คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 : ผู้กล้าจำเป็น
ตอนที่ 1 : ผู้กล้าจำเป็น
พระราชายืนขึ้นก่อนจะก้มลงมองดูผมเหมือนสังเกตบางอย่าง
เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งขณะใช้มือม้วนเครายาวสีขาวแล้วกล่าว “ทหารทำความเคารพท่านผู้กล้า” อัศวินทุกนายก้มลงคุกเข่าทันที เอาซะผมทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
หญิงสาวผมเขียวค่อยๆ โค้งตัวเดินถอยหลังออกไป
พระราชาเริ่มคุยกับผม “เอาละเรามีเวลาไม่มาก
ทัพจอมมารบุกเข้ามาอยู่ทุกขณะแล้ว
เรื่องที่เหลือมากาเร็ตจะอธิบายทุกอย่างให้ท่านฟังเอง
ท่านต้องเร่งไปเตรียมตัวออกศึกในทันที”
“ศึกนี้เราชนะแน่นอน ผู้กล้าได้อยู่กับเราแล้ว เราจะให้มันได้รู้ซึ้ง” เสียงเฮของกองทัพดังขึ้นพร้อมกันประหนึ่งฟ้าร้อง เหล่าแม่ทัพทั้งสี่เดินเข้ามาหาผม
อัศวินชายหนุ่มคนแรกผิวขาวหน้าตาดูออกฝรั่งผมสีทองประดับโบแดงไว้ตรงหน้าอก “ข้าชื่อชาล็อต เป็นแม่ทัพเอกของกองทัพฝ่ายเหนือ” เขายื่นมือมาให้ผม เราจับมือกันตามธรรมเนียมฝรั่ง แต่ช่างน่าแปลกที่เขากลับพูดเป็นภาษาไทย ผมไล่จับมือไปทีละคนอย่างงุนงง
คนที่สองผิวดำใบหน้าคมคายไว้หนวดเครายาวรุงรัง ติดโบเหลือง “ข้าชื่อ อาชลิน เป็นแม่ทัพเอกฝ่ายใต้”
คนต่อมาเป็นหญิงสาวผิวสีขาว ผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบไว้เป็นหางม้า ใบหน้าคมสวย ดวงตาเกรี้ยวกราดสบแล้วเหมือนฟ้าฟาดลงกลางหัวใจ เธอติดโบสีเขียว “ข้าชื่อ ไลน์ เป็นแม่ทัพเอกฝ่ายตะวันออก”
และคนสุดท้ายเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ ดูไปเหมือนเด็กอายุสิบขวบ ผมสีดำดวงตาตี่ ใบหน้าเหมือนคนจีนร่างเล็กที่สุดในกลุ่ม ประดับโบสีน้ำเงิน “อั๊วชื่อ มูมู่ เป็นแม่ทัพเอกฝ่ายตะวันตกน่อ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ส่วนข้าชื่อมากาเร็ต เป็นแม่มดแห่งหอสมุดมืด ยินดีที่ได้รู้จักนะเจ้าหนู” ผมหันขวับไปมองตามเสียงหญิงสาวที่เอ่ยขึ้นด้านหลัง
“เอม!” สิ่งที่ผมเห็นคือเอมกำลังนั่งอยู่บนไม้กวาดทางมะพร้าว สวมชุดและหมวกคอสเพลย์เป็นแม่มด
“หืม” เธอทำหน้างงเหมือนกับไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูด “ว่าแต่เจ้าหนูเจ้าชื่ออะไรงั้นรึ” จำผิดคนงั้นเหรอเป็นไปไม่ได้ นี่มันเอมชัดๆ โดยเฉพาะแตงโมคู่นั้นแล้วเอมแน่ๆ “เฮ้ เจ้าหนู”
“ครับ”
“ข้ากำลังถามชื่อของเจ้าอยู่นะ” มากาเร็ตชี้นิ้วมายังผม
“ผมชื่อไลท์ครับ”
มากาเร็ตลงจากไม้กวาด “เอาละเรามีเวลาไม่มากนัก จงตามข้ามาเราต้องหาชุดเกราะให้เจ้า”
“ชุดเกราะ! เอาไปทำไมหรือครับ”
มากาเร็ตหัวเราะร่า “ฮ่าฮ่าฮ่า” เธอมองผมอย่างจริงจัง “ถ้าเจ้าจะรบโดยไม่ใช้ชุดเกราะ ข้าก็อยากจะเห็นเสียจริงว่าเจ้าจะทำได้อย่างไร”
ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ขนาดเรื่องชกต่อยกับพวกนักเลงผมยังแพ้ราบคาบเลย แล้วนี่จะให้ไปรบได้เป็นศพตั้งแต่ก้าวแรกแน่ๆ “เอ่อ...แล้วทำไมผมถึงต้องไปรบด้วยเหรอครับ” ผมถามเสียงค่อย
“เดี๋ยวไว้ข้าหาชุดเกราะให้เจ้าแล้ว ข้าจะตอบคำถามนั้นให้แล้วกัน” มากาเร็ตเดินถือไม้กวาดนำผมเข้าไปยังประตูขนาดใหญ่ทางขวามือ
ผมหันไปมองด้านหลังไม่มีใครตามมา
สรุปคือจากนี้จะได้อยู่กับมากาเร็ตสองต่อสองงั้นเหรอ แถมจะพาไปเลือกชุดเกราะอีก
หรือว่าจะเป็นห้องแต่งตัว โอยแค่คิดก็สวรรค์แล้ว
หลังผ่านบานประตูไปเป็นทางแคบๆ ผนังเป็นอิฐสีดำ มีคบเพลิงเป็นระยะ อย่างกับทางลับใต้ดินในหนังย้อนยุคของฝรั่ง ดูๆ ไปมันก็เท่อยู่หรอก แต่พอเดินเข้ามาเรื่อยๆ แล้วก็รู้สึกหลอนๆ แฮะ
สักร้อยเมตรได้ก็เจอประตูไม้บานใหญ่อยู่ทางฝั่งขวามือ มากาเร็ตเดินนำไปหยุดอยู่ตรงนั้น “ข้าพาผู้กล้ามารับชุดเกราะ” เธอพูดเสร็จประตูก็เปิดออกส่งเสียงดัง แอด ฟังแล้วขนลุก
เธอเดินเข้าไปภายในห้อง มันกว้างและสว่างกว่าที่คิด ราวกับห้องเก็บกรุสมบัติ มีอัญมณีและหินหลากหลายสีสันกองอยู่เต็มไปหมด น่าแปลกที่ไม่มีทองคำ เพราะถ้ามีที่นี่คงเป็นคลังสมบัติที่สมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ จะว่าไปแล้วมีแต่หินกับเพชรพลอยแล้วไหนล่ะชุดเกราะ
มากาเร็ตเดินไปคุยกับชายชราในชุดผ้ากำมะหยี่ “คิดว่าชุดเกราะแบบไหนดีรึ” เธอพูดแล้วหันมาทางผม
ชายชรามองผมอยู่ครู่หนึ่ง “ดูจากรูปร่างและลักษณะร่างกายที่กุ้งแห้งไม่มีกล้ามแล้วข้าว่า...”
เสียมารยาทเฟ้ย ใครกุ้งแห้งวะ ที่เห็นผมไม่มีกล้ามมันไปหนักหัวแกเรอะ ยั้วะแล้วนะโว้ยนี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนแก่ผมคงชวนมีเรื่องไปแล้วแน่ๆ
“ข้าว่าชุดแบบเดียวกับไลน์ แต่ดัดแปลงให้เป็นแบบผู้ชายก็เข้าท่านะ แบบเอเธนเบิร์กน่ะ” มากาเร็ตหันกลับไปเสนอกับชายชราหลังพูดศัพท์ที่ไม่คุ้นหูเท่าไหร่
“แบบอาณาจักรเอเธนเบิร์กถึงเป็นเกราะบุผ้าน้ำหนักเบาก็จริง แต่ต้องเหมาะกับคนที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว แบบท่านแม่ทัพไลน์น่ะเหมาะ แต่กับเจ้านี่ดูแล้วก็เลือกชุดได้ยากนะ กล้ามขาก็ดูอ่อนแอ แขนก็ยังดูปวกเปียก แถมหน้าตายังดูเซ่อซ่าอีก ข้าว่าเกราะแบบไหนก็ไม่เหมาะหรอก” ชายชราตอบ ผมหงุดหงิดเสียจริง แต่ก็เถียงไม่ได้เพราะนอกจากผมจะโง่เรื่องการเรียนแล้ว ความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายก็แทบจะติดลบ เฮ้อ มีดีแค่หน้าตาสินะเรา
มากาเร็ตฟังดังนั้นแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ แต่ก็อัญเชิญมาแล้วนี่นะ”
ก็ใครมันเชิญมาล่ะวะ ตรูก็ซื้อของอยู่ดีๆ เรียกมาที่ไหนก็ไม่รู้แถมจะให้ไปรบอีก เอาแต่ใจเกินไปแล้วโว้ย อยากได้คนเก่งๆ ก็ไปอัญเชิญนักมวยดังๆ อย่างบัวหิมะ บัญชาหมอกโน่น
ฟังแล้วรู้สึกโมโหอย่างบอกไม่ถูก
ระหว่างผมหาที่ระบายก็เหลือบไปเห็นหินสีแดงก้อนหนึ่งที่ปลายเท้า เป๊ะ!
ผมเตะมันระบายอารมณ์ ทันใดนั้น ฟรุบ ฟู่ว!
เปลวไฟพุ่งเป็นเส้นตรงลากไปยังกองหินทางทิศที่เตะแล้วดับไปในชั่วพริบตา
“เย้ย! อะไรวะเนี่ย” ถ้าถามผมว่าตกใจมั้ย ขอตอบเลยว่าใช่ตกใจสุดๆ ตกใจราวกับว่าคุณทำมือถือหล่นแล้วมันระเบิดเลยทีเดียว
มากาเร็ตตะลึงงันจ้องผม ทำท่าทางเหมือนตั้งสติได้แล้วเดินเข้ามาจับไหล่ “อยู่นิ่งๆ
นะเจ้าหนูข้าขอดูบางอย่างหน่อย”
ดู? ดูอะไร เฮ่ยบ้า ทะลึ่ง
“เอวาเดการาโธโมเซฟิส อาเมราเธโรดอน”
สักครู่หล่อนก็วางมือจากไหล่ของผมแล้วหันไปหาชายชราอีกครั้ง “ไม่ผิดแน่ เจ้าหนูนี่ควบคุมแร่หินได้ทุกธาตุตามตำนานจริงๆ”
“อย่างนั้นรึ
ตำนานเป็นจริงรึนี่”
ชายชรายืนมองผมตาถลน
จะอึ้งอะไรกันนักหนา ไอ้คนที่ต้องอึ้งจนฉี่ราดน่ะผมต่างหาก
มากาเร็ตหันกลับมา “ข้ารู้แล้วว่าเกราะไหนเหมาะสมกับเจ้า เจ้าผู้กล้าปวกเปียก เกราะอัศวินในตำนาน 'แรคนาร็อค' ” แล้วไหงชื่อมันคุ้นๆ วะ
“เกราะเวทมนต์งั้นรึ” ชายชรายิ้มที่มุมปาก “ข้าไม่รู้ไม่ชี้ด้วยนะท่านมากาเร็ต ถ้าท่านเรียกเกราะนี้ออกมาก็เท่ากับว่าความหวังทั้งหมดของพวกเราเผ่ามนุษย์ จะต้องอยู่ที่ไอ้หนุ่มนั่น และจะไม่มีโอกาสอื่นอีกแล้วนะ”
มากาเร็ตหันไปทางชายชราอีกครั้ง “ข้ารู้ แต่ทุกวันนี้เราก็ไม่เหลือโอกาสอื่นใดอีกแล้ว จอมมารขยายอาณาเขตขึ้นทุกวัน พวกมันใกล้จะมาถึงอาณาจักรของเราอยู่ทุกชั่วขณะ หากไม่เร่งมือคงไม่ทัน เวทย์มนต์ของข้าซึ่งเป็นแม่มดคนสุดท้ายของอาณาจักรนี้ลำพังคงต้านไม่ได้นาน”
“เอ่อ...ขอโทษนะครับไอ้ที่เหมือนกับจะฝากความหวังมนุษยชาติไว้กับผมเนี่ย คิดดีแล้วหรือครับ”
มากาเร็ตมองผมด้วยแววตาเศร้าสร้อยราวกับจะอ้อนวอนให้ยอมช่วย “เจ้าถามข้าใช่มั้ยว่าทำไมเจ้าถึงต้องไปรบด้วย งั้นข้าจะเล่าให้ฟัง” เธอผลักผมเดินถอยออกไปก่อนจะร่ายเวทย์ให้เห็นภาพซากศพที่นอนกองกันเป็นเนิน ทั้งเด็ก ผู้หญิง นักรบ และเหล่าปีศาจต่างๆ
“นี่คือผลของสงครามระหว่างผู้ต่อต้านและเหล่าทัพของจอมมาร พวกมันบุกรุก ฆ่าล้างเผ่าต่างๆ ได้ยินเสียงปัดแกว่งดาบไม่เว้นวัน ทุกๆ คราต้องมีคนตาย บัดนี้พวกมันได้บุกยึดดินแดนต่างๆ เป็นเมืองขึ้นของจอมมาร ไล่เข้ามาเรื่อยๆ จนเผ่ามนุษย์ใกล้จะสูญสิ้น”
ใบหน้าแดงก่ำส่งให้เชื่อในคำพูดจากหัวใจ “พวกเราใช้แร่หินเมจิกสโตนในการต้านทานพลังของทัพจอมมารมาโดยตลอด ช่างน่าเศร้าที่มนุษย์ทุกคนในโลกนี้มีขีดจำกัดในการควบคุม เมื่อเราเกิดมาจะมีสัญลักษณ์ประจำธาตุติดตัว เราไม่สามารถใช้เมจิกสโตนอื่นได้นอกจากธาตุของตน เป็นจุดบอดของมนุษย์และจอมเวทอย่างพวกเรา”
“นอกจากความต่างชั้นด้านพลังแล้ว ทัพอสูรของจอมมารเองก็สามารถควบคุมเมจิกสโตนได้เช่นกัน
'ดาร์กสโตน' อัญมณีแห่งความมืด มันมีพลังยิ่งกว่าเมจิกสโตนชิ้นอื่นๆ และรุนแรงกว่ามาก ไม่ว่าใครเมื่อได้สัมผัสดาร์กสโตนโดยตรง ถ้าไม่ถูกครอบงำด้วยอำนาจมืดก็จะต้องตาย”
แววตาสั่นไหวมองผมหัวจรดเท้า ร่ายคำพูดต่ออย่างกระตือรือร้น “แต่ก็มีโอกาสหนึ่ง
โดยการใช้พิธีกรรมต้องห้าม อัญเชิญมนุษย์จากต่างโลก
มนุษย์ผู้ซึ่งไร้สัญลักษณ์ต้องคำสาป
ผู้ที่สามารถใช้เมจิกสโตนได้ครบทั้งหมดอย่างเจ้า
หากใช้เมจิกสโตนที่ผสมผสานกันได้แล้ว บางทีอาจจะมีพลังเหนือกว่าดาร์กสโตนที่จอมมารมีอยู่ก็เป็นได้”
เธอชี้มาทางผม “เจ้าคือความหวังสุดท้ายของมนุษย์และเหล่าพันธมิตร”
“นั่นก็ไม่เห็นเกี่ยวกับผมเลยนี่ ผมเองก็มีหนังสือเรียนที่ต้องอ่านเตรียมสอบเป็นตั้งๆ อยู่นะ ถ้าผมสอบไม่ติดใครจะรับผิดชอบ อีกอย่างผมก็ไม่ได้มีพลังขนาดจะมาต่อสู้กับปีศาจอะไรนั่นด้วย”
มากาเร็ตยิ้มเยาะ “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าหนูที่ข้าว่าไปน่ะมันยังไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าต้องรบหรอกนะ”
“แล้วร่ายยาวมาเพื่ออะไรฟระ!!” อยากจะตบกะโหลกยัยนี่ซะจริง ถ้าไม่ติดอกอึ๋มๆ นะ “ถ้าอย่างนั้นแล้วเหตุผลจริงๆ มันคืออะไรกันล่ะ”
“เจ้าจะกลับบ้านได้อย่างไร”
“ก...ก็”
จะว่าไปแล้วก็จริงอย่างที่หล่อนพูด ผมไม่สามารถกลับไปเองได้
“กว่าจะอัญเชิญเจ้ามาได้ทั้งข้าและองค์หญิงต้องร่ายคาถาอยู่ทุกๆ เย็นเป็นร้อยๆ วัน ผิดพลาดมาแล้วเป็นสิบกว่าครั้ง ลำบากขนาดไหน เจ้าหนูเจ้าไม่รู้หรอก หากจะไม่ช่วยเราก็อย่าหวังจะได้กลับไปยังที่ซึ่งเจ้าจากมา” คำพูดเชิงข่มขู่ชวนให้ท้องไส้ผมเริ่มปั่นป่วน จะว่าไปแล้วข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้ทานเลยนี่นะ
“ชิ แม่มด” ผมบ่นเบาๆ เป็นการรับปากอย่างไม่เต็มใจ เหลือบไปเห็นชายชรายิ้มหัวเราะเยาะอยู่ด้านหลัง
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเจ้ายอมรับแล้วสินะ
โฮะโฮะโฮะ”
มากาเร็ตเผยธาตุแท้ของแม่มดออกมาให้เห็นเต็มสองลูกตา
ด้วยท่าทางใช้หลังมือป้องปากหัวเราะชอบใจเสียอย่างนั้น
“เกราะแรคนาร็อคเป็นเกราะชนิดพิเศษที่ถูกหลอมขึ้นมาจากเมจิกสโตนทั้งหกชนิด ได้แก่ วอลเตอร์สโตน เฟรมสโตน เอิร์ธสโตน วินสโตน ธันเดอร์สโตน และวู๊ดสโตน ไม่เคยมีผู้ใดใช้มันได้นอกจากผู้กล้ารุ่นก่อน วางใจเถอะต่อให้ไร้ฝีมือมันก็จะช่วยให้เจ้าสู้ได้แน่นอน”
“ผู้กล้ารุ่นก่อนงั้นเหรอ แล้วเขาอยู่ไหนล่ะ ทำไมไม่เอาเขามาสู้แทนผม”
มากาเร็ตหันหน้าไปทางอื่นเหมือนเธอจะหลบสายตาผม “เป็นศพไปแล้ว จากการดวลกับจอมมารเมื่อสามร้อยปีก่อน”
“ว่าไงนะเจ้!! ขนาดเกราะพลังเทพขนาดนี้ยังไปตายใต้บาทาจอมมารเลย แล้วนี่ผมล่ะ เด็กผู้ชายธรรมดาที่ไร้ความพิเศษอะไรจะไปสู้ได้ยังไง”
เธอยิ้มแหยๆ “เอาน่าบางทีเจ้าอาจทำสำเร็จก็ได้นะ” ไม่จริงโว้ย! มองตาฉันตอนพูด มอง!! อย่าหลบตาฉันแบบนั้นนะ นี่ไม่คิดว่าฉันจะชนะใช่มั้ย ยิ้มแบบนั้นหมายความว่าไง
“อย่ามาล้อเล่นนะโว้ย!!!!!”
“เอาละเราเสียเวลามามากแล้ว
ข้าว่าเราต้องอัญเชิญเกราะให้เจ้าเสียที” มากาเร็ตตัดบทสนทนาเอาเสียดื้อๆ แล้วร่ายคาถาบางอย่าง “เสียงแห่งกษัตริย์
พระเจ้า และ ดวงวิญญาณ ขอวิงวอนต่อเวทย์ด้านมืดและแสงสว่างแห่งสรรพสัตว์ บลาๆ บลาๆ
บลา บลา บลา บลา ข้าขออัญเชิญ เกราะแห่งวันพิพากษา แรคนาร็อค”
แร่หินที่กองอยู่บนพื้นจำนวนมหาศาลรวมตัวกันหมุนเป็นเกลียวคลื่นรายล้อมตัวผม หินพวกนั้นหลอมละลายเหมือนลาวาแต่ถึงแม้จะโดนตัวกลับไม่ร้อนเลยสักนิด จนกระทั่งมันเริ่มแข็งตัว ผมไม่สามารถขยับร่างกายได้ หินพวกนี้หลอมพันร่างไว้แล้วเย็นลงลักษณะเหมือนเป็นเปลือกไข่ แกร่ก! มัน ค่อยๆ แตกออก แล้วร่วงลงบนพื้นทีละส่วน เผยให้เห็นชุดเกราะสีทองอร่ามที่สวมตัวผมไว้ ขอใช้คำว่าสวมตัวผมไว้นะครับ เพราะผมไม่ใช่คนสวมมัน แต่มันต่างหากที่มาสวมผม แถมอย่างไม่เต็มใจซะด้วย
“นี่คือสาเหตุที่ห้องนี้ไม่มีเสื้อผ้าเลยซักตัวสินะ ใช้เวทมนต์สวมเอางั้นเหรอ” ผมมองดูชุดเกราะที่มันเงาแวววับนี่แล้ว ดูไปดูมาก็เท่ดีแฮะถึงจะอลังการไปหน่อยก็ตามที “มีชุดแล้วก็จริงแต่ว่านะ อาวุธล่ะ” ถ้าให้ไปสู้มือเปล่าละก็ ผมจะรีบชิ่งออกจากที่นี่ซะเดี๋ยวนี้เลยคอยดู
“อาวุธอย่างงั้นรึ” มากาเร็ตมองผมแล้วใช้มือจับคางตัวเองขณะคิด “เจ้าถนัดอะไรล่ะ ดาบ ขวาน ทวน กระบอง หรืออะไรนอกเหนือจากนี้”
ดาบรึขนาดมีดทำครัวผมยังกลัวเลย ขวานนี่ก็ดูจะหนักเอาเรื่อง กระบองอืม... จะว่าไปตอนเป็นลูกเสือก็เคยเรียนนี่นะ “ถ้าเป็นกระบองยาวหรือไม้พลองก็คงได้ละมั้ง”
“เจ้านี่ใช้อาวุธทำสงครามได้แปลกดีนะ” มากาเร็ตทำสีหน้าแปลกใจ แล้วเธอก็เดินเข้าไปยังกองอัญมณี “เมทรีอาโกมอนิโก้ ซาโดเฮราซามิต” แล้วหินอัญมณีสีแดงก็มารวมตัวกันก่อเกิดเป็นกระบองสีทับทิม “นี่คือกระบองที่ทำมาจากเฟรมสโตน”
ผมรับกระบองมาจากมากาเร็ต “ฃทีนี้เจ้าก็มีทั้งอาวุธและชุดเกราะแล้ว คงไปรบได้สินะ” เธอเดินนำผมออกจากประตูห้องไปโดยมีชายชรายืนส่ง
เราเดินกลับมายังโถงของพระราชาซึ่งไม่มีใครอยู่แล้ว “ทุกคนล่ะ”
“ทหารทุกนายต้านข้าศึกอยู่หน้าประตูเมือง เจ้าต้องรีบไปสมทบ” เธอชี้นิ้วไปยังประตูทางออก เห็นเหล่าทหารกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างที่ยากเกินจะระบุได้ พวกมันมีจำนวนมาก ส่งเสียงร้องชวนเสียดท้อง แผ่นดินสั่นสะเทือนเหมือนจะเห็นเจ้าตัวยักษ์มาแต่ไกล
“โอ้ย” “โอย” “ช่วยด้วย” “ข้ายังไม่อยากตาย” “โอย” เสียงของผู้คนดังไม่ซ้ำกัน ฟังแล้วรู้สึกกดดันและหดหู่ คงมีแต่สิ่งนี้แหละที่ต่างจากในหนังทุกเรื่องโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกที่รับรู้โดยตรงจากเหตุการณ์จริง นี่น่ะเหรอสงคราม “ช่วยลูกข้าด้วย”
“นี่มากาเร็ต”
“หืม...”
“ถ้าศึกนี้ชนะผมมีอย่างหนึ่งที่จะขอ” ผมเอ่ยด้วยความตั้งใจ และความฮึกเหิมอย่างที่สุดเท่าที่ชีวิตเคยเป็นมาก่อน
“ได้สิเจ้าหนู เจ้าอยากอะได้อะไรล่ะ” มากาเร็ตขึ้นนั่งบนไม้กวาดแล้วลอยขึ้นอยู่ระดับตัวผม
“ขอจับ...” ผมสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วตะโกนออกมา “หน่มน้มของคุณ!!!!” เสียงดังกังวานก้องไปทุกทิศทาง
มากาเร็ตนั่งบนไม้กวาดลอยวนรอบตัวผมเหมือนกำลังสังเกตบางอย่าง ก่อนจะยิ้มหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ “อืมฮึฮึ ได้สิเจ้าหนู ถ้าเจ้ารอดกลับมาละนะ ข้าจะให้มากกว่าจับหน่มน้มอีก”
หึหึหึ “พูดแล้วนะ” หึฮ่าฮ่าฮ่า อย่ามาดูถูกพลังของชายหนุ่มที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่นะโว้ย!! ว่าแล้วผมก็วิ่งควงกระบองสุดแรงเกิดออกจากประตูวัง ถ้าไอ้สิ่งที่เผชิญอยู่นี่ไม่ใช่ฝันกลางวันผมก็คงบ้าไปแล้วแน่ๆ
“ย่า!”
ผมตรงเข้าหาปีศาจตัวหนึ่งซึ่งท่าทางจะเป็นมนุษย์หมาป่าแต่มีปีกด้วย เอิ่ม
ไม่รู้ว่าตัวอะไรแต่ขอลองของหน่อยเถอะ
ผมฟาดใส่เต็มแรงเกิดเป็นประกายไฟขึ้นกลางอากาศ อัดโดนบริเวณศีรษะพอดีจนลุกเผาไปทั้งตัว
“ว้าว
เจ้านี่เจ๋งเป้ง”
ผมมองไปยังกระบองที่มากาเร็ตสร้างให้ ในขณะนั้นเอง ฉึก! ผมเงยขึ้นมองตามเสียง เจ้าอสูรตัวที่เพิ่งฟาดไปทำท่าจะโจมตีกลับ
ผมหางม้าของเธอสะบัด “อย่ามัวแต่เหม่อสิ” ไลน์แม่ทัพฝ่ายตะวันออกช่วยผมไว้ด้วยดาบที่ปักทะลุหมาป่าตัวนั้น เธอดึงออกจากมันโดยใช้เท้ายัน
“ดีละ”
ผมนึกถึงภาพหน่มน้มของมากาเร็ตแล้วก็กำกระบองไว้แน่น
นี่ถ้ามันยืดได้หดได้เหมือนของซุนหงอคงละก็ผมคงทำไปแล้ว
แต่เอาเถอะกระบองพ่นไฟได้ก็เจ๋งไม่แพ้กัน “หน่มน้มคือความฝัน หน่มน้มคือความหวัง ย่า!”
ผมควงกระบองอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระโจนฟาดใส่ศัตรูไม่ซ้ำหน้า หรือก็คือไม่ใช่มนุษย์ก็ฟาดมันให้หมด เปลวไฟจากการควงหมุนจนมีลักษณะเป็นล้อเกวียน ดูเหมือนยิ่งอารมณ์ของผมร้อนแรงเท่าไหร่เปลวไฟก็จะมีอำนาจเผาผลาญเท่านั้น
ด้วยเกราะทองคำที่สวมอยู่ทำให้การโจมตีต่างๆ ของอีกฝ่ายแทบจะไม่สามารถเล็ดลอดส่งมาถึงผมได้ รวมถึงรู้สึกเหมือนว่าแรงกายมันเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวด้วยเช่นกัน อย่างนี้นี่เองคนที่ไร้พลังอย่างผมถึงสามารถสู้ได้ แถมเหมือนจะเหนือกว่าอัศวินบางคนอีกต่างหาก
หลังจากไล่ฟาดวนไปทั่วจุดต่างๆ ก็บังเอิญเจอชาล็อตทางฝั่งทิศเหนือของเมืองพอดี เขาตวัดดาบเป็นน้ำแข็งใส่ปีศาจทุกตนที่ก้าวเข้ามาในระสิบเมตร พวกมันถูกแช่แข็งและแตกสลายไปต่อหน้าต่อตา ชาล็อตหันมายิ้มให้กับผม “ทางทิศเหนือเคลียร์เรียบร้อยแล้วครับ” รู้สึกถึงความเยือกเย็นมาจากคำพูดนั้น น่ากลัวเสียจริง
ผมไม่คิดโต้แย้งกับชาล็อต เพราะดูท่าเขาจะเอาอยู่อย่างที่พูดไว้จริงๆ ผมวิ่งกลับไปหาพวกไลน์ทางทิศตะวันออกแต่ทว่าเงียบกริบ พวกปีศาจตายหมดเหลือแต่กลุ่มอัศวิน ไลน์ยืนอยู่เหนือกำแพงเมือง
“ชนะ...แล้วเหรอ” ผมเอ่ยอย่างเบาๆ เสียงสงครามเงียบลง แล้วแบบนี้ผมจะมาทำไมวะเนี่ย พวกเขาแทบไม่ต้องพึ่งพาผมด้วยซ้ำ
“ยังหรอก” มากาเร็ตขี่ไม้กวาดลอยมาอยู่ข้างๆ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “พวกมันถอยทัพ แต่สำหรับการรบครั้งนี้เราจะไม่หยุดอยู่แค่นี้” มากาเร็ตจ้องไปยังประตูเมือง “พวกเราจะบุกปราสาทจอมมาร”
“ว่าไงนะ!”
จบตอน
โปรดติดตามตอนที่ 2
ความคิดเห็น