ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ซาตานที่รัก (ชื่อเดิม-คุณซาตานสุดที่รัก)

    ลำดับตอนที่ #1 : ไม่ใช่เจ้าหญิง 50%

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 54




    ตอนที่ 1

    ไม่ใช่เจ้าหญิง

              คิดแล้วก็มันก็น่าขำเนอะ...

    ชีวิตจริงของคนเราบางทีมันก็ยิ่งกว่าในนิยายที่เราเคยอ่านกันเสียอีก ทำไมน่ะหรือ? ก็บางคนรวยก็รวยล้นฟ้า บางคนจนก็จนติดดินเลยน่ะสิ เด็กกำพร้าไร้พ่อและแม่แถมยังไม่มีสมบัติติดตัวมาเลยแม้แต่เพียงชิ้นเดียวอย่างฉันล่ะคงจะจัดอยู่ในระดับที่มากกว่าจนแน่ๆ

    ปีนี้ฉันเพิ่งจะมีโอกาสได้เรียนจบกศน.ได้วุฒิการศึกษามัธยมปลายมาไว้ในอ้อมกอดถึงจะช้าไปหน่อยก็ไม่เป็นไร เจ้ากระดาษใบนี้เราสามารถมันนำไปใช้สมัครเรียนต่อที่ไหนต่อก็ได้ในระดับการศึกษาที่สูงขึ้นไปอีกแน่นอนฉันเลือกมหาวิทยาลัยเปิดของรัฐที่มีค่าหน่วยกิตไม่แพงที่พอจะเก็บเงินจ่ายค่าหน่วยกิตได้  

    คนเราถ้ามีความรู้ก็เหมือนมีสมบัติล้ำค่าติดตัวไปอยู่ที่ไหนก็สามารถที่เอาตัวรอดได้เพียงแต่ถ้าชีวิตมันไม่ซวยจนต้องเจอเรื่องเลวร้ายมากจริงๆ เสียก่อนจึงหวังว่าโอกาสดีๆคงจะวิ่งเข้ามาหาฉันบ้างในสักวันหนึ่ง

    ฉันมีความฝันว่าเรียนจบแล้วน่าจะพอมีลู่ทางในการตามหาคนๆ นึงได้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่รู้นะว่าเขาจะยังอยากเจอฉันอยู่ไหมหรือบางทีมันอาจจะเป็นความฝันที่ฉันคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า?

            
      

          “พี่อุ้มกำลังจะออกไปทำงานเหรอจ้ะ”

    เสียงสดใสร่าเริงมาพร้อมเสียงวิ่งดังร้องทักทายมาจากด้านหลัง ไม่ใช่ใครที่ไหน ปุยฝ้าย ลูกสาวร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือที่อยู่ห้องเช่าซอยเดียวกันนั่นเอง เด็กสาวมักจะแอบมาหลบไม้เรียวแม่ที่ห้องของเธอวันเว้นวันเลยทีเดียว

              “ว่าไงเด็กดื้อก็เห็นอยู่แล้วยังจะมาถามอีก”

    ปานพิมพ์ยิ้มพลางใช้มือขยี้ผมคนถามด้วยความหมั่นเขี้ยวจนศีรษะน้อยๆ สั่นคลอนไปมา

              “แหม...” คนโดนแซวยืนกอดอก ค้อนใส่วงใหญ่ “ก็หนูเห็นพี่อุ้มแต่งตัวซะสวยก็เลยถามนี่น่า”

    “ล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นงอนแก่แดดนะเรา”

    “เปล่าเสียหน่อย” ตอบปฏิเสธก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง เมื่อสาวรุ่นพี่หยิบลูกอมรูปหัวใจสีชมพูจากในกระเป๋าถักสีฟ้าสดใสยื่นให้เป็นการขอคืนดี

    “ขอบคุณนะจ้ะพี่อุ้มคนสวย”

    สองสาวต่างวัยหยอกล้อหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข เดินจูงมือเคียงคู่กันไปจนถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเรือที่อยู่หน้าปากซอย

    “แล้วเจอกันตอนดึกๆ นะจ้ะพี่อุ้มเดี๋ยวหนูเอาก๋วยเตี๋ยวที่ร้านไปฝาก”

    ปุยฝ้ายยกสองมือป้องปากตะโกนบอกแล้วรีบวิ่งเข้าไปช่วยแม่จัดเตรียมของขายหน้าร้าน เวลาโรงเรียนปิดเทอมแบบนี้หล่อนมีลูกสาวมาคอยช่วยเป็นลูกมือจึงเบาเหนื่อยลงไปได้เยอะมาก ด้วยเพราะรสชาติอร่อยราคาถูกทำให้ก๋วยเตี๋ยวขายดีจนทำแทบไม่ทันกับลูกค้าที่เข้ามาอุดหนุนไม่ขาดสาย

    ปานพิมพ์หันมาโบกมืออีกครั้ง หัวเราะเสียงสดใส

    “แล้วจะรอน้า...ขอพิเศษด้วยล่ะ”

    เดินต่อไปอีกเพียงป้ายรถเมล์เดียวก็ถึงปั๊มน้ำมันที่ทำงานของเธอ การเดินมาทำงานนอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้วยังทำให้เดือนนึงประหยัดค่ารถไปได้มากโขเลยทีเดียว

    “วันนี้ทำไมมาเปิดร้านแต่เช้าเชียวพี่อุ้ม”

    แก้ว เด็กปั๊มกำลังนั่งนับเงินเพื่อเคลียร์บัญชีของกะดึกก่อนจะเปลี่ยนเวรกับกะเช้าที่เริ่มทยอยมาตอกบัตรเข้างานกันแล้วร้องทักทาย เมื่อเห็นสาวรุ่นพี่ในชุดเสื้อยืดสีขาวเข้ารูปและกางเกงยีนผ้ายืดสีซีดแบบพอดีตัวสวมรองเท้าคัทชูทรงบัลเล่ต์สีขาวอมเงินคู่โปรด ด้วยท่าทางอ่อนหวานที่แสนคุ้นเคยกำลังเดินตรงดิ่งมาไขกุญแจร้านกาแฟสดในปั๊ม

    ปานพิมพ์ ใจดี เป็นคนรูปร่างเล็กบางผิวขาวอมชมพู ดวงหน้าเรียวจิ้มลิ้มน่ารักและยิ้มเก่ง อัธยาศัยดีกับทุกคนไม่เฉพาะกับลูกค้าที่แวะมาซื้อกาแฟ บาริสต้าคนสวยจึงเป็นที่รักของเด็กในปั๊ม แม้แต่เจ๊วรรณเองที่แสนตะหนี่ขี้เหนียวก็ยังจะอดพูดชื่นชมเธอไม่ได้

    แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนมองข้ามจุดนี้ของเธอไปคือ กมลรัตน์ เจ้าของร้านที่คิดแต่ผลประโยชน์อย่างเดียวหล่อนคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติของปานพิมพ์ในฐานะลูกจ้างการบริการลูกค้าเป็นที่ควรจะต้องทำอยู่แล้ว

    “อ้าว...ยังไม่ออกเวรอีกเหรอแก้ว” หันมายิ้มให้

    “พอดีพี่รีบมาจัดร้านน่ะ...เมื่อวานกว่าพี่จะรอจนลูกค้ากลับหมดก็ตั้งสี่ทุ่มเข้าไปแล้วก็เลยรีบเก็บล้างถูพื้นเท่าที่ทำได้ ก็อย่างที่แก้วเห็นนั่นแหละจ้ะว่าข้างในร้านยังไม่ค่อยเรียบร้อยเดี๋ยวถ้าเกิดพี่มลแวะเอาของมาส่งให้ตอนแปดโมงเช้าแล้วมาเห็นสภาพร้านแบบตอนนี้ล่ะก็ระเบิดลงเป็นชุดใหญ่แน่”

    ปานพิมพ์พูดติดตลกแต่ดูแล้วค่อนข้างอ่อนเพลียจนคนคุยด้วยรู้สึกได้

    สาวรุ่นพี่ของเธอจะต้องรอปิดร้านหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายออกจากร้าน จากนั้นจึงจะสามารถเก็บโต๊ะและถูพื้นได้ ถ้าไม่มีลูกค้ามาเติมน้ำมันเธอก็มักจะเข้าไปช่วยงานบาริสต้าสาวในร้านเสมอจึงทำให้สองสาวต่างวัยนี้สนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ

     “ความจริงแก้วก็ออกกะเจ็ดโมงเหมือนเดิมแหละแต่ดูรูปการณ์แล้วคงจะอีกนานเลยพี่อุ้ม”

    เห็นบาริสต้าสาวหยุดฟังด้วยความสนใจเลยรีบฟ้องทันที “ก็เมื่อคืนน่ะสิจอมมันลงตัวเลขใส่สมุดบัญชีผิดหนูกำลังนั่งตามแก้อยู่เลยเนี่ย เดี๋ยวเจ็ดโมงเจ๊วรรณมาถึงต้องโดนบ่นกันทั้งกะกลางคืนแน่เลย”

    แก้วบ่นเป็นหมีกินผึ้งตั้งแต่เช้ามืดยังไม่เลิก หันไปแยกเขี้ยวใส่ จอม เด็กหนุ่มรุ่นเดียวกันตัวต้นเหตุที่กำลังเติมน้ำมันให้ลูกค้าอยู่ตู้จ่ายถัดไป จอมง่วงนอนจนเผลอเรอใส่ยอดเงินผิดเช็คแล้วมันไม่ตรงกับจำนวนของน้ำมันที่หายไปและเขาก็จำไม่ได้ว่าจำนวนที่แท้จริงแล้วคือเท่าไร

    โชคร้ายกว่านั้นเจ๊วรรณเจ้าของปั๊มก็เป็นนักบัญชีที่ตัวเลขแม่นเป๊ะเสียด้วยมันจะง่ายกว่านี้ถ้าลูกค้าปั๊มไม่เยอะมากแต่เป็นเพราะเมื่อช่วงดึกพอรัฐบาลประกาศจะขึ้นราคาน้ำมันลูกค้าก็พากันแห่มาเติมน้ำมันกันแน่นปั๊มจนวิ่งชนกันขาขวิดไปบริการกันแทบจะไม่ทัน

    “เดี๋ยวเดือนนี้ถ้าโอทีออกแล้วฉันจะยึดเงินส่วนของแกไอ้จอม โทษฐานทำให้ฉันต้องมาเสียเวลา”

    “ไม่เอาน่าแก้วอย่าไปโทษจอมเลย...ดูสิหน้าจ๋อยเหลือสองนิ้วแล้วมั้งนั่น”

    เห็นมีแนวร่วมให้ท้ายจอมจึงหันไปยิ้มแผ่ใส่แก้วที่กำลังหงุดหงิดกับสมุดบัญชี สลิปบัตรเครดิตของลูกค้าและตะกร้าเงินสดตรงหน้าก่อนจะหน้าจ๋อยลงอีกรอบกับสายตาเอาเรื่องของแก้ว

    “อย่านึกว่ามีคนให้ท้ายแล้วจะรอดนะไอ้จอม”

    คนพูดขู่คำรามเสียงเข้ม

    “ถ้าเจ็ดโมงตรงเจ๊วรรณมาถึงออฟฟิคฉันจะฟ้องเจ๊ให้หักเงินเดือนแกเพิ่มซ้ำอีกกระทงโทษฐานทำงานผิดพลาดไม่พอยังทำให้คนอื่นต้องมาปวดหัวกับสิ่งที่แกทำไว้อีกด้วย”

    ชื่อของ เจ๊วรรณ เหมือนดังคำต้องห้ามนอกจากจอมที่ยังมัวยืนเอ้อระเหยไม่รู้ร้อนรู้หนาวต้องรีบวิ่งเข้ามากุลีกุจอช่วยแล้วยังมีเด็กปั๊มคนอื่นที่เพิ่งว่างรีบวางหัวจ่ายน้ำมันกระวีกระวาดวิ่งเข้ามาสุมหัวรวมกลุ่มช่วยกันทำบัญชีโดยทันทีจึงทำให้งานง่ายขึ้นและเสร็จอย่างรวดเร็ว

    ปานพิมพ์หัวเราะเสียงใสด้วยความเอ็นดูมันเป็นเรื่องปกติในตอนเช้าที่เจอเกือบทุกวัน แล้วหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูก่อนจะหมุนตัวหันมาตะโกนถามแก้วเพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้

    “แก้ว...ยังพอมีเวลาพอเหลือที่จะนับเหรียญย่อยให้พี่แลกไว้ทอนเงินลูกค้าหรือเปล่า!

     “สำหรับพี่อุ้ม...ถึงแก้วจะงานยุ่งแค่ไหนก็มีเวลาเหลือเฟือให้เยอะเลยเดี๋ยวรอแปบนึงนะ”

    เด็กสาวพูดพร้อมหยิบเหรียญย่อยในตะกร้าออกมานับใส่ถุงพลาสติกอย่างคล่องแคล่วแล้วมัดยางอย่างเรียบร้อยก่อนจะวิ่งตื๋อเอามาให้ปานพิมพ์ด้วยตัวเอง  

    คนในร้านกำลังยืนหันหลังผูกผ้ากันเปื้อนอยู่เคาร์เตอร์ด้านในเตรียมตัวทำความสะอาดร้านที่ทำค้างทิ้งไว้จากเมื่อคืนหมุนตัวมากดเครื่องคิดเงินเพื่อเปิดลิ้นชักแล้วหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งมาแลกกับถุงเหรียญย่อยที่เล็กสาวรีบวิ่งเอามาให้อย่างว่องไว

    “ขอบใจนะจ้ะแก้วความจริงทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเอามาให้พี่ก็ได้”

    “ไม่เป็นไรจ้าถ้ามีอะไรพี่อุ้มก็เรียกใช้แก้วได้เลยนะจ้ะ”


           

    ปานพิมพ์เป็นลูกจ้างของร้านกาแฟสดในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งย่านชานเมือง ด้วยรสมือการชงกาแฟสดของบาริสต้าสาวที่อร่อยบวกกับกลิ่นหอมกรุ่นจากเมล็ดกาแฟอาราบิก้าร้อยเปอร์เซ็นต์พันธุ์ดีที่ผ่านการคั่วมาด้วยอุณภูมิที่พอเหมาะ จึงทำให้มีลูกค้าประจำแวะเวียนเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย

    โดยเฉพาะลูกค้าผู้ชายที่นอกจากจะติดใจรสกาแฟแล้วยังติดใจคนขายอีกด้วย จึงพากันเวียนมาแจกขนมจีบบาริสต้าคนสวยไม่ว่างเว้นแต่ละวันแต่เธอก็ไม่เคยสนใจใครเลยสักคน

    ร้านกาแฟสดที่นี่จะเปิดบริการให้ลูกค้าตั้งแต่ 6 โมงเช้าและปิด 1 ทุ่มตรงซึ่งก็หนักหน่วงสำหรับเธอที่ต้องดูแลงานในร้านทั้งหมดเพียงคนเดียว ต้องทำตั้งแต่เปิดปิดร้านเก็บกวาดทำความสะอาดทั้งภายในและนอกร้านไม่ใช่เพียงแค่การชงกาแฟอย่างเดียวเหมือนกับที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่างานร้านกาแฟเป็นงานสบาย

    เมื่อเทียบกับค่าแรงต่อเดือนมันเป็นจำนวนเงินที่แสนจะน้อยนิดเหลือเกินแต่งานดีๆ สมัยนี้ก็หายากมากสำหรับคนวุฒิการศึกษาน้อยแบบเธอเมื่อไม่มีทางเลือกก็ต้องสู้ชีวิตกันต่อไป

    ไม่มีใครทนทำงานอยู่ร้านกาแฟสดในปั๊มแห่งนี้ได้ทนนอกจากปานพิมพ์ เพราะอะไรคนในปั๊มต่างก็รู้ดี

    แต่บ่อยครั้งการทำงานก็เล่นเอาเธอท้อเพราะทั้งที่ป้ายหน้าร้านบอกว่าร้านปิด 1 ทุ่ม ก็ยังชอบมีลูกค้าไม่มีมารยาทชอบมาตอนร้านใกล้ปิดแล้ว คนเหล่านี้ก็มักจะเข้ามานั่งแช่ต่อในร้านบางคนไม่เกรงใจนั่งเลยไปจนถึง 3-4 ทุ่มก็ยังมี

    กว่าจะเก็บกวาดร้านเสร็จบางครั้งหมดก็กินเวลาไปเกือบ 3 ทุ่ม เป็นแบบนี้บ่อยมากจนต้องทำใจให้ชิน กว่าจะได้มีโอกาสกลับบ้านก็ดึกพอสมควร ทั้งที่ร่างกายอ่อนเพลียอยากพักผ่อนเต็มทนเมื่อกลับถึงห้องเช่าก็แทบเกือบจะสลบคาหมอนทันที

    ด้วยมีวันหยุดเพียงเดือนละ 2 วันกับการทำงานวันละ 13 ชั่วโมง เธอจึงคิดว่าถ้ามีทางเลือกที่ดีกว่าก็คงเลือกที่จะไปเพราะมันอาจจะทำให้เธอมีชีวิตที่ดีกว่านี้  

    ถ้าเลือกเกิดได้ก็อยากเลือกเกิดมาเป็นเจ้าหญิงที่ชีวิตพลิกผันเหมือนดั่งซินเดอเรลล่าบ้างก็คงจะดีซึ่งมันเป็นไม่ได้หรอกเพราะนี่มันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่นิทาน



    “สวัสดีครับบาริสต้าคนสวย...”

    เสียงทักทายอย่างร่าเริงออกแนวทะเล้นของพวกผู้ชายชีกอและเจ้าชู้ที่ปานพิมพ์เริ่มชิน กรอกตามองเพดานร้าน ส่ายหน้าด้วยความระอา ละมือจากการล้างแก้วในอ่างล้างแล้วหยิบผ้ามาเช็ดมืออย่างเซ็งๆ ปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะหันมารับออเดอร์หน้าเคาร์เตอร์แบบเซ็งๆ

    แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตาคมคายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ตาคู่สวยเบิกกว้าง ฉีกยิ้มด้วยความดีใจเผลอลืมตัววิ่งเข้าไปกระโดดกอดร่างสูงสมส่วนของเจ้าของเสียงเซจนแทบจะล้มกลิ้งลงไปนอนกองกับพื้นร้านทั้งคู่ถ้าเขาไปรีบเอาแขนยันเคาร์เตอร์เป็นตัวยึดไว้ก่อน

    “เล็กแกมาได้ยังไงเนี่ย แล้วทำไมรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ล่ะ” ระล่ำระลักถามด้วยความดีใจ

    “อูย...พอก่อนเหอะฉันจะล้มลงไปนอนบนพื้นหมดหล่อก็เพราะแกนี่แหละยัยอุ้ม”

    “โทษที โทษทีพอดีเราดีใจมากไปหน่อย” ตอบแก้เก้อด้วยความเขินอายเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ก่อนจะคลายอ้อมกอดปล่อยให้พายุออกเป็นอิสระ

    “ลมอะไรพัดแกมาเรอะเล็ก”

    “พอดีเราแวะเข้ามาเติมน้ำมันแล้วเกิดอยากกินกาแฟสดขึ้นมาก็เลยถามเด็กปั๊มว่าแถวนี้มีร้านไหนอร่อยบ้าง น้องเขาก็ชี้มาบอกว่าร้านนี้เด็ดสุดในย่านนี้แล้วก็เลยลองแวะเข้ามาดูก็ไม่คิดว่าจะได้เจอแฟนสมัยเรียนคอซองที่คิดถึงอยู่ทุกลมหายใจเลยน่ะซี” คนอ้างตัวเป็นแฟนพูดน้ำเสียงหวานออดอ้อนอย่างน่ารักจนคนฟังแก้มแดง

    ชายหนุ่มเปลี่ยนมาใช้แทนตัวเองด้วยสรรพนามเดิมเหมือนสมัยที่เคยใช้ตอนเป็นเด็กแล้วเอ่ยแกมหยอกปนความตื่นเต้นดีใจมันแสดงออกมาทางแววตาที่เป็นประกายเจิดจ้าจนปานพิมพ์ต้องรีบก้มหน้าหลบซ่อนความดีใจที่ปิดไม่มิด เธอไม่อยากให้เขารู้ความคิดภายในใจเลยเธออายกลัวว่าจะคิดไปเองฝ่ายเดียว

    พายุเป็นคนนิสัยน่ารักและอ่อนโยน...

    แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปมากอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อเกือบสิบปีก่อนมากดูผิดหูผิดตา ตัวสูงขึ้นรูปร่างสมส่วนไม่ผอมเกร็งเหมือนเที่เจอกันครั้งแรก...เขาดูดีมาก ที่สำคัญสายตาของเขาที่มองมายังเธอยังคงอบอุ่นเหมือนดังเช่นพายุคนเดิม

    แต่ครั้งนี้รู้สึกว่ามันแฝงไปด้วยความร้อนแรงของเลือดคนหนุ่ม จนหัวใจของเธออดที่จะสั่นไหวไปกับดวงตาคมเข้มคู่นั้นไม่ได้

    “ว่าแต่ตอนนี้จะยอมใจอ่อนมาเป็นเจ้าสาวของเราหรือยังล่ะอุ้ม...เรายังรอสัญญานั้นอยู่เสมอนะ”

    “รอให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกก่อน...ก็ยกขันหมากมาขอได้เลย”

    ปานพิมพ์หัวเราะคิกคักแต่สองแก้มเริ่มแดงจัด ภายในใจเต้นระรัวเป็นกลองเพลเพราะดวงตาคมเข้มคู่นั้นกำลังจ้องสำรวจดวงหน้าหวานละมุนของเธอไม่วางตาก่อนจะเลื่อนมาหยุดสบดวงตาคู่สวยนิ่งเหมือนดั่งจะถ่ายทอดความคิดถึงของช่วงเวลาที่หายไปให้เธอได้รับรู้  



    พายุ และ ปานพิมพ์ เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น

    ตอนนั้นด้วยความเกเรไม่เอาถ่านแถมยังเอาแต่ใจตัวเองอย่างไร้เหตุผลของ เด็กชายพายุ รุจิรักษ์ศิลป์ จึงถูกคุณย่าแสนเจ้าระเบียบจับมาเรียนโรงเรียนวัดแถวปทุมธานีและได้ฝากหลานชายไว้ภายใต้การปกครองของเจ้าอาวาสที่ท่านนับถืออบรมดูแล

    เวลานั้นทำให้เขาเปลี่ยนสถานะจาก คุณหนูเล็ก กลายมาเป็น เจ้าเล็กเด็กวัด ไปในโดยทันที

    ซึ่งเป็นการทำโทษเพื่อจะได้หลาบจำเพราะความเป็นอยู่ของเด็กวัดนั้นจะไม่สบายเหมือนโรงเรียนเอกชนที่เขาเคยเรียน

    เขาต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อสวดมนต์ทำวัตรเช้ากับหลวงตาและพระลูกวัดในโบสถ์ จากนั้นจึงเดินตามหลวงตาไปออกบิณฑบาตรและกลับมาทำความสะอาดวัดตามที่วันนั้นจะได้รับมอบหมายงานอะไรก่อนที่จะไปเข้าชั้นเรียนตามเวลาปกติ

    เด็กชายพายุทำกิจวัตรแบบนี้เป็นประจำทุกวันจนเกิดความเคยชิน

    มันก็ได้ผลเกินคาดเมื่อมาเรียนที่นี่ได้ไม่นาน เขากลับทำตัวดีขึ้นผิดหูผิดตา นิสัยเรียบร้อยขึ้นมากจนเป็นที่พอใจของคนเป็นย่าเพราะความดีความชอบทั้งหมดต้องยกให้เธอ...เด็กหญิงปานพิมพ์ ใจดี

    ปานพิมพ์สอนให้พายุซึ่งเพิ่งจะกำพร้าแม่ด้วยอยู่ๆ ความตายก็มาพรากจากไปก่อนเวลาอันสมควรและพ่อก็ยังไปแต่งงานใหม่อย่างกระทันหันแถมแม่เลี้ยงยังมีลูกติดมาให้วุ่นวายใจอีก เธอทำให้เขารู้จักชีวิตที่แท้จริงมากขึ้นด้วยการพาไปดูชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กกำพร้าที่ท่านเจ้าอาวาสเป็นผู้ให้ความอนุเคราะห์ซึ่งมันอยู่ติดกับรั้วของวัดอีกด้านหนึ่งนั่นเอง

    “เล็กดูเด็กพวกนั้นสิเขากำพร้าทั้งแม่และพ่อ ญาติก็ไม่มี คิดดูสิว่าถ้าไม่ได้หลวงตามาคอยอุปถัมน์ก็คงจะไม่แคล้วที่จะกลายเป็นเด็กจรจัด ขอทานเร่ร่อนเป็นปัญหาของสังคม เล็กเสียแม่แต่เล็กยังมีคุณย่า คุณพ่อและคนอื่นๆ อีกมากมายซึ่งโชคดีกว่าคนพวกนี้มากนะ”

    ตาคู่สวยเศร้าลงอย่างรวดเร็ว พูดทิ้งท้ายเสียงอ่อย

    “รวมถึงเราด้วยที่เป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เกิด ยังไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าพ่อและแม่ที่แท้จริง”

    ภาพที่เห็นและคำตัดพ้อของปานพิมพ์ทำให้พายุถึงกับอึ้ง ทำให้เขาเริ่มฮึดสู้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

    ทุกครั้งที่ท่านหญิงผกามาศมาเยี่ยมพายุจะเล่าเรื่องของปานพิมพ์ให้คนเป็นย่าฟังเสมอ ท่านก็ยิ้มและรับฟังอย่างสนใจ

    ระยะเวลาเกือบ 2 ปีที่เรียนด้วยกันตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้นชั้นปีที่1ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันอย่างรวดเร็วจนโดนล้อว่าเป็นแฟนกันเพราะตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ทั้งเวลาอยู่ในโรงเรียนและนอกโรงเรียน

    เวลานั้นไม่มีใครรู้ความรักความผูกพันของทั้งคู่ได้ก่อเกิดขึ้นแล้วเงียบๆ แม้ว่ามันจะเป็นความรักแบบเด็กๆ ก็ตาม

    แต่แล้วพ่อก็มารับพายุให้กลับไปเรียนโรงเรียนประจำที่ศรีราชาซึ่งเป็นโรงเรียนเดิมของเขาโดยไม่บอกกล่าวใครก่อนเลย ขณะที่เขากำลังจะเลื่อนขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นชั้นปีที่ 3 ด้วยเหตุนี้เองทำให้พายุและปานพิมพ์ถูกแยกออกจากกันไปโดยปริยายสร้างความไม่พอใจให้กับคนเป็นย่ายิ่งนัก

    ก่อนที่จะลาจากกันพายุสัญญาว่าจะกลับมารับปานพิมพ์ไปเป็นเจ้าสาว เขาจะดูแลเธอเองจะปกป้องเธอไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่แต่ด้วยความถ่อมตัวเธอคิดว่าตัวเองต่ำต้อยจนไม่คิดริอาจจะเอามือไปเอื้อมดาวบนท้องฟ้า จึงพูดปฏิเสธโดยค้านกับใจของตัวเองว่า

    “เล็กจ้ะอุ้มคิดว่าการคบเป็นเพื่อนมันจะคบกันได้ยาวนานกว่ามากนะและอีกอย่างเราทั้งคู่ก็ยังเด็กมากทุกสิ่งในโลกล้วนมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เราสองคนไม่รู้หรอกว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เล็กอาจจะเจอผู้หญิงคนใหม่ที่ดีกว่าเหมาะสมทั้งฐานะและชาติตระกูลกว่าเราก็ได้”

    “ไม่มีทาง!” เด็กหนุ่มประกาศเสียงกร้าว “เรายังยืนยันคำเดิมเจ้าสาวของเราต้องเป็นอุ้มคนเดียวเท่านั้น”

    พายุดึงสองมือเล็กของปานพิมพ์ไปกุมแน่น พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้เราเป็นพายุคนใหม่เพราะอุ้มเป็นคนหล่อหลอมสร้างชีวิตจิตใจให้รู้จักรัก รู้จักคุณค่าของชีวิต ไม่เป็นคนเกเร ไม่เป็นคนไม่เอาถ่านเหมือนที่เคยมีคนเขาเคยประนามค่อนขอดเอาไว้ ทุกวันนี้ที่เราเป็นคนดีแบบนี้ได้ก็เพราะอุ้มนะ...เรากลับไปเรียนที่ศรีราชาแล้วเราจะตั้งใจเรียนเพื่ออนาคตแล้วเราจะกลับมารับอุ้มไปเป็นเจ้าสาว...เราจะดูแลอุ้มเอง...รอเล็กนะอุ้ม”

    คนฟังน้ำตาคลอพยักหน้ารับช้าๆ อนาคตข้างหน้ายังมาไม่ถึงเธอควรจะเก็บช่วงเวลาดีๆ นี้ไว้จะดีกว่าใช่ไหม...

    “เราขอหอมแก้มอุ้มเป็นการสัญญานะ ถ้าอุ้มอนุญาตเราจะถือว่ามันเป็นสัจจะของเราสองคนที่เราจะต้องรักษามันไว้ยิ่งกว่าชีวิต”

    คนถูกขอพยักหน้าช้าๆ ยินดีให้เขาหอมแก้มด้วยความเต็มใจ น้ำตาของเด็กทั้งสองไหลอาบแก้มท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าโศกของการต้องพลัดพรากและจากลา

    สม หนุ่มใหญ่ซึ่งเป็นคนรถของบ้านรักษ์บดินทร์ถูกส่งให้มารับคุณหนูเล็กรีบเบือนหน้าหนีภาพนั้นด้วยความสลดหดหู่ใจ ตอนแรกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านายของเขาไม่มารับคุณหนูด้วยตัวของท่านเองคงจะเพราะด้วยเหตุผลนี้กระมังซึ่งตัวของเขาเองก็ยังแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

    รถคันหรูที่ส่งมารับพายุแล่นห่างออกไปทุกที จากไปพร้อมความอาลัยอาวรณ์ของคนทั้งคู่  

    พายุไปแล้ว...

    อนาคตวันข้างหน้าทั้งคู่จะมีโอกาสได้พบเจอกันอีกหรือไม่นั้นไม่มีใครบอกได้...

    เพราะหลังจากนั้นไม่นานก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นพระอาจารย์ศุขซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสในขณะนั้นมรณภาพลงอย่างกระทันหัน ไม่มีคนประสานงานดูแลเด็กกำพร้าต่อ เม็ดเงินบริจาคเลยลดลงอย่างน่าใจหาย เด็กที่โตแล้วจึงต้องเสียสละออกมาหางานทำเพื่อให้คนที่เด็กกว่าได้มีโอกาสได้รับการช่วยเหลือ

    ปานพิมพ์ก็เป็นหนึ่งในนั้นเธอต้องหยุดความคิดที่จะเรียนต่อชั้นมัธยมปลายทันที ย้ายออกมาหางานทำพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนเพื่อสู้ชีวิตด้วยตนเองในขณะที่มีอายุเพียง 14 ปี


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×