คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำที่2: พันธสัญญาของเทพตกสวรรค์ กับ ปีกสีเขียว
The wings of seven colors ตำนานปีก7สี
บทนำที่2: พันธะสัญญาของเทพตกสวรรค์ กับ ปีกสีเขียว
กริ๊ง!!!!!! เสียงออดของโรงเรียนดังขึ้นเมื่อหมดเวลาอันแสนน่าเบื่อ ผมคว้ากระเป๋าเป้ที่พาดไว้กับเก้าอี้ขึ้นสะพายบนบ่าก่อนจะเกาหัวแกรกๆ ! เดินตามหลังฝูงเพื่อนออกจากห้อง
ผมชื่อมิคาเมะ คาซึยะ มิคาเมะคือชื่อจริง ส่วนคาซึยะคือนามสกุล ผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนซึ่งย้ายมาเรียนในประเทศไทยเมื่อราวๆ สองเดือนก่อน ถึงจะคุ้นตาบ้างแล้วกับเส้นทางไปกลับระหว่างบ้านและโรงเรียน แต่ก็ยังจำเส้นทางในตัวเมืองไม่ค่อยได้ ว่าไงดีล่ะ! ถ้าจะไปในเมืองก็คงต้องพึ่งคุณลุงคุณป้าที่มาอาศัยด้วย ซึ่งมันค่อนข้างเกรงใจอยู่ไม่น้อย และถึงแม้ที่บ้านพักจะมีน้องสาวแสนสวยอยู่ด้วยอีกคน แต่สองเดือนที่ย้ายเข้ามาเธอกับผมก็ไม่เคยคุยกันเลยสักนิด ทางผมเองก็ไม่รู้ด้วยสิว่าควรจะทักไปแบบไหน จึงลงเอยว่าต้องอยู่เหมือนเราต่างไร้ตัวตน ส่วนเพื่อนๆ ในโรงเรียนนี้นิสัยดีมาก วันแรกที่เข้ามาก็แห่มุงดูผมกันเหมือนกับที่ญี่ปุ่นไม่มีผิด แต่ถึงเช่นนั้นก็ยังหาเพื่อนสนิทได้ไม่มากเท่าไหร่
“หาว...ภาษาไทยนี่มันยุ่งยากกว่าตัวคันจิของญี่ปุ่นอีกแฮะ!!” ผมสบถออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่น พลางเดินตรงไปตามระเบียงทางเดินก่อนจะก้าวขาลงบันได ตลอดทางมีเสียงทักทายไม่ขาดสาย ดูเหมือนการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในที่นี่จะดูเป็นเรื่องพิเศษไปเลยสินะ! ผมคิดในใจ
เมื่อเดินออกจากโรงเรียนมาเรื่อยๆ จนถึงทางคดเคี้ยวในซอยเล็กๆ ซึ่งเป็นทางกลับบ้านพัก ทุกอย่างมันควรจะราบรื่นเหมือนตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เช้ามาเรียนเย็นกลับบ้านหัวค่ำนอน วันหยุดท่องเที่ยว ชีวิตที่วางแผนไว้มันกำลังไปได้สวยเลยทีเดียวจนกระทั่ง!
ตุบ! เสียงของชายคนหนึ่งเลือดอาบไปทั่วทั้งตัวกำลังแบกสาวสวยบนแผ่นหลัง เขาเดินเซไปเซมาพิงผนังในซอยแคบๆ แล้วก็มาล้มลง ณ เบื้องหน้าของผม ดูจากลักษณะการแต่งกายและสีผมแล้ว น่าจะไม่ใช่คนไทยแฮะ “เอ่อ...เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ผมถามเป็นภาษาอังกฤษ
“คงมาได้แค่นี้สินะ!” ชายคนนั้นพูดด้วยท่าทีเจ็บใจเป็นภาษาบางอย่าง ซึ่งน่าแปลกใจว่าทั้งที่เป็นภาษาที่ผมไม่รู้จักแต่กลับเข้าใจว่าเขาพูดอะไรได้ในทันที “ม..มนุษย์งั้นเหรอ!”
“อ..เอ่อ...ให้ช่วยรึเปล่าครับ!” ถึงจะเป็นคำถามที่ไม่เห็นน่าจะต้องถาม ตามหลักมนุษย์ที่ดีแล้วก็ต้องช่วยทุกคนที่กำลังลำบากต่อหน้าต่อตาอยู่แล้ว แต่ผมไม่ใช่คนของที่นี่ทั้งโรงพยาบาลบริเวณใกล้ๆ และเบอร์รถพยาบาลผมก็ไม่ทราบ เลยได้แค่หันซ้ายหันขวาพยายามมองหาใครบางคนรอบๆ ตัว
“ม..ไม่ต้อง! พวกเรากำลังถูกตามล่าอยู่...น..นายช่วยพายัยนี่หนีไปที” ใบหน้าจริงจังแบบนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแค่ขำๆ แน่ ‘ยัยนี่’ ที่ว่าคงจะเป็นผู้หญิงผมยาวใส่ชุดคอสเพลย์ที่อยู่บนหลังนั่นสินะ
“เอ๋...ถูกตามล่าหรอกเหรอ!” ผมกุมขมับพลางจับใจความที่เขาจะสื่อ “เอ้ยมัวใจเย็นไม่ได้ดิ ถูกตามล่า! มาเฟีย ยากูซ่า นักเลง หรือว่าแก๊งค้ายา” น..นี่เราเข้ามาพัวพันกับเรื่องเฉียดเป็นเฉียดตายเหรอเนี่ย
ในขณะที่ผมกำลังสับสนกับชีวิตอยู่นั้น เขาก็พยายามฝืนสังขารลุกขึ้นแบกผู้หญิงมาทางผม “ฝากเธอด้วยล่ะ”
ผมรับอุ้มตัวเธอต่อจากเขา “ต..ตัวเบากว่าที่คิดไว้แฮะ เข้าใจแล้วไว้ใจได้เลย!” ผมรับปาก “ว่าแต่คุณจะไปไหนครับเนี่ย” ผมถามดักเขาที่เดินย้อนกลับไปทางเดิม
“รีบออกจากที่นี่ไปซะ อีกไม่นานมันจะกลายเป็นอาณาเขตกักกันของเทพ นายจะอยู่ที่นี่ไม่ได้” เขาพูดเรื่องที่เข้าใจยาก แต่ก็พอรู้ว่าขืนอยู่ต่อไปคงเป็นอันตรายกับตัวผมไม่มากก็น้อย เอาวะ! ถึงจะช่วยหมอนี่ไม่ได้แต่ก็ช่วยให้สาวน้อยคนนี้รอดได้ล่ะนะ ผมรีบออกตัววิ่งจากบริเวณนั้นในทันที ก่อนที่จะได้ยินเสียง ตูม!! จากทางด้านหลัง
“ม...มีระเบิดด้วยเรอะ!!! เหวอ......!” แรงอัดอากาศผลักผมที่อุ้มเธออยู่พุ่งกระเด็นลอยออกนอกซอยไป อั่ก! แรงกระแทกจากเสาไฟที่อัดปะทะกับแผ่นหลังนั้นช่างรุนแรงเหลือเกิน
ผมรีบลุกขึ้นอุ้มเธอหนีไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ม..หมอนั่นไปก่อเรื่องอะไรไว้ฟระ...ม..ไม่รอดแหงแซะ”
แม้เธอจะตัวเบาก็เถอะนะ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะวิ่งได้ไวขนาดสามารถใช้หนีพวกแก๊งยากูซ่า หรือมาเฟียได้หรอก อย่างไรก็ตามที่ทำได้ในตอนนี้คือวิ่งหนีสุดชีวิต เพื่อช่วยให้เธอคนนี้รอดอย่างที่เขาขอไว้ล่ะ
บริเวณโดยรอบพอออกมาจากซอย ถึงแม้จะเป็นถนนใหญ่แล้วก็ตามแต่กลับไม่มีคนหรือรถยนต์เลยอย่างน่าประหลาด เสียงหัวใจผมเต้นดังไม่ยอมหยุด สั่นสะท้านไปทั้งตัว แขนทั้งสองข้างที่ใช้อุ้มเธอไว้ก็เริ่มชา เพิ่งเคยประสบกับเหตุการณ์เฉียดตายจริงๆ จังๆ แบบนี้เป็นครั้งแรก ประเทศนี้นี่โหดกว่าที่คิดไว้เยอะจริงๆ จะว่าไปแล้ว.... ตำรวจอยู่ไหนกันแรงระเบิดขนาดเมื่อกี้ก็น่าจะรู้ตัวกันบ้างแล้วนี่นา มันควรจะมีเสียงหวอรถดังไปมารอบๆ บ้างสิฟระ
วิ่งมาจนถึงสามแยกซึ่งเป็นจุดที่ผมไม่รู้ทางไปต่ออีกแล้ว มันทำให้ใจผมหวั่นว่าจะหลงเส้นทางแต่ให้มาถึงจุดนี้แล้ววิ่งกลับไปหาลูกระเบิดคงต้องขอปฏิเสธอย่างเด็ดขาด คิดได้แล้วก็รีบวิ่งไปซักทาง ผมวิ่งไปทางขวามือโดยไม่พิธีรีตอง ทุกอย่างต้องมีดวงเป็นตัวกำหนด ไหนๆ ก็ไหนๆ ดวงผมมันก็คงจะไม่ซวยไปกว่านี้อีกแล้ว
ผมวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเลจนกระทั่งได้ยินเสียงแปลกๆ ชวนให้ผวา จ๋อม! เสียงเหมือนผมตกน้ำ แต่เอ๊ะ! เราก็วิ่งอยู่บนถนนนี่นา และวินาทีที่ผมลืมตา ก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นเขาเสียแล้ว...'ราวกับถูกเชื่อมมิติ'
“น..นายกลับมาทำไม” ชายผู้เลือดอาบทั่วตัว มีปีกคล้ายมังกรสีเขียวงอกออกมาจากแผ่นหลังข้างหนึ่งจากท่าทางคงกำลังต่อสู้อยู่ เขาตกใจที่ผมโผล่ออกมาจากทางด้านหลัง
“ป...ปีก!!” ด..ดวงของเราวันนี้ซวยชะมัดเลยเฟ้ย... จะหลงทางก็ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ให้ตายเซ่!!!!
“ร...หรือว่า...โดนกลืนเข้ามาในเขตของเทพแล้ว!!” ชายคนนั้นทำสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก เขาหันขวับกลับไปยังทางเข้าซอยอีกด้านหนึ่ง เห็นชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะยุคโรมันสีเทามีปีกคู่ราวกับหงขาวสยายกว้างอยู่กลางแผ่นหลัง
“ในนามของผู้รักษาความสงบของอาณาจักรแห่งแสง ข้าเชอร์บราขอจับกุมเทพตกสวรรค์อามีนผู้ถูกตั้งข้อหาปลงพระชนม์ชีพมหาเทพ” ชายผู้อ้างตนเป็นผู้รักษาความสงบยกมือขวาขึ้นชูรวมรวมสสารพลังงานสีขาวเป็นก้อนกลมๆ ขนาดเล็กเท่าลูกแอปเปิ้ลไว้เหนือฝ่ามือข้างขวา
“ที่ว่าถูกกลืนเข้ามาเนี่ยอย่าบอกนะว่าไอ้แรงระเบิดเมื่อตะกี้นี้... นี่ฉันเขามาพัวพันกับเรื่องอะไรวะเนี่ย!!!! ถ้าเป็นมาเฟียยังพอว่า แต่กับเทพนี่ไม่เอานะเฟ้ย!!”
“ช่วยไม่ได้แฮะ” ชายผู้โชกเลือดตวัดหน้ายิ้มมาทางผม ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้แล้วรวบปีกเอาไว้กับตัว
“....” ผมพูดอะไรไม่ออก สมองไม่สั่งการกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ถ้าอีกฝั่งหนึ่งเป็นเทพงั้นสาวน้อยที่ผมอุ้มอยู่นี้ กับผู้ชายเลือดโชกก็เป็นภูตผีปีศาจนะสิ
“ทำพันธสัญญากัน ฉันจะส่งนายออกไปจากที่นี่พร้อมกับยัยนั่น” เขามองด้วยสายตาจริงจังจนผมสั่นไปทั้งตัว “ถ้านายยังไม่อยากตายก็มีแค่วิธีเดียวเท่านั้น”
“ม..หมายความว่าไง?”
“เรื่องทั้งหมดลิลิธจะเล่าให้ฟังเอง”
“ลิลิธนี่...หมายถึงผู้หญิงคนนี้เหรอ!” ผมก้มลงมองเธอที่อุ้มอยู่
“ไม่ยอมให้ทำหรอกน่า” ตูม!! ระเบิดแสงแรงสูงถูกปาจากมือของผู้รักษาความสงบมาทางนี้ ทว่าชายผู้ร่างโชกเลือดใช้ปีกมังกรสีเขียวป้องกันพวกเราไว้
“อ้าก!!” เขาร้องอย่างทรมาน
“ฮ...เฮ้ เป็นอะไรมั้ย”
“ใช้มือของนายแตะที่กลางอกของฉันซะ” เขากัดฟันออกคำสั่ง หลังจากนั้นเขาก็เริ่มท่องบางอย่าง “ปีกแห่งเทพเอ๋ย ข้าขอสาบานต่อโลกทั้ง 7 ขอจงสถิตบนผืนนภาทั้งโลกา สั่นไหวปฐพีผืนพิภพ แหวกผืนวารีด้วยวจีแห่งพันธสัญญา ปีกแห่ง 7 มหาโลก จงสถิต ณ มหาเทพองค์ใหม่ ขานนามของเจ้าเด็กหนุ่ม” บริเวณพื้นเกิดอักขระ 7 สีสายรุ้ง ไหลออกมาจากเงาของชายคนนั้น แผ่นดินสั่นไหว คลืนๆ อย่างรุ่นแรง เมื่อแหงนมองบนฟ้าเกิดฝนตกบริเวณโดยรอบเป็นรูปวงแหวน ท้องฟ้ายามเย็นมืดราวกับราตรีอย่างฉับพลัน
“...อ..อื้ม” ผมค่อยๆ วางเธอลงแล้วใช้มือแตะที่อกของเขาตามที่สั่งอย่างเบาๆ “ผ..ผมชื่อ มิคาเมะ คาซึยะ!” เมื่อผมขานนามก็เกิดสายลมรุนแรงราวกับพายุไซโคลนหมุนปกคลุมตัวของเราทั้งสามเอาไว้ “น...นี่มัน”
“ในนามพันธะสัญญาแห่งปีกข้าอามีนขอส่งต่อพลังแห่งราชันของ โลกทั้ง 7 ให้แก่มิคาเมะ คาซึยะ จงพาเขาหนีห่างออกจากที่แห่งนี้โดยไวที่สุด” เมื่อจบประโยคแสงสีรุ้งไหลผ่านส่งต่อเข้ามายังรอบๆ ตัวของผม
“ด..เดี๋ยวสิ นี่นายทำอะไร!!”
“ผู้รักษาความสงบเชอร์บลาเจ้านั่นมีพลังเหนือกว่าฉันในตอนนี้ เพราะกฎของการใช้ปีกทำให้สู้ไม่ได้อย่างเต็มที่ ถ้าโดนจัดการที่นี่ทั้งยัยนั่นทั้งนายจะถูกกำจัดไปด้วย ฉันมีพลังไม่มากพอที่จะพาพวกนายหนี....ดังนั้นจึงต้องขอส่งต่อทั้งหมดไว้ให้นายใช้มันหนีไป”
“อ...เอ๋!! ม...ไม่ได้อยากได้เลยเฟ้ย!!!”
“โทษทีนะเจ้ามนุษย์ แต่ขอฝากลิลิธด้วย ยัยนั่นน่ะตัวคนเดียว! อั่ก” เขากระอักเลือดต่อหน้าต่อตาผม “ก่อนที่สายลมจะพาเจ้าลอยไปไกล ข้าขอบอกเกี่ยวกับกฎให้เจ้าฟังไว้สักหน่อย”
ตัวของผมค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น ผมรีบก้มลงอุ้มเธอเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนที่จะลอยไปไหนเสียก่อน “กฎ?”
“ปีกที่ฉันมอบให้นายมีทั้งหมด 7 ข้าง 7 แบบ ปีกเหล่านั้นมีคู่ของมันอยู่ แต่ว่ามันไม่ได้อยู่ในที่แห่งนี้ พลังของปีกจึงยังไม่สมบูรณ์นัก ปีกแต่ละสีจะมีกฎในการอัญเชิญที่ต่างกันอยู่ เมื่อใดที่นายได้คู่ของมันแล้วนายจะใช้มันเมื่อไหร่ก็ได้ดั่งใจนึก จงตามหาอีก 7 ข้างที่เหลือ มีเวลาไม่มากแล้วเจ้าไปศึกษากฎเองแล้วกัน!” นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนที่พายุจะพัดพาตัวของผมลอยออกไปจากที่แห่งนั้น สติของผมเริ่มเรือนลาง ทิ้งไว้แค่ความเป็นห่วงว่าชายคนนั้นจะปลอดภัยหรือไม่อยู่ในอก
…………………………………………………………………………………………………………………………………
จบบทนำที่2: พันธะสัญญาของเทพตกสวรรค์ กับ ปีกสีเขียว
ความคิดเห็น