คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : คาบเรียนที่1 : บันได ยันต์ พี่ชาย และ ชมรม
คาบเรียนที่1 : บันได ยันต์ พี่ชาย และ ชมรม
“เมื่อหมดเวลาเรียนทุกคนจะเปลี่ยนเป็นที่ชุมนุมของผู้ที่สนใจพลังเหนือธรรมชาติซึ่งก็คือ ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ ยินดีต้อนรับนะ” รุ่นพี่สาวพูดกับเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับเหรอครับ” เด็กหนุ่มยังปรับตัวได้ไม่ค่อยทันกับสถานการณ์เท่าไรนัก อาการปวดหัวก็เริ่มหนักขึ้นทุกขณะ
“ใช่แล้วจ้ะ และก็ไม่ต้องห่วงเรื่องของเธอนะ พวกเราเข้าใจความรู้สึกของเธอดี แล้วก็จะไม่มีการเปิดเผยความลับนี้ด้วยถ้าเธอไม่อนุญาตก่อน” อีฟพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทำให้ใจของเด็กหนุ่มเริ่มเย็นลงและผ่อนคลาย
ไคยืนนิ่งอยู่กับที่พักหนึ่ง (‘นี่เราไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย’)
โตเดินเข้ามาใกล้รุ่นน้องที่กำลังยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ด้วยรอยยิ้ม ตบไหล่เบาๆ แล้วถาม “ว่าแต่นี่แก ดันมีพลังที่ขัดแย้งกับฉันสุดๆ เลยซะด้วยสิ แล้วไปได้มายังไงกันล่ะ”
“ผมก็ไม่รู้ครับ” เด็กหนุ่มน้ำตาซึม "ผมจะทำยังไงดี ยิ่งกลัวๆ ผีอยู่ด้วยสิ"
“มองเห็นวิญญาณครั้งแรกเมื่อไหร่ล่ะ น่าจะเห็นมาบ่อยแล้วนี่” โตหยิบสมุดบันทึกเล่มจิ๋วจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา หวังจะเตรียมจดเรื่องราวลึกลับจากเด็กหนุ่ม
“5 นาทีที่แล้วครับหลังจากเข้ามาในห้องชมรม” เด็กหนุ่มตอบเสียงสั่นด้วยความกลัว พยายามไม่ให้ตนเองเหลือบไปมองวิญญาณที่นั่งอยู่โต๊ะบาร์มุมห้อง
“5 นาทีที่แล้ว” โตอุทานลั่นห้อง "ก่อนหน้านี้แกไปทำอะไรไว้หรือเปล่า" เขาถามด้วยความสนใจ ดูกระตือรือร้นเกินกว่าปกติของคนทั่วไป
“เอ..รู้สึกว่าผมจะเผลอไปเหยียบกระดาษแผ่นหนึ่งตรงพื้นบันได ลื่นตกลงมานะครับ พอหยิบมาดูมันก็มีลวดลายแปลกๆ กับตัวอักษรที่อ่านไม่ออกเยอะเลย” อาการปวดหัวของเด็กหนุ่มเริ่มรุนแรงมากขึ้น เขาเอามือข้างขวากุมศีรษะขณะพูด
“พี่ว่าเอ็งไปเจอ 13 ขั้นบันไดผีว่ะ” โตครุ่นคิดประกอบกับนำมือเกาคางตามสัญชาตญาณเช่นเคย
“เอ่อ..พี่โตครับ 13 ขั้นบันไดน่ะ มันเป็นของคนญี่ปุ่นนะครับ ไม่สิว่าแต่ทำไมต้องเป็น 13 ขั้นบันไดด้วยวะ” โจแย้งอย่างมั่นใจว่ารุ่นพี่ต้องคิดผิดพลาดแน่นอน
“แต่มันก็มีโอกาสเกิดขึ้นในไทยไม่ใช่หรือไง” โตแย้งกับคำพูดของรุ่นน้อง
“ไม่มีทางเว้ย และผมก็ไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวกับบันไดนะพี่ ที่น่าสงสัยน่าจะเป็นตรงที่หมอนั่นไปเหยียบกระดาษอะไรเข้ามากกว่า ดูเหมือนจะเป็นยันต์ซะด้วย จะโดนของหรือเปล่าก็ไม่รู้” โจเถียงอย่างมีเหตุผล
“ผมลื่นล้มที่บันไดชั้น 6 ขณะจะขึ้นไปชั้น 7 ครับ เห็นที่หัวบันไดมีห้องพระอยู่ ผมสงสัยว่ายันต์อาจจะปลิวมาจากห้องพระก็ได้ เลยวางไว้ข้างประตูในจุดที่ลมจะไม่พัดไปโดนครับ มันจะได้ไม่ปลิว” ไคอธิบายเสริมขณะที่โตกับโจเถียงกัน
เสียงเล็กๆ ดังแว่วมาจากด้านล่างของไค หลังจากที่เขาพูดเสร็จ “พี่ชายครับ” แทงค์ซึ่งเป็นเด็ก ม.ต้นตัวเล็กๆ สูง 150 เซนติเมตร แววตาดูหม่นหมอง ใบหน้าดูเป็นคนเคร่งขรึมสมกับบุคลิก ไว้ผมรองทรงสูง เขาดึงชายเสื้อของไคเพื่อให้ก้มหน้าลงมามอง
“ม..มีอะไรงั้นหรือ” เด็กหนุ่มเหงื่อตก
“พี่ชายอย่ากลัวพี่ของผมเลยนะครับ ถึงเขาจะเป็นผีแต่พี่เขาเป็นคนดีนะครับ ถ้าพี่ชายมีพลังในการมองเห็นพี่ของผมจริงๆ ผมก็อยากให้พี่ชายช่วยติดต่อกับพี่ที่ตายไปแล้วทีครับ บอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วงผมแล้ว ” เด็กน้อยใช้มือปาดน้ำตาที่เหมือนจะไหลซึมออกมา แม้คำพูดของเเทงค์จะทำให้ไคสับสนไปบ้างระหว่างคำว่า 'พี่ชาย' กับ 'พี่' แต่ก็ยังพยายามจะเข้าใจ
“อ..อืม” เด็กหนุ่มรับปากพลางคิดในใจ (‘ทำไมคนกลัวผีอย่างฉันถึงต้องมาคุยกับผีด้วยวะ’)
“ขอบคุณครับ” เด็กน้อยยิ้มเหมือนได้ปลดปล่อยทุกข์ในใจ โดยหารู้ไม่ว่าทุกข์ทั้งหมดนั้นบัดนี้ได้ไปลงอยู่ที่ไคเพียงคนเดียว
โตที่ยืนกอดอกรอให้บทสนทนาระหว่าง 2 คนนั้นจบลงพูดขึ้น “ไคห้องพระน่ะมันอยู่ที่ชั้น 3 นะ และที่สำคัญที่สุดก็คือหัวบันไดชั้น 7 น่ะมันไม่มีห้องอื่นๆ เลย นี่นายหลงชั้นหรือเปล่า”
“แต่พี่ครับพอผมฟื้นขึ้นมา ผมเห็นชัดๆ เลยนะครับว่าตรงหัวบันไดมันมีเลข 7 ตัวใหญ่บนผนัง ดังนั้นผมก็ต้องอยู่ตีนบันไดตรงชั้น 6 แถมหน้าประตูห้องที่อยู่ตรงหัวบันไดก็เขียนว่าห้องพระเด่นชัดเลยนะครับ” เด็กหนุ่มอึ้งกับเหตุการณ์ที่เขาพบเจออีกครั้ง
“ใจเย็นๆ นะเดี๋ยวเราไปสำรวจกัน” อีฟใช้มือลูบหัวไค เธอยิ้มแบบอ่อนโยนราวกับจิตแพทย์ที่กำลังรักษาคนไข้
“ค..ครับ” เด็กหนุ่มที่เพิ่งเจอเหตุการณ์ซวยซ้ำซ้อนบรมซวยในเย็นวันเดียว ราวกับต้องคำสาป พยักหน้าให้เธอหนึ่งครั้ง
“โอเคงั้นเราไปกันเลย ฮิฮิฮิ” โตพูดพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นข้างบน สายตาของเขาลุกโชนเป็นประกายสีทองแวววาวราวกับทองคำ ผู้ชายคนนี้ช่างดูแปลกประหลาดสมกับที่เป็นประธานชมรมเรื่องลึกลับอย่างคาดไม่ถึง
ทุกคนเดินออกจากห้องชมรมโดยมีวิญญาณพี่ชายของแทงค์ เป็นดั่งเงาปริศนาตามติดแผ่นหลัง เมื่อถึงหัวบันไดชั้น 7 ไคก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น “มันหายไป ประตูห้องพระ ไม่สิห้องพระทั้งห้องมันหายไปไหน” สิ่งที่เขาพบคือผนังตึกธรรมดาไม่มีร่องรอยของห้องพระก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย “มันน่าจะอยู่ตรงนี้นี่”
อีฟกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณ “ไคยันต์อยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้ครับ แต่ว่าผมวางไว้ข้างประตูห้องพระตรงนี้จริงๆ นะ” เด็กหนุ่มชี้ไปที่มุมหัวบันได
“มันแปลกๆ นะ” อีฟขมวดคิ้วกวาดสายตามองรอบข้าง
“โจหยุดถ่ายรูปได้แล้ว” โตสั่งรุ่นน้อง “ขอโทษด้วยนะ พอดีเจ้านี่น่ะมันชอบถ่ายรูปบันทึกเหตุการณ์ แต่มักจะถ่ายมากเกินไป เลยต้องคอยบอกให้หยุดเพื่อเก็บเมมโมรี่ไว้น่ะ” โตอธิบายถึงสาเหตุอย่างละเอียดให้กับไคที่สะดุ้งด้วยความตกใจ
“ม..ไม่เป็นไรครับ” เด็กหนุ่มที่กำลังตั้งสติของตน ตอบกลับไปด้วยความหวาดระแวง เขามองรอบๆ ตัวเพื่อหาความเป็นไปได้ของสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยิ่งนึกเท่าไรก็ยิ่งเครียด อาการปวดหัวเริ่มมาเป็นระยะ
“พี่ชายครับ เป็นไปได้ไหมว่ามันเป็นห้องที่เคลื่อนที่ได้” แทงค์ที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาได้แสดงความเห็น ถึงจะดูเป็นความคิดเด็กๆ แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้แล้ว มันช่างเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายยิ่งนัก
ทุกคนเมื่อได้ฟังข้อคิดเห็นของแทงค์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“โจหาข้อมูลเรื่องลึกลับในโรงเรียนนี้ เอาที่เกี่ยวกับยันต์และห้องพระมาให้ที เอาแบบทั้งหมดเลย” โตสั่งรุ่นน้องทันที
“ครับๆ ท่านประธาน ” โจรับงาน
“เดี๋ยวสิครับรุ่นพี่ ไม่ไหวหรอกครับ ถ้าให้หาทั้งหมด กว่าจะเสร็จก็พรุ่งนี้พอดี” เด็กหนุ่มรีบค้านรุ่นพี่ทันควัน
“ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ 5 นาทีก็พอ” โจบอกกับเด็กหนุ่ม ตบไหล่เขาเบาๆ
“จ..จะไหวแน่หรือครับ” ไคดูจะไม่เชื่อสักเท่าไหร่
“ไม่ต้องห่วงหรอกไค โจน่ะสามารถอ่านความทรงจำของวิญญาณบริเวณรอบข้างได้ในเวลาอันสั้นน่ะ” อีฟแถลงไขให้เด็กหนุ่มเข้าใจด้วยรอยยิ้มในขณะพูด
“อา..ตอนแรกที่ได้พรสวรรค์นี้มา หัวของฉันแทบจะระเบิดเลยล่ะ การรับความทรงจำของดวงวิญญาณนับร้อยมาไว้ในตัว ไม่ใช่จะคุมกันง่ายๆ เลย ถึงแม้ตอนนี้จะคุมพลังได้ แต่ว่าก็ยังไม่สมบูรณ์ คงอดทนได้ไม่ถึง 10 นาทีก็ต้องเลิกใช้พลัง” โจเอานิ้วโป้งปาดจมูก พูดด้วยท่าทางหลงตัวเอง
“งั้นหรือครับ” เด็กหนุ่มขานรับด้วยวาจาสุภาพ ('สะสุดยอดเลยหมอนี่ ภูมิใจในความผิดแปลกของตัวเองเนี่ยนะ’)
“เอาละนะ” โจนั่งขัดสมาธิ “ฟืด…ฟาด….” เสียงหายใจเข้า-ออกของโจดังมาก ทั้งไคและแทงค์ นั่งกอดเข่า จ้องมองไปที่โจเป็นสายตาเดียวกัน เสียงหายใจยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ “ฟืด…ฟาด….ฟืด…..ฟาด….ฟืด….ฟาด…ปู้ด….ป้าด…ฟืด…..ฟาด….”
“พี่เขานี่สมาธิดีนะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยปากชม (‘เอ๊ะเดี๋ยวๆ เดี๋ยวนะ อะไรคือไอ้ ปู้ดป้าด วะ’)
โจค่อยๆ ลืมตาขึ้นหลังจากสิ้นสุดลมหายใจดัง “ฟาด” พร้อมอุทานขึ้นมาว่า “ยูเรก้า”
(‘เดี๋ยวสิเดี๋ยว นั่นมันคำพูดอาร์คิมีดิสขณะอาบน้ำไม่ใช่รึ’)
โตก้าวเข้ามาก้มลงนั่งยองๆ ข้างโจ “รุ่นพี่ ผมรู้แล้วครับ” โจมองหน้าของประธานหนุ่มแล้วเอ่ย “มีเนื้อหาทั้งหมด 35 เรื่องเล่าจากความทรงจำในสมัยที่วิญญาณแถวนี้ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเกี่ยวกับหัวข้อยันต์ และห้องพระทั้งหมด 3 เรื่องครับ”
“ดีมากเล่ามา” ประธานหนุ่มจ้องหน้ารุ่นน้องออกคำสั่งด้วยรอยยิ้ม
“ครับ! เรื่องที่ 1 เป็นเรื่องเกี่ยวกับห้องพระที่ถูกทุบทิ้งเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นบ้านไม้เก่าที่เคยสร้างไว้สำหรับสอนวิชาธรรมะศึกษา ปัจจุบันเป็นศาลเจ้ากลางแจ้งข้างๆ โรงเรียนและมีพระพุทธรูปไร้เศียรตั้งเรียงรายอยู่มากมาย เล่ากันว่าในตอนดึกจะเห็นพระพุทธรูปออกมาเดินเล่นรอบๆ ศาลเจ้า หากใครที่โชคดี ไปเจอเข้าก็จะหายสาบสูญไปทันที เรื่องนี้เคยเป็นข่าวลือดังมากเมื่อช่วง 28 ปีก่อน ถึงขั้นต้องเรียกเจ้าอาวาสมาปัดรังควานโดยมีการผนึกผ้ายันต์ไว้ แต่ตอนนี้ผ้ายันต์ได้หายไปแล้ว ซึ่งเหตุเกิดหลังจากที่ทุบห้องพระ 2 ปี”
“พี่ว่าข่าวนี้น่าจะไม่เกี่ยวกันนะ จากที่สังเกตดู ถ้าหากผู้ที่พบเจอพระพุทธรูปจะต้องหายสาบสูญแล้วละก็... ใครล่ะ จะเป็นคนเล่าเรื่องนี้ และรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญยันต์ที่ไคเจอ มันถูกเขียนลงในกระดาษนะ ไม่ใช่ผ้ายันต์” โตพูดขณะที่ยักไหล่จ้องหน้าโจ เขาเตรียมพร้อมที่จะฟังเรื่องต่อไปจากปากของรุ่นน้อง
“เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเล่นผีถ้วยแก้วในห้องพระครับ มีเรื่องอยู่ว่าถ้าหากเขียนยันต์เป็นภาษาบาลีว่า ‘คนตายมีชีวิต คนมีชีวิตตาย’แล้วนำยันต์มาซ้อนไว้ใต้กระดานผีถ้วยแก้วขณะเล่นในห้องพระหลังจาก 2 ทุ่มจะทำให้เมื่อเล่นจบ วิญญาณที่อัญเชิญมาไม่สามารถหาทางไปเกิดใหม่ได้ เนื่องจากหลงทางระหว่างโลกความเป็นกับโลกความตาย ข่าวลือนี้ดังในหมู่นักเรียนมานานแล้วครับ แม้แต่วิญญาณแถวนี้ยังไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับที่มาและระยะเวลาเลยครับ
เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องของห้องพระที่เคยบอกว่าจะก่อตั้งในอาคารเรียนเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งเป็นโปรเจ็คที่จะทำห้องพระใหม่ หลังจากที่ทุบทิ้งไปเมื่อ 30 ปีก่อน แต่ก็ต้องล้มเลิก ทั้งที่สร้างมาจนเกือบจะเสร็จ เพราะเงินทุนของโรงเรียนถูกขโมยไป ทำให้ไม่สามารถสร้างต่อด้วยเงินที่เหลือได้
ปัจจุบันเป็นห้องพระชั้น 3 ที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อ 5 ปีก่อนโดย ผอ.คนใหม่เป็นคนสนับสนุนงบประมาณ เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากที่พระอาจารย์ ที่สอนอยู่ในห้องนั้นได้มรณภาพ ก็มีคนเห็นพระอาจารย์เดินจงกรมอยู่ในห้องคืนแล้วคืนเล่า กระทั่งทุกคนทนไม่ไหวจึงได้ทำพิธีให้พระอาจารย์ย้ายไปอยู่ที่ศาลเจ้ากลางแจ้งแทน แต่พระอาจารย์ได้มาเข้าฝันผู้อำนวยการ แล้วบอกให้ย้ายวิญญาณพระอาจารย์กลับไปที่ห้องพระอย่างเร่งด่วน เนื่องจากที่พระอาจารย์อยู่ในห้องนั้น ก็เพื่อสะกดวิญญาณร้ายไม่ให้มารุกรานเด็กนักเรียน แต่สุดท้ายพิธีกรรมก็ไม่ได้ถูกจัดขึ้นอีก ทำให้วิญญาณร้ายยังวนเวียนอยู่ไม่หายไป เคยมีการใช้ยันต์สะกดปีศาจจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอยู่เหมือนกัน แต่ปัจจุบันยันต์นั้นได้หายไปจากห้องพระจึงไม่อาจรู้ว่าวิญญาณชั่วร้ายได้หลุดออกมาหรือเปล่า” เมื่อโจเล่าเสร็จ เขาก็หมดสติสลบไปในท่านั่งสมาธิ
“โอเคล่ะ พี่ว่าเรื่องที่ 2 นั้นฟังดูเป็นการเล่าต่อๆ กันมาจากเด็กๆ เสียมากกว่า หากคิดให้ดีแล้วผู้ใหญ่คงไม่น่าจะมาเล่นผีถ้วยแก้วหรอกจริงไหม จากเรื่องที่ 3 น่าจะฟังดูใกล้ความจริงที่สุด” โตกอดอกแล้วกล่าว
“แล้วทำไมรุ่นพี่ถึงคิดว่าเรื่องที่ 3 ดูสมจริงที่สุดล่ะครับ” เด็กหนุ่มเอียงคอสงสัย
“ก็เพราะว่า..”
“ว่า..”
“มันเป็นลางสังเห่าของประธานชมรมน่ะสิ ”
“อ..อ่า..ครับ” เด็กหนุ่มเริ่มเข้าใจถึงความน่าเชื่อถือประธานชมรม เขาเงยหน้าขึ้นมองอีฟซึ่งยืนอยู่ข้างๆ
หญิงสาวก้มลงสบตาไค ซึ่งเหมือนจะมีคำถามกับเธอ “มีอะไรหรือ”
“ป..เปล่าครับ พอดีจู่ๆ ผมก็คิดว่าทุกคนที่อยู่ชมรมนี้ ดูเป็นคนแปลกๆ นะครับ ”
“พี่ก็คิดแบบนั้นแหละ แต่ถึงจะดูเพี้ยนๆ ไปบ้าง ทุกคนก็เป็นคนดีนะ มนุษย์เป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุดในโลกนั่นแหละ บางครั้งก็อาจจะเข้าใจยากอยู่บ้าง แต่ถ้าได้อยู่ร่วมกันไปเรื่อยๆ ก็คงจะสนิทกันเองแหละนะ”
“ครับ” เด็กหนุ่มซาบซึ้งในคำพูดของพี่สาว
“เอาละทั้งสองคน หมดเวลาจู๋จี๋กันแล้วนะจ้ะ พวกเราจะลงไปตรวจสอบห้องพระที่ชั้น 3 กันต่อ” โตยื่นหน้าเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างทั้งคู่
“จู๋จี๋บ้านแกสิยะ” อีฟใช้มือซ้ายยกคอเสื้อของรุ่นพี่ขึ้น มือขวากำหมัดไว้แน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เธอจ้องหน้าโตตาเขม็ง
“ข…ข..ขอ..ขอโทษจ้ะ” ประธานหนุ่มขาสั่นด้วยความหวาดกลัว สายตาอันแหลมคมของหญิงสาวเสมือนโดนใบมีดจ่อต้นคอ
อีฟปล่อยคอเสื้อของโต “คราวหลังก็ระวังหน่อยนะคะรุ่นพี่ดูสิเกือบ ขยี้..ยุงไม่ทันเลย ”
(‘ยุงบ้านไหนล่ะนั่น’) สำหรับไคแล้วเธอในตอนนี้ดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าพี่ชายของแทงค์ ซึ่งเขามองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ข้างหลังโตเสียอีก เขานึกภาพของอีฟตอนโกรธสุดขีดไม่ออกจริงๆ
“เอาละไปกันเถอะ” โตพูดพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นเช่นเคย
เด็กหนุ่มกับประธานช่วยกันพยุงร่างที่หมดสติของโจเดินลงบันไดตามหลังหญิงสาวกับเด็กน้อยไป และแล้วทั้ง 4
คนก็ลงไปจนถึงชั้น 3
ขณะนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว โตเอามือคลำผนังข้างบันไดเพื่อเปิดสวิตซ์ไฟ เหล่าสมาชิกหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องพระ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ล็อคเนื่องจากมันแง้มเปิดออกเล็กน้อย
“ใครจะเป็นคนเปิดประตูดีล่ะ ฮิฮิฮิ” โตพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับว่ากำลังสนุกอยู่ตามประสาวัยรุ่น
“ก็ถ้าไม่ใช่พี่โตเปิด จะให้พี่อีฟที่เป็นผู้หญิงเปิดก็คงจะไม่สมควร หรือจะให้แทงค์ซึ่งยังเด็กอยู่ก็คงจะไม่ได้ เอ๊ะแป๊บนะผมอีกแล้วหรือ” เด็กหนุ่มพูดสิ่งที่คิดออกมา
“สู้ตาย” โตพูดพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้กำลังใจไค แต่ดูเหมือนจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจของเด็กหนุ่มเสียมากกว่า
“เป็นรุ่นพี่ไม่ได้หรือครับ จะให้คนที่มองเห็นผี จู่ๆ เข้าไปในห้องที่มีผีสิงเนี่ย มันเหมือนกับส่งวัวให้เสือ ชัดๆ เลยนะ” เด็กหนุ่มค้านด้วยน้ำเสียงโมโห
“ไค รู้ใช่ไหมว่าสาเหตุที่มาสืบนี่ก็เพื่อนายนะ เพราะพี่คิดว่าหากรู้สาเหตุที่นายมองเห็นผีได้ พวกเราก็คงพอจะช่วยทำให้การมองเห็นของนายกลับมาเป็นปกติได้ ดังนั้นนี่เป็นเรื่องของนาย นายก็ต้องสะสางด้วยตัวเอง” รุ่นพี่ตำหนิรุ่นน้อง ถึงแม้จะฟังดูเป็นคำแก้ตัวโดยนัยๆ
“เข้าใจแล้วครับ” ไคขานตอบด้วยท่าทีดูเกร็งๆ แล้วจึงค่อยใช้มือซ้ายผลักประตูที่แง้มอยู่ให้เปิดออก พร้อมกับเดินเข้าไปเป็นคนแรก เขาหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว
สักพักหนึ่งเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองดูรอบห้องที่มืดสนิท แล้วหันไปที่ประตูเพื่อเรียกให้ทุกคนตามเข้ามา แต่ทว่าเขาก็ต้องหมดหวังทันทีเมื่อสิ้นเสียงที่ดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
ปัง! ประตูปิดเองจากข้างในห้อง ทั้งที่คนอื่นก็ยังไม่มีใครเข้ามาสักคน ขณะนี้เขาอยู่คนเดียวมืดสนิทไร้แสงที่เล็ดลอดจากบานประตู เด็กหนุ่มค่อยๆ ปรับสายตาให้เข้ากับสถานที่
“ใครน่ะ” เขาอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นเงาตะคุ่มอยู่ตรงหิ้งพระด้านหลังห้อง
“…….@#@#$$#$%......@#$%^&….” เด็กหนุ่มฟังเสียงที่ตอบกลับมาจากหลังห้องได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก
เขาตั้งสมาธิพยายามฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจ จนเริ่มได้ความว่า ‘ช่วยด้วย ช่วยด้วยขอเถอะ ขอร้อง’
“ผมจะช่วยคุณเอง ดังนั้นอย่าหลอกหลอนกันนะ” เด็กหนุ่มขานตอบ
ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาชัดเจนยิ่งขึ้น เสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ‘ช่วยด้วย ขอหน่อย ช่วยด้วย ขอเถอะ ขอร้องล่ะ ขอชีวิตของแกที ขอหน่อยนะ ขอร้องล่ะ’ เสียงใกล้เข้ามาจนกระทั่ง อยู่ข้างใบหูของเขา “ขอเถอะ”
“เฮ้ย” เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นว่าเงานั้นได้มาอยู่ที่ข้างหลังของตัวเอง จึงอุทานด้วยความตกใจวิ่งจากหน้าห้องไปหลังห้อง
เขาพิจารณา คราวนี้เริ่มมองเห็นเงา ตะคุ่มๆ ที่อยู่หน้าห้องเป็นรูปเป็นร่างของคนชัดเจนยิ่งขึ้น
“ฉันนี่มันทำกรรมอะไรไว้เนี่ย” เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินไปทางหิ้งพระที่อยู่ข้างๆ อย่างช้าๆ
“โอ้ยเฮ้ยเฮ้ยเฮ้ย~” ปึง เด็กหนุ่มสะดุดบางสิ่งล้มลง เมื่อเพ่งดูให้ดีจึงรู้ว่าเป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดกว้างราว 40 เซนติเมตร เขาคิดในใจว่า บางทีสิ่งของในกล่องใบนี้ อาจจะมีอะไรที่ช่วยเราได้บ้าง (‘เก็บมาก่อนแล้วกัน’) จึงคว้ากล่องพกติดตัวไปด้วย เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่ข้างหิ้งพระ เขาเจอเทียนไขกับกล่องไม้ขีด (‘โชคดีนะที่บ้านฉันไฟดับบ่อยเลยเคยชินกับความมืด’) เขาจุดไม้ขีดแล้วจ่อไฟไปที่เทียนไขอย่างรีบร้อน
เจ้าผีร้ายที่กำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างนั้นพุ่งตรงมาหาเขาโดยไม่ทันตั้งตัว ทันทีที่เขาจุดเทียนสำเร็จ
“เหวอ ” เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นหนังสือสวดมนต์ ที่เปิดค้างไว้อยู่บนโต๊ะข้างหิ้งพระ (‘เอาวะ ไม่สนแล้วว่าคาถาอะไร’)
“นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธังมะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ (** คาถาพาหุง**)” ทันใดนั้นเจ้าผีร้ายก็พลันสลายไปทันใด ประตูค่อยๆ เปิดมีแสงรำไร
(‘ในโชคร้ายก็มีโชคดีด้วยแฮะ’) เด็กหนุ่มเป่าเทียนดับแล้ววางไว้บนโต๊ะ วิ่งถือกล่องออกมานอกห้องอย่างไม่คิดชีวิต
ในที่สุดเขาก็หลุดออกมาจากห้องมืดๆ จนได้ “แฮ่กๆ แฮ่กๆ” เด็กหนุ่มหายใจหอบ แต่ความโล่งอกโล่งใจของเขากลับต้องหายไปอย่างฉับพลันเมื่อหันไปดูที่ฝาผนัง “นี่มัน…..”
“ชั้น 7”
ความคิดเห็น