คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ 15: จุดเปลี่ยน
ตอนที่ 15: จุดเปลี่ยน
โฮก!!! เสียงครวญครางดังก้องสะท้อนผนังถ้ำ ร่างที่เปียกโชกของอสูรและปีศาจต่างตื่นจากการควบคุม อาจเพราะพวกมันไม่มีความทรงจำจึงเดินสะเปะสะปะอย่างไร้จุดหมายสับสนกับชีวิต กระทั่งถึงที่สุดของสัญชาตญาณจึงพุ่งเข้าหาเราในฐานะเหยื่ออันโอชะ
ผมคืนดาบให้กับไลน์แล้วผลัดหน้าที่มาอุ้มไกแทน ฉวยโอกาสคว้าผ้าปูโต๊ะมาปกปิดของสงวนแล้วไปขโมยแหวนมาจากนิ้วเวสโซได้สำเร็จ ตอนแรกตั้งใจว่าจะทำลายมันทิ้งแต่พอคิดอีกทีหากเก็บไว้จะเป็นประโยชน์มากกว่า
หลังจากสวมแหวนไว้ที่นิ้วกลางก็ทดลองใช้งานคร่าวๆ ด้วยการตั้งสมาธิสร้างลมพัดส่งตัวตอนวิ่งไปยังทางออก เมื่อเห็นว่าใช้ได้ผลจึงเรียกกระแสไฟสร้างความสว่างบริเวณทางเดิน กระดากใจอยู่บ้างแต่ก็ต้องยอมรับว่าของที่ไอ้นักวิทยาศาสตร์บ้านั่นประดิษฐ์ก็ไม่เลวเลยทีเดียว
พอขึ้นมาถึงห้องโถงกลางคฤหาสน์ผมค่อนข้างประหลาดใจกับสภาพเละเทะที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ กลิ่นคาวเลือดคละฟุ้งกับกลิ่นไหม้ฉุนกึกจมูกทะลุเข้ามายังปอด ทำเอาสะดุ้งเมื่อเห็นศีรษะถูกฟันขาดของทหารรายหนึ่งกำลังจ้องมองมาทางผม เดาได้ว่าเป็นฝีมือของแม่สาวโหดซึ่งแยกทางกันมาเมื่อครู่ เธอบอกให้ผมพาน้องชายไปหลบในที่ปลอดภัย นั่นคือเหตุผลที่เราต้องปล่อยเธอไว้คนเดียว
กองอัศวินกว่าร้อยนายนำทัพโดยมูมู่ถูกเรียกมาในไม่ช้า เธอตรงเข้าหาผมยื่นเหรียญเงินรูปหมวกอัศวินให้ดูแล้วสอบถามเรื่องราว “อั๊วมาเข้าเวรเฝ้าปราสาทน่อ แล้วจู่ๆ ก็มีเด็กคนนึงเอาตราอัศวินมาบอกว่าแม่ทัพไลน์ให้นำกำลังมาช่วยท่านผู้กล้าแล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น” หล่อนพูดด้วยสำเนียงจีนพอฟังรู้เรื่อง ถ้าให้เดาเด็กคนนั้นคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเดรกบางทีเขาน่าจะพบกับไลน์เข้าโดยบังเอิญ
“เรื่องมันยาว” ผมเดินไปฝากไกไว้กับทหารผิวคล้ำนายหนึ่ง “เขาดูอ่อนเพลียและหน้าซีดๆ ช่วยพาไปรักษาที่วังที” เมื่อพูดเสร็จหลังจากขานรับเขาก็วิ่งไปตามคำสั่ง ผมหันมาคุยต่อกับมูมู่ “เวสโซโคลนนิ่งปีศาจและทำการสร้างเมจิคสโตนดัดแปลง ฉันอัดมันสลบไปแล้วแต่พวกปีศาจหลุดออกมา ตอนนี้ไลน์ถ่วงเวลาไว้อยู่ในห้องทดลองใต้ดิน” ผมชี้ให้ดูประตูทางลง
“ไอ้หยา” มูมู่ชักสีหน้าประหลาดใจก่อนจะทุบกำปั้นบนฝ่ามือ “ทั้งๆ ที่พวกปีศาจทำกับเราขนาดนี้ยังมีคนกล้าโคลนนิ่งมันอีกเหรอ” เธอพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะใช้นิ้วสั่งทหารที่เหลือบุกเข้าไป เฟรมสโตนถูกจุดอย่างลุกโชนทหารนับร้อยต่อแถวกันลงชั้นใต้ดินแน่นขนัด
“พื้นที่ไม่แคบไปหน่อยเหรอ” ผมถามมูมู่พลางเกาศีรษะถอนหายใจ
“จะให้มันขึ้นมาก่อเรื่องในเขตชุมชนไม่ได้น่อ ต้องกำจัดตั้งแต่ในห้องใต้ดิน” เธอเก็บตราของไลน์ไว้ในถุงผ้าแล้วมองผมหัวจรดเท้า “อาท่านผู้กล้า ลื้อบาดเจ็บนี่”
“อ...อืมนิดหน่อย เพราะเศษแก้วมันแตกออกมาจากหลอดทดลองเลยมีโดนเฉือนไปหลายจุดด้วยล่ะนะ” ผมจับแผลเลือดไหลบริเวณแขน ก่อนหน้านี้เพราะไฟช็อตจนชาเลยไม่ทันรู้สึกตัว อืม...เริ่มเจ็บแปลบขึ้นมาแล้วแฮะ
“กลับไปพักผ่อนที่วังเถอะ ทางนี้อั๊วจะจัดการให้เอง”
เธอพูดเสร็จแล้ววิ่งตามไปสมทบกับกองทหาร ผมยืนดูจนเหลือเพียงตัวคนเดียวจากนั้นเข่าก็ทรุดลงด้วยความอ่อนล้า ความจริงผมใช้แรงไปจนหมดไม่เหลือพอให้เดินไปถึงรั้วด้วยซ้ำ
แฮ่กๆ ! ให้ตายสิไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต พอโล่งอกก็หมดสภาพยิ่งกว่าฝึกวิชาทหารซะอีก
ณ บ้านที่ห่างออกไปหลายไมล์จากพระราชวัง บรรยากาศสลัวใต้เชิงเทียนถูกประดับไว้ด้วยเครื่องเพชรและหินหลากสีสัน บนโต๊ะไม้สนเต็มไปด้วยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และสลัดเพียงสองสามชาม การประชุมอันเงียบเชียบเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับเสียงซดไวน์องุ่นของพ่อค้าวัยชรา
“จะไปจริงๆ เหรอ”
“ข้าต้องไปองค์หญิง”
มากาเร็ตตอบโซเซเฟียด้วยนัยน์ตาเศร้าหมอง เธอพึมพำอยู่ในลำคอว่า ‘ข้าจำต้องไป’ พลันวางลูกแก้วแห่งอาคาเนลเบื้องหน้าเจ้าหญิง
“ข้ามิอาจให้เกิดเรื่องเหมือนครั้งอาจารย์ข้าได้” แม่มดสาวจ้องไปยังแมคกรีที่กำลังฉีกเนื้อไก่กินอย่างเอร็ดอร่อย เขารู้ตัวชะงักแล้ววางมันลงมองทั้งคู่อย่างเหรอหรา
โซเซเฟียละสายตาจากอีกฝ่ายไปยังลูกแก้วซึ่งถูกกลืนกินด้วยเงา เธอกุมมือตัวเองที่สั่นพร่าไว้แน่น “แต่มากาเร็ต เราเห็นนิมิตนั่น”
“แสงสว่างกับความมืด แสงกับเงา การแผ่ขยายและการกลืนกิน นิมิตของท่านเห็นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้” มากาเร็ตกลัดกลั้นคำพูดซึ่งไม่อยากเอื้อนเอ่ยแต่ต้องทำเพราะการทำนายนิมิตเป็นหน้าที่หนึ่งของเธอ “จอมมารอาจกลับมา”
พรวด! แมคกรีสำลักน้ำเมื่อได้ยินคำพูดเหนือความคาดหมาย เขาทำตัวเลิกลั่กแกมเมาลุกจากเก้าอี้ตบหูตัวเองสี่ครั้งเอนเข้าหาแม่มดสาว “ท่านว่าอะไรนะ ข้าว่าข้าแก่มากจนหูฝาดไป”
ทั้งสองมองพ่อค้าชราครู่หนึ่งแล้วหันมาคุยกัน “แล้วเขาจะไปด้วยไหม” เจ้าหญิงถามด้วยแววตาที่สั่นไหว
“แมคกรีนะเหรอ ข้าแค่ให้เขาพาออกจากปราสาทเงียบๆ เท่านั้นแหละ หากทหารเห็นข้าเดินออกไปโต้งๆ มีหวังไม่พ้นหูราชาท่านแน่”
“ร...เราไม่ได้หมายถึงแมคกรีสักหน่อย” เธอหน้าแดงก่ำขณะลูบนิ้วนางอย่างเคอะเขิน
มากาเร็ตสังเกตท่าทีของโซเซเฟียแล้วจึงคาดได้ว่าเธอพูดถึงใคร “หืม” รอยยิ้มอย่างมีเลศนัยปรากฏบนริมฝีปาก หล่อนหรี่ตามองหญิงสาวอย่างตั้งใจ “ข้าได้ยินมาว่าท่านทั้งสองหมั้นกันแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะสนใจเจ้าหนูนั่นจริงๆ นะเนี่ย”
“อ...อะไรเล่า ทีเจ้ายังมีคนที่รักได้ เราเองก็โตแล้วนะ” เธอทุบโต๊ะเป็นเชิงงอนในขณะแมคกรียังงุนงงกับบรรยากาศที่เปลี่ยนอย่างกะทันหัน
แม่มดสาวและเจ้าหญิงเติบโตมาด้วยกันประหนึ่งพี่น้อง โซเซเฟียได้รับการฝึกสอนเวทมนต์มาจากมากาเร็ตอีกทอดหนึ่ง พรสวรรค์ด้านพลังเวทย์อันเกือบเท่าระดับแม่มดทำให้เธอหยั่งรู้อนาคตได้ แต่กระนั้นภูมิปัญญาที่มีก็ยังเทียบได้ยากกับความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัส ด้วยอายุเพียง 17 เธอยังห่างจากมากาเร็ตกว่า 8 ปี ทำให้ท่าทีใคร่รักนั้นไม่ต่างกับเด็กในสายตาแม่มดสาว
“แล้ว...เขาจะไปรึเปล่า” ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มเม้มเข้าแสดงถึงอาการลุ้นจนตัวสั่น เธออาจไม่ได้รู้สึกมากเท่าขั้นรักแต่แค่ความใจดีของชายหนุ่มผู้ทุ่มเทต่อเด็กๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะกลายเป็นภาพประทับอยู่ในใจ
มากาเร็ตอดยิ้มให้กับสีหน้าของเจ้าหญิงผู้มีรักแรกมิได้ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ต้องตอบตามความเป็นจริง “เดิมทีข้าว่าจะพาเจ้าหนูนั่นไปด้วย เพราะอย่างไรก็ต้องออกเดินทางอยู่แล้ว ระหว่างนั้นจึงคิดจะตรวจสอบความเป็นไปได้เกี่ยวกับนิมิตของท่าน หากเขาเป็นกุญแจดังว่าจริงคงเป็นประโยชน์ยามคับขัน”
“นั่นสินะ” เธอถอนหายใจเบาๆ สิ่งที่หล่อนพูดมาเป็นความจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ลึกๆ แล้วจะกังวลว่าเขาคงไม่อยากกลับมาอีกก็ตาม สุดท้ายเลยได้แต่ทำใจจิบไวน์ในแก้วเพื่อปลอบประโลม
“แต่พอข้าเห็นท่าทางท่านจะไม่อยาก ก็คงต้องไปคนเดียวกระมัง”
พรวด!!
“จริงเหรอ!” โซเซเฟียสำลักน้ำในท่าเดียวกับแมคกรี พลันชะโงกหน้าถามอย่างลืมภาพลักษณ์
แม่มดสาวพยักหน้าแกมขบขันก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง “แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับเขาตัดสินใจล่ะนะ” เมื่อเจ้าหญิงดูใจเย็นลงบ้างแล้วเธอจึงกลับเข้าเรื่องประชุม “อย่างที่ข้าบอกท่านเมื่อวันก่อนว่าอย่าเพิ่งชะล่าใจไปกับชัยชนะ”
“อืม ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ท่านพ่อเราก็คงอดยินดีไม่ได้” โซเซเฟียเท้าคางกับโต๊ะนึกถึงใบหน้าของพระราชาตอนประกาศเฉลิมฉลองในวันไนท์แมร์ออฟอีวิล และล่าสุดที่พระองค์มัวแต่ทรงพระโสมนัส (ดีใจ) ยิ่งในโอกาสการหมั้นของเธอกับผู้กล้า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปความประมาทอาจทำให้ประเทศล่มสลายได้ เธอมุ่งหวังให้แต่งงานโดยไวเพื่อบุรุษผู้นั้นจักได้มาช่วยดูแลอาณาจักรเรก่อนอะไรจะเกิดขึ้น
“ข้าไม่อาจรู้เลยว่าแผนของพวกมันคืออะไร ที่น่ากลัวที่สุดคือเหตุการณ์รถค้าทาสถูกทำลายและปีศาจหนีออกมาได้เมื่อวันก่อน หากนั่นเป็นหนึ่งในแผนของพวกมัน…” มากาเร็ตกุมหน้าท้องบริเวณที่ได้สัมผัสดาร์กสโตนพลันชักสีหน้าซีดเผือด
“เราว่าเจ้าคิดมากไปรึเปล่า” โซเซเฟียพยายามปลอบแต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้ผล หล่อนกำมือแน่นจนชุ่มเหงื่อก่อนอธิบายความกลัวให้เธอฟัง
“ปีศาจพวกนั้นสามารถจัดการกับเจ้าหนูนั่นจนสะบักสะบอมแล้วหนีไปได้ เจ้าหนูที่ได้ชื่อว่าฆ่าจอมมาร” ถึงคราที่ไวน์องุ่นถูกกรอกเข้าปากมากาเร็ต เธอสบตากับแมคกรีก่อนเบนมามองโซเซเฟียบรรยากาศเงียบลงจนได้ยินเสียงปีกแมลงเม่า “ท่านคิดว่าปีศาจระดับนั้นจะถูกจับมาเป็นทาสงั้นเหรอ”
คำพูดของหล่อนทำให้อีกสองคนหนาววาบไปถึงสันหลัง แมคกรีผลัดมาดวดไวน์จากขวดจนเกลี้ยงเขาทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ “งั้นมันคงอยากจะทำกับท่านเหมือนอย่างเมียข้าเจอสินะ” เขาเขวี้ยงขวดเหล้าปะทะกับกระจกหน้าต่างจนแตก สะอึกด้วยความมึนเมา
“บัดซบเอ้ย”
ภรรยาของแมคกรีคือเอเนซ่าผู้เป็นอาจารย์ของมากาเร็ต ความเจ็บปวดที่คู่รักไหนๆ ก็คงไม่เข้าใจแฝงอยู่ในแววตาเขาตลอดเวลา สงครามระหว่างปีศาจและมนุษย์ทางฝั่งตะวันออกเมื่อห้าปีก่อน แม่มดชรานามเอเนซ่าได้เข้าปกป้องอาณาจักรร่วมกับลูกศิษย์ทั้งหมดของเธอ การต่อสู้คุกรุ่นอยู่สองวันสามคืนกว่าจะขับไล่ทัพจอมมารออกไปได้ ทว่าสิ่งที่หลงเหลือจากไฟนรกกลับมีเพียงซากปรักหักพังและบรรดาศพของศิษย์อันเป็นที่รัก นอกจากมากาเร็ตกับเธอแล้วก็ไม่มีใครรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นอีกเลย
จากนั้นเอเนซ่าก็เริ่มเสียสติเธอจมอยู่กับความเศร้าและโกรธแค้น แม้แต่แมคกรีก็ไม่อาจมอบความรักที่ยิ่งใหญ่พอจะช่วยเธอได้
สิ่งหนึ่งที่คนรอบข้างไม่ทันได้ล่วงรู้เลยนั่นคือจากการต่อสู้ครั้งนั้นเอเนซ่าได้นำดาร์กสโตนกลับมาด้วย แม้เจตนาแท้จริงคือเพื่อศึกษาเวทมนตร์ที่จอมมารใช้ แต่มันก็ได้กลืนกินจิตใจเธอทีละนิดอย่างเงียบเชียบ ผิวพรรณของเธอกลับมาสาวอีกครั้งแลกมาด้วยความหยาบช้าและต่ำทราม รอยยิ้มบนใบหน้าเหี่ยวย่นถูกพับเปลี่ยนเป็นริมฝีปากคมเจ้าเล่ห์ภายใต้ผิวพรรณขาวเนียน
เวทย์น้ำบริสุทธิ์ของเธอแปรผันเป็นเมือกอสูรกายที่กัดกร่อนทุกสิ่ง ในไม่ช้านานเอเนซ่าและดาร์กสโตนก็ไม่อาจพรากจากกัน เธอกลายเป็นอสูรกายริษยาผู้กลืนกินวิญญาณมนุษย์ จนถูกแม่ทัพทั้งสี่นำโดยมากาเร็ตสังหารในที่สุด
มากาเร็ตมองเห็นความโศกสลดในแววตาของพ่อค้าชรา เธอเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกันกับการต้องทำร้ายหญิงที่เคารพรัก แต่มันคงมิอาจเทียบได้กับสิ่งที่แมคกรีรู้สึก “ถ้าเจตนาของพวกมันคือจงใจฝังเมจิคสโตนไว้กับข้า ก็คงไม่ต่างกับความต้องการทำลายแม่มดคนสุดท้ายของอาณาจักร”
“ใครอยู่เบื้องหลังกันนะ” โซเซเฟียบีบแก้วไวน์ทองคำประดับเพชรในมือจนสั่นด้วยความโกรธเคือง
“ข้าจะสืบเรื่องนั้น” แม่มดสาวเก็บลูกแก้วแห่งอาคาเนลลงถุงผ้า แล้วชี้นิ้วไปยังประตูทางเข้าบ้าน “เพราะแบบนั้นข้าจะขอให้เขาไปกับข้าด้วยล่ะนะ”
“โหยๆ ไอ้บ้าที่ไหนมันทำกระจกบ้านข้าแตกวะ”
ชายผู้มีร่างผอมสูงกับผมดำยาวสนิทเปิดประตูก้าวเข้ามาตะบึงตะบอนใส่ทั้งสามคน ใบหน้าที่มีรอยบากลากยาวจากหน้าผากจรดคางทำให้เจ้าหญิงออกอาการสะดุ้งเล็กน้อย "ไอ้เศษขวดเหล้านี่ใครทำ!!"
“ไม่ใช่ขวดเหล้าโว้ยขวดไวน์ต่างหาก” แมคกรีเถียงกลับใส่ชายเจ้าของบ้านแล้วขากเสลดลงบนพื้นไม้
“เห้ย ไอ้แก่เวรนี่เดี๋ยวตูปั๊ดเจี๋ยนทิ้งซะหรอก” เขาพยายามจะชักดาบที่สะพายไว้กับหลังแต่มากาเร็ตจับแขนไว้ก่อน
“ใจเย็นๆ หน่อยสิ แค่คนเมาเองนะ” เมื่ออีกฝ่ายยอมหยุดแล้วเธอจึงปล่อยมือ
“ชิ ให้ตายสิฉันก็อุตส่าห์บอกไปหมดแล้วว่าพอกันทีกับไอ้งานอัศวินเนี่ย” เขานั่งลงข้างเจ้าหญิงบ่นพลางกอดอกทำหน้ามุ่ยโยกขาเก้าอี้ไปมา
โซเซเฟียมองลักษณะท่าทางของเขาก่อนจะนึกออกว่าเคยพบเจอกันมาก่อน “ข้าคุ้นๆ หน้าท่านนะ ...อ้ะหรือว่าจะเป็นคนที่มากับแม่ทัพมาร์ชทีชบ่อยๆ อาจารย์ของแม่ทัพไลน์”
มากาเร็ตใช้สันมือเคาะหัวเขาให้หยุดเล่นเก้าอี้ “อืม ถ้าจะหาคนมาช่วยดูแลข้าที่เป็นผู้หญิงเปราะบางระหว่างการเดินทางโดยไม่ใช่อัศวินละก็ คงมีแต่ไอ้นี่แหละ”
“อ...ไอ้นี่” โซเซเฟียพูดตามพลางชี้นิ้วไปที่ชายเจ้าของบ้านอย่างงุนงง
“นี่เธอเห็นฉันเป็นอะไรฟระ!”
“เอาล่ะ ยังไงก็ฝากด้วยนะ” เธอเดินไปถือไม้กวาดเตรียมจะออกไปจากห้องประชุมชั่วคราว “คาออส”
ท่ามกลางเสียงครึกโครมใต้ดินคฤหาสน์อัลฟราซิส ร่างที่คลานตะเกียกตะกายของชายวัยกลางคนกำลังมุ่งไปยังส่วนลึกของห้องทดลอง นัยน์ตาที่ฉายแววอาฆาตยังส่องประกาย บาดแผลกลางหน้าผากเจ็บปวดฝังลึกถึงขั้ววิญญาณ เวสโซที่คืนสติอย่างฉิวเฉียดก่อนกองอัศวินจะกวาดล้างทัพปีศาจไปกว่าครึ่งนั้นรู้ดีว่าเขาควรทำอย่างไร ภายในใจที่คับคั่งด้วยไฟแค้นเตรียมพร้อมจะพลิกไพ่ตายใบสุดท้าย
“ไม่ยอมถูกจับง่ายๆ หรอกน่า ฉ...ฉันยังไม่ยอมแพ้หรอก ชิชิชิ พวกแกต้องตาย ตายให้หมด”
ภาพในอดีตย้อนเข้าหาเขาเป็นฉากๆ เวสโซถูกเหยียดหยามและหัวเราะเยาะใส่มาตั้งแต่เด็ก วิทยาการที่เขาคิดค้นขึ้นนั้นช่างยากต่อความเข้าใจของคนในยุคสมัยนี้ ไม่เคยมีใครที่เข้าใจเขาเลยจริงๆ สักคน
แม้แต่อ้อมกอดอันอบอุ่นจากพ่อแม่ก็เป็นเพียงการเสแสร้ง เมื่อลับหลังทั้งคู่กลับหวาดกลัวในความอัจฉริยะของเวสโซดั่งเขาไม่ใช่มนุษย์ ผิดกับน้องชายของตนที่ได้รับตำแหน่งสูงส่งในหมู่อัศวินทั้งยังเป็นที่รักของชาวบ้าน สุดท้ายแม้แต่มรดกชิ้นสำคัญซึ่งเขาไม่เคยมีสิทธิ์ได้แตะก็ยังตกไปสู่ผู้น้องอย่างข้ามหน้าข้ามตา ความเจ็บแค้นฝังลึกพาเขาเข้าสู่วิทยาศาสตร์ที่ไร้จิตใจ
เมื่อน้องชายตนได้ตายลง ครั้นได้ยินข่าวจึงรับอุปการะเด็กสาวและเด็กชายมาเพื่อหวังจะฮุบสมบัติชิ้นสำคัญซึ่งควรเป็นของตนแต่แรก ทว่าเมื่อเด็กสาวก้าวเข้าสู่ตำแหน่งแม่ทัพในกองอัศวินก็ยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวที่หวังกำจัดทั้งคู่ลำบากมากขึ้น เขาเฝ้ารอโอกาสมาตลอดกระทั่งมันหลุดมือไปเพราะชายไม่ใส่เสื้อผ้ากับหลานสาวผู้น่าชิงชัง
เวสโซนำสภาพอนาถาของตนมาถึงห้องลับชั้นในสุดของถ้ำใต้ดินซึ่งต้องเปิดประตูเหล็กด้วยการควบคุมธันเดอร์สโตนของเขาเท่านั้น ภายในมีร่างต้นของปีศาจที่ถูกโคลนนิ่งนับร้อยกว่าชีวิตหลับใหลอยู่ในตู้แช่ บางตัวแม้ตายไปแล้วก็ถูกสารกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ปลุกให้มีชีวิตขึ้นมาในสภาพนิทราอีกครั้ง
ปีศาจในห้องนี้มีทั้งความทรงจำ พละกำลัง และยากต่อการควบคุม หากแต่กับเขาที่จวนหมดหนทางแล้วมันเป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะหนีออกจากอาณาจักรพร้อมกับได้ล้างแค้นอย่างสาสม
“จงตื่นขึ้นมา ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่าพวกมันให้หมด” เขาตะโกนดังลั่นปล่อยกระแสไฟนับร้อยแยกออกจากธันเดอร์สโตนรอบๆ ห้อง พุ่งตรงเข้ากระเตื้องร่างบรรดาปีศาจให้ฟื้นขึ้น
ทว่าไม่ทันที่จะได้เห็นความสำเร็จเบื้องหน้า อุ้งมือสีฟ้าอันอวบอิ่มของมังกรก็ได้ทะลวกผ่านลำไส้ของเขาไปแล้วก่อนจะได้ยินเสียงพูดกึ่งหัวเราะตามมากระซิบที่ข้างหู
“ฮึ ฮึ ฮึ กลับมาแล้วเหรอไอ้มนุษย์ ปล่อยให้ข้ารอในนี้ซะนานเลย” มันเบนสายตาไปหาพรรคพวกอีกตนหนึ่งซึ่งโผล่ออกมาหลังตู้ทดลองเบื้องหน้าของเขา “เนอะ กินิว”
ใบหน้าสีแดงเถือกแยกเขี้ยวแสยะยิ้มจ้องมาที่เวสโซแววตาเป็นประกาย “ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ”
“อั่ก! ก...แกมัน” เลือดกระอักออกจากปากของเวสโซ แววตาบนใบหน้าซีดเผือดจ้องมันไม่กระพริบ เจ้ามังกรดึงมือสีฟ้าออกจากช่องท้องก่อนจะอ้าปากกลืนกินลำไส้ของเขาอย่างเอร็ดอร่อย
ความตายมาเยือนชายผู้เคียดแค้นอย่างเชื่องช้าพร้อมกับความหนาวเย็น อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลงต่อเนื่อง
สมองที่เจียนจะไม่สั่งการฉายภาพปีศาจสองตัวผู้เคยหนีออกจากห้องทดลองได้สำเร็จเมื่อสองปีก่อน หนึ่งในปีศาจที่ได้รับสารกระตุ้นการสร้างเซลล์และมีกายาอมตะ
พวกมันหลบหนีจากการต่อสู้เมื่อวันก่อน ทะลุมาตามทางน้ำใต้ดินจนถึงที่นี่ รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเวสโซ เท่านี้ผลงานที่เขาสร้างก็จะมาสานต่อการล้างแค้นแทนแล้ว
เดรกวิ่งตรงเข้าหาเพื่อนรักบนเตียงพักฟื้นทันทีเมื่อทหารนำร่างเขามาส่ง น้ำเสียงตื้นตันถูกเอื้อนกับชายผิวคล้ำผู้นั้น “ขอบคุณครับ”
“อืม...ไม่ใช่ข้าหรอก ท่านผู้กล้าต่างหากที่ช่วยเขาไว้”
“อย่างไรผมก็ต้องขอบคุณจริงๆ ครับที่พาเขามาในทันที” เขาเอ่ยขอบคุณซ้ำอีกครั้งแล้วหันไปมองเด็กชาย “นายต้องฟื้นนะเพื่อนมีหลายอย่างเลยที่นายต้องรู้” แขนของไกมีรอยแผลไหม้ที่เกิดจากฟ้าผ่าโดยเวสโซ แม้เคราะห์ดีที่มีพี่สาวกันให้และพวกเขาโดนเพียงแฉลบเท่านั้นแต่มันก็รุนแรงพอสมควร
“งั้น ข้าไปล่ะนะ อีกเดี๋ยวหมอวังที่ให้ยามไปตามคงมา” เขาว่าเสร็จแล้วเดินออกไปสวนกับสาวผมสั้นสีเงินในชุดเกราะ เธอไม่ใช่หมอแต่เป็นมือขวาของอดีตแม่ทัพชาล็อต เมื่อเขาได้ตายไปแล้วพระราชาจึงมีรับสั่งให้เธอมาเป็นองครักษ์ในวังแทน
สาวผมเงินวางหมวกอัศวินที่ถือมาไว้หลังโต๊ะคนไข้ “ข้าได้ยินว่าลูกศิษย์กำลังบาดเจ็บเลยรีบมา”
สิ้นเสียงคำพูดของเธอเดรกมีท่าทีฉงนใจ เขากับไกไม่เคยมีอาจารย์หรือใครสอนทั้งนั้น และต่อให้นึกแทบตายก็คงไม่มีทางที่สาวสวยผมเงินจะมาสอนพวกเขาแน่ๆ ทันใดนั้นจึงฉายแววตาเป็นศัตรูตอบกลับไป “คุณเป็นใคร”
เธอมองเด็กชายกลั้นหัวเราะสักพักก่อนจะโพล่งลั่นออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า แววตาดีนี่ไอ้หนู”
“คุณยังไม่ตอบผมเลยนะ” เดรกกำวอลเตอร์สโตนไว้ในมือจนแน่นเตรียมพร้อมจู่โจม ทว่าเธอกลับส่งรอยยิ้มให้เขาแทน
“ก็อย่างที่ว่านั่นแหละฉันเป็นอาจารย์ของพวกเธอ อ้ะ!” สักพักเธอจึงกอดอกขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจออกมา “อืม...จริงสิพูดให้ถูกก็คนที่จะมาเป็นอาจารย์ล่ะนะ”
“หา!”
“ก็องค์หญิงทรงรับฝากมาไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวตบศีรษะเด็กชายเบาๆ อย่างเอ็นดู “ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้น่า นี่ไง” เธอหยิบภาพสเก็ตใบหน้าพร้อมชื่อของเขาและเพื่อนๆ ขึ้นมาให้ดู พอได้รับเอกสารจากองค์หญิงเมื่อตอนเย็นด้วยความที่เธอดีใจเที่ยวไปอวดคนโน้นคนนี้ว่าตนจะมีลูกศิษย์ จึงทำให้ทหารยามส่วนใหญ่จำพวกเด็กๆ ได้และเมื่อมีคนพบเห็นเดรกวิ่งตามเพื่อนที่บาดเจ็บเลยไม่แปลกว่าข่าวจะไปถึงเธอ
“คุณคือคนของโรงเรียนอัศวินฝึกหัดหรือครับ” เดรกเปลี่ยนทีท่าเป็นตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว
“ดีกว่านั้นอีก ฉันจะฝึกให้พวกเธอเป็นสไควร์เพื่อปูเส้นทางสู่อัศวิน” สไควร์เป็นหนึ่งในหน้าที่ซึ่งคล้ายกับผู้ช่วยอัศวิน พวกเขาจะต้องทำความสะอาด เข้าร่วมการอภิปรายต่างๆ ของเหล่าอัศวินไปพร้อมกับการฝึกฝนหอก ดาบ ซึ่งหากมีความสามารถมากพอจึงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวิน อย่างไรก็ตามก่อนจะเป็นสไควร์ได้พวกเขายังต้องผ่านการฝึกฝนด้วยธนูและอาวุธที่ทำจากไม้ ทั้งยังมีหน้าที่เรียนหนังสือตลอดจนฝึกเป็นข้ารับใช้ซะก่อน
“สไควร์” เดรกมีสีหน้าค่อนข้างหนักใจ
“ใช่! สไควร์ จริงอยู่โรงเรียนอัศวินจบมาแล้วจะเข้ากองทหารได้เลย”
ความจริงแล้วเธอไม่พอใจเล็กน้อยที่โรงเรียนเปิดรับแค่ลูกขุนนางและข้าราชการเท่านั้น แต่เธอเองก็มองเห็นในข้อดีที่สไควร์จะพิเศษกว่าเช่นกัน
“แต่ฉันเองก็ไต่เต้ามาจากการเป็นสไควร์ให้กับแม่ทัพชาล็อตมาก่อนเช่นกัน ดังนั้นรับประกันได้เลยว่าเธอจะทำได้มากกว่าที่พวกนั้นเรียนกันมาอีก”
“ร...เหรอครับ”
เพราะเขายังดูไม่ค่อยวางใจเธอจึงหยิบเอามีดพกที่เหน็บไว้ยื่นให้
“ชื่อเดรกใช่ไหม เธอลองดูนี่สิ”
เด็กชายรับมันมาจากองครักษ์สาว ใบมีดคมกริบเป็นมันเงาสะท้อนตั้งแต่ด้ามจรดปลายบ่งบอกถึงการดูแลรักษาอย่างดีเยี่ยม
“ฉันพนันได้เลยว่าพวกที่จบจากโรงเรียนอัศวินไม่ได้มีมีดและดาบสวยงามอย่างนี้ด้วยตัวเอง” เธอรับมีดคืนจากเด็กชายก่อนจะเก็บลงฝัก “มีดนี่เป็นของราคาถูกแต่ถึงฆ่าปีศาจมากว่าร้อยตนแล้วฉันก็ยังใช้ต่อไปได้ เช่นเดียวกับสไควร์ถึงจะไม่ใช่ชนชั้นสูงเหมือนเด็กโรงเรียนอัศวินแต่ถ้าได้รับการดูแลและฝึกฝนดีๆ ก็ไปได้ไกลกว่าหลายเท่า”
“เข้าใจแล้วครับ” แววตาที่มุ่งมั่นของทั้งสองประสานกันจวนจะเป็นหนึ่งเดียว “ขอบคุณครับพี่สาว”
“อ้อ จากนี้เรียกฉันว่าอาจารย์ลิเกลนะ”
“ครับอาจารย์ลิเกล”
และนี่คือการพบกันครั้งแรกระหว่างศิษย์กับอาจารย์สาววัยยี่สิบสอง
ตะวันฉายแสงลงอาบเมืองในเช้าวันรุ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่คฤหาสน์อัลฟราซิสถูกเก็บเงียบเป็นความลับ ซากปีศาจโคลนนิ่งถูกเผาทิ้งจนไม่เหลือกระดูก ไม่มีใครพบเห็นเวสโซหรือห้องทดลองของเขาอีกเลย
ตระกูลอัลฟราซิสถูกจับกุมส่งไปจำคุกใต้ดินทันที การกวาดล้างเมจิกสโตนดัดแปลงได้เริ่มต้นขึ้นใหม่อย่างจริงจัง ถัดจากนั้นมาไลน์ก็เอาแต่เฝ้าไกอยู่ในห้อง ราวกับว่าเธอต้องการจะชดเชยเวลาที่เสียไปและใช้ความผิดทั้งหมดที่ตนเองเคยกระทำ
ส่วนผมแค่ได้เสื้อผ้าคืนพร้อมกับเฟรมสโตนที่ได้รับมาจากขอทานก็พอใจแล้ว ...ซะที่ไหนล่ะ! ไม่ทันได้พักผ่อนหลังจากต่อสู้ดีงานอภิเษกสมรสก็ถูกจัดขึ้นโดยไม่มีการบอกกล่าวกันเลย ยิ่งกว่านั้นสภาพของผมในตอนนี้ก็อยู่ในชุดอัศวินที่โคตรจะอึดอัดแถมคันก้นก็เกาไม่ได้ เบื้องหน้าของผมคือเจ้าหญิงมีนักบวชยืนขั้นกลางระหว่างเราและผมได้แต่ถามตัวเองว่า ‘นี่ตูต้องแต่งงานตั้งแต่อายุสิบแปดจริงๆ เรอะ’ นี่มันแย่กว่าคลุมถุงชนซะอีก
“ท่านจะรับองค์หญิงเป็นภรรยาตามกฎหมายรึไม่”
“ไม่...” ทันทีที่จะตอบเช่นนั้นสายตาเหมือนจะขู่ฆ่าหลายคู่ก็จ้องมาจนหนาวสันหลัง “ไม่....ไม่มีทางเลือกสินะ”
“เอ้าเร็วสิ เราก็ไม่อยากให้นานหรอกนะ” เจ้าหญิงภายใต้ชุดกระโปรงฟาติงเกล (farthingale) สีขาวใช้นิ้วเรียวงามม้วนปอยผมเขียวประหนึ่งหญ้าอ่อน พอมองแก้มสีชมพูเลือดฝาดกับท่าทางเขินอายเล็กน้อยนั่นแล้วก็ทำให้หัวใจผมเต้นระรัวจนน่ากลัวได้เหมือนกัน
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ” อยากร้องไห้ชะมัดแต่ถ้าไม่ทำมีหวังตายแหง “เออๆ รับครับ”
“องค์หญิงล่ะขอรับ”
“เรารับ”
ตอบเร็วไปแล้วโว้ย! นี่ไม่คิดเลยเหรอ ไม่เลยจริงๆ เหรอ องค์หญิง!!
“เช่นนั้นขอเชิญท่านผู้กล้าสวมแหวนให้องค์หญิงและจุมพิตสาบานได้เลยขอรับ”
“.....” ฮะ!
จริงสิ ถ้าพูดถึงแต่งงานแบบฝรั่งมันก็ต้องมีด้วยสินะ อ...ไอ้จุมพิตเนี่ย แต่แบบนี้มันไม่กะทันหันไปหน่อยเหรอ ไม่สิ ดูจากท่าทางที่เจ้าหญิงทำปากจู๋ยื่นมาทางนี้แล้ว “....” มันโคตรจะกะทันหันเลยโว้ย!
เดี๋ยวนะ!
แล้วนี่ยังไม่ได้สวมแหวนเลยเฮ้ย! หล่อนจะรีบไปไหนฟระ
“กระซิบกระซิบ” หืม พอนักบวชสะกิดไหล่เหมือนมีอะไรจะบอกผมจึงยื่นหูเข้าฟัง “จูบเลย จูบเลย”
แค่เชียร์ให้จูบหรอกเรอะ! แล้วแบบนี้มันจะดีเหรอ ไม่ต้องสวมแหวนก็ได้เหรอ
“จูจุ๊บ จูจุ๊บ” พอแล้วยัยบ้าไม่ต้องขมิบปากก็ได้ อึก! มีแต่ต้องจูบสินะช่วยไม่ได้แฮะจูบมันไปพร้อมกับสวมแหวนเลยแล้วกัน เอ๊ะ แล้วไหงตูถึงตกลงใจไปง่ายๆ ฟระเนี่ย
เอาวะ!
เมื่อริมฝีปากของเราสัมผัสกันและผมสวมแหวนที่มากาเร็ตยื่นมาให้กับเธอ เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังไปทั่วทั้งราชวัง จากนี้ไปชีวิตในฐานะเจ้าชายของผมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
จบตอน
โปรดติดตามตอนที่ 15.5
ความคิดเห็น