คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ นมสตรอเบอร์รี่กับขนมปัง
Lost into the Legend of Light (L.L.L.)
"เฮ้อ" หากพรหมลิขิตมีจริงก็คงไม่ต้องไปจริงจังกับอะไรมากสินะ ปล่อยให้มันเป็นตามพรมลิขิตไปวันๆ ฝืนยังไงก็เท่านั้น
"ฉันมันโง่นี่นะ"
สิ่งที่กำลังบ่นถึงอยู่นี้ คือปัญหาโลกแตกที่เด็กนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทุกคนจะต้องประสบอย่างการศึกษาต่อมหาวิทยาลัย หลายครั้งที่ผมกดดันกับความคาดหวังจากครอบครัว ก็แล้วคนไม่ได้เรื่องมันจะไปแข่งกับใครได้ล่ะ หนังสือเรียนกองเป็นตึกแถวนั่งอ่านจนเช้าไม่เข้าหัวสักนิด ผิดกับหนังสือโป๊อ่านเป็นร้อยเล่มก็จำได้ดีเสียทุกเล่ม พรหมลิขิตคงเขียนให้ผมเป็นคนแบบนี้กระมัง เอาเถอะอย่างน้อยก็ต้องลองพยายามให้ถึงที่สุดละ
ผมลุกขึ้นปิดหนังสือเรียนวิชาคณิตแล้ววางข้างๆ กองหนังสือภาษาอังกฤษบนโต๊ะ เลื่อนเก้าอี้เข้าเก็บให้เรียบร้อย มันคงถึงเวลาต้องพักสายตาเสียที
เดินออกมาจากห้องหนังสือภายในบ้าน พ่อกับแม่ไม่อยู่
ส่วนน้องชายก็คงกำลังไปเรียนพิเศษ
เป็นแบบนี้เกือบทุกวันบรรยากาศเงียบเชียบหาใดเปรียบได้ บางทีเวลาเหงาๆ
ออกไปหาอะไรทำข้างนอกคงจะดีกว่า อย่างเช่นไปหาของกินในร้านสะดวกซื้อเป็นต้น นี่ก็ใกล้จะเที่ยงอยู่แล้ว
หากอะไรไม่ตกถึงท้องสมองคงไม่แล่นเหมือนรถที่สตาร์ทไม่ติดแน่ๆ
และนั่นไม่ดีเลยสำหรับเด็กเตรียมสอบอย่างผม
ผมมุ่งตรงไปตามทางฟุตบาท อากาศในใจกลางเมืองหลวงร้อนจนอยากละลายกลายเป็นน้ำไหลลงท่อไปซะ
รถยนต์จอดติดกันเป็นแพ ควันจากท่อไอเสียขาวและดำลอยคลุ้งสลับกัน
เดินไปได้สักพักก็มาหยุดอยู่ที่หน้าร้านสะดวกซื้อในฝัน ความจริงมันก็เป็นร้านสะดวกซื้อธรรมดาๆ อย่างที่เห็นกันทั่วไปนั่นแหละ ต่างกันหน่อยก็ตรงที่มีนางฟ้าอกอึ๋มอยู่คนหนึ่ง และมีแอร์เย็นๆ ท่ามกลางอากาศร้อนระอุแบบนี้
กับนางฟ้านางนี้ผมเคยมีโอกาสสนทนาอยู่ครั้งหนึ่งขณะเธอออกกำลังกายในสวนสาธารณะ ตอนนั้นผมออกไปเดินเล่นกับน้องชายจึงได้พบปะคุยกัน หน้าตาของหล่อนสวยเหมือนดาราในหนังเอวีญี่ปุ่นเลยทีเดียว แต่ไปเปรียบแบบนั้นคงโดนตบแน่ งั้นเอาใหม่เธอสวยดั่งดาราในละครหลังข่าวที่มักจะเล่นประกบคู่กับพระเอกพันล้านบ่อยๆ
เอม เป็นชื่อที่ช่างเหมาะกับเธอ เพราะทำให้ผู้ชายอิ่มเอมได้ทุกคน ด้วยใบหน้าทรงกลมดูนุ่มนวลราวกับเอาแป้งขนมโมจิมาเคลือบไว้เป็นเนื้อหนัง สีผิวขาวผ่องดุจดวงจันทร์ ดวงตาแวววาวราวประกายเพชร และที่สำคัญที่สุดก็คือเธอมีแตงโมขนาดใหญ่ถึงสองลูกบริเวณอก นั่นสะกดสายตาผมได้ดีกว่าดวงตาเสียอีก
ติ๊งต่อง! เสียงดังขึ้นเหนือประตูเลื่อนอัตโนมัติที่ผมก้าวเข้ามาอย่างหล่อเหลา เอิ่ม เดียวจะหาว่าหลงตัวเอง แต่ผมหล่อจริงๆ นะ ส่องกระจกดูกี่ทีก็ยังหล่อ หล่อจนผู้หญิงหลงใหลผู้ชายหมั่นไส้กันเลยทีเดียว ผมเป็นคนรูปหน้ากลม จมูกคมเป็นสัน สีผิวแทนเพราะดวงตะวัน ตาดำมันวาวราวใช้กีวี่ขัดมา
ผมติดหนึ่งในสี่คนหล่อของโรงเรียน เสียอย่างเดียวคือไม่มีแฟน นั่นก็เพราะผมเป็นพวกหวังสูง เอ่อ..ถึงจะสูงไปหน่อยก็ตามที ช่างเถอะประเด็นคือตอนนี้หล่อนคงรอให้ผมเอาของไปให้เธอคิดเงินตรงแคชเชียร์ ใจจะขาด
ผมหันขวับเดินตรงไปยังโซนขายขนมปัง เลือกอยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบไส้สังขยามาสักห่อ หันไปโซนเครื่องดื่มคว้านมสตรอเบอร์รี่มาหนึ่งขวด
เปิดกระเป๋าเช็คเงินค่าขนมดูสักหน่อยกันหน้าแตกเผื่อไม่พอจ่าย มีธนบัตรอยู่หนึ่งร้อยบาทคาดว่าต้องใช้ไปอีกสองวัน แต่ช่างเถอะขอแค่ได้เห็นหน้าสาวสวยมีหนึ่งร้อยก็เหมือนรวยเป็นล้านแล้ว ซื้อแค่ขนมปังกับนมคงไม่แพงมากนักหรอก
เมื่อคิดได้ผมจึงดึงเงินมาไว้ในมือแล้วปิดกระเป๋าสตางค์ 'เก็บไว้อย่าให้หล่อนรู้ดีกว่าว่าเรามีเงินแค่หนึ่งร้อยบาท' เมื่อเตรียมการเสร็จผมจึงเดินอย่างเร็วรี่ไปยังแคชเชียร์ วางขวดนมและขนมปัง เอาละถึงเวลาเชยชมใบหน้าและทรงอกของเธอแล้ว หึๆ
“สามสิบเก้าบาทครับ” ใครวะ!! ผมเงยขึ้นมองชายหนุ่มไม่คุ้นหน้า ไม่เคยเห็นว่าทำงานเป็นแคชเชียร์มาก่อน หน้าตาค่อนข้างไม่น่าไว้ใจเป็นโจรรึเปล่าวะนี่ ผิวก็เข้มแถมไว้หนวดเคราอีกต่างหาก แต่ดูๆ ไปอายุน่าจะเท่าเราแฮะ
“เอ่อ...พนักงานใหม่หรือครับหน้าไม่คุ้นเลย แล้วพนักงานที่เป็นผู้หญิงไปไหนหรือครับ วันนี้ไม่เห็นเลย” ผมเอ่ยถามอย่างเลิ่กลั่ก หล่อนคงไม่ได้ลาออกไปแล้วนะ
“วันนี้เธอขอลาหยุดน่ะ” พนักงานหนุ่มตอบหน้านิ่งๆ ชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าใบหน้าแบบนั้นเหมือนคนกำลังเอือมกับโลกทั้งใบอยู่ไม่มีผิด คงไม่ได้คิดว่าผมเป็นไอ้บ้าโรคจิตที่สนใจหญิงสาวแคชเชียร์อยู่หรอกนะ
พนักงานอีกคนที่อยู่ข้างๆ ยื่นหน้าเข้ามาถามผม “เอ่อ...คุณลูกค้าครับ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรกับน้องเอมหรือครับ”
พนักงานที่คิดเงินให้ผมหันไปตอบ “อย่าไปยุ่งกับลูกค้าสิ เขาเป็นอะไรกันก็ไม่ใช่เรื่องของเรา” แล้วนี่พวกคุณคุยกันต่อหน้าผมเลยเหรอ ไม่ได้เป็นอะไรกันโว้ย อย่ามองผมอย่างนั้นนะ อย่ามองว่าเป็นไอ้ลามกนะ ไม่นะ!!!
ผมรีบยื่นแบงก์ร้อยให้แคชเชียร์ตัดบทสนทนาก่อนที่เรื่องราวจะยาวไปกว่านี้ พนักงานรับไปแล้วเก็บไว้ใต้ลิ้นชัก หยิบแบงก์ยี่สิบบาทสามใบกับเหรียญบาทหนึ่งเหรียญ
“นี่ครับเงินทอน หกสิบเอ็ดบาท” พนักงานหนุ่มยื่นเงินทอนส่งมาให้พร้อมกับใบเสร็จ ผมยื่นมือไปรับไว้
ทันใดนั้นแบงก์ยี่สิบก็สว่างวาบขึ้นเป็นประกายสีเขียว มีแสงส่องเป็นเส้นตรงขึ้นจากพื้น ผมก้มลงมองข้างใต้พบสัญลักษณ์คล้ายดาวหกแฉกปรากฏ “นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย” ผมกำแบงก์ยี่สิบในมือไว้แน่น มองไปรอบข้างทุกๆ อย่างเริ่มมืดสนิท รู้สึกหวาดเสียวคลื่นไส้จะอาเจียนอย่างบอกไม่ถูก เหมือนตัวเองกำลังร่วงลงจากฟ้า ทันใดนั้นแสงสว่างก็จ้าจนต้องหลับตา
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นควันลอยคลุ้งไปโดยรอบ มองอะไรไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย ก้มหน้าลงดูที่พื้น ดาวหกแฉกได้หายไปแล้ว และน่าประหลาดกว่าเมื่อสังเกตดูที่มือของตัวเอง
“เฮ้ยเงิน! นี่ต้องอยู่ไปอีกตั้งสองวันเลยนะ” แบงก์ยี่สิบที่กำไว้ขาดหายไปครึ่งหนึ่งเป็นรอยไหม้เล็กๆ ตรงกึ่งกลางพอดี แคชเชียร์และพนักงานเบื้องหน้าก็พลอยหายไปด้วย แบบนี้ผมจะเอาเรื่องที่ใครกัน มองไปรอบข้างนึกว่าระเบิดลง มีควันแต่ไม่มีกลิ่นไหม้ น่าจะเป็นฝุ่นที่เกิดจากดินตอนลงมาปะทะ
ยืน ป้ำๆ เป๋อๆ อยู่สักพัก ควันรอบข้างก็จางลง ผมอยู่ในโถงวังขนาดกว้างใหญ่เหมือนกับในหนังฝรั่งย้อนยุค เบื้องหน้ามีชายชราสวมมงกุฎทองคำนั่งอยู่ข้างๆ กับหญิงชราอีกคน ดูแล้วเหมือนเป็นพระราชาและพระราชินีจากแคว้นแดนใดสักแห่ง
พอมองไปรอบตัวก็พบอัศวินใส่ชุดเกราะยืนเรียงเป็นแถวขนานกันไป มีเด็กหญิงผมสีเขียวสวมชุดทรงเจ้าเข้าพิธีสีขาว เธอเดินเข้ามาหาผมพร้อมด้วยรอยยิ้ม ผมสีเขียวนั่นดูแล้วเป็นธรรมชาติมากกว่าที่เคยเห็น แทบไม่เชื่อเลยว่าย้อมมา ดูจากคิ้วแล้วก็เป็นสีเดียวกัน ประหลาดจริงๆ
“สำเร็จค่ะท่านพ่อ เราสามารถอัญเชิญผู้กล้าได้แล้ว”
“ผู้กล้า...เหรอ”
ผมเหงื่อตก ยังคงอ้ำอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วแบงก์ยี่สิบผมล่ะ นมกับขนมปังผมล่ะ แล้วน้องเอมร้านสะดวกซื้อล่ะ ไหนจะการสอบอีก !!
จบตอน
โปรดติดตามตอนที่ 1
ความคิดเห็น