ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

    ลำดับตอนที่ #4 : คาบเรียนที่2: สาวน้อย กับ พระจันทร์ และชมรม (ตำนานรักบทยุยง)

    • อัปเดตล่าสุด 19 ต.ค. 60


    คาบเรียนที่2: สาวน้อย กับ พระจันทร์ และชมรม (ตำนานรักบทเริ่มต้น ยุยง)

                เวลา 15.00 นาฬิกา คาบชมรม

                “หาว!” โตบิดขี้เกียจขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หน้าโต๊ะบาร์ในห้องชมรม หลังจากที่เคลียร์ปริศนาในห้องพระได้ มันก็ผ่านมา 1 สัปดาห์แล้วนะ ทำไมมันว่างอย่างนี้

                “ว่างก็ดีแล้วล่ะครับ เพราะถ้าชมรมนี้ไม่ว่างละก็จะเจอเรื่องอะไรอีกผมก็ยังไม่รู้เลยไคพูดในขณะกำลังกวาดพื้นห้อง

                “น่าเบื่อจังโตนั่งฟุบหน้าลงบนโต๊ะ ท่าทีอ่อนระโหยโรยแรงราวกับกำลังขาดน้ำท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ

                “พี่โตเลิกบ่นแล้วมาช่วยกันทำความสะอาดห้องดีกว่าไหมคะอีฟพูดขณะกำลังเช็ดโต๊ะ

                “ครับๆ ทำครับ จะทำเดี๋ยวนี้โตลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้ววิ่งไปคว้าไม้กวาดทันทีที่เหลือบไปเห็นรังสีอำมหิตกำลังทะลักล้นออกมาจากตัวของหญิงสาว

                “พี่ชายครับเดี๋ยวผมจะเอาขยะไปทิ้งให้นะครับ แทงค์หันหน้าไปพูดกับไค เขาค่อยๆ ยกถังขยะที่อยู่มุมห้องขึ้น แล้วเดินออกไปข้างนอก

                “อื้มขอบใจนะไคยิ้มให้เด็กน้อย

                “ให้ฉันช่วยไหมวิญญาณพี่ชายของแทงค์ เอ่ยขึ้นที่ข้างหูของเด็กหนุ่มเบาๆ

                “เอิ่ม..ไม่ต้องก็ได้ครับ ไคกวาดขยะเข้าที่โกย

                “โย่ว ทางนี้ล้างหลอดทดลองเสร็จแล้วนะโจยกกะละมังที่เต็มไปด้วยหลอดแก้วและหลอดทดลอง เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับตะโกนบอก

                “ว่าแต่ไคช่วงนี้เป็นยังไงบ้างโตถามรุ่นน้องขณะกวาดพื้นอยู่ข้างๆ เขา

                “หมายถึงอะไรหรือครับ

                “ก็พลังของนายไง ควบคุมได้บ้างหรือยัง

                “ตอนนี้ก็นอกจากจะมองเห็นผีได้ชัดเจนยิ่งขึ้นแล้ว ก็ยังมีฟังเสียงกับสนทนาได้ครับ

                “งั้นก็เจ๋งไปเลยน่ะสิโตยิ้มให้รุ่นน้องด้วยทีท่าสนใจเช่นเคย คงสนุกน่าดูเลยนะ

                “สนุกกับผีน่ะสิครับ ตอนเดินกลับบ้านก็มองเห็นคนเดินทะลุตัวคนกันเองเต็มถนน แถมตอนจะนอนผมก็ต้องสวมผ้าปิดตากับที่อุดหูอีก ทรมานจะตายอยู่แล้วไคเดินถือที่โกยเทขยะลงใส่ถังเปล่าที่แทงค์กำลังยกกลับเข้ามาในห้องพอดี

                “ฮ่าๆ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ชินไปเองโตพูดกับรุ่นน้อง เหมือนเป็นเรื่องปกติ

                “ครับๆไคพยักหน้าแบบไม่ค่อยเต็มใจ

                แอด! ประตูห้องชมรมค่อยๆ แง้มเปิดออก

                “สวัสดีค่ะ ที่นี่ใช่ชมรมทำงานบ้านหรือเปล่าคะเด็กสาวผมสีดำยาวสลวยจนไปถึงแผ่นหลัง ดวงตาสีฟ้าอ่อน ใบหน้ากลมได้รูป หน้าตาน่ารัก บุคลิกดูเป็นคนนิสัยเขินอาย ส่วนสูง 165 เซนติเมตรก้าวเข้ามาในห้อง ทุกคนที่กำลังวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดหันหน้ามามองที่เด็กสาวเป็นสายตาเดียวกันเช่นเดียวกับตอนที่ไคเข้ามาครั้งแรก

                “ใช่ครับไคตอบด้วยรอยยิ้ม

                “คือหนูมาส่งใบสมัครค่ะ พอดีหนูยังหาชมรมไม่ได้เลย ก็คิดว่าจากชมรมที่เหลือทั้งหมด ชมรมนี้    ดูเป็นชมรมที่เหมาะกับหนูมากที่สุดน่ะค่ะหญิงสาวพูดด้วยท่าทีเขินอายต่อเด็กหนุ่ม

                “นี่เธอน่ะ ดูจากเข็มแล้วอยู่ ม.3 งั้นสินะ ชื่ออะไรล่ะโจหยิบหลอดทดลองออกจากกะละมัง จัดวางลงบนโต๊ะ แล้วเดินมายืนข้างๆ ไค

                “ค..ค่ะ หนูอยู่ ม.3 อายุ 15 ปี ชื่อ โซเฟียค่ะ เรียกว่าเฟียก็ได้ค่ะเด็กสาวนำมือทั้งสองข้างมาประสานกันที่บริเวณท้องน้อยในขณะแนะนำตัว

                “หืมน่ารักใช้ได้หนิโจลูบหัวเด็กสาว

                “อายุ 15 เหรอ ถ้างั้นก็เท่ากับฉันเลยสิไคพูดขณะเดินไปหยิบใบข้อตกลงของชมรม

                “ค..ค่ะ

                โตจับข้อมือไคที่กำลังจะคว้าใบข้อตกลง แล้วพูดเบาๆ ไคเราจะไม่รับเด็กคนนี้เข้าชมรม

                “ม..หมายความว่าไงครับรุ่นพี่ไคเงยขึ้นมองหน้าโต

                “เด็กคนนี้น่ะ มีกลิ่นไอแห่งความตาย เต็มไปหมดเลยรุ่นพี่พูดด้วยน้ำเสียงกระซิบ ท่าทางของเขาดูเคร่งเครียด

                “ธ...เธอ...เธอตายแล้วหรือครับไคทำหน้าเหวอ

                “เปล่าไม่ใช่ ถ้าเธอเป็นวิญญาณแล้วฉันจะไปมองเห็นได้ยังไงล่ะ

                “แล้วพี่รู้ว่าคนๆ นี้ไม่ควรรับเข้าชมรมได้ยังไงครับไคพูดด้วยทีท่าหงุดหงิด

                “พี่เคยบอกแกแล้วใช่ไหมว่าพลังของแกน่ะมันขัดแย้งกับพี่ นั่นก็เพราะว่าพลังของพี่จริงๆ แล้วก็คือ การรับกลิ่นอาย มองเห็นออร่า และรู้อายุขัยได้ไงล่ะ ซึ่งการมองเห็นของนายน่ะ จะเกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์สิ้นอายุขัยไปแล้ว แต่การมองเห็นของพี่จะหยุดลงทันทีเมื่อสิ้นสุดอายุขัย หรือก็คือจะไม่สามารถมองคนที่อายุขัยกลายเป็นศูนย์ได้อีกต่อไป และตอนนี้กลิ่นไอแห่งความตายของเด็กคนนั้นน่ะ มีกลิ่นเหม็นฉุนมากเลยล่ะ ประธานหนุ่มเอามือปิดจมูกขณะพูด

                “เอ่อ..รุ่นพี่ครับถ้ากลิ่นนั้นละก็ผมก็ได้กลิ่นนะฮะไคพูดขณะเกาศีรษะ

                “นี่นายก็รับกลิ่นอาย ได้ด้วยเหมือนกันเหรอ มันก็อปกันนี่โตดูจะอึ้งกับความสามารถอีกอย่างหนึ่งของไค เขาไม่ทันได้คิดเลยว่ารุ่นน้องของตนจะมีพลังแบบเดียวกันแฝงอยู่

                “แหะๆ เปล่าหรอกครับ กลิ่นตดผมต่างหาก นี่ขนาดปล่อยเบาสุดๆ แล้วนะเนี่ยเด็กหนุ่มกระซิบเบาๆ ใบหน้าแดงก่ำ

                “อ..เอ่อรุ่นพี่ถึงกับชะงักนิ่งไปพักใหญ่ สีหน้าของประธานหนุ่มซีดเซียวราวกับไก่ต้ม

                “อ่ะนี่ไคเดินไปยื่นใบข้อตกลงให้เด็กสาว

                “ขอบคุณค่ะเธอรีบรับนำมาเซ็นอย่างคล่องแคล่ว ดูไปดูมาเธอช่างเหมือนกับหนูแฮมสเตอร์ผู้บอบบางแต่ว่องไวยิ่งนัก

                “พี่อีฟครับ ฝากแนะนำตัวสมาชิกคนอื่นๆ ด้วยนะครับผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนเด็กหนุ่มพูดกับพี่สาวแล้ววิ่งออกจากห้องไป

                “จ้ะ รีบไปรีบมานะ

                (‘เอ.. รู้สึกว่าห้องน้ำจะอยู่ชั้น 7 หวังว่าคงจะไม่เจออะไรอีกนะ’) เด็กหนุ่มคิดในใจขณะเดินลงบันได

                “นี่กริยา" เสียงของหญิงสาวดังขึ้นมาจากด้านหลัง

                “ธ..เธอนี่เองไคกลับหลังหันไปพบแอนนากำลังโบกมือขณะวิ่งลงบันไดตามมาทักทาย

                “นี่เธอมาข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่สิ แล้วนี่มันคาบชมรมไม่ใช่หรือเด็กหนุ่มตกใจ

                ก็ฉันไม่มีชมรมให้เข้านี่ ก็เลยไปนอนเล่นอยู่บนดาดฟ้า พอเดินลงมาก็เลยเจอพอดี หญิงสาวแถลงไข

                “ถึงจะแบบนั้นก็เถอะ แต่เธอนี่ชอบไปๆ มาๆ แบบไม่ได้ทันตั้งตัวเลยนะตุ้บๆ ตุ้บๆ เสียงหัวใจที่เต้นระรัวด้วยความตกใจของเด็กหนุ่มทวีความรุนแรงขึ้น

                “เอ๋..หมายความว่ายังไงหรอแอนนานำมือไขว้หลัง เอียงลำตัวเล็กน้อยขณะถาม เธอจ้องตาเด็กหนุ่ม

                “อืม ช่างมันเถอะนะ

                “อื้ม นี่ๆ กริยาอยู่ชมรมอะไรหรอ

                “เราอยู่ชมรมทำงานบ้านน่ะ

                “เหรอ...ชมรมดูน่าสนใจจังเลยนะ

                “ก็แค่ว่างๆ ไปวันๆ กับทำความสะอาดบ้างในบางครั้งน่ะ

                “งั้นหรือ แต่เราว่าก็ดูเรียบง่ายดีนะ

                “ถ้าสนใจจะเข้าก็ได้นะ แต่คนในชมรมออกจะแปลกๆ กันไปหน่อย เธอเองถ้าไม่มีชมรมเดี๋ยวหน่วยกิตจะไม่พอเอานะ เราขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนล่ะเมื่อไคพูดเสร็จก็เดินลงบันไดต่อเพื่อไปเข้าห้องน้ำชั้น 7

                “อื้มหญิงสาวมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มขณะกำลังลงบันได จนกระทั่งเขาลับสายตา

                เด็กหนุ่มเดินจนมาถึงหน้าห้องน้ำชายที่อยู่ติดกับห้องเรียนของ ม.6 ห้อง C (‘ในที่สุด ก็มาถึงจนได้’) ขณะกำลังจะก้าวเข้าไปในห้องน้ำด้วยความรู้สึกโล่งอกโล่งใจที่จะได้ปลดทุกข์หลังจากที่อัดอั้นมานานแสนนาน

                เสียงสาวใหญ่ที่คุ้นหู กล่าวทักทายเขา อ้าวนี่เธอ กริยาใช่มั้ยจ้ะ

                ไคจำต้องหยุด กึก เขากลับหันหลังมาพบอาจารย์สาวซึ่งกำลังถือแฟ้มงานของเหล่านักเรียนติดไว้กับอก อ..อ้อ อาจารย์นวลจันทร์ สวัสดีครับ

                “สวัสดีจ้ะ แล้วสรุปเป็นยังไงบ้าง เรื่องชมรมอาจารย์สาวถามพร้อมกับรอยยิ้ม

                “ก็เรื่อยๆ นะครับ ได้รู้จักกับรุ่นพี่มากมายเลย” (‘ขอร้องล่ะ ให้ตรูได้เข้าห้องน้ำเถอะ แล้วนี่อาจารย์ คิดจะยืนคุยกับผม อยู่ตรงหน้าห้องน้ำชายแบบนี้ จริงๆ เหรอไง’)

                “เหรอ ถ้างั้นก็ดีเลยสินะ เป็นเด็กใหม่รู้จักรุ่นพี่ไว้เยอะๆ หน่อยก็ดี จะได้พึ่งพากันครูไปล่ะพอดีมีสอนต่ออาจารย์สาวโบกมือลาเด็กหนุ่ม แล้วเดินเข้าไปสอนในห้องของ ม.6 ซึ่งอยู่ข้างๆ ห้องน้ำนั้นเอง

                “เฮ้อได้เข้าสักที เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะมีใครมาเรียกเขาอีก

                ภายในห้องน้ำนั้น มีส้วมทั้งหมด 3 ห้องที่เปิดโล่งไม่มีใครใช้อยู่ โถปัสสาวะ 2 โถคั่นด้วยไม้กระดานขนาดใหญ่ และอ่างล้างมือซึ่งขัดจนเงาวับอ่างหนึ่ง เด็กหนุ่มเข้าไปในห้องส้วมตรงกลางระหว่างสองห้อง เขารีบล็อคประตูทันที

                ขณะที่ไคกำลังจะปลดเข็มขัดนักเรียน เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังออกมาจากห้องข้างๆ ทางด้านขวามือ ซึ่งไม่น่าจะมีใครอยู่ เย็นนี้ระวังตัวไว้ให้ดีล่ะเด็กหนุ่มใจหายแวบหนึ่ง เขารีบเปิดประตูเพื่อออกไปตรวจดูต้นตอของเสียงจากห้องข้างๆ แต่ก็พบเพียงประตูห้องที่เปิดโล่งทิ้งไว้ตามปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้ง 2 ห้อง

                (‘เย็นนี้ นี่เรากำลังจะโดนอะไรเข้าอีกแล้วล่ะเนี่ย’) เด็กหนุ่มใส่เข็มขัดนักเรียนตามเดิม ตอนนี้อาการปวดท้องทั้งหมดของเขาได้หายเป็นปลิดทิ้ง เนื่องจากมีอาการชาไปทั้งร่างขึ้นมาแทน ไคเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วรีบตรงไปที่บันไดเพื่อจะขึ้นไปเล่าสิ่งที่เขาพบเจอให้สมาชิกคนอื่นๆ ฟัง

                เปรี้ยง เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ก้องสนั่นไปทั้งตึกอาคารเรียน ฟ้ามืดครึ้มอย่างฉับพลัน เม็ดฝนตกกระหน่ำอย่างรวดเร็วและหนักขึ้นเรื่อยๆ อากาศรอบบริเวณโรงเรียนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกและม่านฝน

                “ฝนไล่ช้างสินะ อะไรมันจะตกมาได้จังหวะดีปานนี้เด็กหนุ่มพึมพำ แล้วเดินต่อไปที่บันได

                “นี่กริยาเธอช่วยไปเอากะละมังบนดาดฟ้ามาให้ครูหน่อยสิ ครูจะใช้ในการสอนวิทยาศาสตร์จ้ะ ฝากด้วยล่ะ เอาร่มของครูไปนะนี่จ้ะครูนวลจันทร์เรียกเด็กหนุ่ม ขณะเขากำลังเดินผ่านห้องที่เธอสอน แล้วยื่นร่มให้

                “ครับอาจารย์เด็กหนุ่มรับร่มจากครูสาว แล้วรีบเดินไปที่บันได

                ไคคิดขณะที่กำลังเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า (ผ่านมาตั้ง 1 สัปดาห์แล้ว  เราก็ยังไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับ ยันต์ที่เราเผลอเหยียบไปตอนนั้น แถมสาเหตุที่เราสามารถมองเห็นวิญญาณได้ก็ไม่รู้อีก มาจนถึงตอนนี้ก็ยังมีปริศนาเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งเรื่องของแอนนา แล้วก็เรื่องที่จะเกิดขึ้นเย็นนี้ด้วย นี่เราย้ายมาถูกโรงเรียนแน่แล้วหรือ ทำไมถึงรู้สึกท้อแท้ขนาดนี้กันนะ’)

                เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าประตูดาดฟ้าที่ทำจากไม้ เสียงของสายฝนดังมากจนกลบเสียงบริเวณโดยรอบอย่างมิดชิด เขาค่อยๆ เปิดประตูบนดาดฟ้าออกอย่างช้าๆ สายลมกรรโชก ตีเข้าที่บานประตูอย่างแรง จนเด็กหนุ่มต้องใช้มือทั้งสองข้างช่วยดันบานประตูเอาไว้ เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียง ออดแอด ของประตูไม้เวลาเปิด/ปิดด้วยซ้ำ

                 โครม เปรี้ยง ซ่าซ่า โครม ซ่าซ่า ฝนตกอย่างหนักมาก จนเด็กหนุ่มรู้ได้ทันทีเลยว่า ถึงจะมีร่มก็คงจะช่วยกันอะไรไม่ได้

                เขามองเห็นเงาคนลางๆ อยู่ท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างแรงจนแทบมองไม่เห็น (ใครเป็นบ้ามายืนตากฝนไล่ช้างแบบนี้กันวะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี’) ด้วยความใจดีของเด็กหนุ่ม ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นคนหรือผี แต่เขาก็เข้าไปพร้อมกับร่มที่ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้ ภาพเงาลางๆ ท่ามกลางสายฝน เด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเดินก้าวเข้าไปใกล้

                “แอนนา นี่เธอมายืนเหม่ออะไรท่ามกลางสายฝนเนี่ยภาพที่เด็กหนุ่มได้เห็นคือ เด็กสาวผู้เปียกปอนอยู่ท่ามกลางสายฝน จนเหมือนจะเห็นชุดชั้นในของเธอ เขาจึงหลบสายตาเมินมองไปทางอื่น

                “อื้ม เราไม่เป็นไรหรอกแค่จะมาดูวิวจากที่สูงน่ะ เธอรู้มั้ยว่าเวลาที่ฝนตกนะวิวจากดาดฟ้าของโรงเรียนเราจะสวยมากเลยล่ะสิ่งที่เด็กหนุ่มเห็นในตอนนี้นั้นมันช่างเหนือความคาดหมายยิ่งนัก เขาไม่เคยเห็นเด็กสาวที่ยิ้มอย่างมีความสุขท่ามกลางสายฝนแล้วดูงดงามเท่านี้มาก่อนเลย

     

                “งั้นเหรอแล้วไหนล่ะวิวที่เธอมองเด็กหนุ่มพยายามชะเง้อมองหา แต่ที่เขาเห็นก็มีเพียงแค่ม่านฝนสีขาวที่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งเท่านั้น

                “เธอก็ลองหลับตาดูสิ  นึกถึงภาพโรงเรียนของเราตอนที่ฝนยังไม่ตกนะ  แล้วก็มีฝนหยดลงมาทีละเม็ด ที..ละ..เม็ด จนทั่วทุกที่ เริ่มมีเม็ดฝนพร่างพรายมากมายขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยความชุ่มชื้น ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ จนค่อยๆ เต็มไปด้วยไอน้ำและหมอกขาวโพลนแอนนาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งสะกดจิต

                เด็กหนุ่มหลับตาแล้วนึกภาพตามที่เธอบอก วิวที่เด็กหนุ่มมองเห็นคือภาพเม็ดฝนที่หยุดลอยกลางอากาศ แล้วตกลงมาช้าๆ น้ำเจิ่งนองไปทั่วทุกที่ ท้องฟ้าที่มืดครึ้มแต่ก็ยังคงมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นจังหวะ เขามองเห็นภาพความงดงามของดอกไม้ที่สัมผัสกับเม็ดฝน เป็นภาพที่สวยงามมากกว่าการมองด้วยตาเปล่ายิ่งนัก

                "อื้ม จริงๆ ด้วยมันสวยงามอย่างที่เธอบอกเลยเด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มกับเธอ

                “ใช่มั้ยล่ะแอนนาพูดด้วยรอยยิ้มที่ร่าเริง

                “แต่ถึงมันจะสวยก็เถอะเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก ตามฉันมาเลยตามฉันมาเด็กหนุ่มกางร่มให้หญิงสาว แล้วพาเธอกลับเข้าไปในตึกเรียน

                “เราน่ะไม่เป็นไรหรอกน่า ฮัดเช้ย!” แอนนาพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจในตัวเอง แล้วก็จามตามระเบียบ

                “ถ้าไม่เป็นไรแล้วจะจามได้ไง เออจริงด้วยเดี๋ยวเธอรออยู่นี่ก่อนนะ ฉันจะไปเอาของที่อาจารย์วานมาให้ซะหน่อยว่าแล้วเด็กหนุ่มก็วิ่งฝ่าสายฝนเขาลื่นหกล้มคะเมนตีลังกาจนไปถึงกะละมัง ตามนิสัยที่ซุ่มซ่ามเช่นเคย

                “โอย..จะโชว์เท่ต่อหน้าผู้หญิงซะหน่อย ดันลืมไปได้ไงว่าพื้นลื่นเนี่ย เด็กหนุ่มค่อยๆ ยันตัวเองขึ้น

    เนื้อตัวเปียกโชกไปหมด เขาก้มลงคว้ากะละมังพลาสติกสีเขียว ซึ่งดูเหมือนจะใช่กะละมังที่อาจารย์สาววานมา

                “นายน่ะออกห่างจากยัยนั่นซะเสียงของผู้ชาย ซึ่งเป็นเสียงเดียวกับคนในห้องน้ำดังขึ้นท่ามกลางสายฝน น่าแปลกที่เด็กหนุ่มสามารถได้ยินเสียงนี้ได้อย่างชัดเจน ทั้งที่ฝนตกหนักขนาดนี้แท้ๆ

                “นี่คุณ เป็นใครน่ะเด็กหนุ่มก้มหน้าลงเอ่ยเบาๆ

                “ฉันคือ..และแล้วเสียงปริศนาก็ขาดหายไป

                (‘ทำไมถึงต้องให้ออกห่างจากแอนนาด้วยนะ ร..หรือว่าหมอนั่นจะบอกว่าแอนนาเป็นผีงั้นเหรอ’) เด็กหนุ่มหันมามองหน้าเด็กสาวที่ยืนอยู่ในที่ร่ม

                (‘เราจะให้เธอรู้ตัวไม่ได้เด็ดขาด ว่าเรารู้แล้วว่าเธอเป็นวิญญาณ แต่ทำไมมันปวดร้าวใจเหลือเกิน’) เด็กหนุ่มถือกะละมังค่อยๆ เดินไปที่ประตู แล้วจึงปิดล็อคตามเดิม

                “ฮิฮิ เธอนี่ซุ่มซ่ามจังเลยนะ ลื่นล้มตีลังกาตั้งหลายตลบแน่ะสาวน้อยยิ้มให้เด็กหนุ่ม ด้วยรอยยิ้มที่แสนน่ารักราวกับเจ้าหญิงน้อยๆ

                แต่ดูเหมือนว่า เด็กหนุ่มตอนนี้จะสับสนวุ่นวายใจเหลือเกิน นี่ เธอน่ะต่อไปจากนี้ อย่าได้มาคุยกับฉันอีกเลยนะเด็กหนุ่มเกร็งไปทั้งร่าง เขากำมืออย่างแน่น แล้วก้มหน้าพูด เสียงของไคดังมากจนแม้แต่เสียงฝนก็ยังไม่สามารถกลบได้

                “ทำไม ทำไมล่ะ ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ หรือว่าเราทำให้เธอลำบากใจที่เราแหย่เธอแรงไปหน่อย เราขอโทษ อย่าโกรธกันเลยน้าแอนนาที่ได้ฟังไคพูดแบบนั้น ก็ถามหาเหตุผลจากชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงสั่นราวกับจะร้องไห้ 

                “ฉันไม่ได้โกรธเธอหรอกนะ แต่ว่าเราคงจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอกเมื่อเด็กหนุ่มพูดเสร็จแล้วก็เดินลงบันไดไปอย่างช้าๆ ปล่อยให้หญิงสาว มองแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป เช่นเคย

                คำพูดประโยคนั้นของไคทำเธอเสียใจจนร้องไห้ออกมา แต่ดูเหมือนไค จะได้ยินเพียงเสียงของสายฝน ที่กลบทับกลมกลืนไปกับเสียงของเธอเพียงแค่เท่านั้น (นี่เราพูดแรงเกินไปหรือเปล่านะ เริ่มจะเข้าใจอารมณ์ของละครไทยน้ำเน่าซะแล้วสิ’) เด็กหนุ่มเดินมาจนถึงห้องเรียนของ ม.6

                เด็กหนุ่มเลื่อนประตู แล้วยื่นกะละมังให้อาจารย์สาว อาจารย์ครับกะละมังครับ

                “ขอบใจจ้ะ เอ๊ะนี่กริยาเธอไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครูนวลจันทร์ใช้หลังมือวางบนหน้าผากเพื่อดูอาการไข้ให้เด็กหนุ่ม

                “ก็ปกติดีนี่ครับ

                “ครูเห็นเธอดูซึมๆ น่ะไปห้องพยาบาลดีกว่ามั้ยครูสาวพูดด้วยความเป็นห่วง

                “ไม่เป็นไรครับผมสบายดี ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขออนุญาตกลับห้องชมรมก่อนนะครับไคฝืนยิ้มกับอาจารย์

                “จ้าไม่เป็นไรจริงๆ นะ

                “ครับเด็กหนุ่มยกมือไหว้อาจารย์แล้วเดินกลับไปยังทางขึ้น

                เสียงปริศนาดังขึ้นในหัวของเด็กหนุ่มอีกครั้งขณะกำลังก้าวขึ้นบันได ตอนนี้นายน่ะ ไม่เหลืออะไรแล้ว หึๆ

                “นี่แกอีกแล้ว เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขามองไปรอบๆ ตัว แต่ก็ไม่พบเห็นใคร แม้แต่วิญญาณสักตนเดียว

                ออด! ขณะนี้เวลา 16.00 น. หมดเวลาการเรียนการสอน เสียงจากลำโพงที่ติดตั้งตามมุมในอาคารเรียนดังขึ้น

                “ออกมานะ ออกมาเดี๋ยวนี้ไคตะโกนฝ่าเสียงฝนที่ยังคงตกหนัก

                “แกน่ะมองฉันไม่เห็นหรอก ถึงจะทำยังไงก็ตามฮ่าๆ ฮ่าฮ่าฮ่า

                “หมายความว่าไงไคเหมือนจะโดนยั่วยุให้โกรธมากขึ้นทุกที

                “ได้เวลา..และแล้วเสียงก็เงียบหายไปเช่นเคย

               (‘ต้องรีบไปบอกเรื่องนี้กับพวกรุ่นพี่’) ไคเดินจนมาถึงหน้าห้องชมรม เขาเปิดประตูอย่างช้าๆ แล้วเดินก้มหน้าเข้าไปในห้อง

               โตหันไปเห็นเด็กหนุ่มเดินกลับเข้ามาขณะตนเองกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะบาร์ เขาโบกมือต้อนรับ ไค มาช้าจังเลยนะท้องเสียงั้นเหรอ  ฮ่าฮ่าฮ่า ว่าแต่ทำไมตัวเปียกไปหมดเลยล่ะ” 

                เด็กหนุ่มเดินเข้ามาแล้วยืนหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูห้อง ....

                “ไค อ้าวทำไมเงียบล่ะ ไค ไค

                ตุบ! เด็กหนุ่มล้มลงทั้งท่ายืน กระแทกพื้นอย่างแรง

                “พี่โต ไคเป็นอะไรไปน่ะอีฟที่กำลังนั่งคุยอยู่กับโจ แทงค์และโซเฟีย เมื่อเห็นเขาล้มลงก็รีบวิ่งมาดูอาการอย่างไม่รีรอ

                ทุกคนมองมายังไค ไค ไคอีฟเรียกชื่อของเด็กหนุ่มไม่ขาดปากพร้อมกับเขย่าตัวของเขา แต่ดูเหมือนจะทำอย่างไรก็ไม่ได้สติขึ้นมา

                “อีฟพอเถอะ โตจับแขนของอีฟที่กำลังเขย่าตัวของไคเอาไว้ เขาส่ายหน้า

                “พี่โต เรารีบพาไคไปส่งห้องพยาบาลเถอะค่ะ

                “อีฟพอได้แล้วประธานหนุ่มตะคอกใส่หญิงสาว

                “แต่..แต่ไคเขาเป็นอะไรก็ไม่รู้นะคะพี่ ทำไมถึงไม่พาไปห้องพยาบาลล่ะ ไค ไคอีฟยังคงเขย่าตัวของเด็กหนุ่ม

    โตบีบแขนของอีฟไว้แน่น อีฟ ฟังพี่ให้ดีๆ นะ

                อีฟเงียบลงแล้วสบสายตารุ่นพี่ รู้สึกกังวล หวาดหวั่นจนตัวสั่น เป็นห่วงเด็กหนุ่มอย่างที่สุด

                “อายุขัยของไคน่ะ เป็นศูนย์ไปแล้วโตก้มหน้าลง น้ำตาของเขาพรั่งพรูออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ไคตายแล้ว

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    ปล.รักนะ!คนอ่าน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×