คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ความห่วงใย
“ลูกปัด เดินเล่นรึครับ” ปนัดดาละสายตาจากราวเสื้อผ้า หันไปหาต้นเสียงซึ่งกำลังเดินเข้าใกล้
“หวัดดีคะ นะ มาซื้อของเหรอคะ” ปนัดดาไม่ได้เรียกชนะว่าพี่ เนื่องจากเห็นว่าเรียนชั้นปีเดียวกัน
“ครับ”
“แล้วเจอวามั่งรึเปล่าครับ หมู่นี้”ชนะเอ่ยถามเพื่อนสนิทสมัยมัธยมของวารวี
“ไม่ค่อยเจอหรอกคะ ก็อยู่กันคนละคณะ ปัดก็ทำกิจกรรมเยอะ หนูวาก็เรียนหนักไม่ใช่เหรอคะ”
“ครับ คงจะจบเทอมหน้า เค้าขยัน” ชนะว่า
“ไม่รู้จะรีบไปไหนนะคะ” ปนัดดาพูดยิ้มๆ
“จะเรียนต่อกระมังครับ”
“ไม่หรอกคะ วาเค้าคงทำงาน” ปนัดดาคิดถึงฐานะของเพื่อนสาวที่ไม่เอื้ออำนวยนัก ด้วยว่าบิดาก็ป่วยมานานปี ภาระหนักของครอบครัวจึงตกกับมารดา โชคดีที่วารวีเป็นนักเรียนทุนมาตลอดตั้งแต่มัธยมปลาย จึงพอช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางบ้านได้บ้าง
“อื้ม ไม่รบกวนเวลาของลูกปัดแล้วครับ”
“คะ บายคะ นะ” ปนัดดาหันกลับไปหาราวเสื้อผ้าใหม่
“ครับ โชคดีครับ” ชนะเดินออกจากร้านเสื้อผ้าลับหายไปท่ามกลางผู้คนที่มาช้อปปิ้งในห้างดังแห่งนี้
................................
วารวีเดินตามปิติยะไปยังปีกซ้ายของบ้าน สุดระเบียงมีประตูกระจกบานใหญ่ ปิติยะเลื่อนประตูออก เดินนำเข้าไปในห้องนั้น วารวีชะโงกหน้ามองเข้าไปในห้อง พบว่าเป็นห้องโถงขนาดย่อม แล้วก็ต้องตาโต เมื่อเห็นว่าห้องนี้เป็นคล้ายโรงยิมขนาดย่อม มีเบาะแบบที่วารวีเคยเรียนวิชาศิลปะการป้องกันตัวแบบไอคิโดสมัยเรียนมัธยมปลายวางเรียงอยู่สี่เบาะ ที่ผนังด้านซ้ายมีตู้เหล็กสองใบ ถัดกันเป็นชั้นหนังสือ และข้างๆเป็นชั้นทีวีพร้อมเครื่องเล่นดีวีดี/ซีดี มีเครื่องออกกำลังกายแบบที่วารวีเห็นในโมษณาทางโทรทัศน์สามเครื่อง ที่อีกด้านหนึ่งของห้อง ปิติยะเปิดตู้เหล็กใบแรก หยิบเสื้อผ้าออกมาสองชุด เดินมาหาวารวี
“ อ้าว เข้ามาสิ”
วารวีเดินเข้ามา รู้สึกตัวเองไม่ค่อยเข้ากับห้องอย่างบอกไม่ถูก ปิติยะยื่นเสื้อผ้าให้ชุดหนึ่ง
“เอ้า เปลี่ยนซะ ใช้ห้องนั้นก็ได้” ชี้ไปที่ประตูทางด้านขวา วารวีรับมางงๆ
“รึจะเปลี่ยนด้วยกันที่ห้องนี้ก็ได้ ไม่เป็นไร” คราวนี้พูดด้วยน้ำเสียงละไม
“เปลี่ยนทำไม” วารวีถามงงๆ
“ยืดเส้นยืดสายหน่อยน่า นั่งเรียนน่าเบื่อออก” ปิติยะว่า
“เอ้า ไปสิ รึจะดูผมผลัดผ้า” ปิติยะทำท่าจะปลดตะขอกางเกง
“บ้า” วารวีรีบจ้ำอ้าวเข้าห้องที่เด็กหนุ่มบอกโดยมีเสียงหัวเราะของปิติยะดังตามมา
............................
“ทำอะไรอยู่ แม่แจ่ม” ลุงชมเอ่ยถามศรีภรรยา เมื่อเห็นป้าแจ่มง่วนอยู่กับสารพัดผักผลไม้บนโต๊ะในห้องครัว
“ทำน้ำผลไม้กับน้ำผัก ไว้ให้คุณหนูกับคุณครูเขาน่ะ พ่อ” นางบอกสามี
“อื้ม ครูใหม่ของคุณหนูน่ะเหรอ หน้าตาท่าทางน่ารักดีนี่” ลุงชมเอ่ยถึงวารวี ขณะใช้แก้วกดรินน้ำจากตู้เย็น
“ใช่ๆ ยังเด็กๆอยู่เลย ไม่รู้จะเอาคุณหนูอยู่ไหม แต่ดูๆก็คงไหวอยู่หรอกนะ” ป้าแจ่มมีน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย
“อ้าว แม่นี่ยังไง เดี๋ยวเอาไม่อยู่ เดี๋ยวคงไหว ขัดแย้งกันเองนี่ แบบนี้” ลุงชมพูดกลั้วหัวเราะ พลางเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่ง
“แหม หนูวาน่ะ หน้าละอ่อนอยู่เลย ตาชม เห็นแววตาคุณหนูละ ฉันก็กลัวใจ” ป้าแจ่มวางมีดหั่นผัก เลื่อนเก้าอี้มานั่งตรงข้ามสามี
“ อะไรๆ ยายแจ่ม คิดมากไปรึเปล่านี่” ลุงชมร้อง
“ ไม่มากหรอก ตาชม คุณหนูน่ะ ฉันเลี้ยงของฉันมากับมือ แล้วเธอก็โตเป็นหนุ่มแล้วนา ใช่ว่าเธอจะโตแต่ตัว” ป้าแจ่มเอ่ยเสียงกังวล
“เฮ้ย ไม่หรอกน่า อย่าคิดมากเลย แม่หนูนั่นน่ะ คุณก้อยเธอแนะนำมาไม่ใช่รึ ไม่เก่งจริงเธอไม่ให้มาหรอกน่า ยายแจ่ม” ลุงชมค้าน
“แต่ ฉันก็อดหวั่นใจไม่ได้นะ ตาชม ถึงได้คอยอยู่ใกล้ๆ นี่ไง ถ้าหนูวาขี้เหร่สักหน่อย ฉันก็คงไม่ต้องห่วง นี่น่ะท่าทางนิสัยใจคอ หน้าตารึก็ดูดี น่ารัก เฮ้อ!” ป้าแจ่มถอนใจ
“อ้าว นิสัยดี น่ารัก แล้วแกจะห่วงอะไรอีกล่ะ” ลุงชมถามยิ้มๆ
“อ้าว ตาชม ก็เพราะ นิสัยดีน่ารัก นี่แหละ ฉันถึงกลัวใจคุณหนูเธอนัก” ป้าแจ่มลุกขึ้น หยิบมีดขึ้นมาหั่นผักบนโต๊ะต่อ
“เออ แกก็คอยดูๆ ไว้แล้วกัน” ลุงชมว่า พลางลุกขึ้นนำแก้วไปวางที่อ่างล้างจาน
..............................
“แต่งยังไงของเธอเนี่ย” ปิติยะมองวารวีที่แต่งชุดเทควันโด้ ยาวกรอมเท้าออกมาจากห้อง
“มานี่ๆ” ปิติยะดึงวารวีเข้ามาใกล้
“นี่ๆสายคาดน่ะต้องผูกแบบนี้” ปิติยะ แก้ปมสายคาดเอวของวารวี แล้วผูกให้ใหม่อย่างคล่องแคล่ว
“กางเกงนี่พันขึ้นอีกได้ไหม” ปิติยะมองขากางเกงที่ลากพื้นเกือบคืบ
วารวีที่ยืนอึ้งตั้งแต่ที่ปิติยะผูกสายคาดเอวให้ ค่อยดึงสติกลับมาได้
“เอ่อ พับขาได้ไหมล่ะ” หญิงสาวถาม
“พันขึ้นแหละ แล้วผูกให้แน่นละ หลุดมาอย่าหาว่าไม่เตือน” ปิติยะว่ายิ้มๆ
“ฮึ!” วารวีหันหลังให้เด็กหนุ่ม ขณะพันกางเกงขึ้น เมื่อหันกลับมาพบว่าปิติยะไปยืนอยู่บนเบาะแล้ว
“เอ้า เสร็จแล้วก็มาซะทีสิ วา” วารวีชักสีหน้าไม่ชอบใจกับการเรียกขานของปิติยะ
“เอ้าๆ ครูวา” ปิติยะเรียกใหม่
“เคยเรียนไหม เทควันโด้ น่ะ” ปิติยะถาม เมื่อวารวีเดินมาหยุดบนเบาะ
“ไม่เคยหรอก ตอน ม.ปลาย เรียนไอคิโดมาน่ะ แต่หลังๆมานี่เห็นเค้าเรียนมวยไทยกัน” วารวีตอบโดยไม่มองหน้าปิติยะ
‘ ขี้เกียจแหงนคอมองนี่ เด็กสมัยนี้สูงกันจริง’ วารวีคิดในใจ ยิ่งยืนห่างแค่นี้ วารวียิ่งตัวเล็กจิ๊บจ้อยลงไปถนัดตา
“นี่ ครูวา สูงเท่าไหร่น่ะ” ปิติยะ ในท่ามือไขว้หลัง ก้มหน้าลงมาถาม จนหน้าห่างวารวีแค่สองคืบ
“ทำไม” วารวีถอยห่างออกมา
“ตัวเท่ามด” ปิติยะว่า
“กินข้าวกินปลามั่งมั้ย แต่ละวัน เธอน่ะ” ปิติยะหันหลังเดินไปที่ปลายเบาะ เขาได้ยินน้าก้อยบอกว่าวารวีเรียนเก่งนัก คงจะเป็นหนอนหนังสือ
‘ยังดีไม่ใส่แว่นหนาเตอะเหมือนน้าก้อย’ ปิติยะคิด เมื่อหันกลับมาพบว่าวารวีนั่งอยู่ที่กลางเบาะ
“อ้าว ใครให้นั่งล่ะนั่น” ปิติยะทำหน้าฉงนแกมขำ
“ชั้นเมื่อยนี่” วารวีทำหน้าเบื่อๆ ไม่ให้เบื่อยังไงไหว ตั้งใจมาสอนหนังสือ กลับถูกคนที่เด็กกว่าลากขึ้นมาทำอะไรก็ไม่รู้บนนี้
“อย่าเพิ่งเบื่อน่า เอาแต่เรียนกะอ่านหนังสือ ไม่เบื่อมั่งรึไง วาน่าจะหากิจกรรมอะไรทำมั่ง” ปิติยะเดินกลับมา ยื่นมือออกมาตรงหน้าวารวี
“มา ลุกขึ้นเถอะ” วารวีมองมือใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
“ชั้นลุกเองได้” ว่าแล้วก็สปริงตัวลุกขึ้นยืน
“นี่ เดี๋ยวต้องวอร์มร่างกายก่อนนะ” ปิติยะขยับออกห่างจากวารวี ซึ่งยังคงทำหน้าซังกะตายอยู่
...............................
“พี่หนึ่ง โทรบอกพี่วา ซื้อไก่เคเอฟซีมาฝากนิดมั่งสิ” นริศรา หรือหนูนิด นอนกินขนมหน้าทีวีเอ่ยปากบอกพี่สาวที่นั่งเขียนรายงานอยู่อีกมุมของห้อง
“อ้าว ตัวว่างก็ไปโทรเองสิ หนูนิด” นริสาว่า โดยไม่เงยหน้าจากรายงาน
“ใครว่าเค้าว่าง เค้าดูทีวีอยู่ ไม่เห็นเหรอ” หนูนิดน้ำเสียงกระเง้ากระงอด ที่ถูกขัดใจ
“เจริญละ แม่คุ๊ณ อยากกินเอง แต่ไม่ว่างไปโทรศัพท์ เพราะดูทีวี” นริสาหันมามองน้องสาวที่เอาแต่ใจ
“ทำเองเลย ถ้าอยากกิน แล้วก็ชอบรบกวนพี่วาเค้าบ่อยๆ เค้ายิ่งไม่ค่อยมีตังค์อยู่ด้วย” นริสาว่า
“แต่พี่วา ได้งานพิเศษแล้วนี่ เค้ารู้นะ พี่วารับสอนพิเศษ” นริศราลุกขึ้นนั่ง
“ก็ใช่นะ หนูนิด แต่เราชอบให้พี่วาเค้าซื้อนั่นซื้อนี่ให้อยู่เรื่อย”
“แหม ก็ไปเบิกจากพ่อกะแม่ได้นี่” นริศราฮึดฮัดที่ถูกพี่สาวว่า
“เอ้... ตัวก็รู้นี่ พี่วาเค้าเคยบอกพ่อกะแม่ที่ไหน นอกจากพี่บอก พ่อกะแม่ถึงให้พี่วา แล้วพี่วาก็ไม่เห็นเคยรับ” นริสา หันกลับไปหารายงาน
“พี่ว่า ตัวอย่ารบกวนพี่วาเค้าเลย โทรสั่งมาก็ได้ เดี๋ยวพี่จ่ายให้” นริสาก้มหน้าทำงานต่อ
“ไม่กินแล้ว หมดอารมณ์” หนูนิดลุกขึ้นไปปิดทีวี แล้วเดินเข้าห้องน้ำ นริสายักไหล่กับความเอาแต่ใจและขี้ใจน้อยของน้องสาว
..................................
ปิติยะปั่นจักรยานมาส่งวารวีที่ปากซอย ผ่านวงเหล้าของกลุ่มหนุ่มกลางซอยโดยไร้เสียงแซว วารวีอดคิดไม่ได้ว่า ที่ปิติยะสอนเทควันโดให้ในวันนี้จะเกี่ยวพันถึงเรื่องนี้ด้วย แต่คิดไปคิดมา ปิติยะไม่น่าจะมาห่วงอะไร แต่อุตส่าห์ปั่นจักรยานมาส่งนี่นา
‘ก็ออกมาเตะบอลไง’ เสียงค้านในหัวดังขึ้น
“นี่ ที่สอนไปวันนี้ ไปฝึกให้คล่องๆนะ แล้วอาทิตย์หน้าจะสอนท่าใหม่ให้” ปิติยะบอก เมื่อวารวีลงจากจักรยาน
“ไม่จำเป็นแล้ว ชั้นมาสอนพิเศษให้เธอ ไม่ใช่ให้เธอมาสอนชั้น” วารวีเสียงเข้มใส่
“อ๋อ ... เหรอ” ปิติยะเลิกคิ้วล้อเลียน
“เจอกันอาทิตย์หน้านะ วา” ปิติยะหลิ่วตาให้ แล้วก็ปั่นจักรยานกลับเข้าซอย วารวีหันซ้ายแลขวา
‘อยากขว้างให้หัวแตกนัก เด็กบ้า’
...............................................
“สวัสดีค่ะ พี่นะ” วารวีตอบรับสายโทรศัพท์เสียงใส
“ดีครับ วา เป็นไงบ้าง สอนพิเศษ” เสียงชนะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
“ก็ เอาเรื่องค่ะ พี่นะ วันนี้ก็สอนไปนิดเดียว” วารวีมีน้ำเสียงกังวล
“งั้นเหรอ เจอเด็กดื้อรึไง วา” เสียงถามทวีความห่วงใย
“ก็..ทำนองนั้นค่ะ” จะบอกได้ไง ว่าเจอเด็กแก่แดด ที่ไม่ได้โตแต่ตัว ซ้ำทะลึ่งทะเล้น
“เด็กผู้ชายรึ วา” ชนะถามมาอีก
“ค่ะ พี่นะ”
“อื้ม พี่เอาใจช่วยนะ มีอะไรก็ปรึกษาได้” น้ำเสียงห่วงใยอาทรนั้นทำให้วารวีรู้สึกอุ่นใจนัก
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ พี่นะ พรุ่งนี้เจอกันที่คณะ นะคะ”
“ครับ ฝันดีครับ”
“ค่ะ บายค่ะ” วารวีลุกจากโต๊ะหนังสือ หญิงสาวบิดตัวไล่ความเมื่อยล้า เนื่องจากการนั่งนาน ปิดโคมไฟแล้วทิ้งตัวนอนบนเตียง แว่บนึงก่อนหลับตาเห็นรอยยิ้มของปิติยะรางๆ
...............................
ความคิดเห็น