี่เองอยู่มาจนอายุยี่สิบหกปีก็ยังไม่เคยเจอผีเลยนะจอม”

     พร้อมชี้ไปที่ทรงไทยเรือนเล็กชั้นเดียวที่แยกออกไปทางด้านหลังของเรือนใหญ่ ด้านหน้าเป็นสระน้ำมีบัวอุบลชาติหลากสีกำลังออกแข่งขันโชว์ความงามกันสะพรั่งดูกลมกลืนกับศาลาที่สร้างอยู่ริมสระบัว

    “เรือนเล็กนั้นเป็นของพี่เองเพราะชอบอยู่เป็นส่วนตัวก็เลยแยกออกไปปลูกเพิ่มต่างหาก ถ้ากลับมาจากบ้านที่บางปะอินก็จะมาหลบอยู่ที่นั่นเพราะกลับมาแค่วันหยุดสุดสัปดาห์เองแต่เดี๋ยวรับพี่อุ้มมาอยู่ด้วยกันแล้วพี่ก็คงจะไม่ไปค้างที่บางปะอินแล้วล่ะครับ”

    พายุเล่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มมันมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่นี่แต่อารมณ์ก็ต้องสะดุดกึกเมื่อได้ยินเสียงของคนร้องโวยวายเสียงดังมาแต่ไกล

    “คุณหนูเล็กกลับมาแล้ว!”

    นางจวนซึ่งอยู่บนเรือนใหญ่พอดีได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดก็รีบวิ่งมาเปิดประตูนอกชาน เยี่ยมหน้าออกมาเมียงมองเมื่อเห็นว่าเป็นรถของผู้ใดก็รีบกระวีกระวาดวิ่งลงบันไดมาทันที

    เด็กสองคนเห็นเป็นผู้หญิงสูงวัยเกล้าผมสีดอกเหลาใส่ชุดผ้าซิ่นสีสดอยู่ๆ ก็โผล่หน้าออกมาจากชั้นบนก็ตกใจ โดยเฉพาะจอมซึ่งกลัวผีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วสะดุ้งจนตัวโยนทำตัวไม่ถูกรีบดึงมือของแก้วไปกุมแน่นเพราะนางกำลังวิ่งปรี่มาที่พวกตนแล้วด้วยสิ

    “ป้าคิดว่าคุณหนูจะไปเหมาโจ๊กหมดทั้งร้านแล้วสิคะ เห็นออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างก็ไม่เห็นกลับมาเสียที” พูดพลางกุลีกุจดึงของจากมือพายุมาถือไว้เอง หันไปมองพิจารณาเด็กสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วถามโพล่งขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

    “แล้วนี่ขับรถออกไปข้างนอกแปบเดียวมีสมุนน้อยตามติดมาสองคนด้วยไปแอบหลอกเอาลูกของใครเขามาคะเนี่ย” 

    พายุยิ้มเนือยกับคำถามที่ไม่อยากตอบ ใบหน้าสลดลงทันทีเพราะมันทำให้เขานึกถึงปานพิมพ์ สัมผัสหวานฉ่ำจากริมฝีปากนุ่มของเธอยังรู้สึกตราตรึงเหมือนเพิ่งจะได้ลิ้มรสมาไม่นานนี้เองแต่เพียงแค่นั้นเขายังรู้สึกว่ามันยังไม่พอ เขาอยากโอบกอดแนบชิดเนื้ออุ่น ละเลียดชิมริมฝีปากของเธอทั้งวันทั้งคืนให้สมกับที่เขาเฝ้ารอคอยมานานหลายปีแบบไม่ต้องออกไปไหนกันเลย

    “คุณหนูเป็นอะไรไปคะ...ป้าแค่พูดล้อเล่นเองทำไมถึงทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะคะ”

    “พี่เล็กกำลังเสียใจน่ะค่ะป้า”

    แก้วชิงตอบแทนเสียเอง เลิกคิ้วสูงมองหญิงสูงวัยอย่างนึกตำหนิกับมารยาทที่ไม่ดูกาละเทศะแต่ดูแล้วคงจะเป็นไม้แก่ดัดยากจริงๆ เพราะนางจวนยังกวนใจพายุไม่เลิก

    “โถ...ใครทำอะไรคุณหนูของป้าคะ มีเรื่องอะไรกันบอกป้ามาจะรีบส่งคนไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย”

    คนถูกถามเซ้าซี๊เริ่มออกอาการหงุดหงิดรีบโบกมือปฏิเสธ อารมณ์ตอนนี้ยังไม่อยากคุยกับใครจึงเผลอพูดเสียงห้วนออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

    “ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับป้าจวนไม่ต้องมาโอ๋กันขนาดนั้นก็ได้”

    “เอ่อ...คุณหนูคะ” นางจวนหน้าเสีย

    ถึงพายุจะพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด แต่แก้วและจอมรู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่แผ่กระจายออกมาโดยรอบบริเวณนั้นจึงรีบสะกิดเป็นสัญญาณเตือนกันและกันว่าให้รีบถอยออกห่างร่างสูงของพายุออกมาในระยะที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด

    นับประสาอะไรกับพวกเธอที่เป็นเด็กยังรำคาญแล้วคนที่ใจร้อนเป็นพายุอย่างหนุ่มรุ่นพี่ของพวกเธอกันล่ะ

    ดาวเรืองวิ่งลงบันไดมาเร็วแทบเหาะเหมือนระฆังช่วยชีวิต หยุดยืนหอบหายใจก่อนจะรีบรายงานตามคำสั่งที่ได้รับมาอย่างรวดเร็ว  

    “คุณท่านให้หาค่ะ บ่นว่ารออยู่นานแล้วว่าทำไมไม่เห็นคุณเล็กกับ...”

    ดาวเรืองหันไปมองรอบๆ ก่อนจะหยุดมองแก้วกับจอมด้วยความงุนงง “เอ่อ...ไหนคุณท่านบอกว่าคุณเล็กจะพาเพื่อนผู้หญิงมาด้วยเลยให้ดาวเรืองลงมารับแล้วทำไมกลายเป็นน้องสองคนนี้ไปได้ล่ะคะ”

    ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เพื่อนผู้หญิง? คุณย่าว่าอย่างนั้นเรอะดาวเรือง”

    คนถูกถามพยักหน้าเร็วๆ มองเด็กสองคนสลับกันไปมา
          “ใช่ค่ะเพื่อนผู้หญิงแต่นี่ก็ผู้หญิงนะคะเพียงแต่มีผู้ชายเพิ่มมาด้วย”

    พายุไม่เข้าใจจึงรีบตัดบท “อืมพอเถอะไม่ต้องสงสัย ฉันกำลังจะขึ้นไป”

    ดาวเรืองมองเจ้านายหนุ่มอย่างงงๆ ก่อนจะหันไปมองของในมือนางจวนที่ถืออยู่มันมีขนมด้วย ยิ้มหวานขึ้นมาทันทีเพราะรู้ว่าเป็นของฝากอย่างไม่ต้องสงสัย

    “ป้าก็มาวุ่นวายอยู่ตรงนี้อยู่ได้” เด็กสาวบ่นพร้อมแย่งถุงใส่ของจากหญิงสูงวัยไปถือไว้เอง

    “เอ๊ะ! นังนี่แล้วจะมายุ่งอะไรกับข้ากันหึ  ข้าก็ลงมารับคุณหนูของข้าสิวะ”

    พายุหน้ามุ่ยเริ่มอารมณ์ไม่ดีเพราะไม่อยากได้ยินเสียงคนทะเลาะกันตั้งแต่เช้าให้รำคาญใจอีกแค่เรื่องที่เจอมาก็ทำเอาหัวเสียพอแล้ว จึงรีบก้าวยาวๆ หนีขึ้นบันไดไปทันทีแต่ไม่ลืมที่จะเรียกแก้วและจอมให้เดินตามขึ้นไปด้วยปล่อยให้สองสาวต่างวัยมองหน้ากันเลิ่กลัก

    ดาวเรืองหันมาชายตามองป้าจวนที่ยืนมองร่างสูงของพายุที่เดินหนีไปตาละห้อยเพราะคุณหนูของตนไม่สนใจ

    “ไงล่ะป้า...คุณเล็กอารมณ์ไม่ดีแล้วไหมไปเซ้าซี๊เธอมากๆ ระวังเหอะระเบิดจะลงกลางบ้านฉันไม่รู้ด้วยนะ”

    “เอ็งอย่ามาทำเป็นสอนข้านังดาวเรืองก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าคุณหนูของข้าจะกินของแสลงมาจากนอกบ้าน”

    “ทีหน้าทีหลังก็สังเกตดูสีหน้าท่าทางของเธอเสียก่อนสิแล้วค่อยมาเอาใจ...ฉันน่ะแค่ได้ยินเสียงเบรกรถกับลักษณะการจอดรถแบบนี้ก็รู้แล้วว่ามันปกติเสียที่ไหนกันล่ะ” พูดพลางพยักเพยิดหน้าไปทางรถบีเอ็มคันหรูมันจอดผิดปกติอย่างที่หล่อนพูดจริงๆ แล้วพูดข่มทับด้วยน้ำเสียงเยาะๆ อย่างหยิ่งๆ 

    “แหมของแบบนี้ต้องให้เด็กอย่างฉันมาสอนด้วย”

    ดาวเรืองรู้ว่าเจ้านายหนุ่มของเธอเป็นคนมีระเบียบจะไม่ทำอะไรทิ้งๆ ขว้างให้รกหูรกตาอย่างเช่นการจอดรถทิ้งไว้ขวางทางเข้าออกกลางลานบ้านแบบที่เขาทำวันนี้เด็ดขาด

    นอกเสียจากเวลาที่เขาจะมีอารมณ์ไม่ปกติเพราะนี่จะเป็นสัญญาณเตือนในขั้นต้นว่าจงรีบถอยห่างให้พ้นรัศมีออกไปหลบอยู่ในระยะที่ไกลๆ แล้วจะปลอดภัย

    “เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยไม่ต้องมาทำเป็นสอน ข้าเป็นป้าเอ็งนะโว้ยนังดาวเรือง!

    ป้าจวนเริ่มออกอาการพาลพาโลเอาความเป็นอาวุโสมาข่มด้วยเพราะเถียงคนเป็นหลานไม่ชนะ

    “จะบอกว่าแก่กว่าว่างั้นเหอะ”

    เด็กสาวส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไร้สาระเสียเวลาที่จะสนทนาด้วยต่อไป ก่อนจะเชิดหน้าใส่แล้วเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีเพื่อเอาของที่ถืออยู่ในมือไปให้คนที่เรือนครัว วันนี้คุณพลอยของเธอทำขนมช่อม่วงเสียด้วยนานๆ จะมีโอกาสได้กินเสียที การไปหาขนมอร่อยๆ กินย่อมจะดีกว่ามายืนเถียงกับคนแก่ที่พูดจาไม่รู้เรื่องเสียอีก


           

    ท่านหญิงผกามาศกำลังนั่งจัดแจกันดอกไม้ห้องพระด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ลมจากแม่น้ำพัดพาเอากลิ่นหอมจากพิกุลต้นใหญ่หลังบ้านที่กำลังออกดอกสะพรั่งมาถึงเรือนชานซึ่งเป็นส่วนนั่งเล่นที่นางโปรดปราน

    เสียงฝีเท้าเบาๆ ของคนเดินเข้ามาเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าคนที่กำลังรออยู่มาถึงแล้วจึงละจากดอกไม้ที่กำลังจัดตรงหน้าก่อนจะส่งให้กานพลูเด็กสาวซึ่งเป็นต้นห้องรับไปทำต่อแทน

    ท่านหญิงเลิกคิ้วนิดนึงด้วยความแปลกใจกับเด็กสองคนที่เดินตามมาเพราะเคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้วแต่...

    “มากันแล้วรึ ทำไมมากันช้าจริงย่ารอจนให้แม่พลอยทำข้าวต้มปลาให้กินไปสองชามแล้วนะเนี่ย”
          คนเป็นย่าเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนจะหันมาพูดเย้าหลานชาย เด็กสองคนยกมือไหว้สวัสดีด้วยความเกร็งเพราะทำตัวไม่ถูกแต่กิริยาเจียมเนื้อเจียมตัวเป็นที่น่าพอใจของท่านหญิงผกามาศมาก

    “ไหว้พระเถอะลูกแล้วก็ทำตัวกันตามสบายฉันไม่ใช่คนใจร้ายขนาดที่จะต้องมานั่งมอบนั่งคลานหรอกนะ มันหมดยุคสมัยแล้วลูกเอ้ย”

    ท่านหญิงพูดอย่างเป็นกันเองแต่แก้วกับจอมก็ยังคลานลงไปนั่งที่พื้นอยู่ดีเพราะไม่กล้าเทียบบารมีของท่านที่ดูสง่ามีราศี มีความน่าเกรงขามอยู่ในตัวแต่แฝงความใจดีและอบอุ่นที่ออกมาทางสีหน้าและแววตา

    “มากันเช้าขนาดนี้ดูท่าจะยังไม่ได้กินอะไรมากันแน่เลยใช่ไหมลูก”

    “เอ่อ...” 
          จากที่พูดจ้อมาตลอดทางแก้วกลายเป็นติดอ่างและเป็นใบ้ขึ้นมาโดยฉับพลัน เสียงท้องที่ร้องครวญครางตอบรับทันทีอย่างไม่เกรงใจดังขึ้นให้สองแก้มแดงซ่านด้วยความอับอาย คนถามยิ้มด้วยความเอ็นดู

    “อยากจะให้ตั้งโต๊ะในห้องอาหารหรือจะเอามานั่งกินรับลมเย็นๆ ตรงนี้ดีล่ะเจ้าหนู”

    “แล้วแต่คุณย่าเถอะครับพวกผมยังไงก็ได้” พายุตอบแทน นางจึงบอกให้เด็กที่เดินยกของขึ้นมาพอดีวิ่งลงไปบอกพลอยนภาที่เรือนครัว แล้วหันมาถามคนเป็นหลานยิ้มๆ

    “วันนี้มีเรื่องอะไรจะเล่าให้ย่าฟังไหมเล็ก”

    คนเป็นหลานไม่ตอบเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง อีกใจเขาก็กลัวโดนกีดกัน กลัวย่าไม่ชอบปานพิมพ์ กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมเดียวกับคนเป็นพ่อ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เตรียมใจที่พร้อมจะรับผลของมันที่จะเกิดตามมาเช่นกัน

    พายุขมวดคิ้วยุ่งนั่งนิ่งจนคนเป็นย่าต้องเอ่ยถามออกมาก่อน

    “ย่าคิดว่าวันนี้เล็กจะพาหลานสะใภ้มาให้ย่าดูตัวเสียอีก”

    คนฟังชะงักค้างทันทีเพราะคำพูดของท่านหญิงผกามาศสะกิดเข้าเต็มเปา ชายหนุ่มนั่งมองคนตรงหน้านิ่งนานเหมือนเจอสิ่งของมหัศจรรย์ที่ไม่เคยพบมาก่อนจนคนถูกจ้องหัวเราะเสียงสดใสด้วยความอารมณ์ดี

    “ย่าหลงตื่นเต้นอุตส่าห์ให้แม่พลอยของเจ้าเตรียมทำอาหารชุดใหญ่ไว้รอรับเลยเชียวนะหรือเล็กเปลี่ยนใจไม่รับน้องเขามาอยู่บ้านเราแล้วหรือลูก” นางยังเก็บความสงสัยไว้ในใจ มันมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่ากันนะ

    “คุณย่าหมายความยังไงครับผมไม่เข้าใจจริงๆ”

    พายุละล่ำละลักถามด้วยความอยากรู้ เป็นจังหวะเดียวกับที่พลอยนภาเดินขึ้นบันไดมาตามด้วยเด็กจากเรือนครัวทยอยยกสำรับอาหารมาเสิร์ฟการสนทนาจึงได้สะดุดลง

    “กินกันตามสบายเลยนะไม่ต้องเกรงใจคิดเสียว่าเป็นบ้านของตัวเอง”

    ท่านหญิงหันไปพูดยิ้มๆ แก้วกับจอมนั่งพับเพียบตัวตรงมองหน้ากันไปมาสลับอาหารตรงหน้าช่างน่ากินเหลือเกินแต่ก็เกร็งจนแทบไม่กล้าตักอะไรแต่พอได้ลิ้มรส อาหารชาววังขนานแท้ก็อร่อยกันจนแทบวางช้อนกันไม่ลง

     “ถ้าไม่พอบอกป้านะลูกเดี๋ยวจะให้เด็กเขาเอามาเพิ่มให้มื้อเช้าทานแบบเบาๆ กันไปก่อนเดี๋ยวตอนกลางวันก็เต็มที่เลยป้ากำลังให้คนที่เรือนครัวเตรียมของกันอยู่” พลอยนภาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

    ส่วนพายุนั้นเป็นฝ่ายกินอะไรไม่ลงเสียเอง มันมีอะไรบางอย่างที่เขาสงสัยและจะต้องรู้ให้ได้

    ร่างสูงนั่งคุมเชิงดูท่าทีของคนเป็นย่าที่ไม่ยอมพูดอะไรต่อหลังจากนั้นแต่หันกลับไปสนใจแจกันดอกไม้และหยิบพวงมาลัยดอกมะลิที่กานพลูเพิ่งจะร้อยเสร็จขึ้นมาตรวจเช็คความเรียบร้อย อยู่ๆ นางก็หยิบพวงมาลัยใส่พานแล้วลุกเดินหนีเข้าห้องพระไปเสียดื้อๆ โดยที่กานพลูก็ถือแจกันแล้วรีบซอยเท้าตามเข้าห้องพระไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้ชายหนุ่มนั่งขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

    “พี่เล็กกินข้าวก่อนเถอะกองทัพต้องเดินด้วยท้องนะ” แก้วหันมาเรียก

     พายุถึงจะเป็นคนมีฐานะดีและมีเชื้อสายผู้ดีเก่า เขาก็ไม่เคยทำตัวสูงส่งแต่กลับทำตัวติดดินเข้ากันได้กับทุกคน ตรงนี้เป็นข้อดีที่ทำให้คนงานที่โรงงานต่างรักและให้ความเคารพเจ้านายหนุ่มกันทุกคนและไม่มีใครเคยอคติคิดว่ามีผู้บริหารที่อายุน้อยกว่ามากมาคอยสั่งงาน ความสามารถของพายุที่โดนฝึกมาหนักมาหลายปีจากท่านหญิงผกามาศทำให้ทุกคนยอมรับเด็กหนุ่มคนนี้โดยดุษฏี

    “อร่อยจังเลยพี่ชายไอ้เจ้านี่เขาเรียกว่าอะไรเหรอ”
          จอมชี้ไปที่ชามใส่อาหารมันมีรสชาติเค็มปะแล่มแปลกดีแต่ก็เข้ากันได้ดีเมื่อกินพร้อมกับข้าวสุกที่แช่น้ำเย็นลอยด้วยดอกมะลิ

    “ที่อยู่ในชามนั้นมันเป็นลูกกะปิทอดครับ”

    “ที่เรากินกันอยู่นี่แก้วเหมือนเคยเห็นในหนังสือเขาเรียกว่าข้าวแช่หรือเปล่าจ้ะ”

    “ใช่ครับ...เขาเรียกว่าข้าวแช่ชาววังที่เรากินกันอยู่นี้เป็นสูตรดั้งเดิมสมัยที่น้องสาวของคุณตาทวดของพี่ท่านอยู่ห้องพระเครื่องต้นคอยดูแลเรื่องอาหารให้เจ้านายในวังน่ะครับแล้วนี่น่าจะเป็นฝีมือของแม่พลอยทำ ท่านเป็นลูกหลานทางฝั่งสกุลภพบดินทร์ซึ่งเป็นสกุลฝั่งของคุณย่าพี่เอง”

    “อูหู...เป็นบุญของไอ้แก้วที่ได้มีโอกาสได้กินอาหารชาววังขนานแท้เหลือเกิน”

    “ในสมัยโบราณข้าวแช่เขาจะทำเป็นอาหารเบาๆ กินกันในช่วงฤดูร้อนเพราะอากาศมันร้อนใช่ไหมพอเรากินเข้าไปมันจะชื่นใจมาก เขาจะเอาข้าวที่หุงสุกแล้วไปแช่ในน้ำเย็นที่ลอยด้วยดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม แล้วเอามาทานกันเครื่องเคียงหลายอย่าง เช่นตัวนี้ที่จอมถามก็เป็นลูกกะปิเขาจะเอามาปรุงรสก่อนบางที่ก็ผสมเนื้อปลาลงไปด้วยนะจากนั้นก็เอามาปั้นเป็นลูกเล็กๆชุบไข่แล้วก็เอาไปทอด ส่วนที่ห่อไข่อยู่นี้เป็นพริกหยวกสอดไส้พี่ไม่เห็นมีใครตักเลยลองชิมดูไม่ขมหรอกครับ”

    เมื่อเห็นพายุบอกว่าพริกหยวกไม่ขมแก้วจึงรีบตักขึ้นมาลองชิมทันทีแล้วยิ้มจนตาหยี “ไม่ขมจริงๆด้วยแฮะอร่อยด้วย”

    “บ้านของพี่เล็กเขาใช้ชามกระเบื้องเคลือบแบบนี้มาใส่อาหารกินกันเลยเหรอคะ ถ้าทำตกแตกน่าเสียดายแย่เลยนะเนี่ยดูแล้วราคาไม่น่าจะถูกๆ เสียด้วยซี”

    แก้วเริ่มอิ่มก็เอนตัวลงอิงกับหมอนขวานผ้าไหมสีสดที่วางอยู่ข้างกันเมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน ลมจากแม่น้ำพัดมาเย็นสบายจนเริ่มอยากจะเคลิ้มหลับมันเสียตรงนอกชานนี่เลยถ้าไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน

    “ไม่เสียดายหรอกแก้วเพราะมันเป็นของที่ทำขึ้นมาใหม่แต่ถ้าเป็นของเก่ามรดกตกทอดจากบรรพบุรุษเราจะใส่ตู้โชว์ไว้ไม่ได้เอาออกมาใช้หรอกครับ ส่วนนี่...”

    พายุยกชามกระบื้องเคลือบสีขาววาดด้วยสีฟ้าครามที่ใส่อาหารที่วางอยู่ในถาดอาหารแบบขันโตกขึ้นมาประกอบการอธิบาย

    “ชิ้นนี้เขาเรียกว่าเครื่องถ้วยลายคราม บ้านพี่ทำโรงงานเซรามิกครับ เราผลิตส่งออกต่างประเทศ ส่วนมากออเดอร์ก็จะเป็นเครื่องถ้วยทุกประเภท อาทิ เครื่องถ้วยเบญจรงค์ เครื่องถ้วยลายน้ำทอง และเครื่องถ้วยลายครามตัวนี้ บ้านเราจึงค่อนข้างจะมีใช้เหลือเฟือแต่ถ้าถามว่าตกลงไปแตกเสียดายไหมก็คงเสียดายเหมือนกันเพราะมันเป็นงานที่ทำด้วยมือทุกชิ้น...แต่ถ้ามันตกแตกไปแล้วเราจะทำยังไงได้ล่ะจริงไหม”

    พายุพูดกลั้วหัวเราะเริ่มอารมณ์ดีและผ่อนคลายขึ้นมาก 

    “เสียดายจังอาหารดีๆ แบบนี้ถ้าพี่อุ้มมานั่งกินด้วยกันคงจะดี” จอมรำพึงขึ้นมาลอยๆ ใช้ช้อนเขี่ยข้าวในชามไปมาทำให้บรรยากาศที่กำลังครื้นเครงเริ่มเงียบเหงาลงฉับพลันลงมาอีกทันที

    “ผมขอโทษครับไม่น่าพูดออกมาเลยดูสิทำเสียบรรยากาศหมด” เด็กหนุ่มพูดอย่างสำนึกผิดจริงๆ

         

    ปานพิมพ์วิ่งเตลิดหนีไปเหมือนคนเสียสติ หลบซอกแซกเข้ามาในซอยจนเห็นว่าวิ่งต่อไปไม่ไหวแล้วจึงหยุดพักตรงข้างป่ากล้วยไม่ไกลจากปั๊มน้ำมันนี้เอง พลางใช้มือยันต้นกล้วยเพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้มอีกมือยกขึ้นมาทาบหน้าอกของตัวเองรู้สึกทันทีว่าหัวใจเต้นแรงจนน่าตกใจ

    เธอรู้สึกเหนื่อยมากจนหายใจแทบไม่ทัน แม้คิดว่าจะก้าวขาเดินต่อไปยังไม่มีเรี่ยวแรงเลย ตอนนี้เข่าอ่อนจนแทบจะล้มทั้งยืนอยู่แล้วด้วยร่างกายที่อ่อนเพลียและอ่อนล้าติดพันจากการทำงานมาหลายวัน การได้พักเพียงเดือนละ 2 วันไม่ได้ช่วยอะไรมากนักช่วงที่เข้ามาทำงานที่ร้านแรกๆ เธอไม่มีวันหยุดเลยด้วยซ้ำไป

    ร่างแบบบางค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้นดินตรงโคนต้นกล้วยอย่างหมดเรี่ยวแรง

    ตาคู่สวยมองเห็นภาพตัวเองจากกระจกร้านค้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนแล้วแสนอนาถใจ สภาพของเธอตอนนี้มันมอมแมมจนดูแทบไม่ได้เลยจริงๆ นี่มันโชคชะตาหรือฟ้าลิขิตกันหรืออย่างไรกันถึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ด้วยความตกใจจึงคิดเพียงแต่ว่าจะออกมาให้ห่างไกลจากสถานที่ตรงนั้นมากที่สุดเพื่อมาตั้งหลัก

    เธอไม่ได้ต้องการจะวิ่งหนีพายุ
          ทันทีที่พบใบหน้าคมคายความรู้สึกอ่อนโยนอันคุ้นเคยนั้น เธอทั้งดีใจทั้งตกใจความรู้สึกมันตีรวนไปหมดบอกไม่ถูก อยากจะรีบโผเข้าหาอ้อมกอดที่ตามหามานานนั่นอยากจะอิงแอบอกกว้างแสนอบอุ่นให้หายคิดถึง

    แต่เธอวิ่งหนีความอับอายต่างหากล่ะ ยังไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลยว่าจะกลับไปมองหน้าผู้คนแถวนั้นอีกต่อไปได้ยังไงกัน

    “เล็กจ๋า...เล็กจะคิดว่าสิ่งที่เจ้าของร้านพูดเป็นความจริงหรือเปล่าอุ้มก็ไม่รู้แต่อุ้มอยากจะบอกเล็กว่า...อุ้มไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหาเลยสักนิด...อุ้มรักเล็กนะรักมาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันแม้จนถึงตอนนี้ อุ้มรอเล็กมาตลอดสิบปีจนคิดว่าหมดหวังแน่แล้ว อุ้มออกตามหาเล็กเพื่อจะถามว่ายังต้องการอุ้มอยู่อีกหรือเปล่าถ้าคำตอบคือไม่ อุ้มก็จะยุติสัญญาที่เราเคยรับปากกันไว้นั้นทันที...แต่วันนี้รู้แล้วว่าเล็กยังต้องการอุ้มอยู่...แต่...”

    ปานพิมพ์ตัดพ้อกับตัวเองเสียงเครือจนต้องยกสองมือแนบใบหน้าแน่นน้ำตาไหลของความอ่อนแอและเสียใจไหลออกมาไม่ขาดสายจนดวงหน้าสวยเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา

    “คุณพระเจ้าขาขออย่าให้เล็กเชื่อในสิ่งที่พี่มลกล่าวหาเรานั้นเลย ฮือๆ” 

    เวลานี้เธอรู้สึกมืดมน สับสนและไร้ที่พึ่งอยากจะกลับไปพูดคุยไปปรึกษากับแก้วเด็กสาวคนที่รู้ใจและก็เข้าใจเธอที่สุด

    “อุ้มขอโทษเล็ก...อุ้มขอโทษ...อุ้มไม่น่าเป็นคนไม่มีสติควบคุมตัวเองไม่ได้จนวิ่งเตลิดหนีออกมาแบบนี้เลย ฮือๆ”



          ร่างของผู้หญิงที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้าเคยสวยหวานจนตัวเขาซึ่งเป็นผู้ชายเองยังอดชื่นชมความงดงามนั้นไม่ได้

    ตอนนี้เนื้อตัวของเธอมอมแมมไปด้วยฝุ่นดินทรุดนั่งอยู่กับพื้นข้างป่ากล้วยแบบหมดสภาพ ภาพของเธอที่เอาสองมือปิดหน้าร้องไห้จนตัวโยนนั้นมันทำเอาคนที่เห็นสลดใจเหลือจะกล่าว เขารู้สึกสงสารเธอเหลือเกิน

    แบบทดสอบอันแสนหิน เขาต้องตามติดทุกความเคลื่อนไหวเพื่อคอยระวังภัยแต่เข้าไปช่วยเหลือไม่ได้มันช่างทรมานคนเฝ้าได้เจ็บปวดเหลือเกินตลอดสิบปีมานี้เขารู้สึกรันทดยิ่งกว่าดูละครน้ำเน่าหลังข่าวเสียอีกแต่ผลที่ออกมามันก็เป็นที่น่าพอใจและก็คุ้ม

    ดวงตาคมเข้มหันไปมองภาพนั้นอีกครั้งแล้วถอนหายใจยาว ความจริงบทสรุปมันต้องจบลงอย่างสวยงามตั้งแต่วันนี้พร้อมกับภารกิจเกือบทศวรรษของเขาแล้วด้วยซ้ำ ว่าแล้วจึงหยิบมือถือในกระเป๋าออกมาเลือกเบอร์ที่ตั้งไว้เป็นเบอร์แรกขึ้นมากดโทร.ออกทันที

    เธอคงอาจจะยังไม่พ้นวิบากกรรมก็เป็นได้ถึงได้มีมารตัวร้ายมาผจญส่งท้ายแบบนี้

    หนุ่มใหญ่วัยสามสิบห้าปีคิดด้วยความเหนื่อยใจและนึกไม่ถึงว่าจะมีการสูญเสียครั้งใหญ่ที่ไม่มีใครคาดคิดจะเกิดขึ้นอีกครั้งก่อนจะพบบทสรุปที่แท้จริง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×