ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Lost into the Legend of Light (L.L.L.) 18+

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6 : ผู้กล้าจอมปลอม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 146
      1
      13 มิ.ย. 61

    ตอนที่ 6 : ผู้กล้าจอมปลอม

                หลังจากสอบถามมากาเร็ตเกี่ยวกับเรื่องราวในช่วงที่ผมสลบไปหนึ่งสัปดาห์ เธอเล่าว่าไลน์และมูมู่พร้อมด้วยทัพเสริมจากอาณาจักรในเครือพันธมิตรต้อนทัพจอมมารเข้าถึงตัวปราสาท 

                 พวกเขาแยกย้ายกันออกค้นหาและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไลน์เป็นคนตามมาพบผมที่คาดว่าหมดสติไปหลังจากสู้กับจอมมาร เธอคิดว่าผมเป็นคนกำจัดปีศาจทั้งหมด

                 เพียงในเวลาแค่ชั่วข้ามคืนพวกเราประกาศชัยชนะและสงครามได้สิ้นสุดลง 

                 ปีศาจที่เข้าร่วมกับจอมมารเกือบทั้งหมดถูกกำจัด บ้างถูกจับเป็นทาสเชลยและมีบางส่วนหลบหนี สงครามนั้นถูกเรียกขานกันต่อไปในหมู่อัศวินเป็นเชิงหยอกล้อว่า 'ไนท์แมร์ออฟอีวิล'

                มากาเร็ตเล่าทั้งน้ำตาถึงข่าวร้ายเกี่ยวกับชาล็อต เขาได้จากไปในคืนนั้น แม้เป็นหนึ่งในทหารมีฝีมือหาตัวจับยาก และยังหนุ่มเกินไปสำหรับความตาย แต่สนามรบนั้นไม่เคยปราณีใคร หากไม่นับรวมกับทัพพันธมิตรแล้วทหารของเราที่เหลือรอดกลับมามีเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบสองนายเท่านั้น

               อย่างไรก็ตามการสูญเสียครั้งใหญ่นี้สำหรับพวกเขาแล้วถือว่าคุ้มค่ากับการเดิมพันสู่ยุคสมัยใหม่ ยุคที่มนุษย์อยู่เหนือปีศาจและชาล็อตเองหากเขาได้มาเห็นถึงชัยชนะครั้งนี้ก็คงยิ้มแฉ่งไม่ใช่น้อย

                อีกเรื่องของการสูญเสียซึ่งก็น่าสะเทือนใจไม่แพ้กัน สามวันต่อมาจากไนท์แมร์ออฟอีวิลขณะที่ทางการทยอยนำร่างผู้วายชนกลับไปสู่อ้อมอกของญาติๆ พวกเขาได้พบกับศีรษะครึ่งหนึ่งที่แทบจะจำเค้าเดิมไม่ได้ของอาชลิน ลักษณะแหว่งไปด้วยรอยกัดของสัตว์ขนาดใหญ่ สันนิษฐานกันว่าเขาถูกค้างคาวยักษ์โจมตี 

                แม้จะมีการสูญเสียที่น่าสะเทือนใจเกิดขึ้น แต่อาณาจักรก็ยังคงจัดงานฉลองครั้งใหญ่ให้กับชัยชนะที่ได้รับมาเพียงในชั่วข้ามคืน 

                ผมเอ่อ...ถูกยกให้เป็นวีรบุรุษ อ่าฮะ ฟังดูยิ่งใหญ่หากแต่ไม่เลยสำหรับผม ชาวบ้านต่างเฉลิมฉลองทั้งวันทั้งคืนมาตลอดสัปดาห์ เด็กๆ ใส่ชุดเลียนแบบผมในคืนไนท์แมร์ฯ มีการเล่นละครเป็นฉากที่ผมปราบจอมมาร บ้านเรือนหลายๆ หลังประดับรูปของผมไว้เป็นการขอบคุณ มีการสร้างรูปหล่อของผมขึ้น ณ ใจกลางเมือง และอีกหลายๆ อย่างที่มากาเร็ตยังไม่ได้เล่าแต่ผมคิดว่ามันต้องมีแน่

              โลกทั้งใบคงได้ยินข่าวนี้กันถ้วนหน้า ผมเป็นฮีโร่ในใจของพวกเขาไปเสียแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งผมกำลังโกหกโลกทั้งใบว่าเป็นเช่นนั้น ในความจริงผมเองคงเป็นได้เพียงแค่เงาของผู้กล้า ไม่สิ เป็นที่สุดของจอมหลอกลวงต่างหาก จอมหลอกลวงที่ต่อให้อยากจะพูดความจริงแค่ไหนสุดท้ายแล้วมันก็...

                ผู้กล้าขา~ อ้าม

                “จ้า อ้าม สุดท้ายแล้วก็เป็นแบบนี้นี่แหละครับ  

                ผมอ้าปากกินพาสต้าที่ มาช่า หนึ่งในสิบสองสาวงามป้อนให้ พลางก้มลงมองร่องอกอันอวบอั๋นสีน้ำตาลอ่อนของเธอพร้อมกับเหงื่อที่ไหลตกจากขมับอย่างตื่นเต้นของตนเอง 

                รูปทรงที่เซ็กซี่ดุจหลุดมาจากนิตยสารสำหรับผู้ใหญ่นี่มันอะไรกัน ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าจะมีหญิงงามต่างลักษณะมานอนร่วมเตียงเดียวกันแบบนี้ถึงสิบสองบวกหนึ่งคนข้างเตียงมาก่อนเลย 

               ผมแอบเหลือบไปมองดูมากาเร็ตซึ่งเธอกำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างไม่สนใจอะไร บางทีก็อดน้อยใจไม่ได้นะที่เธอไม่มีทีท่าจะหึงหวงผมเลยสักนิด

                ผู้กล้าขาเอาอีกสิคะ อ้าม มาช่ายื่นส้อมที่พันไว้ด้วยพาสต้ามาให้ผมกินอีกครั้ง

                ผู้กล้าขาทางนี้บ้างสิคะ อ้าม หญิงสาวนางหนึ่งเอิ่ม...จำชื่อไม่ได้แต่ก็น่าหลงใหลในหุ่นรัดรูปนั่นไม่น้อยประกอบกับผิวขาวและใบหน้าซึ่งก็น่ารักไม่แพ้ใคร เธอยื่นขนมปังมาจ่ออยู่ที่ปากผมพลางจ้องมาด้วยสายตาที่ออดอ้อน

                เป็นเวลาเดียวกับที่หญิงสาวผมบลอนด์นางหนึ่งซึ่งมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่แปลกๆ ยื่นแก้วไวน์มาทางผมจิบสักหน่อยสิคะจะได้ไม่ติดคอ ผมหันซ้ายทีขวาทีพลางน้ำตาคลออย่างปลื้มปิติ นี่ตรูฝันไปใช่มั้ย หรือถ้าไม่ใช่ฝันผมก็คงตายไปแล้วแน่ๆ นี่มันสวรรค์ชั้นหน่มน้มใช่มั้ย โอ้ สุดยอด

                ผมจิบไวน์ตามคำเชื้อเชิญที่แสนนุ่มละมุนหูนั้น ก่อนจะหันไปกัดขนมปังเบาๆ สัมผัสนิ้วมืออันขาวเรียวของนางแล้วหันไปทานพาสต้าอีกคำ มันช่างสุขล้นเสียจริง อยากนอนอยู่แบบนี้ไปนานแสนนานเลยเชียว

               ว่าไปนั้น เพราะช่วงเวลาที่แสนสุขแบบนี้คงอยู่กับผมต่ออีกไม่นานนัก เมื่อมองตรงไปยังประตูทางเข้าร่างที่เดินเข้ามาพร้อมกับกลิ่นไอสยองชวนขนลุกก็ปรากฏขึ้น ผมหางม้าของเธอสะบัดขณะเตรียมจะชักดาบสีเงินออกจากฝัก

                ล...ไลน์ ผมเอ่ยอย่างละล่ำละลักพาสต้าแทบจะติดคอจึงรับแก้วจากมือสาวผมบลอนด์ก่อนจะดื่มไวน์ตามเข้าคอไปหมดทั้งแก้ว

                ฮึ่ม... ไอ้เราก็เป็นห่วงแทบตาย พอตื่นมาก็ทำตัวสบายเชียวนะ เธอจ้องมองผมเขม็งราวกับจะเห็นสายตาคู่นั้นเป็นสีแดง หากแต่ก็ยังสงสัยว่าท่าทีแบบนั้นมันหึงสินะ หึงใช่มั้ย หึงชัวร์ๆ แถมคนที่หึงดันเป็นตัวอันตรายซะด้วย ฟี... ตรูตายแน่!

                ปั้บ! มากาเร็ตปิดหนังสือคั่นจังหวะก่อนที่ไลน์จะพุ่งเข้ามา ชักดาบในห้องนอนของผู้ป่วยแบบนี้ อย่าไร้มารยาทสิแม่หนู เมื่อเธอพูดเสร็จไลน์ก็วางมือจากดาบพลางถอนหายใจก่อนจะเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงดัง ตึก! ตึก! และเสียง แกร๊ง! แกร๊ง! จากชุดเกราะเหล็ก

                พระราชาทรงมีรับสั่งให้ข้ามารับเจ้าไปเข้าเฝ้าพระองค์ ไลน์เอ่ยธุระของเธอขณะทำหน้าบูดบึ้ง

                เอิ่ม เธอช่วยพูดแบบธรรมดาหน่อยได้มั้ย พอดีฉันโง่น่ะ พวกราชาศัพท์ฉันไม่เข้าใจหรอกถึงมันจะเป็นคำง่ายๆ ก็ตามที แถมคะแนนสอบทุกรายวิชาผมก็เป็นยอดบ๊วยของประเทศเลยทีเดียว

                พระราชาบอกให้เจ้าไปพบ มากาเร็ตแปลข้อความให้ผมฟังพร้อมๆ กับเปิดหนังสือก้มหน้าลงอ่านต่อ

                อ๋อ ผมตอบรับอย่างเข้าใจ

            ไลน์ก้มหน้าลงกุมขมับดูเหมือนเธอจะเอือมระอาอยู่ไม่น้อยเลย ข้าละเชื่อเลยจริงๆ เธอเงยหน้ากลับขึ้นมามองผมครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังให้ เอ้าอย่าโอ้เอ้สิขืนชักช้าโดนสั่งประหารนะ

                ฮะ!” ผมนี่ลุกสะดุ้งโหยงเลย ไม่รู้ว่าจะพูดจริงหรือล้อเล่น แต่ขอรีบลุกขึ้นก่อนดีกว่า ทว่าเมื่อผมจะลงจากเตียงก็ค่อนข้างลำบากเล็กน้อยแฮะ 

                “นี่พวกเธอ...ขอทางหน่อยสิ 

                 ผมพูดกับหญิงสาวทั้งสิบสองคนซึ่งก็เป็นของขวัญจากพระราชาที่ช่างถูกใจไม่น้อยเลย หากแต่ถ้าเธอนอนทับขาและล้อมตัวผมไว้อย่างนี้ กิเลสมันก็ยากจะสลัดและอาจนำพาคมดาบของไลน์มาบั่นคอได้

              “เอ๋ จะไปแล้วเหรอค้า พวกนางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลชวนเคลิ้มจนเข่าอ่อนระทวยไม่อยากลุกเลยจริงๆ ไม่เอาอ้า รีบไปรีบมาน้า นี่ถ้าพวกเธอรู้ว่าผมไม่ใช่คนกำจัดจอมมารจริงๆ ผมคงตายอนาถยิ่งกว่าเขียดโดนรถทับแน่ๆ

                ผมพยายามขยับชันขาขึ้นยืนบนเตียงแต่ยังไม่ทันลุกดีก็มีมือสีน้ำตาลคู่หนึ่งโอบศีรษะก่อนจะกดหน้าผมลงบริเวณภูเขาเนื้อสองลูก ปลายจมูกของผมสัมผัสลงบริเวณร่องกึ่งกลางพอดีพลางให้ได้กลิ่นกายแบบผู้ใหญ่ลอยเข้าแตะจมูก ดึ๋ง! อื้ม... อย่าเพิ่งไปสิค้า

                แอนขี้โกงอ้า เค้าบ้างจิ มืออีกคู่หนึ่งสวมกอดผมฉุดนั่งลงเอนพิงกับเนินอกนุ่มนิ่มของหล่อน พลอยหายใจโล่งขึ้นเมื่อศีรษะหลุดออกจากช่องเขาแคบก่อนจะถูกกดลงจนหลังศีรษะสัมผัสกับหมอนเนื้อคู่ใหญ่ ในไม่กี่วินาทีต่อมาพวกเธอก็ฉุดทึ้งดึงผมไปซ้ายทีขวาทีจนตาลาย ช่างเป็นการทรมานที่แสนจะมีความสุขที่สุดในชีวิตที่ไม่เคยคิดว่าจะได้มัน

                โอเคจ้า ไม่ไปก็ได้ ผมเริ่มจะเคลิบเคลิ้มกับการหมุนวนไปมาอย่างเด้งดึ๋งนี่จนไม่อาจต้านทานได้เสียแล้ว

                อ่ะโอ๊ย! เจ็บๆ จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บเหมือนมีใครมากระชากหูแล้วลากผมลงจากเตียงซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไลน์ ดูเหมือนเธอจะหมดความอดทนเอาเต็มที

                ไปกันได้แล้วย่ะ เธอขมวดคิ้วขณะพูดอย่างห้วนๆ และยังคงลากหูผมให้เดินตามมาจนถึงประตู

                โอ๊ย! เจ็บๆ ป...ปล่อยได้แล้วน่า ข..ขอโทษครับ ข..เข้าใจแล้วจ้า ปล่อยเถอะน้า ไม่ประหลาดใจเลยที่น้ำตาไหลไม่หยุด เพราะเธอไม่เพียงแต่จะดึงหูลากไปเท่านั้นหากแต่ยังจิกบีบบี้ขยี้จนแทบจะแหลกเหลวคามือเลยทีเดียว ม...แม่จ๋า

                ในที่สุดผมก็ยังโชคดีอยู่ที่เธอยังมีความเมตตาปล่อยให้หูเป็นอิสระแม้ใบหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก หัดทำตัวให้สมกับเป็นผู้กล้าหน่อยสิยะ เอ่อ...ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ที่เธอทำเมื่อกี้มันย่ำยีศักดิ์ศรีผู้กล้าของผมชัดๆ เลยนะ

                ครับ ขอโทษครับ อย่างไรก็ตามการต่อล้อต่อเถียงกับเธอนั้นเป็นการกระทำที่โง่มากสำหรับผม ดังนั้นบางครั้งผู้กล้าเองก็ต้องยอมแพ้บ้างจริงๆ นั่นแหละ ว่าแล้วก็ผงกหัวขอโทษไปสองสามที

                แต่ว่า... เธอเอ่ยขึ้นขณะเดินนำหน้าผมไปตามทาง ซึ่งหากสังเกตดูผมหางม้าของเธอที่ส่ายไปมาเป็นจังหวะ เปิดให้เห็นต้นคอสีขาวนวลวับๆ แวมๆ จากทางด้านหลังนั่นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าเซ็กซี่ชะมัด เธอนำนิ้วชี้ขึ้นมาเกาที่แก้มขณะพูดด้วยเสียงสั่นๆ ขอบคุณนะ

                หืม!?” ผมรู้สึกสะกิดใจกับคำพูดแสนเบาบางนั่น

                ฉันจะไม่พูดอีกแน่ๆ ย่ะ ไม่ทันไรเธอก็กลับมาทำเสียงไม่พอใจผมอีกครั้ง ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมจะต้องหงุดหงิดขนาดนั้น แต่สำหรับเธอในตอนนี้นั้นช่างดูมีชีวิตชีวาเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในคืนก่อน เธอคงจะไม่ต้องฆ่าใครอีกแล้วหรือไม่ผมก็คงได้แต่หวังเช่นนั้นพลางเผยรอยยิ้มขณะเฝ้ามองต้นคอของเธอต่อไปตลอดทาง

                เมื่อมาถึงโถงในวังพระราชาก็ประทับรออยู่บนบัลลังก์พลางโบกมือเป็นการทักทายเมื่อเห็นผมเดินตามหลังไลน์เข้ามา ทำให้ผมค่อนข้างกังวลว่าควรจะโบกมือตอบกลับไปดีมั้ยเพราะหากทำเช่นนั้นมันจะดูเป็นเองไปหน่อยรึเปล่า ไม่สิแล้วถ้าไม่ทำมันจะเสียมารยาทมั้ยล่ะเนี่ย

                หลังจากคิดไปคิดมาในใจนั้นสุดท้ายแล้วผมก็ไม่ทันได้ทำอะไรได้แต่เดินเก้ๆ กังๆ ตามไลน์มาอย่างตื่นเต้น เธอเดินนำจนมายืนอยู่ ณ จุดเดียวกับตอนที่ผมถูกส่งมาก่อนจะคุกเข่าลง ข้าพาผู้กล้ามาตามรับสั่งแล้วเพคะ เมื่อไลน์พูดประโยคที่ยากจะเข้าใจเสร็จ พระราชาก็ปัดมือเป็นเชิงบอกให้เธอถอยออกไป

                เอาเป็นว่ายุ่งยากชะมัด แม้จะพยายามคิดเป็นคำราชาศัพท์จนปวดหัวแล้วมันก็ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจเลยจริงๆ ให้ตายสิไม่เคยคิดว่าจะมีสถานการณ์ที่ต้องใช้มาก่อนเลยสิน่า ผมพึมพำอย่างหน่ายจิต ก่อนจะตัดใจเลิกคิดคำพูดเป็นราชาศัพท์ สวัสดีครับ ผมยิ้มและนั่นเป็นการพูดอย่างสุภาพที่สุดที่ผมใช้เป็น

                หลังจากที่ไลน์ถอยออกไปแล้วพระราชาก็เอ่ยขึ้น เอ้า! สวัสดีๆ ท่านมองหน้าผม ยิ้มกึ่งหัวเราะก่อนจะเอ่ยต่อไปอย่างเป็นกันเอง ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า ว่าแล้วก็โน้มศีรษะเข้ามาทำทีท่าใช้มือป้องปากเป็นเชิงกระซิบ ถึงแม้มันจะไม่ใช่การกระซิบก็ตาม เป็นไงของที่ข้าให้ไปถูกใจท่านมั้ย

                ถ้าหมายถึงไอ้ที่ได้ทันทีเมื่อตื่นนั่นละก็ ถูกใจที่สุดในชีวิตเลยครับ ผมเอ่ยตอบกลับไปอย่างซาบซึ้งถึงทรวงในเลยทีเดียว

                ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าท่านคิดเช่นนั้นเราก็ดีใจ ความจริงถ้าท่านยังไม่พอใจจะไปดูในเมืองก็ได้นะ ข้าคิดว่าเป็นตอนนี้ไม่ว่าใครก็พร้อมจะมอบใจให้แก่ท่านกันหมดนั่นแหละ ผมนี่ไปไม่เป็นเอาเลยกับภาพลักษณ์ที่เกินจะคาดเดาเช่นนั้น เป็นกันเองสุดๆ มันต้องได้แบบนี้สิโดนใจวัยรุ่น

                ถึงจะว่าแบบนั้นก็เถอะ แต่ผมว่าแค่นี้ก็พอใจแล้วละครับ ฮ่าฮ่าฮ่า อีกอย่างผมเองก็อยากจะกลับบ้านแล้วด้วยสิ 

                ใช่แล้วที่ผมต้องการมากที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่สาวงาม ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น แต่คือการกลับบ้านที่จากมานานถึงหนึ่งสัปดาห์ กลับไปเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งนั่นต่างหากที่เป็นสนามรบของผม

                แบบนั้นก็แย่สิ เราเองก็อุตส่าห์เตรียมสิ่งที่พิเศษสุดสำหรับท่านไว้แล้วเชียวนะ พระราชายิ้มพลางกวักมือเรียกใครบางคนซึ่งแอบอยู่มุมมืดด้านหลังประตูทางซ้าย

                ทันทีที่มองตามไปก็พบเด็กหญิงคนเดียวกับที่ปรากฏเบื้องหน้าตอนผมถูกส่งตัวมา เธอสวมชุดราตรีสีขาวขณะก้าวเข้ามาด้วยเรือนร่างเล็กๆ แสนน่ารักนั้น เรือนผมสีเขียวของเธอถูกมัดรวบไว้เป็นมวยผมพร้อมด้วยแววตาสีทองซึ่งส่องประกายราวกับแสงแวววาวของแร่ทองคำ เมื่อมาถึงข้างบัลลังก์เธอจับชายกระโปรงทั้งสองด้านพร้อมย่อเข่าลงแล้วยืนขึ้นอย่างเงียบๆ ไร้ซึ่งซุ่มเสียง

                เราอยากจะให้ท่านได้แต่งกับโซเซเฟียลูกสาวของเรา พระราชาพูดเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นออกมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนเป็นเรื่องปกติ ยิ้มขณะสบตากับลูกสาวของตนแล้วหันมามองผม หากไม่ได้หูฝาดบางทีผมก็คงเมาเพราะฤทธิ์ไวน์ที่ซดไปเมื่อซักครู่ แล้วให้ท่านช่วยเรารบเพื่อรวบรวมเมืองและอาณาจักรต่างๆ ให้เป็นปึกแผ่น

                ผมยืนอึ้งเป็นเสาหินครู่หนึ่งก่อนจะหลุดเสียงอุทานดัง ฮะ!” เมื่อจับใจความได้ พลางได้ยินเสียงพูดคุยอย่างตื่นตะลึงของทหารองครักษ์และผู้คนที่ได้ยิน

                หากเราได้ท่านผู้พิชิตจอมมารมาเป็นเจ้าชายแห่งอาณาจักรเรแล้ว ไม่เพียงแต่ทหารจะมีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นเท่านั้น ยังจะข่มขวัญผู้ที่คิดเป็นปฏิปักษ์ต่อเราได้อีกด้วย ว่าไงล่ะท่าน เราเองก็กำลังมองหาชายที่เหมาะสมกับลูกสาวของเราอยู่พอดี พระราชายังคงจ้องรอคำตอบจากผมพร้อมด้วยรอยยิ้มที่แสนมีความสุขหากแต่แฝงไปด้วยแรงกดดันที่ยากจะปฏิเสธ

                ผมหันไปมองไลน์เพื่อหวังให้ช่วยหากแต่เธอกลับเมินหน้าหนีไปเสียอย่างนั้น ผมจึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาทางพระราชาและองค์หญิง ไม่รู้ว่าถ้าเป็นคนอื่นจะตอบอย่างไร มีชีวิตอยู่ในวังพร้อมด้วยนางสนมคอยป้อนน้ำป้อนนม ทุกอย่างที่อยากได้ก็ได้มาอย่างสบายๆ แถมมีแต่คนนับหน้าถือตา ทว่าทั้งหมดแล้วนั้น! 

               “คือว่าผม... 

              ใช่แล้ว! ทั้งหมดนั้น 

               “ผมขอโทษนะครับ แต่ผมว่ามันออกจะเกินตัวไปหน่อย 

               ทั้งหมดนั้นที่ว่ามามันไม่ใช่สิ่งที่ผมควรจะได้เลยสักนิด ผมไม่ใช่คนที่ฆ่าจอมมาร ผมไม่ใช่คนที่เหมาะสมกับเธอที่เป็นถึงองค์หญิง ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกผมมันไม่เหมาะสมกับใครเลยมากกว่า เป็นได้แค่จอมหลอกลวง เป็นได้แค่ไอ้ผู้กล้าจอมปลอม และเป็นได้แค่ไอ้ลามกไร้น้ำยาเท่านั้น

                นอกจากนั้นแล้วถึงจะได้เป็นเจ้าชายที่มีหน้าอกสาวรายล้อมแต่มันจะรู้สึกดียังไงถ้าหน้าอกพวกนั้นเรียกหาผู้พิชิตจอมมาร เรียกหาผู้ที่แข็งแกร่ง เรียกหาผู้กล้าที่แท้จริง ไม่ใช่ตัวผมเอง

              พระราชาถอนหายใจอย่างผิดหวังก่อนจะเอนตัวพิงบัลลังก์ งั้นเหรอ สายตาคู่นั้นฉายแววเศร้าเสียดาย อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ข้าก็ยังอยากให้ท่านร่วมรบกับเราอยู่นะ ไม่ทันไรแววตานั่นก็ฉายแววมีความหวังมองมาทางผมอีกครั้ง

                จริงอยู่ที่ผมช่วยพวกเขาเข้าสู้รบกับทัพของจอมมาร แต่นั่นมันเป็นเพราะถูกบังคับ และนอกจากนั้นพวกปีศาจเองก็เป็นภัยต่อมนุษย์ด้วย ทว่าสำหรับการขอร้องในครั้งนี้มันช่างต่างออกไป มันไม่ใช่การร้องขอให้ช่วยชีวิต แต่กลับเป็นคำขอให้ผมคร่าชีวิตและนอกจากนี้มันยังแฝงไปด้วยความโลภที่เน่าเหม็นของมนุษย์ หากการรวมอาณาจักรต่างๆ ที่ว่ามามันหมายถึงการฆ่าอย่างนั้นแล้ว 

                 “เรื่องนั้นผมก็คงต้องขอปฏิเสธจริงๆ ครับ 

                 ผมก้มตัวลงโค้งต่อหน้าเหล่าอัศวินและพระราชา

                 “ผม... 

                 ผมนึกถึงการต่อสู้ในสนามรบจริงที่ได้สัมผัสและเห็นมากับตาเมื่อคืนนั้นแล้ว ความเจ็บปวดที่แทรกขึ้นมานี่มันคืออะไรกันนะ 

                “ไม่อยากฆ่าใครอีกแล้ว” เมื่อพูดเสร็จผมก็ยืนตัวตรงแล้วเงยขึ้นมองเบื้องหน้า

                ทว่าสิ่งที่ผมเห็นกลับทำให้ขวัญผวาแล้วรู้สึกหนาวไปถึงสันหลัง หน้าผากและสายตาที่พระราชาจ้องเขม็งมาทางผมนั้นปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด พาให้นึกถึงวัวกระทิงที่มองผ้าสีแดงอย่างหงุดหงิด ใบหน้าที่แดงเถือกนั่นผิดกับรอยยิ้มอย่างเป็นกันเองเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ผมแทบจะยืนไม่ติดเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตด้านลบอันมหาศาลขนาดนั้น

                พระราชาพูดด้วยน้ำเสียงเกร็งๆ อย่างโกรธเกรี้ยว ข้าก็ไม่อยากทำอย่างนี้หรอกนะ แต่ข้าจะให้ทางเลือกกับเจ้าเพียงสองทางเท่านั้น เขายืนขึ้นชี้นิ้วมาทางผมแรงกดดันพาให้ขาถอยร่นไปหนึ่งก้าว เจ้าจะช่วยข้ารบรวมแผ่นดินแล้วกลับไปยังที่ซึ่งเจ้าจากมา หรือจะยอมติดอยู่ในที่แห่งนี้ตลอดกาลในฐานะผู้กล้าที่ถูกลืม

               ไม่ใช่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่โกรธ แต่ตัวผมเองเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ค่อนข้างไม่พอใจเลยทีเดียว ทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วว่าเมื่อรบเสร็จจะส่งกลับ เอ๊ะ! ไม่สินั่นเราคุยกับมากาเร็ตเอาเองนี่หว่า หรือว่าคนๆ นี้วางแผนไว้แต่แรกแล้วงั้นเหรอ

               “ว่าอย่างไรล่ะท่านผู้กล้า พระราชานั่งลงบนบัลลังก์อีกครั้งวางแก้มลงบนมือข้างซ้ายซึ่งเท้ากับโต๊ะกลมข้างพระที่นั่ง 

                มันก็แน่อยู่แล้ว ต่อให้ตายผมก็ไม่มีวันเลือกข้อแรกเป็นอันขาด ผมฟันมือซ้ายออกไปด้านข้างสุดแรงเกิดดัง ฟุ่บ! ขณะพูดด้วยเสียงดังซึ่งก็หวังว่าพวกเขาจะได้ยินกันอย่างชัดเจน พลางเหลือบไปเห็นรอยยิ้มที่มุมปากขององค์หญิงซึ่งยืนมองมาอย่างเงียบเชียบ

                พระราชาเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ ตัดสินใจแล้วนะผู้กล้า... เขามองมาทางผมด้วยสีหน้านิ่งเฉยพร้อมแววตาที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเลือกทางได้ดีกว่านี้เสียอีก” 

                ...การสนทนาของพวกเราจบลงด้วยความเงียบ หลังจากนั้นพระราชาก็ปัดมือไล่ผมออกไปเช่นเดียวตอนที่ไล่ไลน์เมื่อสักครู่ ผมที่ไม่รู้จะยืนเป็นหมาหัวเน่าอยู่ทำไมก็หันหลังให้ เดินออกไปจากประตูวังผ่านหน้าเหล่าอัศวินและไลน์กับมูมู่ซึ่งยืนอยู่สองฟากทางอย่างเงียบเชียบ             

     

     

              นี่มันอะไรกันวะเนี่ย

    ผมเดินออกมาจากวังด้วยความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ พึมพำขณะมองซ้ายแลขวาโดยไม่รู้จะไปทางไหนดี กระชากผ้าพันศีรษะออกอย่างไร้ที่ระบาย ตอนนี้ผมอยากต่อยหมอนในห้องนอนเป็นบ้า มันคือสิ่งที่ผมทำเมื่อไม่พอใจกับอะไรก็ตาม ว่าแล้วก็กระทืบเท้าลงกับพื้นดังปึงปัง

    แม่งเอ้ย มนุษย์นี่เห็นแก่ได้ชะมัดเลยวุ้ย

    ถึงผมจะเป็นมนุษย์ก็ตามที

    แต่จะว่าไปเราไปทำแบบนั้นในวังเนี่ยเป็นปกติคงโดนเจี๋ยนไปแล้วแน่ๆ ที่ยังรอดนี่เพราะมีฐานะของผู้กล้าค้ำไว้สินะ แม่งเอ้ย!” ว่าแล้วก็กระทืบพื้นอีกครั้ง แม้แต่ฐานะที่ค้ำไว้ก็เป็นของปลอมอีกอยู่ดียิ่งคิดแล้วมันยิ่งวัยรุ่นเซ็งโว้ย

              “อย่างกับลิงแหนะ เสียงมากาเร็ตร่อนไม้กวาดลงมาจากบนฟ้า ผมมองไปยังห้องที่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้โดยมีผ้าม่านถูกตีสะบัดไปมาเมื่อปะทะเข้ากับลม นั่นคงเป็นห้องที่ผมนอนพักและเธอคงออกมาจากห้องนั้น ข้าได้ยินเรื่องทั้งหมดผ่านเวทย์โสตญาณแล้ว เจ้านี่ไม่เบาเลยเชียวนะเจ้าหนู

              “เรื่องของฉันน่า ผมตอบอย่างหงุดหงิด ถึงจะรู้ว่าไม่ควรไปลงกับเธอก็ตามทีแต่มันเกินจะเก็บอารมณ์นี้ไว้ได้ง่ายๆ

              “ไปพูดอย่างสนิทสนมกับพระราชาแบบนั้น แถมยังหักหน้าท่านไปถึงสามสี่หน ข้าว่าเจ้าระวังคอไว้จะดีกว่านะ” มากาเร็ตพูดถึงสิ่งที่ผมค่อนข้างจะกลัวอยู่ไม่น้อย ชวนให้ผมเย็นวาบไปถึงสันหลังและหนาวต้นคอแปลกๆ

                “แต่ข้าชอบนะ 

                มากาเร็ตร่อนไม้กวาดวนไปมารอบๆ ตัวผม

                “หืม... 

                ดึ๋ง! อกของเธอเด้งขึ้นลงเป็นจังหวะ

                “ตรงไปตรงมา อื้ม...

                ดึ๋ง! ผมพลอยผงกหัวตามหน้าอกของเธอ

                “แถมยังยึดมั่นในความคิดของตัวเอง... 

                ดึ๋ง! อึก! ผมกลืนน้ำลายลงคอไปหนึ่งอึก

               “จะว่าไปแล้วข้าก็ยังไม่ได้ให้รางวัลเจ้าเลยนี่นะ หืม... 

                ขณะที่เธอกอดอกส่วนนั้นของเธอก็เหมือนกับถูกเบ่งให้เห็นชัดขึ้นผ่านชุดแม่มดที่ผมเพิ่งสังเกตได้ว่ามันก็รัดรูปไม่ใช่น้อยพาให้ความรู้สึกหงุดหงิดเมื่อสักครู่หายไปไหนของมันแล้วก็ไม่รู้

                    เธอลอยเข้ามากระซิบที่ข้างหูผมเบาๆ จะจับก็ได้นะจ๊ะ ลมร้อนที่ออกมาจากคำพูดนั้นทำเอาผมสั่นสยิวไปทั้งตัว  เมื่อนำริมฝีปากออกจากใบหูของผมซึ่งตอนนี้มันคงจะแดงก่ำไม่น้อยเธอก็ขยิบตาข้างหนึ่ง ประกอบกับลอยอยู่เบื้องหน้าเหมือนจะบอกให้ผมจับมันได้

              อึก! ผมกลืนน้ำลายอีกหนึ่งอึก ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือออกไปตามคำเชื้อเชิญนั้น มือของผมตอนนี้สั่นระริกอย่างตื่นเต้นและชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยิ่งมันเข้าใกล้แตงโมสองลูกนั่นเท่าไหร่ใจผมก็สั่นแรงขึ้นเท่านั้น ลมหายใจที่หอบแฮ่กๆ เหมือนไอ้โรคจิตนี่ก็ช่างยากจะควบคุม 

              ตอนนี้มันเอื้อมไปจวนจะถึงอีกเพียงไม่กี่มิลเท่านั้นก็จะแตะโดนก้านสั้นๆ ของแตงโมที่ยื่นออกมา เริ่มสัมผัสถึงไอร้อนที่แผ่มาจากเรือนร่างอันแสนเย้ายวนของมากาเร็ตได้ แต่ทว่า

              มือของผมมันไม่ยอมขยับไปต่อ ไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่อีกเพียงไม่ถึงสองมิลก็จะได้สัมผัสกับโลกใบใหม่นี่แล้วแท้ๆ ทำไมกัน ทำไมถึงหยุด ไปต่อสิไปต่อเดี๋ยวนี้ผมเพ่งมองไปที่หน้าอกนั่นขณะยื่นมือเอื้อมเข้าไปอีกหนึ่งมิล ซึ่งเหลืออีกแค่มิลเดียวเท่านั้นไปต่อเดี๋ยวนี้นะโว้ย

              กึ่กๆ มันสั่น มือของผมมันสั่นและพยายามจะถอยร่นออกไป ขอยืนยันว่าผมยังมีอารมณ์นั้นอยู่ไม่ต่างกับตอนที่จมลงบนเนินอกของนางทั้งสิบสองคนนั้นแน่นอน ผมยังหื่นอยู่ แต่ว่าบางอย่างแปลกไป ทำไมกันนะทั้งๆ ที่ผมยอมลงทุนโกหกเพื่อให้ได้เชยชมหน่มน้มของสาวงามจากทั้งอาณาจักร แต่กลับ... พอเป็นมากาเร็ตแล้วมันเหมือนกับว่าผมทำไม่ได้ ผมไม่มีวันทำได้และไม่มีทางทำเป็นอันขาด ผมไม่เข้าใจ

              “อ้าว! ซึ้งขนาดร้องไห้เลยเหรอเจ้าหนู

               เอ้ะ! นี่ผม... ร้องไห้อยู่งั้นเหรอ ไม่รู้ตัวเลยสักนิดทรมานชะมัด ภาพมากาเร็ตที่เห็นอยู่เบื้องหน้ามันเบลอไปหมดราวกับมีม่านน้ำตกมาบดบัง ผม... ผมทำมันไม่ได้ ผมทรยศหน่มน้มของมากาเร็ตไม่ได้

              ผมค่อยๆ ชักมือออกพลางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาแล้วมองมากาเร็ตเบื้องหน้า เราต่างไม่ละสายตาต่อกัน เธอเอียงศีรษะเหมือนสงสัยบางอย่างซึ่งก็ไม่แปลก คงประหลาดใจอยู่พอควรที่ผมไม่ทำมันลงไป

              “ตอนนี้ไม่ได้มากาเร็ต ผมตอบ

              “ตอนนี้มันยังไม่ใช่ มันยังไม่ใช่หน่มน้มของผม

               “หืม... บรรยากาศยังไม่ให้สินะ จะว่าไปหน้าพระราชวังคงไม่เหมาะ เธอใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากขณะครุ่นคิด

              “ไม่ใช่หรอกมากาเร็ต เวลาต่างหาก ผมหันมองไปทางอื่นด้วยไม่กล้าสบตา พลางกลั้นน้ำตาไม่ให้หลั่ง มันยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะได้จับมัน รอหน่อยนะมากาเร็ต

              ผมแอบเหลือบกลับไปมองเห็นเธอยิ้มที่มุมปากอย่างมีเสน่ห์ ข้าหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นข้าคงจะมอบให้เจ้าได้มากกว่าแค่จับมันนะเจ้าหนู โฮ๊ะโฮ๊ะโฮ๊ะ เธอกล่าวแล้วจึงหัวเราะร่าอย่างแม่มด ผมคิดว่าถ้าเวลานั้นมาถึงผมคงจะจับมันได้อย่างเต็มไม้เต็มมือ และผมยังคงหวังเช่นนั้น

    จบตอน

                โปรดติดตามตอนที่ 7

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×