คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : คาบเรียนที่2: สาวน้อย กับ พระจันทร์ และชมรม (ตำนานรักบทยุยง)
คาบเรียนที่2: สาวน้อย กับ พระจันทร์ และชมรม (ตำนานรักบทเริ่มต้น ยุยง)
เวลา 15.00 นาฬิกา คาบชมรม
“หาว!” โตบิดขี้เกียจขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หน้าโต๊ะบาร์ในห้องชมรม “หลังจากที่เคลียร์ปริศนาในห้องพระได้ มันก็ผ่านมา 1 สัปดาห์แล้วนะ ทำไมมันว่างอย่างนี้”
“ว่างก็ดีแล้วล่ะครับ เพราะถ้าชมรมนี้ไม่ว่างละก็จะเจอเรื่องอะไรอีกผมก็ยังไม่รู้เลย” ไคพูดในขณะกำลังกวาดพื้นห้อง
“น่าเบื่อจัง” โตนั่งฟุบหน้าลงบนโต๊ะ ท่าทีอ่อนระโหยโรยแรงราวกับกำลังขาดน้ำท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ
“พี่โตเลิกบ่นแล้วมาช่วยกันทำความสะอาดห้องดีกว่าไหมคะ” อีฟพูดขณะกำลังเช็ดโต๊ะ
“ครับๆ ทำครับ จะทำเดี๋ยวนี้” โตลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้ววิ่งไปคว้าไม้กวาดทันทีที่เหลือบไปเห็นรังสีอำมหิตกำลังทะลักล้นออกมาจากตัวของหญิงสาว
“พี่ชายครับเดี๋ยวผมจะเอาขยะไปทิ้งให้นะครับ” แทงค์หันหน้าไปพูดกับไค เขาค่อยๆ ยกถังขยะที่อยู่มุมห้องขึ้น แล้วเดินออกไปข้างนอก
“อื้มขอบใจนะ” ไคยิ้มให้เด็กน้อย
“ให้ฉันช่วยไหม” วิญญาณพี่ชายของแทงค์ เอ่ยขึ้นที่ข้างหูของเด็กหนุ่มเบาๆ
“เอิ่ม..ไม่ต้องก็ได้ครับ” ไคกวาดขยะเข้าที่โกย
“โย่ว ทางนี้ล้างหลอดทดลองเสร็จแล้วนะ” โจยกกะละมังที่เต็มไปด้วยหลอดแก้วและหลอดทดลอง เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับตะโกนบอก
“ว่าแต่ไคช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง” โตถามรุ่นน้องขณะกวาดพื้นอยู่ข้างๆ เขา
“หมายถึงอะไรหรือครับ”
“ก็พลังของนายไง ควบคุมได้บ้างหรือยัง”
“ตอนนี้ก็นอกจากจะมองเห็นผีได้ชัดเจนยิ่งขึ้นแล้ว ก็ยังมีฟังเสียงกับสนทนาได้ครับ”
“งั้นก็เจ๋งไปเลยน่ะสิ” โตยิ้มให้รุ่นน้องด้วยทีท่าสนใจเช่นเคย “คงสนุกน่าดูเลยนะ”
“สนุกกับผีน่ะสิครับ ตอนเดินกลับบ้านก็มองเห็นคนเดินทะลุตัวคนกันเองเต็มถนน แถมตอนจะนอนผมก็ต้องสวมผ้าปิดตากับที่อุดหูอีก ทรมานจะตายอยู่แล้ว” ไคเดินถือที่โกยเทขยะลงใส่ถังเปล่าที่แทงค์กำลังยกกลับเข้ามาในห้องพอดี
“ฮ่าๆ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ชินไปเอง” โตพูดกับรุ่นน้อง เหมือนเป็นเรื่องปกติ
“ครับๆ” ไคพยักหน้าแบบไม่ค่อยเต็มใจ
แอด! ประตูห้องชมรมค่อยๆ แง้มเปิดออก
“สวัสดีค่ะ ที่นี่ใช่ชมรมทำงานบ้านหรือเปล่าคะ” เด็กสาวผมสีดำยาวสลวยจนไปถึงแผ่นหลัง ดวงตาสีฟ้าอ่อน ใบหน้ากลมได้รูป หน้าตาน่ารัก บุคลิกดูเป็นคนนิสัยเขินอาย ส่วนสูง 165 เซนติเมตรก้าวเข้ามาในห้อง ทุกคนที่กำลังวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดหันหน้ามามองที่เด็กสาวเป็นสายตาเดียวกันเช่นเดียวกับตอนที่ไคเข้ามาครั้งแรก
“ใช่ครับ” ไคตอบด้วยรอยยิ้ม
“คือหนูมาส่งใบสมัครค่ะ พอดีหนูยังหาชมรมไม่ได้เลย ก็คิดว่าจากชมรมที่เหลือทั้งหมด ชมรมนี้ ดูเป็นชมรมที่เหมาะกับหนูมากที่สุดน่ะค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยท่าทีเขินอายต่อเด็กหนุ่ม
“นี่เธอน่ะ ดูจากเข็มแล้วอยู่ ม.3 งั้นสินะ ชื่ออะไรล่ะ” โจหยิบหลอดทดลองออกจากกะละมัง จัดวางลงบนโต๊ะ แล้วเดินมายืนข้างๆ ไค
“ค..ค่ะ หนูอยู่ ม.3 อายุ 15 ปี ชื่อ โซเฟียค่ะ เรียกว่าเฟียก็ได้ค่ะ” เด็กสาวนำมือทั้งสองข้างมาประสานกันที่บริเวณท้องน้อยในขณะแนะนำตัว
“หืมน่ารักใช้ได้หนิ” โจลูบหัวเด็กสาว
“อายุ 15 เหรอ ถ้างั้นก็เท่ากับฉันเลยสิ” ไคพูดขณะเดินไปหยิบใบข้อตกลงของชมรม
“ค..ค่ะ”
โตจับข้อมือไคที่กำลังจะคว้าใบข้อตกลง แล้วพูดเบาๆ “ไคเราจะไม่รับเด็กคนนี้เข้าชมรม”
“ม..หมายความว่าไงครับรุ่นพี่” ไคเงยขึ้นมองหน้าโต
“เด็กคนนี้น่ะ มีกลิ่นไอแห่งความตาย เต็มไปหมดเลย” รุ่นพี่พูดด้วยน้ำเสียงกระซิบ ท่าทางของเขาดูเคร่งเครียด
“ธ...เธอ...เธอตายแล้วหรือครับ” ไคทำหน้าเหวอ
“เปล่าไม่ใช่ ถ้าเธอเป็นวิญญาณแล้วฉันจะไปมองเห็นได้ยังไงล่ะ”
“แล้วพี่รู้ว่าคนๆ นี้ไม่ควรรับเข้าชมรมได้ยังไงครับ” ไคพูดด้วยทีท่าหงุดหงิด
“พี่เคยบอกแกแล้วใช่ไหมว่าพลังของแกน่ะมันขัดแย้งกับพี่ นั่นก็เพราะว่าพลังของพี่จริงๆ แล้วก็คือ การรับกลิ่นอาย มองเห็นออร่า และรู้อายุขัยได้ไงล่ะ ซึ่งการมองเห็นของนายน่ะ จะเกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์สิ้นอายุขัยไปแล้ว แต่การมองเห็นของพี่จะหยุดลงทันทีเมื่อสิ้นสุดอายุขัย หรือก็คือจะไม่สามารถมองคนที่อายุขัยกลายเป็นศูนย์ได้อีกต่อไป และตอนนี้กลิ่นไอแห่งความตายของเด็กคนนั้นน่ะ มีกลิ่นเหม็นฉุนมากเลยล่ะ” ประธานหนุ่มเอามือปิดจมูกขณะพูด
“เอ่อ..รุ่นพี่ครับถ้ากลิ่นนั้นละก็ผมก็ได้กลิ่นนะฮะ” ไคพูดขณะเกาศีรษะ
“นี่นายก็รับกลิ่นอาย ได้ด้วยเหมือนกันเหรอ มันก็อปกันนี่” โตดูจะอึ้งกับความสามารถอีกอย่างหนึ่งของไค เขาไม่ทันได้คิดเลยว่ารุ่นน้องของตนจะมีพลังแบบเดียวกันแฝงอยู่
“แหะๆ เปล่าหรอกครับ กลิ่นตดผมต่างหาก นี่ขนาดปล่อยเบาสุดๆ แล้วนะเนี่ย” เด็กหนุ่มกระซิบเบาๆ ใบหน้าแดงก่ำ
“อ..เอ่อ” รุ่นพี่ถึงกับชะงักนิ่งไปพักใหญ่ สีหน้าของประธานหนุ่มซีดเซียวราวกับไก่ต้ม
“อ่ะนี่” ไคเดินไปยื่นใบข้อตกลงให้เด็กสาว
“ขอบคุณค่ะ” เธอรีบรับนำมาเซ็นอย่างคล่องแคล่ว ดูไปดูมาเธอช่างเหมือนกับหนูแฮมสเตอร์ผู้บอบบางแต่ว่องไวยิ่งนัก
“พี่อีฟครับ ฝากแนะนำตัวสมาชิกคนอื่นๆ ด้วยนะครับผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน” เด็กหนุ่มพูดกับพี่สาวแล้ววิ่งออกจากห้องไป
“จ้ะ รีบไปรีบมานะ”
(‘เอ.. รู้สึกว่าห้องน้ำจะอยู่ชั้น 7 หวังว่าคงจะไม่เจออะไรอีกนะ’) เด็กหนุ่มคิดในใจขณะเดินลงบันได
“นี่กริยา" เสียงของหญิงสาวดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“ธ..เธอนี่เอง” ไคกลับหลังหันไปพบแอนนากำลังโบกมือขณะวิ่งลงบันไดตามมาทักทาย
“นี่เธอมาข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่สิ แล้วนี่มันคาบชมรมไม่ใช่หรือ” เด็กหนุ่มตกใจ
“ก็ฉันไม่มีชมรมให้เข้านี่ ก็เลยไปนอนเล่นอยู่บนดาดฟ้า พอเดินลงมาก็เลยเจอพอดี” หญิงสาวแถลงไข
“ถึงจะแบบนั้นก็เถอะ แต่เธอนี่ชอบไปๆ มาๆ แบบไม่ได้ทันตั้งตัวเลยนะ” ตุ้บๆ ตุ้บๆ เสียงหัวใจที่เต้นระรัวด้วยความตกใจของเด็กหนุ่มทวีความรุนแรงขึ้น
“เอ๋..หมายความว่ายังไงหรอ” แอนนานำมือไขว้หลัง เอียงลำตัวเล็กน้อยขณะถาม เธอจ้องตาเด็กหนุ่ม
“อืม ช่างมันเถอะนะ”
“อื้ม นี่ๆ กริยาอยู่ชมรมอะไรหรอ”
“เราอยู่ชมรมทำงานบ้านน่ะ”
“เหรอ...ชมรมดูน่าสนใจจังเลยนะ”
“ก็แค่ว่างๆ ไปวันๆ กับทำความสะอาดบ้างในบางครั้งน่ะ”
“งั้นหรือ แต่เราว่าก็ดูเรียบง่ายดีนะ”
“ถ้าสนใจจะเข้าก็ได้นะ แต่คนในชมรมออกจะแปลกๆ กันไปหน่อย เธอเองถ้าไม่มีชมรมเดี๋ยวหน่วยกิตจะไม่พอเอานะ เราขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนล่ะ” เมื่อไคพูดเสร็จก็เดินลงบันไดต่อเพื่อไปเข้าห้องน้ำชั้น 7
“อื้ม” หญิงสาวมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มขณะกำลังลงบันได จนกระทั่งเขาลับสายตา
เด็กหนุ่มเดินจนมาถึงหน้าห้องน้ำชายที่อยู่ติดกับห้องเรียนของ ม.6 ห้อง C (‘ในที่สุด ก็มาถึงจนได้’) ขณะกำลังจะก้าวเข้าไปในห้องน้ำด้วยความรู้สึกโล่งอกโล่งใจที่จะได้ปลดทุกข์หลังจากที่อัดอั้นมานานแสนนาน
เสียงสาวใหญ่ที่คุ้นหู กล่าวทักทายเขา “อ้าวนี่เธอ กริยาใช่มั้ยจ้ะ”
ไคจำต้องหยุด กึก เขากลับหันหลังมาพบอาจารย์สาวซึ่งกำลังถือแฟ้มงานของเหล่านักเรียนติดไว้กับอก “อ..อ้อ อาจารย์นวลจันทร์ สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้ะ แล้วสรุปเป็นยังไงบ้าง เรื่องชมรม” อาจารย์สาวถามพร้อมกับรอยยิ้ม
“ก็เรื่อยๆ นะครับ ได้รู้จักกับรุ่นพี่มากมายเลย” (‘ขอร้องล่ะ ให้ตรูได้เข้าห้องน้ำเถอะ แล้วนี่อาจารย์ คิดจะยืนคุยกับผม อยู่ตรงหน้าห้องน้ำชายแบบนี้ จริงๆ เหรอไง’)
“เหรอ ถ้างั้นก็ดีเลยสินะ เป็นเด็กใหม่รู้จักรุ่นพี่ไว้เยอะๆ หน่อยก็ดี จะได้พึ่งพากันครูไปล่ะพอดีมีสอนต่อ” อาจารย์สาวโบกมือลาเด็กหนุ่ม แล้วเดินเข้าไปสอนในห้องของ ม.6 ซึ่งอยู่ข้างๆ ห้องน้ำนั้นเอง
“เฮ้อได้เข้าสักที ” เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะมีใครมาเรียกเขาอีก
ภายในห้องน้ำนั้น มีส้วมทั้งหมด 3 ห้องที่เปิดโล่งไม่มีใครใช้อยู่ โถปัสสาวะ 2 โถคั่นด้วยไม้กระดานขนาดใหญ่ และอ่างล้างมือซึ่งขัดจนเงาวับอ่างหนึ่ง เด็กหนุ่มเข้าไปในห้องส้วมตรงกลางระหว่างสองห้อง เขารีบล็อคประตูทันที
ขณะที่ไคกำลังจะปลดเข็มขัดนักเรียน เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังออกมาจากห้องข้างๆ ทางด้านขวามือ ซึ่งไม่น่าจะมีใครอยู่ “เย็นนี้ระวังตัวไว้ให้ดีล่ะ” เด็กหนุ่มใจหายแวบหนึ่ง เขารีบเปิดประตูเพื่อออกไปตรวจดูต้นตอของเสียงจากห้องข้างๆ แต่ก็พบเพียงประตูห้องที่เปิดโล่งทิ้งไว้ตามปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้ง 2 ห้อง
(‘เย็นนี้ นี่เรากำลังจะโดนอะไรเข้าอีกแล้วล่ะเนี่ย’) เด็กหนุ่มใส่เข็มขัดนักเรียนตามเดิม ตอนนี้อาการปวดท้องทั้งหมดของเขาได้หายเป็นปลิดทิ้ง เนื่องจากมีอาการชาไปทั้งร่างขึ้นมาแทน ไคเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วรีบตรงไปที่บันไดเพื่อจะขึ้นไปเล่าสิ่งที่เขาพบเจอให้สมาชิกคนอื่นๆ ฟัง
เปรี้ยง เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ก้องสนั่นไปทั้งตึกอาคารเรียน ฟ้ามืดครึ้มอย่างฉับพลัน เม็ดฝนตกกระหน่ำอย่างรวดเร็วและหนักขึ้นเรื่อยๆ อากาศรอบบริเวณโรงเรียนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกและม่านฝน
“ฝนไล่ช้างสินะ อะไรมันจะตกมาได้จังหวะดีปานนี้” เด็กหนุ่มพึมพำ แล้วเดินต่อไปที่บันได
“นี่กริยาเธอช่วยไปเอากะละมังบนดาดฟ้ามาให้ครูหน่อยสิ ครูจะใช้ในการสอนวิทยาศาสตร์จ้ะ ฝากด้วยล่ะ เอาร่มของครูไปนะนี่จ้ะ” ครูนวลจันทร์เรียกเด็กหนุ่ม ขณะเขากำลังเดินผ่านห้องที่เธอสอน แล้วยื่นร่มให้
“ครับอาจารย์” เด็กหนุ่มรับร่มจากครูสาว แล้วรีบเดินไปที่บันได
ไคคิดขณะที่กำลังเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า (‘ผ่านมาตั้ง 1 สัปดาห์แล้ว เราก็ยังไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับ ยันต์ที่เราเผลอเหยียบไปตอนนั้น แถมสาเหตุที่เราสามารถมองเห็นวิญญาณได้ก็ไม่รู้อีก มาจนถึงตอนนี้ก็ยังมีปริศนาเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งเรื่องของแอนนา แล้วก็เรื่องที่จะเกิดขึ้นเย็นนี้ด้วย นี่เราย้ายมาถูกโรงเรียนแน่แล้วหรือ ทำไมถึงรู้สึกท้อแท้ขนาดนี้กันนะ’)
เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าประตูดาดฟ้าที่ทำจากไม้ เสียงของสายฝนดังมากจนกลบเสียงบริเวณโดยรอบอย่างมิดชิด เขาค่อยๆ เปิดประตูบนดาดฟ้าออกอย่างช้าๆ สายลมกรรโชก ตีเข้าที่บานประตูอย่างแรง จนเด็กหนุ่มต้องใช้มือทั้งสองข้างช่วยดันบานประตูเอาไว้ เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียง ‘ออดแอด’ ของประตูไม้เวลาเปิด/ปิดด้วยซ้ำ
โครม เปรี้ยง ซ่าซ่า โครม ซ่าซ่า ฝนตกอย่างหนักมาก จนเด็กหนุ่มรู้ได้ทันทีเลยว่า ถึงจะมีร่มก็คงจะช่วยกันอะไรไม่ได้
เขามองเห็นเงาคนลางๆ อยู่ท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างแรงจนแทบมองไม่เห็น (‘ใครเป็นบ้ามายืนตากฝนไล่ช้างแบบนี้กันวะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี’) ด้วยความใจดีของเด็กหนุ่ม ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นคนหรือผี แต่เขาก็เข้าไปพร้อมกับร่มที่ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้ ภาพเงาลางๆ ท่ามกลางสายฝน เด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเดินก้าวเข้าไปใกล้
“แอนนา นี่เธอมายืนเหม่ออะไรท่ามกลางสายฝนเนี่ย” ภาพที่เด็กหนุ่มได้เห็นคือ เด็กสาวผู้เปียกปอนอยู่ท่ามกลางสายฝน จนเหมือนจะเห็นชุดชั้นในของเธอ เขาจึงหลบสายตาเมินมองไปทางอื่น
“อื้ม เราไม่เป็นไรหรอกแค่จะมาดูวิวจากที่สูงน่ะ เธอรู้มั้ยว่าเวลาที่ฝนตกนะวิวจากดาดฟ้าของโรงเรียนเราจะสวยมากเลยล่ะ” สิ่งที่เด็กหนุ่มเห็นในตอนนี้นั้นมันช่างเหนือความคาดหมายยิ่งนัก เขาไม่เคยเห็นเด็กสาวที่ยิ้มอย่างมีความสุขท่ามกลางสายฝนแล้วดูงดงามเท่านี้มาก่อนเลย
“งั้นเหรอแล้วไหนล่ะวิวที่เธอมอง” เด็กหนุ่มพยายามชะเง้อมองหา แต่ที่เขาเห็นก็มีเพียงแค่ม่านฝนสีขาวที่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งเท่านั้น
“เธอก็ลองหลับตาดูสิ นึกถึงภาพโรงเรียนของเราตอนที่ฝนยังไม่ตกนะ แล้วก็มีฝนหยดลงมาทีละเม็ด ที..ละ..เม็ด จนทั่วทุกที่ เริ่มมีเม็ดฝนพร่างพรายมากมายขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยความชุ่มชื้น ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ จนค่อยๆ เต็มไปด้วยไอน้ำและหมอกขาวโพลน” แอนนาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งสะกดจิต
เด็กหนุ่มหลับตาแล้วนึกภาพตามที่เธอบอก วิวที่เด็กหนุ่มมองเห็นคือภาพเม็ดฝนที่หยุดลอยกลางอากาศ แล้วตกลงมาช้าๆ น้ำเจิ่งนองไปทั่วทุกที่ ท้องฟ้าที่มืดครึ้มแต่ก็ยังคงมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นจังหวะ เขามองเห็นภาพความงดงามของดอกไม้ที่สัมผัสกับเม็ดฝน เป็นภาพที่สวยงามมากกว่าการมองด้วยตาเปล่ายิ่งนัก
"อื้ม จริงๆ ด้วยมันสวยงามอย่างที่เธอบอกเลย” เด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มกับเธอ
“ใช่มั้ยล่ะ” แอนนาพูดด้วยรอยยิ้มที่ร่าเริง
“แต่ถึงมันจะสวยก็เถอะเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก ตามฉันมาเลยตามฉันมา” เด็กหนุ่มกางร่มให้หญิงสาว แล้วพาเธอกลับเข้าไปในตึกเรียน
“เราน่ะไม่เป็นไรหรอกน่า ฮัดเช้ย!” แอนนาพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจในตัวเอง แล้วก็จามตามระเบียบ
“ถ้าไม่เป็นไรแล้วจะจามได้ไง เออจริงด้วยเดี๋ยวเธอรออยู่นี่ก่อนนะ ฉันจะไปเอาของที่อาจารย์วานมาให้ซะหน่อย” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็วิ่งฝ่าสายฝนเขาลื่นหกล้มคะเมนตีลังกาจนไปถึงกะละมัง ตามนิสัยที่ซุ่มซ่ามเช่นเคย
“โอย..จะโชว์เท่ต่อหน้าผู้หญิงซะหน่อย ดันลืมไปได้ไงว่าพื้นลื่นเนี่ย” เด็กหนุ่มค่อยๆ ยันตัวเองขึ้น
เนื้อตัวเปียกโชกไปหมด เขาก้มลงคว้ากะละมังพลาสติกสีเขียว ซึ่งดูเหมือนจะใช่กะละมังที่อาจารย์สาววานมา
“นายน่ะออกห่างจากยัยนั่นซะ” เสียงของผู้ชาย ซึ่งเป็นเสียงเดียวกับคนในห้องน้ำดังขึ้นท่ามกลางสายฝน น่าแปลกที่เด็กหนุ่มสามารถได้ยินเสียงนี้ได้อย่างชัดเจน ทั้งที่ฝนตกหนักขนาดนี้แท้ๆ
“นี่คุณ เป็นใครน่ะ” เด็กหนุ่มก้มหน้าลงเอ่ยเบาๆ
“ฉันคือ..” และแล้วเสียงปริศนาก็ขาดหายไป
(‘ทำไมถึงต้องให้ออกห่างจากแอนนาด้วยนะ ร..หรือว่าหมอนั่นจะบอกว่าแอนนาเป็นผีงั้นเหรอ’) เด็กหนุ่มหันมามองหน้าเด็กสาวที่ยืนอยู่ในที่ร่ม
(‘เราจะให้เธอรู้ตัวไม่ได้เด็ดขาด ว่าเรารู้แล้วว่าเธอเป็นวิญญาณ แต่ทำไมมันปวดร้าวใจเหลือเกิน’) เด็กหนุ่มถือกะละมังค่อยๆ เดินไปที่ประตู แล้วจึงปิดล็อคตามเดิม
“ฮิฮิ เธอนี่ซุ่มซ่ามจังเลยนะ ลื่นล้มตีลังกาตั้งหลายตลบแน่ะ” สาวน้อยยิ้มให้เด็กหนุ่ม ด้วยรอยยิ้มที่แสนน่ารักราวกับเจ้าหญิงน้อยๆ
แต่ดูเหมือนว่า เด็กหนุ่มตอนนี้จะสับสนวุ่นวายใจเหลือเกิน “นี่ เธอน่ะต่อไปจากนี้ อย่าได้มาคุยกับฉันอีกเลยนะ” เด็กหนุ่มเกร็งไปทั้งร่าง เขากำมืออย่างแน่น แล้วก้มหน้าพูด เสียงของไคดังมากจนแม้แต่เสียงฝนก็ยังไม่สามารถกลบได้
“ทำไม ทำไมล่ะ ก็เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ หรือว่าเราทำให้เธอลำบากใจที่เราแหย่เธอแรงไปหน่อย เราขอโทษ อย่าโกรธกันเลยน้า” แอนนาที่ได้ฟังไคพูดแบบนั้น ก็ถามหาเหตุผลจากชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงสั่นราวกับจะร้องไห้
“ฉันไม่ได้โกรธเธอหรอกนะ แต่ว่าเราคงจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอก” เมื่อเด็กหนุ่มพูดเสร็จแล้วก็เดินลงบันไดไปอย่างช้าๆ ปล่อยให้หญิงสาว มองแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป เช่นเคย
คำพูดประโยคนั้นของไคทำเธอเสียใจจนร้องไห้ออกมา แต่ดูเหมือนไค จะได้ยินเพียงเสียงของสายฝน ที่กลบทับกลมกลืนไปกับเสียงของเธอเพียงแค่เท่านั้น (‘นี่เราพูดแรงเกินไปหรือเปล่านะ เริ่มจะเข้าใจอารมณ์ของละครไทยน้ำเน่าซะแล้วสิ’) เด็กหนุ่มเดินมาจนถึงห้องเรียนของ ม.6
เด็กหนุ่มเลื่อนประตู แล้วยื่นกะละมังให้อาจารย์สาว “อาจารย์ครับกะละมังครับ”
“ขอบใจจ้ะ เอ๊ะนี่กริยาเธอไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” ครูนวลจันทร์ใช้หลังมือวางบนหน้าผากเพื่อดูอาการไข้ให้เด็กหนุ่ม
“ก็ปกติดีนี่ครับ”
“ครูเห็นเธอดูซึมๆ น่ะไปห้องพยาบาลดีกว่ามั้ย” ครูสาวพูดด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรครับผมสบายดี ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขออนุญาตกลับห้องชมรมก่อนนะครับ” ไคฝืนยิ้มกับอาจารย์
“จ้าไม่เป็นไรจริงๆ นะ ”
“ครับ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้อาจารย์แล้วเดินกลับไปยังทางขึ้น
เสียงปริศนาดังขึ้นในหัวของเด็กหนุ่มอีกครั้งขณะกำลังก้าวขึ้นบันได “ตอนนี้นายน่ะ ไม่เหลืออะไรแล้ว หึๆ ”
“นี่แกอีกแล้ว” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขามองไปรอบๆ ตัว แต่ก็ไม่พบเห็นใคร แม้แต่วิญญาณสักตนเดียว
ออด! ขณะนี้เวลา 16.00 น. หมดเวลาการเรียนการสอน เสียงจากลำโพงที่ติดตั้งตามมุมในอาคารเรียนดังขึ้น
“ออกมานะ ออกมาเดี๋ยวนี้” ไคตะโกนฝ่าเสียงฝนที่ยังคงตกหนัก
“แกน่ะมองฉันไม่เห็นหรอก ถึงจะทำยังไงก็ตามฮ่าๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“หมายความว่าไง” ไคเหมือนจะโดนยั่วยุให้โกรธมากขึ้นทุกที
“ได้เวลา..” และแล้วเสียงก็เงียบหายไปเช่นเคย
(‘ต้องรีบไปบอกเรื่องนี้กับพวกรุ่นพี่’) ไคเดินจนมาถึงหน้าห้องชมรม เขาเปิดประตูอย่างช้าๆ แล้วเดินก้มหน้าเข้าไปในห้อง
โตหันไปเห็นเด็กหนุ่มเดินกลับเข้ามาขณะตนเองกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะบาร์ เขาโบกมือต้อนรับ “ไค มาช้าจังเลยนะท้องเสียงั้นเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า ว่าแต่ทำไมตัวเปียกไปหมดเลยล่ะ”
เด็กหนุ่มเดินเข้ามาแล้วยืนหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูห้อง “....”
“ไค อ้าวทำไมเงียบล่ะ ไค ไค”
ตุบ! เด็กหนุ่มล้มลงทั้งท่ายืน กระแทกพื้นอย่างแรง
“พี่โต ไคเป็นอะไรไปน่ะ” อีฟที่กำลังนั่งคุยอยู่กับโจ แทงค์และโซเฟีย เมื่อเห็นเขาล้มลงก็รีบวิ่งมาดูอาการอย่างไม่รีรอ
ทุกคนมองมายังไค “ไค ไค” อีฟเรียกชื่อของเด็กหนุ่มไม่ขาดปากพร้อมกับเขย่าตัวของเขา แต่ดูเหมือนจะทำอย่างไรก็ไม่ได้สติขึ้นมา
“อีฟพอเถอะ” โตจับแขนของอีฟที่กำลังเขย่าตัวของไคเอาไว้ เขาส่ายหน้า
“พี่โต เรารีบพาไคไปส่งห้องพยาบาลเถอะค่ะ”
“อีฟพอได้แล้ว” ประธานหนุ่มตะคอกใส่หญิงสาว
“แต่..แต่ไคเขาเป็นอะไรก็ไม่รู้นะคะพี่ ทำไมถึงไม่พาไปห้องพยาบาลล่ะ ไค ไค” อีฟยังคงเขย่าตัวของเด็กหนุ่ม
โตบีบแขนของอีฟไว้แน่น “อีฟ ฟังพี่ให้ดีๆ นะ”
อีฟเงียบลงแล้วสบสายตารุ่นพี่ รู้สึกกังวล หวาดหวั่นจนตัวสั่น เป็นห่วงเด็กหนุ่มอย่างที่สุด
“อายุขัยของไคน่ะ เป็นศูนย์ไปแล้ว” โตก้มหน้าลง น้ำตาของเขาพรั่งพรูออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง “ไคตายแล้ว”
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล.รักนะ!คนอ่าน
ความคิดเห็น