คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 : บุกปราสาทจอมมาร 1
ตอนที่ 2 : บุกปราสาทจอมมาร 1
ในไม่ช้ากองทัพจากอาณาจักรก็เคลื่อนตามพวกปีศาจที่ถอยกลับ เราไล่ฆ่าและกวาดต้อน ตลอดเส้นทางเดินผ่านซากศพและเมืองร้าง กลิ่นคาวเลือดกับกลิ่นเน่าโชยสลับกัน บางครั้งเหม็นมากจนผมเกือบจะอาเจียน การเดินทางเริ่มขึ้นตั้งแต่เที่ยงวันจนป่านนี้ฟ้ามืดแล้วก็ยังไม่ถึงสักที สำหรับผมเรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งหนึ่งที่สงสัยก็คือ
“ทำไมฉันต้องอยู่หน้าขบวนด้วยวะเนี่ย!!!” ผมนั่งอยู่บนหลังม้าซ้อนกับอาชลินผู้เป็นคนขี่ พวกเราอยู่หน้าสุดของขบวน นั่นหมายความว่าถ้าโดนโจมตีก็มีสิทธิ์ตายก่อนคนอื่นสูงนะสิ
อาชลินหัวเราะ “ก็ท่านเป็นผู้กล้า เป็นขวัญกำลังใจนี่ครับ อีกอย่างพวกเราสี่คนก็เป็นแม่ทัพด้วย เดินนำทัพก็เป็นหน้าที่ของพวกเรา” ก็จริงแฮะ สรุปคือนี่ฉันต้องเป็นมาสคอตให้สนามรบสินะ
“เจ้าหนูต่อจากนี้ไปข้าว่าเจ้าใช้ดาบเล่มนี้จะดีกว่านะ” มากาเร็ตซึ่งขี่ไม้กวาดอยู่ซ้ายมือยื่นดาบปลอกสีทองประดับด้วยเพชรมีสายสะพายให้กับผม “พลองของเจ้าควบคุมไฟได้ก็จริง แต่กับจอมมารแล้วเจ้าควรใช้ดาบเล่มนี้”
ผมรับมาดูลวดลายด้วยมือสั่นๆ ผมกลัวของมีคมเกือบทุกชนิด กระทั่งมีดโกนหนวด จู่ๆ จะให้มาใช้ดาบก็ต้องมีหวั่นไหวกันบ้าง “ไอ้ดาบนี่มันมีดีอะไรหรือครับ” ผมสะพายมันไว้แล้วถาม
“มันคือดาบที่ช่างของเราตีขึ้นมาโดยผสมกันระหว่าง เมทัลสโตน โกลสโตน และ ธันเดอร์สโตน เป็นดาบผสานธาตุไว้สำหรับคนที่จะมาเป็นผู้กล้าโดยเฉพาะ”
“แล้วทำไมไม่ยื่นให้แต่แรกล่ะเนี่ย” ถ้ายื่นให้ตั้งแต่ในห้องก็คงไม่ต้องถามกันแล้วว่าผมถนัดอาวุธไหน อีกอย่างกระบองของเราเพิ่งจะออกโรงไปได้ตอนเดียวเองนะจะปลดระวางไวไปมั้ง
มากาเร็ตลอยต่ำลงเข้ามาหาผม “ข้าสามารถอัญเชิญอาวุธได้ แต่สร้างอาวุธธาตุอื่นนอกจากไฟนั้นไม่ได้ นอกจากนี้จะอัญเชิญอาวุธข้าต้องมีคาถาและต้องเป็นอาวุธเวทย์มนต์อย่างเกราะที่เจ้าสวมอยู่เป็นต้น ดาบเล่มนี้ไม่ใช่อาวุธเวทย์มนต์ข้าถึงต้องให้ทหารไปเอามาจากในวัง” อย่างนี้นี่เองถึงสร้างกระบองไฟมาให้เรา มากาเร็ตเป็นผู้ใช้เมจิกสโตนธาตุไฟสินะ
“ขอบใจนะ” ผมยิ้มให้มากาเร็ต
“เอาละหยุด!!!”
หลังจากเคลื่อนขบวนกันเกือบครึ่งวัน ในที่สุดชาล็อตซึ่งขี่ม้าอยู่อีกทางหนึ่งก็สั่งหยุดทัพบนเนินทราย ผมเห็นปราสาทขนาดใหญ่ห่างจากเรากิโลเมตรหนึ่งได้ ลักษณะอย่างกับปราสาทในหนังแดร็กคูล่าก็ไม่เชิง เราถูกคั่นด้วยทะเลทรายซึ่งโชคดีที่ตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางคืนอากาศจึงไม่ร้อน ทั้งเมืองและตัวปราสาทเป็นสีดำ มีค้างคาวยักษ์บินกันให้ว่อนรอบหอคอยแผดเสียงต่อเนื่อง
“ขนลุกเลยวุ้ย” ผมรู้สึกหนาวเมื่อลมพัดมาวูบหนึ่ง วังเวงเหมือนตอนกำลังจะเข้าบ้านผีสิงในสวนสนุกแต่ต่างกันตรงที่เครื่องเล่นสามารถฆ่าเราได้
อาชลินหันมาหาผมด้วยรอยยิ้ม “ตื่นเต้นที่จะได้ฆ่าพวกมันสินะครับ”
ตื่นเต้นกะผีสิ กลัวโว้ยตรูกลัว กลัวจนไอ้นั่นเหี่ยวแล้วเว้ย นี่เรากำลังบุกปราสาทของไอ้ตัวที่เขาว่าจะฆ่าล้างมนุษย์เลยนะเฮีย
มูมู่ที่นั่งซ้อนไลน์อยู่บนหลังม้าถัดจากชาล็อตเอ่ยขึ้น “อั๊วว่าลื้อเตรียมตัวให้พร้อมดีกว่าน่อ สำรวจอาวุธและชุดเกราะให้ดีๆ เพราะถัดจากนี้จะไม่มีเวลาทำอะไรเลยน่อ” เธอพูดกับผมในขณะมองมาด้วยตาตี่ๆ
“เข้าใจแล้ว” ผมตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นเครือ
มากาเร็ตเข้ามาใกล้ผมในระยะประชิด อดไม่ได้ที่จะมองสองลูกคู่นั้น “ถ้าเจ้าทำสำเร็จล่ะนะ โฮะโฮะโฮะ”
ฮึ่ม! ลมผมออกจมูกเหมือนวัวกระทิงที่พร้อมจะขวิดคู่ต่อสู้ หากมีนารีเป็นข้อต่อรองแม้สิ้นชีวีข้าก็บุกสุดใจละวะ
ชาล็อตค่อยๆ ชูมือช้าๆ เป็นสัญญาณก่อนจะฟันลงวืดอย่างฉับไว “บุก!!!” เสียงคำสั่งดังลั่นไปทั่วสมรภูมิ ฝีเท้าก้าวกระทบพื้นพร้อมกันสะเทือนราวเกิดแผ่นดินไหว ทั้งม้าและผู้คนวิ่งกรูมุ่งสู่ปราสาทจอมมาร “ชักดาบ!! พวกเราจะต้องชนะเท่านั้น” ชาล็อตควบม้าวิ่งนำหน้าสุดตามหลังมาด้วยพวกผมและขบวนรบ
เสียงปัดเเกว่งดาบเริ่มบรรเลงขึ้นก่อนถึงปราสาทจอมมารสักแปดร้อยเมตร พวกมันส่งกองทัพออกมาได้ฉับไวมาก ไม่รอทีท่าจะให้เราไปถึงตัวปราสาทเลยแม้แต่น้อย ชาล็อตตวัดดาบตัดหัวปีศาจขาดสะบั้นไปนับสิบนับร้อย บ้างถูกแช่แข็งด้วยพลังจากดาบของเขา ทำให้บริเวณโดยรอบของแม่ทัพผู้นี้ในรัศมีสิบเมตรไม่มีใครเข้าถึงตัวแล้วรอดเลย
อาชลินใช้ขวานขนาดยักษ์เฉาะหัวอสูรตัวแล้วตัวเล่า เคลื่อนที่ต่อไปเรื่อยๆ โดยมีผมคอยใช้กระบองสนับสนุนเป็นระยะ พวกสี่แม่ทัพเคลื่อนไปไวมาก กวาดพวกมันไปตัวแล้วตัวเล่าราวกับเกลียวคลื่นที่ถาโถมเข้าใส่
มากาเร็ตเริ่มร่ายคาถาบางอย่างเสกลูกไฟนับร้อยพุ่งออกไปรวดเร็วดุจกระสุนปืนทะลุปีศาจไปนับสิบ แต่ถึงพวกเราจะกวาดไปสักเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าจะลดจำนวนลงเลยแม้แต่น้อย พวกมันแห่กันออกมาจากประตูเมืองเป็นเงาดำๆ มาแต่ไกล จำนวนมหาศาลราวกับลูกแมลงสาปหรือลูกแมงมุมที่กรูออกจากไข่
ชาลอตขี่ม้ามาทางด้านเราแล้วตะโกนสั่ง “พวกมันมีจำนวนมากเกินไป แถมมีแต่พวกลูกสมุน พวกหัวหน้าไม่ยอมออกมามันน่าสงสัย ข้าอยากให้พวกเราแยกขบวนออกเป็นสามทาง อ้อมไปสามทิศเมื่อถึงตัวปราสาทให้รอเข้าตีพร้อมกัน”
“บางทีพวกมันอาจซุ่มรอตีกระหนาบสองข้างเราเข้ามาอยู่ก็เป็นได้” มากาเร็ตเสนอขึ้น “ข้าจะขึ้นไปดูให้จากด้านบน”
เขาหันไปมองทางปราสาท “งั้นข้าว่าท่านงานหนักแล้วละ” ชาลอตพูดไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงทหารร้องดังขึ้น
“พวกค้างคาวมาแล้ว!”
เงาดำขนาดยักษ์ฝูงใหญ่บินกรูออกมาจากปราสาท แผดเสียงดังสั่นสะเทือนสายลมกรีดเป็นวงกว้าง โบกสะบัดปีกดัง พรึ่บ! ราวกับใบเรือต้องลม ร่างขนาดไม่ต่างกับมังกร สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวจากเหล่าทหาร ฝูงค้างคาวมาถึงก็บินโฉบเอาร่างเหยื่อขึ้นไปบนฟ้าแล้วปล่อยลงมาอย่างไร้ความปราณี บ้างก็ฉีกกินกันโปรยเป็นฝนเลือด
“พวกค้างคาวเนี่ย...ไม่ใช่ลูกกระจ๊อกซะละมั้งครับคุณชาล็อต” ผมเอ่ยขึ้นอย่างหวั่นๆ
ไลน์ขี่ม้าไล่ฟันข้าศึกเข้ามาทางเรา “พวกค้างคาวมาแล้วแบบนี้ อีกไม่ช้าเจ้ากาการ่าต้องตามมาแน่ ข้าว่าพวกท่านรีบแยกขบวนเถอะ หากต้องเจอเจ้านั่นจะได้ยังพอมีกลุ่มที่ไปถึงตัวปราสาทบ้างก็ยังดี รวมกันไว้จะตายกันหมด”
อาชลินยิ้มเยาะ “ท่านก็พูดให้ใจเสียไป เจ้ากาการ่าเพิ่งบาดเจ็บจากสงครามครั้งก่อนที่เมือง อันซัส ชายแดนวาเลนไนท์ ถึงมันจะมาเอาตอนนี้ก็คงรบเหมือนคนใกล้ตายนั่นแหละ”
ไลน์หันไปตัดหัวปีศาจขาดดังฉับ! ขณะแย้งกับอาชลิน “อย่าประมาทไป”
ผมหันไปถามมากาเล็ตอย่างอดสงสัยไม่ได้ “กาการ่านี่มันตัวอะไรงั้นเหรอ” อย่าบอกนะว่าค้างคาวยักษ์ตัวใหญ่กว่านี้น่ะ
แม่มดสาวมองไปยังปราสาทตอบผมด้วยเสียงเกร็งๆ แววตาของเธอสั่นไหว “มันคือหนึ่งใน 7 ปีศาจแม่ทัพเอกไงล่ะ เจ้ากาการ่าน่ะมีดาร์กสโตนอยู่ด้วย ถ้าเจอเข้าละก็แค่ร้อยกว่าคนน่ะเอาไม่อยู่หรอก” ขนาดแม่มดที่ท่าทางเก่งอย่างมากาเร็ตยังดูหวาดหวั่นเลยหรือเนี่ย
ไม่ช้านานชาล็อตก็ออกคำสั่ง “งั้นแยกกันไปสี่ทางเผื่อปะทะกับเจ้ากาการ่า ข้ากับอาชลินและผู้กล้าจะยกทัพขนานกันไปห่างสักห้าร้อยเมตร ปราสาทจอมมารอยู่ทางทิศตะวันตก มากาเร็ตนำทัพไปทางขวามือทิศเหนือ ไลน์และมูมู่นำทัพไปยังทิศใต้ หากมีข้าศึกรอตีกระหนาบจะได้ปลอดภัยต่อทัพที่อยู่ตรงกลาง” สิ้นสุดการอธิบายชาล็อตก็ตะโกนสั่งกระจายกำลังกลางสนามรบ “ไปได้”
เหล่าทหารที่ประจำแม่ทัพแต่ละทิศก็แยกย้ายหมู่ขบวนไปตามเจ้านายตน ฟาดฟันกับศัตรูอย่างสุดกำลังจะทำได้ มากาเร็ตก็ช่วยสู้กับค้างคาวไปด้วยในขณะเคลื่อนทัพ ทัพของเธอนั้นมาจากทหารบางส่วนของสี่แม่ทัพแยกไป
หลังจากแยกขบวนไปแล้วผมกับอาชลินก็ดูเหมือนจะสู้ช้าลง “ท่านผู้กล้า!” อาชลินเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันจนผมเองก็ตกใจ
“ฮะ”
“ท่านควบม้าไปเองได้หรือไม่ ข้าจะเปิดทางให้ คนเดียวจะบุกไปข้างหน้าได้เร็วกว่า หากช้านักทัพเราจะล้าเสียก่อน” อาชลินว่าแล้วก็กระโดดลงจากหลังม้าไม่ทันได้ฟังคำตอบผมแม้แต่น้อย เดี๋ยวนะ!?
“อ้าก!! ตรูควบม้าไม่เป็น!!”
ผมกอดหลังม้าเอาไว้แน่น มันพุ่งตรงไปข้างหน้าเร็วมาก ถึงรู้ว่าถ้าจับไอ้เชือกที่คล้องอยู่อาจพอควบคุมได้บ้าง แต่ถ้าปล่อยมือตอนนี้มีตกแน่ ผมกัดฟันหลับตาปี๋ไม่รู้ไม่เห็นกับอะไรทั้งนั้น “ช่วยเค้าด้วย!!”
กำแพงทรายกั้นขนานผมกับม้าไปตลอดเป็นทางตรงกันมิให้พวกปีศาจโจมตี ผมพยายามหันมองทางด้านหลัง ชำเลืองเห็นอาชลินเก็บขวานขึ้นมาจากพื้น นี่นะเหรอพลังของเมจิกสโตน
หลังพยายามทรงตัวบนหลังม้าอยู่นาน ในที่สุดก็พอนั่งได้ ถึงจะเอนไปด้านหลังเพราะลมตีบ้างก็ตาม “ให้ตายสิ ก็บอกว่าขี่ม้าไม่เป็นไงเล่า”
ผมใช้มือหนึ่งจับอานม้าขณะที่มือหนึ่งจับกระบอง คาดว่าถ้าถึงปราสาท แล้วจะกระโดดลงทันทีเพราะหยุดม้าไม่เป็น
ปราสาทห่างกันแค่ร้อยกว่าเมตร สุดเขตกำแพงทรายที่อาชลินสร้างไว้มีปีศาจยืนอออยู่
ขณะที่กำลังตรงไปสู่พวกมันผมสูดลมหายใจ เมื่อถึงปลายเขตกำแพงทรายแล้วผมก็กระโดดยกกระบองขึ้นฟาดสุดแรงเกิดลงบนหัวไอ้เข้เดินได้ตัวหนึ่ง “หน่มน้ม!” เกิดระเบิดขึ้นกลางศีรษะของมันกวาดเป็นวงกว้างได้เมตรหนึ่ง
วางใจได้ไม่นานพวกมันก็กรูเข้าล้อมผม ส่วนม้าที่ควบมานั้นถูกค้างคาวกินไปแล้ว เหลืออีกประมาณร้อยกว่าเมตรเท่านั้น ผมชำเลืองมองดูดาบที่สะพายอยู่ แต่ก็ยังกลัวๆ ของมีคม หันไปมองดูด้านหน้า เอ่อ... “กลัวปีศาจมากกว่าแฮะ!”
ผมฟาดกระบองสุดแรงให้เกิดระเบิดอีกครั้งแล้วรีบใช้โอกาสชักดาบออกมาจากฝัก
“เอาละ ดาบนี้มีดีแค่ไหนแสดงออกมาเลย” รู้สึกได้ว่ามือสั่นแต่ก็ต้องกัดฟันลุย ผมพุ่งตรงไปหาตัวประหลาดร่างยักษ์เบื้องหน้าตัวหนึ่ง รูปร่างคล้ายคนสูงประมาณห้าเมตรเศษถือกระบองขนาดยักษ์ หัวโล้นมีหนึ่งเขางอกออกมาข้างซ้ายชวนเกะกะลูกตา ทว่าเมื่อพุ่งไปถึง
ฟึ่บ! เป๊ง! เสียงกระบองมันหวดฟาดร่างผมเข้าเต็มแรงกระเด็นไปสิบเมตรกว่า ที่จุกแค่ระดับเหมือนโดนต่อยท้องอาจเพราะเกราะเวทมนต์นี่ช่วยไว้ แต่เชื่อเถอะว่ามันก็เจ็บสุดๆ ไม่ต่างกัน
ผมยืนเซขึ้นกลางวงล้อมของปีศาจ พวกกองทัพของอาณาจักรยังตามมาไม่ถึง เห็นชาล็อตอยู่เยื้องๆ ห่างไปอีกราวสามร้อยเมตร
ใจหายได้ไม่นานเรื่องชวนใจหายก็ตามมาอีก ฟิ้ว! ตู้ม! พี่บึ้มที่ฟาดผมกระโดดตามมาถึงที่ พื้นดินสะเทือนจนตัวผมเด้งขึ้น
“งานเข้าแล้วมั้ยล่ะ” ผมหันหลังวิ่งสุดใจขาดดิ้น ฟันปีศาจที่ขวางหน้าไปตามทาง บางตัวฟันไม่เข้าก็กระโดดถีบแล้ววิ่งหนีต่อ เสียงดังปึง ปึง ปึง ต่อเนื่องและเร็วขึ้น ในที่สุดมันก็มาถึงตัว ฟาดผมเข้าอีกครั้งลอยไปอีกห้าเมตร หากเป็นเบสบอลคงโฮมรันเลยทีเดียว
อัก! การกระอักเลือดครั้งแรกในชีวิตทำให้ปัสสาวะแทบราด นี่เครื่องในตรงไหนของผมเละไปแล้ววะเนี่ย รู้สึกมึนๆ ยืนทรงตัวไม่ค่อยขึ้น ไม่นานนักมันก็วิ่งตามมาจะซ้ำผมอีกครั้ง
“อามาเกดาราพันไชน์ สายล่อฟ้าจงสถิต” เสียงดังขึ้นจากด้านหลัง
นักรบหญิงคนหนึ่งกระโดดสูงราวห้าเมตรข้ามหัวผมใช้ดาบปักเข้ากลางหัวของยักษ์ แล้วสายฟ้าก็ฟาดลงมาซ้ำทั้งที่ไม่มีฝนตก ในพริบตาเจ้าปีศาจล้มลงกับพื้นดำเป็นตอตะโกจนจำเค้าเดิมไม่ได้
“ไลน์เหรอ” ไม่ใช่สิไลน์จะมาได้ยังไงก็เธอไปทางฝั่งซ้ายมือนี่นา “เธอเป็นใครน่ะ”
หญิงสาวค่อยๆ หันมา เรือนผมกับแววตาสีเงินแข่งกันแวววาว มีไฟฟ้าสถิตรอบตัวดัง แปร๊บ! ส่องเป็นแสงสว่างมองได้ชัดเวลากลางคืน “ท่านผู้กล้า เวลาจะใช้ศาสตราวุธเมจิกสโตนที่ไม่ใช่อาวุธเวทมนต์ ท่านต้องร่ายคาถาก่อนนะ”
“ว่าไงนะ!” หนอยยัยแม่มดนั่นไม่เห็นจะบอกอะไรเราเลยเฟ้ย
“แล้วคาถามันคืออะไรล่ะโว้ย!” กลับไปเอากระบองเห็นจะไม่ทันการซะแล้ว นี่ก็โดนซัดมาไกล
“อามาพาเช ลาสโนดอน รัศมีสายฟ้า” หญิงผมเงินท่องเสร็จดาบเปล่งแสงขึ้น เมื่อสะบัดคมรอบตัวเธอก็ปล่อยไฟฟ้าแผดเผาปีศาจโดยรอบเป็นวงกว้างราวกับรัศมีของดวงอาทิตย์
“คาถานั้นไม่สำคัญเท่าความรู้สึกที่ท่านมีต่อดาบ ท่านต้องมีสมาธิจับดาบให้มั่น” ผมหันหลังชนกันกับเธอหันหน้าไปทางศัตรูที่กรูกันเข้ามา จับดาบให้แน่นแล้วตั้งสมาธิ “แล้วตะโกนอะไรก็ได้ออกไปพร้อมกับฟาดฟัน”
“ฮะ! ว่าไงนะ!”
“เอาเลย!” เธอตะโกนสั่งผม ก่อนจะร่ายคาถา “โลกาอามาเดโก้ลาโกด้า สิบสามสายฟ้าปีศาจ!” สายฟ้าสิบสามเส้นฟาดลงมาบริเวณรอบตัวเราเป็นวงกลม เหมือนจะกำบังให้ชั่วครู่
“เอ่อ... นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต อะไรก็ได้โอมเพี้ยง” ผมเป่าลมใส่ดาบอย่างกล้าๆ กลัวๆ “จงออกมาเอ่อ...สายฟ้าเปรี๊ยงๆ”
ฮุบ! เสียงเหมือนเธอจะหัวเราะ
“อะไรกัน ก็เธอบอกว่าพูดอะไรก็ได้ไม่ใช่รึไง” ผมพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดแบบสุดๆ “ไอ้ดาบเวรเอ้ย!!” ในใจผมคิดจะเขวี้ยงดาบนี่ไปเสียไกลๆ ยุ่งยากชะมัด
ทันใดนั้น ครื่น! ครื่น! เสียงดังขึ้นจากท้องฟ้า เมฆเริ่มก่อตัวขึ้น หญิงผมเงินจึงเริ่มเอ่ย “ท่านท่องคาถาด้วยอารมณ์หงุดหงิดงั้นรึ ข้าไม่เคยเห็นคนทำเช่นนี้มาก่อน”
“เอ๊ะ!”
ตู้ม!! ราวกับระเบิดลงมาจากฟากฟ้ากวาดเอาปีศาจโดยรอบไหม้เกรียมไปกว่าสามสิบเมตรภายในชั่วครู่หายใจ ทุกอย่างโดยรอบหายไปเหลือแต่กลิ่นไหม้เจียนจะสำลักควัน ผมหันไปหาเธอพลางชี้หน้าตัวเองแบบงงๆ “นี่ฝีมือเค้าเหยอ?”
“ท่านจงรีบไปเถิดเดี๋ยวข้าเปิดทางให้” เธอยิ้มให้กับผมแล้วไล่ฟาดฟันพวกปีศาจนำหน้าผมไปยังปราสาท ผมวิ่งตามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจวนจะถึงประตูเมืองสักห้าสิบเมตร มีปีศาจสีตนยืนเฝ้าอยู่แผ่รังสีบางอย่างออกมาจนรู้สึกได้ว่าพวกมันต่างกับทุกตัวที่ผ่านมา
“ท่านผู้กล้า” เธอหยุดชะงักยืนตัวแข็งดูลังเลใจ สั่นเทาไปหมดด้วยความหวาดกลัว
ผมเห็นเธอมีท่าทีแปลกๆ จึงได้สงสัย “มีอะไรงั้นเหรอ”
“ข้าคงมาส่งท่านได้เท่านี้ หากไปไกลกว่านี้เห็นจะไม่สมควร” เธอจับดาบแล้วกลับหันหลังเดินสวนผมไป
"เฮ้ย! เดี๋ยวเด้"
ห่างออกไปทางฝั่งทิศใต้ซึ่งไลน์และมูมู่คุมทัพอยู่นั้น ต้องปะทะกับทหารที่รอตีกระหนาบอยู่
มูมู่ลงจากม้าแล้วต่อสู้อย่างคล่องแคล่วมีพลังผิดกับร่างเล็กๆ ของเธอ พวกปีศาจถูกฝ่ามือผลักให้กระเด็นกระดอนไปราวกับใช้กำลังภายใน ส่วนไลน์นั้นควบม้าพุ่งนำหน้าไป
“อั๊วว่ามาทางนี้เจอแต่พวกกระจอกน่อ”
มู่มู่วิ่งราวขี่พายุตามมาสมทบ
ไลน์มองตรงไปข้างหน้า ฟันหัวปีศาจตัวแล้วตัวเล่า บางครั้งฟันขาดสองท่อนเฉือนจากหัวไหล่โดยที่เธอไม่มองเลยแม้แต่นิด “พวกที่รอตีกระหนาบข้างเป็นไปไม่ได้ที่ฝีมือจะต่ำขนาดนี้ ผู้นำทัพของพวกมันต้อง...”
“ด้านบน!” เสียงดังขึ้นเหนือศีรษะของพวกไลน์และมูมู่
ตู้ม!! ร่างสีเขียวร่างหนึ่งกระโดดลงมาอย่างรุนแรง เกิดเป็นหลุมทรายกว้างสิบเมตรบริเวณด้านหน้าไลน์
แม่ทัพสาวจำต้องลงจากหลังม้าที่หัวถูกแรงอัดกระแทกจนแหลกหายไปเลือดทะลักออกมาจากบริเวณลำคอ เธอลูบหลังซากมันเบาๆ “ขอบใจเจ้ามากนะ” แล้วจึงหันไปมองตาขวางใส่อสูรเบื้องหน้า
“นี่มันอะไรกันน่อ” มูมู่มองไปทางเดียวกันกับไลน์ด้วยความตกใจ
“โหยๆ ให้ตายสิ” มันบิดคอไปมา “อะไรกันเนี่ยข้าก็นึกว่าจะได้สู้กับพวกเก่งๆ ไฉนเป็นผู้หญิงกับเด็กไปได้ น่าเบื่อชะมัด” เมื่อควันระเบิดจางลงจึงเผยร่างสีเขียวตะปุ่มตะปั่มเหมือนผิวคางคก ใส่กางเกงผ้าเหลืองขาดๆ รูปหน้าเหมือนมนุษย์เพศชาย แต่ดวงตาแดงก่ำ หัวโล้น สีบริเวณหน้าลำตัวนั้นเป็นสีเนื้อ ดูแล้วเหมือนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ “ข้าคือ กากัน คาเอล”
ทางด้านของอาชลินไล่ฟาดฟันปีศาจมาได้ครู่ใหญ่ ฝ่ามากว่าเดิมสักร้อยเมตร ทัพของอาชลินมาช้าแต่กวาดเรียบ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยร่างปีศาจและนักรบ
อาชลินปาดเหงื่อสู้ไปได้ครู่หนึ่งจึงเห็นเงาดำของชายใส่เกราะจีนเหน็บขวดน้ำเต้าไว้สองข้างเอว มันกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับง้าวเล่มใหญ่ เสียงน้ำกระฉอกดังมาตลอดทาง
“นี่พี่ชายขอเหล้าให้ดื่มบ้างสิ” อาชลินยั่วเย้าทว่ากลับมีเพียงความเงียบจากอีกฝ่าย เมื่อร่างนั้นก้าวเข้ามาเรื่อยๆ จนสังเกตเห็นได้อาชลินก็ถึงกับสะอึก เสียงที่กลั่นออกมาแทบไม่เป็นคำพูด “ให้ตายสิพับผ่า พูดเองเจอเองเลยมั้ยล่ะตรู” เขารีบหันหลังตะโกนสั่งถอยทัพ พวกทหารยังมัวแต่งุนงงนิ่งอยู่อาชลินจึงเร่งเพิ่มเสียงขึ้นอีก “กาการ่า!”
จบตอน
โปรดติดตามตอนที่ 3
ความคิดเห็น