ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] ▌◤ Coffee Shop Series ◥ ▌

    ลำดับตอนที่ #3 : -:: Coffee Latte l ::-

    • อัปเดตล่าสุด 2 มี.ค. 58




















    Coffee Latte I

      

                “เรียบร้อยแล้วล่ะ ถ้ายังไงเดือนหน้าเปิดเทอมแล้วก็เข้ามานั่งเรียนกับเพื่อนๆได้เลยนะครับ” เสียงเจ้าหน้าที่ในตึกทะเบียนนักศึกษาดังขึ้น เป็นการบอกกลายๆว่าธุระที่ดำเนินการมาเกือบเดือนของโอ เซฮุนคนนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

                    “ขอบคุณครับ” ผมโค้งให้พร้อมเอ่ยคำขอบคุณสำหรับการดำเนินการให้ พร้อมรับเอกสารที่คนตรงหน้ายื่นมาก่อนเดินออกมาจากตึกทะเบียนของมหาวิทยาลัยแห่งนี้

    จะได้ใช้ชีวิตที่โซลได้อย่างเต็มตัวซะที

    ก่อนหน้านี้ผมอาศัยอยู่ที่ซานฟรานซิสโก้ครับ แต่ไม่ได้อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่กำเนิดหรอกนะครับ เพิ่งมาย้ายจากโซลไปสมัยขึ้นมัธยมปลายใหม่ๆ เพื่อความก้าวหน้าทางหน้าที่การงานของครอบครัวทำให้พ่อและแม่ของผมต้องทำเรื่องย้ายไปอย่างช่วยไม่ได้ และแน่นอนว่าไม่ผิดหวังที่ย้ายไปที่นั่นเพราะบริษัทของพ่อสามารถตีตลาดได้อย่างรวดเร็วและติดอันดับในเวลาต่อได้ไม่นาน และเมื่อทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งการที่ผมโตขึ้นจนสามารถดูแลตัวเองได้ระดับหนึ่งแล้วผมจึงขอพ่อกลับมาเรียนที่เกาหลี

    แน่นอน เกาหลีเป็นบ้านเกิดของผม เป็นที่ที่ไม่ว่ายังไงก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้กลับมา พ่อกับแม่เองก็เข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้และยอมให้ผมกลับมาพร้อมทั้งบอกอีกด้วยว่าอาจจะตามกลับมาเมื่อบริษัทที่นี่คงที่แล้ว ด้วยที่ว่าตอนนี้พ่อและแม่ของผมนั้นกำลังสอนงานให้กับผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพี่เขยคนเก่งของผมที่ได้รับการการันตีความเก่งจากการจบปริญญาที่มหาวิทยาลัยดังของอเมริกา ถึงแม้จะเป็นคนต่างเชื่อชาติแต่เชื่อเถอะว่าพ่อแม่ผมรักเค้ามาก พอๆกับที่ฝากฝังลูกสาวคนโตให้ดูแล

    แต่เหตุผลที่ผมอยากกลับมาที่เกาหลีอีกเหตุผลหนึ่ง และเป็นเหตุผลสำคัญนั้นก็คือ


    …. คิม จงอิน



    คนสำคัญของผมเมื่อห้าปีก่อน

    จนถึงตอนนี้ก็ยังสำคัญ

    แต่ไม่รู้ว่าผมจะยังสำคัญกับเค้าอยู่รึเปล่า

    ผมกับจงอินเราเป็นเพื่อนกับมาก่อน จากเพื่อนพัฒนาความสำคัญมาเรื่อยๆจนกลายเป็นคนสำคัญของกันและกัน แต่แล้วความสัมพันธ์ทุกอย่างก็ถูกยุติลง

    เพราะผม

    คิดถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมาก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

    ห้าปีที่ไม่ได้อยู่ที่เมืองแห่งนี้ อะไรๆก็ค่อยพัฒนาไปตามกาลเวลา เหมือนกับผมที่โตขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

     








     

     

    สองขาของผมก้าวออกไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัย ด้วยความที่ว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะกลับที่พักได้แล้วล่ะมั้ง

    แต่เหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจเอาซะเลย เพราะเมื่อผมเดินมาถึงใกล้จะถึงป้ายรถเมล์แล้ว น้ำสีใสจากบนฟ้าก็หยดแหมะๆลงบนตัวทีละหยด

    อ่ารีบกลับก่อนที่มันจะตกหนักกว่านี้ดีกว่า

    ซ่า

    แต่ดูเหมือนคำขอร้องของผมจะไม่เป็นผล

    ชิบหายแล้ว โอ เซฮุน หาที่หลบฝนด่วน

    คิดได้ดังนั้นสองขาก็ก้าววิ่งออกอย่างรวดเร็วก่อนที่หางตาจะเหลือไปเห็นร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความสองขานั้นรีบวิ่งเข้าไปยังร้านแห่งนั้นทันที

    ทันที่ที่เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นจากการผลักประตูร้านให้เปิดออกของเซฮุน กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟคั่วบดก็ลอยแตะจมูกเข้ามาทันที ทั้งยังมีกลิ่นวนิลลาอบอวลเคล้าไปกับบรรยากาศให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

    ผมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเค้าเตอร์ของร้านที่ถูกประดับตกแต่งด้วยตุ๊กตาและเครื่องปั้นเซรามิคอย่างสวยงาม ข้างๆกันนั้นมีตู้กระจกที่ไว้สำหรับใส่เค้กหลากหน้าตาหลากสีสันที่น่าให้ลิ้มลองวางอยู่

    ถ้าจะนั่งหลบฝนเฉยๆคงไม่ดีแน่ อีกอย่างกลิ่นกาแฟหอมขนาดนี้ไม่ทานอะไรเลยมันก็คงจะดูเกินไปหน่อยแล้วมั้ง แหงนหน้ามองก็เห็นชื่อเมนูเครื่องดื่มแต่ละอย่างที่ถูกเขียนอย่างเป็นระเบียบ พร้อมทั้งตัวการ์ตูนน่ารักที่ถูกวาดขึ้นเพื่อตกแต่งด้วยสีชอล์คอยู่บนกระดานดำอันใหญ่

    เมนูเยอะขนาดนี้จะกินอะไรดีล่ะเนี่ย

    เพราะมัวแต่มองเมนูเครื่องดื่มอยู่อย่างนั้นเลยไม่ทันได้สังเกตใครอีกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่หน้าเครื่องชงกาแฟ

    อืมเมนูเดิมนั้นแหล่ะ

    กาแฟแก้วโปรดตลอดกาล

    เมื่อตัดสินใจได้สองขาจึงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพนักงานตัวขาวที่กำลังยืนยิ้มต้อนรับลูกค้าอยู่

    “รับอะไรดีครับ”

    ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากสั่งออกไปเลย เสียงของคนที่มาใหม่จากหลังร้านก็ดังขึ้นเรียงร้องความสนใจไปซะก่อน

    “พี่จุนมยอนๆ ไปดูหลังร้านหน่อยสิครับ”

    คนที่ถูกเรียกหันไปมองพนักงานในร้านแวบหนึ่งก่อนหันมาหาผมที่ยืนอยู่ ก่อนจะเอ่ยบอก “สักครู่นะครับ” แล้วคนตัวขาวก็เตรียมัวจะเดินเข้าไปยังหลังร้าน แต่ก็ไม่วายหันมาสะกิดคนที่ยืนหันหลังชงกาแฟอยู่

    “รับลูกค้าหน่อย เหมือนหลังร้านจะมีปัญหา”

    ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะหันมาเช็คเครื่องสั่งอาหารพร้อมทั้งเอ่ยบอกประโยคที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้

    “รับอะไรดีครับ”

    “ขอลาเต้…. จงอิน” เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนเพราะคนตรงหน้า

    ผู้ชายที่เพิ่งอยู่ในความคิดของผมเมื่อกี้นี้

    ผู้ชายที่เป็นเหตุผลหลักในการมาเกาหลี

    ผู้ชายที่ไม่ได้เจอหน้ากันเป็นระยะเวลาห้าปี

    ผู้ชายที่เคยได้ชื่อว่าสนิทกันมากจนคุยกันได้ทุกเรื่อง

    ผู้ชายที่เป็นความทรงจำทุกอย่างของโอ เซฮุนคนนี้

    ผู้ชายที่รั้งหัวใจของเค้าไว้และไม่มีวันที่จะให้มันกับใครอีกแล้ว

    …. คิม จงอิน

    ..

    ไม่ต่างกัน ..

    ตอนนี้จงอินก็รู้สึกไม่ต่างกันเพียงแต่ไม่แสดงอาการอะไรออกไป

    ใครอีกคนที่จากไปนานแต่เป็นคนที่จงอินไม่มีวันที่จะลืมใบหน้าหวานนี้ไปได้แม้จะผ่านไปกี่ปีก็ตาม

    ตอนนี้.. ตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเค้าใช่ไหม

    ไม่ได้ฝันไปรึเปล่า ?

    เหมือนจะเป็นจงอินที่ตั้งสติได้ก่อนเลยกล่าวย้ำอีกครั้ง

    “ลาเต้ร้อนนะครับ”

    “อะ.. ครับ” หันไปคีย์ข้อมูลในเครื่อง “รับอะไรเพิ่มไหมครับ”

    “อ่า.. ไม่ ไม่ครับ” ให้ตายสิ ตอนนี้เสียงของผมตะกุกตะกักชะมัด ท่าทีที่นิ่งไปเมื่อกี้เพราะจงอินยังจำเค้าได้อยู่ใช่ไหม

    อยากถามเหลือเกิน

    ยังรักกันอยู่รึเปล่า

    “ทั้งหมดสองพันเจ็ดร้อยวอนครับ” ผมหยิบเงินจำนวนหนึ่งในกระเป๋าส่งให้คนตรงหน้า ก่อนจะได้รับเงินทอนกลับมาพร้อมบัตรคิว

    “นี่บัตรคิวนะครับ เชิญนั่งรอที่โต๊ะได้เลยครับ” ผมพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบรับ แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีอะไรเข้าหูผมเลยตอนนี้ ผมเห็นแต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เท่านั้น

    “เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ” และสงสัยเห็นว่าผมนิ่งนานเกินไป อีกคนจึงย้ำอีกครั้งก่อนที่ผมจะพยักหน้าอีกรอบแล้วเดินออกไปหาที่นั่ง

    จงอิน..

    ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย

    คิดถึง






     

     

     

    ตั้งแต่ที่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวนี้ผมก็ยังไม่ละสายตาไปจากอีกคนที่ยืนทำงานอยู่ตรงเค้าเตอร์ข้างหน้า ตอนนี้คนตัวขาวเข้ามารับออร์เดอร์แทนแล้ว จงอินเลยไปทำงานอย่างอื่นแทนแต่ยังคงวุ่นวายอยู่ที่เค้าเตอร์

    ผมกับจงอินเราเลิกกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง และเรื่องไม่เป็นเรื่องนั้นก็เริ่มจากผม

    ตอนที่เราเป็นเพื่อนกันทุกอย่างก็เหมือนเพื่อนสนิทกันปกติ ไม่รู้ความรู้สึกนั้นเริ่มขึ้นตอนไหนแต่รู้ตัวอีกทีเราทั้งสองคนก็รักกัน ก้าวผ่านคำว่าเพื่อนขึ้นมาเป็นคนรัก และแน่นอนว่าพอความสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น ความรู้สึกก็เพิ่มขึ้นมาทำให้อะไรต่างๆที่เคยเหมือนเดิมกลับเปลี่ยนไป อาจจะเป็นผมเองที่ผิดเพราะความด้วยที่เรายังเด็ก ผมยังไม่มีวุฒิภาวะ ทำให้ผมคิดอะไรแบบเด็กๆ ผมหึงหวงจงอินจนไม่ยอมคุยด้วยบ่อยครั้ง ไม่ฟังที่จงอินอธิบายอะไร เอาแต่เหตุผลของตัวเองเป็นหลักและเป็นจงอินคนเดียวที่เป็นฝ่ายง้อมาตลอด และเมื่อมันนานๆเข้าปัญหาหลายๆอย่างที่เคยมองผ่านก็กลับมารุมเร้าอีก จำได้ว่าวันนั้นเราทะเลาะกันหนักมากด้วยเรื่องที่แฟนเก่าของจงอินกลับมาคืนดี ผมรู้ ผมรู้ดีว่าจงอินรักผมแต่ผมไม่ฟัง กลับใช้อารมณ์เป็นเหตุขุดเรื่องเก่าสารพัดขึ้นมาต่อว่าอีกคน และในที่สุดปากมันก็โพล่งคำว่าเลิกกันออกไป จงอินเงียบไปนานมาก และด้วยทิฐิของผมเองผมจึงเดินออกมาจากตรงนั้นไม่สนใจอีกคน

    แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นสองอาทิตย์ผมต้องย้ายออกมาจากเกาหลีกะทันหันทำให้เราไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

    “ลาเต้ร้อนได้แล้วครับ” ความคิดของผมถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงนุ่มๆของใครบางคน ก่อนที่แก้วกาแฟหอมกรุ่นจะวางลงตรงหน้า พร้อมด้วยร่างของคนๆหนึ่งนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้าม

    “จงอิน..” ทันทีที่เงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเป็นใครก็อดแปลกใจไม่ได้

    “ว่าไง” รอยยิ้มที่ยังคงเหมือนเดิมกับเมื่อห้าปีก่อนถูกส่งมาให้จากริมฝีปากหนา

    “สะ  สบายดี” ผมได้แต่เอาของมือกุมแก้วกาแฟไว้ พร้อมทั้งมองลงไปในแก้วนั้นไม่วางตา

    จงอินมาทักผมก่อน.. 

    ให้ตายสิ.. ใจเต้นรัวชะมัด..

    เหมือนกับว่าเพิ่งจีบกันใหม่ๆ..

    คิดอย่างนั้นก็อดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ แต่.. คิดพอคิดว่าคิดไปเองคนเดียวใบหน้าสวนก็หงอยลงทันที

    จงอินได้แต่เลิกคิ้วแล้วสงสัยกับการกระทำของคนตรงหน้า เดี๋ยวก็ยิ้มเดี๋ยวก็หน้าแดง แต่เดี๋ยวก็ทำหน้าหงอย ตกลงเซฮุนเป็นอะไร ยังเป็นเด็กบ๊องเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย

    “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” และเป็นจงอินอีกครั้งที่เปิดการสนทนา

    “หนึ่งเดือนแล้ว” เสียงหวานตอบออกมาเบาๆก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้า

    “จะ จงอินไม่ต้องทำงานเหรอ” เมื่อเห็นว่าอีกคนเอาแต่นั่งจ้องหน้าเค้าไม่ลุกออกไปทำงานสักทีเลยถามออกไปแก้เก้อ แก้อาการประหม่า

    “พักครึ่งชั่วโมง แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่ได้” คำถามยังคงถูกส่งต่อมาจากปากอีกคนไม่เลิก

    “เรามาทำเรื่องเรียนต่อที่มหาลัย พอจะกลับแล้วฝนตกก็เลย..” จงอินพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยทวนอีกครั้ง

    “เรียนต่อ ?

    “เราจะกลับมาที่เกาหลีถาวรแล้วนะจงอิน” ทำเป็นใจกล้ามองตาอีกคน เพื่ออยากบอกอะไรหลายๆอย่าง อย่างจะขอโทษกับที่ผ่านมาทุกอย่าง อยากจะกลับมาเป็นเซฮุนของจงอินเหมือนเดิม เป็นกระต่ายของหมีคนนี้

    จงอินพยักหน้ารับ

    “ตะ.. แต่เราเข้ามาเป็นปีหนึ่งใหม่ล่ะ เพราะมหาลัยไม่ยอมให้โอยหน่วยกิตของมหาวิทยาลัยที่นู้นให้ เราเลยต้องเสียเวลาไปอีกปี แต่ไม่เป็นไรหรอกเนอะ” ว่าแล้วส่งยิ้มให้อีกคนตามความเคยชิน

    “แล้วเรียนคณะอะไรครับ”

    “เราเรียนนิเทศเอกการแสดง ละ .. แล้วจงอินเรียนอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า”

    จงอินพยักหน้ารับ “วิศวะน่ะ”

    “ได้เข้าคณะที่อยากเข้าด้วยนี่ ดีจังเลย” เพราะจำได้ว่าตอนนั้นจงอินเคยบอกเค้าว่าอยากเรียนวิศวะ

    “เซฮุนเองก็เหมือนกัน คณะที่ชอบเหมือนกันนี่” อ่า.. พอรู้ว่าอีกคนยังไม่ลืมเรื่องราวของตัวเองจึงส่งยิ้มตาหยีกลับไปให้

    “อื้ม ^^

    “เราต้องไปทำงานแล้วนะ” ว่าแล้วจงอินก็ลุกขึ้นมาก่อนจะคว้าถาดที่วางไว้บนเก้าอี้อีกตัวก่อนเดินไป แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นโต๊ะตัวข้างๆ ก็หันกลับมามองเซฮุนพร้อมกับวางมือลงบนกลุ่มผมนิ่ม

    อีกชั่วโมงเราจะเลิกงานแล้ว รอก่อนได้รึเปล่า
     

    --------------------------------------50%------------------------------------------

     
     

     

     

     

     

    ….เมื่อโอกาสมาถึงก็ควรคว้าเอาไว้

    .

    เพราะประโยคนั้นทำให้ผมนั่งรอใครอีกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ในร้านแห่งนี้

    ให้ตายสิ! ไม่ว่ายังไงหัวใจก็ยังไม่เต้นช้าลงเลย

    จะเต้นเร็วไปแล้วนะหัวใจบ้าบอนี่ เดี๋ยวมันก็ดังซะจนจงอินได้ยินหรอก

    บรรยากาศข้างนอกเริ่มมืดลงแล้ว ผู้คนต่างเดินขวักไขว่กันไปมา บ้างก็เดินมาเป็นคู่ บ้างก็เดินกันมากับกลุ่มเพื่อนๆ บ้างก็เดินมาคนเดียว แน่ละใครๆก็ต่างต้องใช้ชีวิตตามทางเดินของตัวเอง

    ผมเองก็เช่นกัน

    นั่งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่นานท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าก็ถูกสีดำของความมืดค่อยๆกลืนกิน ดาวดวงน้อยออกมาระยิบระยับบ้างประปรายเพื่อประดับท้องฟ้า ร้านรวงต่างๆเริ่มเปิดไปสีสันต่างๆเพื่อประดับร้านของตัวเอง ทำให้ถนนแห่งนี้เริ่มเต็มไปด้วยสีสันของกลางคืนเต็มตัว

    แรงสะกิดที่หลังปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ หันไปก็เห็นคนที่บอกให้รอยืนยิ้มให้อยู่

    “ขอโทษที่ให้รอนะ เสร็จแล้วล่ะ”

    “อะ.. อื้ม” ผมพยักหน้าตอบกลับไปก่อนจะนั่งนิ่ง ก็มันทำอะไรไม่ถูกนี่!

    “ไปกันรึยัง ?

    “อ่อๆ ไปสิ” ว่าแล้วผมก็จัดการสะพายกระเป๋าไว้ก่อนลุกขึ้นแล้วเดินตามจงอินที่กำลังบอกลาพนักงานในร้านก่อนเดินออกมา

     

     

     



     

     

    บรรยากาศข้างนอกออกชื้นอยู่นิดหน่อยเพราะบนเพิ่งเลิกตกได้ไหมนาน พร้อมด้วยลมที่พัดมาไม่แรงมากนักทำให้อากาศเย็นสบายดี

    “หนาวไหมเซฮุน” จงอินหันมามองผมที่ยืนตามอยู่ข้างหลังก่อนถามออกมา

    “ไม่ๆ อากาศสบายดีออก” ผมตอบพร้อมยิ้มให้อีกคน

    “นั่นสิ เพราะฝนตกด้วยล่ะมั้ง” จงอินเงยหน้ามองฟ้าก่อนหันมามองผมอีก

    “มีอะไรเหรอ” มองกันขนาดนี้สิงกันเลยไหมล่ะจงอิน เขินนะเว้ย สบายตาของจงอินนี่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังเหมือนเดิม ทำให้ผมเขินได้ตลอดเวลาเหมือนเดิม

    จงอินหยุดก่อนจะหันกลับมาเดินหาผม คือตอนนี้เราห่วงกันประมาณสองก้าว เอาตรงๆเพราะผมไม่กล้าเดินข้างๆอีกคน กลัวอดใจไม่ไหว กลัวเสียงหัวใจของตัวเองจะดังจนใครอีกคนได้ยิน กลัวจะทำอะไรไม่ถูก กลัว กลัวไปหมดเหมือนเพิ่งมีรักครั้งแรกเลยเฮ้ย

    “ทำไมเดินห่างกันอย่างนั้นล่ะ”

    “อ่า

    “เดินไม่ทันเหรอ แต่เราว่าเซฮุนก็ไม่ได้ขาสั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ สูงกว่าเราอีกตอนนี้” ว่าพร้อมหัวเราะน้อยๆกับท้ายประโยค

    “จงอิน!!” เรื่องอะไรมาว่าผมเล่า ก็แค่เมื่อก่อนผมตัวเล็กกว่าจงอินเลยเดินตามไม่ค่อยจะทันเอง

     “ฮ่าๆๆ เราหยอกน่า”

    เมื่อรู้ว่าอีกคนแกล้งเล่น เซฮุนก็อดจะบุ้ยปากทำปากเป็ดออกมาอย่างงอนๆไม่ได้เหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ ทำให้เกิดรอยยิ้มอยู่บนหน้าของคนที่มองอยู่ขึ้นมาทันที

    ยังเป็นเด็กหัวโตขี้งอนเหมือนเดิม

    จงอินเอื้อมมือไปจับมือเซฮุน

    “งั้นจับมือกันไว้แบบนี้จะได้ไม่หลงเนอะ” ยิ้มสวยให้อีกทีก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง

    โดยที่การเดินครั้งนี้ถ้ามองไปดีๆ จะเห็นว่าริมฝีปากของทั้งสองคนกำลังยิ้มอยู่








     

     

     

    “ทานเยอะๆนะเซฮุน ผอมจนหัวโตหมดแล้ว”

    “จงอิน!!!

    ให้ตายเถอะ!! ทำไมชอบแกล้งผมนักนะ

                    ตอนนี้เราสองคนอยู่ที่ร้านเนื้อย่าง เพาะหลังจากที่เดินออกมาจากร้านได้สักพักหนึ่งแล้วคนที่กุมมือผมอยู่เกิดท้องร้องขึ้นมาจนอดจะขำไม่ได้ พร้อมทั้งผมที่ได้ทานลาเต้ไปแค่แก้วเดียวทำให้เราสองคนตัดสินใจกันมาทานอาหาร จงอินเลยเลือกร้านเนื้อย่างบอกว่าเป็นการเลี้ยงฉลองที่ผมกลับมาด้วย

    สำหรับผมนั้นยังไงก็ได้

    แค่ได้นั่งทานกับจงอินแค่ต๊อกบกกีข้างทางก็ดีแล้วสำหรับผม

    แต่ตั้งแต่มาถึงที่ร้านจนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟจงอินก็ยังหาเรื่องแกล้งผมได้ตลอดเลยสิน่า

    “ฮ่าๆ ไม่เอาๆอย่าน่าบูดน่ะเซฮุน กินๆ” ว่าแล้วก็คีบหมูที่ปิ้งสุกอยู่บนเตามาใส่ในถ้วยผมให้

    “จงอินคีบให้แต่เรา กินเองบ้างสิ”

    นี่เอาแต่ตักให้ผมจนตัวเองจะไม่ได้กินแล้วเนี่ย

    “ขุนให้เซฮุนอ้วนไง”

    “แค่นี้เราก็กินไม่หมดแล้วนะ”

    “เรากลัวเซฮุนหัวโตอยู่คนเดียว”

    “จงอิน!!!” แกล้งกันอีกแล้วดูสิ ไม่คุยด้วยแล้ว

    ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินไม่สนใจใครอีกคนที่นั่งยิ้มมองตัวเองอยู่

    ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีจงอินก็ชอบล้อเค้าเรื่องหัวโตอยู่เรื่อยเลย ไม่หัวโตบ้างให้มันรู้ไปไอ้ดำ!! จุ๊ๆๆ อย่าไปบอกจงอินนะว่าผมแอบว่าจงอินอยู่ ฮี่ๆๆๆ

    เสียงหัวเราะที่ลอดออกมาจากปากนิ่มดังพอที่จะให้คนฝั่งตรงข้ามได้ยิน มองไปก็เห็นเซฮุนกลั้นยิ้มอยู่ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังทำหน้างอนอยู่แท้ๆ

    “แอบนินทาเราอยู่ในใจใช่ไหม”

    “เปล่า!!  เปล่าซะหน่อย” ตอบออกมาแทบจะทันทีแถมเสียงดังฟังชัดอีกต่างหาก ไหนจะอาการสะดุ้งน้อยๆเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่มองอยู่ออกมาได้อย่างง่ายดาย

    “เรารู้หรอก”

    “จงอินอ่า กินเยอะๆนะ” นี่แหล่ะ เปลี่ยนเรื่องซะเลย

    คีบหมูให้ก่อนจะไปจ่อที่ปากอีกคน จังหวะที่จงอินกำลังจะงับผมก็เอาเนื้อหมูนั้นเข้าปากตัวเองซะก่อน ฮี่ๆๆ

    “ห๊ะ..” จงอินได้แต่มองผม ผมเลยส่งยิ้มที่คิดว่าน่ารักที่สุดให้

    “เอาคืนเหรอเซฮุน” เท้ามองคนน่ารักที่กำลังส่งยิ้มกว้างซะจนตาเป็นรู้พระจันทร์เสี้ยวให้ก็โกรธไม่ลง เห็นแล้วอยากจะแกล้งซะมากกว่าอีก

    “เปล่านะ ก็เราเห็นจงอินกินช้า” จริงๆนะเชื่อผมสิ

    “เดี๋ยวเหอะ” ไม่พูดเปล่า จงอินยังเอื้อมมือมายีผมที่ฟูอยู่แล้วให้ฟูกว่าเดิมอีก

    “จงอินอ่า เดี๋ยวเราก็หัวโตกว่าเดิมหรอก” ชอบว่าผมหัวโตแล้วยังจะชอบมาทำให้ผมหัวโตกว่าเดิมอีก ผู้ชายคนนี้นี่

    “ก็น่ารักดี”

    น่ารัก

    น่ารัก

    น่ารัก

    น่ารัก

    จงอินชมผมว่าน่ารักล่ะท่านผู้โชมมมม~~ นี่ไม่ได้ยินมานานแล้วนะ ใครชมก็ไม่รู้สึกเหมือนคนตรงหน้าชม เหมือนเลือดมากองอยู่บนแก้ม ให้ตายสิ! เขิน!!!

    ร่างสูงยกยิ้มกับปฏิกิริยาของคนตรงหน้าก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นจึงขออนุญาตเพื่อรับโทรศัพท์

    “ว่าไง เออๆเดี๋ยวกลับแล้ว อ่อได้ๆ อะไรก็ได้ใช่ไหม โอเคๆ”

    ผมกินเนื้อย่างไปเงียบๆเพราะจงอินกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่ แต่จากเสียงที่เข้าหูมาแล้วก็คิดว่าคงคุยกับเพื่อนล่ะมั้ง แต่จงอินจะคุยกับใครเราก็ไม่มีสิทธิ์จะไปถามนี่นา

    นั่งทานไปพลางเหลือบมองบ้างก่อนที่อีกคนจะเก็บโทรศัพท์สายตาก็ดันไปเห็นอะไรสักอย่าง อะไรที่ทำให้หัวใจพองโตขึ้นมาอย่างช้าๆ อะไรที่ทำให้หัวใจเต้นระรัว อะไรที่ทำให้คิดว่าอีกคนยังคิดถึงเค้าอยู่ตลอดเวลา อะไรที่ทำให้เชื่อว่าอีกคนก็คงยังไม่ลืมตัวเอง

    ที่ห้อยโทรศัพท์รูปกระต่ายนั้น

    ของที่ไม่ได้มีค่าราคามากมาย เป็นเพียงของใช้กลาดเกลื่อนที่ใช้กันทั่วไปแต่มันมีค่าทางจิตใตของผมมาก

    พวกกุญแจที่ผมเป็นคนเลือกให้จงอิน

    ของขวัญชิ้นแรกของกันและกันในฐานะคนรัก

    “จงอินยังใช้มันอยู่เหรอ”

    ไม่ทันที่จงอินจะได้ตอบอะไรผม เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขัดขึ้นมาก่อน

    รับโทรศัพท์ก็ได้ความว่าคุณน้าที่ผมกำลังอาศัยพักอยู่ด้วยในตอนนี้โทรมาถามว่าอยู่ไหน ทำอะไรอยู่ กลับถึงคอนโดรึยังด้วยความเป็นห่วง ตอนกลับไปก็พบว่าอีกคนอยู่ใกล้ๆบริเวณนี้ คุณน้าจึงอาสามารับ เมื่อได้ยินดังนั้นประจวบกับที่เรากินกันจนอิ่มแล้ว จงอินเลยบอกให้เราจ่ายเงินกันโดยที่จงอินเป็นคนออกให้ทั้งหมด

    จงอินมายืนรออยู่แถวหน้าร้านเป็นเพื่อนผมรอคุณน้ามารับ เราคุยกับสัพเพเหระไปพลางๆ หยอกกันบ้างไปพลางๆพอให้คิดถึงบรรยากาศเก่าๆที่ยังอบอุ่นในหัวใจ

    รอไม่นานนักรถของคุณอาก็มาจอดอยู่ตรงหน้าผม

    ผมหันไปลาจงอิน จงอินเองก็ลาผมเช่นกัน

    เราจะได้เจอกันอีกไหม

    ผ่านวันนี้ไปแล้วจะได้เจอกันบ่อยๆอีกรึเปล่า

    จะได้คุยกันเกินสองสามประโยคไหม

    ถ้าเจอกันในมหาลัยจงอินจะทักผมรึเปล่า

    ไม่รู้เลย

    “ไว้ครั้งหน้าให้เราเลี้ยงจงอินบ้างนะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดแบบนี้ออกไป แต่ถ้าผมไม่พูดเราก็จะตัดโอกาสที่จะเจอกันไปใช่ไหม

    “ได้สิ”

    ผมกำลังจะเดินเข้าไปนั่งในรถ แต่.. ใครอีกคนที่กำลังมองผมอยู่รั้งให้สมองผมควบคุมไม่ได้ ได้แต่ทำตามที่หัวใจต้องหารอยากจะให้ทำ

    “เราก็ยังใช้ที่ห้อยโทรศัพท์คุณหมีตลอดนะจงอิน” จงอินหันมาเลิกคิ้วมองก่อนจะยกยิ้มบางๆแล้วพยักหน้าให้

    แล้วเราก็ยังใช้เบอร์เดิมนะจงอิน



     


    ----------------------------------------------------------------------------------


    ช่วยคอมเม้นท์ติ - ชม และเป็นกำลังใจให้คนแต่งด้วยค่ะ




    #ฟิคคาเฟ่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×