คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : สารท้ารบ1
วารวีอมยิ้ม นึกขำตัวเองที่คิดว่าปิติยะเป็นลูกคนสวนของบ้านนี้
‘เออ ก็ใครจะคิดเด็กสมัยนี้นะ ตัวโตขนาดนี้ ’
ปิติยะเลิกคิ้ว ยิ้มกวนๆ พลางกอดอกพิงพนักเก้าอี้ มองวารวี
“จะไม่แนะนำตัวอย่างเป็นทางการหน่อยเหรอครับ ครู”
วารวีรู้สึกขัดหูกับคำว่า ‘ครู’ ที่ปิติยะเรียกนัก เพราะจับน้ำเสียงได้ว่า เด็กหนุ่มประชดเล็กๆในการเรียกขานนั้น
“ก็บอกแล้วนี่คะ ชื่อวารวี แต่ไม่ต้องเรียกครูก็ได้นะจ๊ะ เพราะพี่ก็ยังเรียนไม่จบ และก็ไม่ได้เรียนครูด้วย” วารวีใช้เสียงเข้มมากขึ้น
ปิติยะพยักหน้าน้อยๆพลางลูบคางเหมือนใช้ความคิด
“อ้าว แล้วนามสกุล บ้าน มีแฟนแล้วกี่คน อย่างเนี้ย”
วารวีขึงตาใส่อีกฝ่าย
“อ้อ วารวี วรรณวัฒน์ จ้ะ ตอนนี้เรียนชั้นปีที่ 3 คณะวิทยาศาสตร์ บ้านและแฟนคงไม่ต้องบอกหรอกนะคะ ไม่เกี่ยวกับการเรียน”
“อ้าวๆๆ” ปิติยะเลื่อนเก้าอี้หมุนเข้ามาชิดโต๊ะ ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น
“พูดงั้นก็ไม่ถูกนะครับ คุณครู มันเกี่ยวพันกันไปหมดแหละ ผมจะได้เตรียมใจถูก รู้ว่าบ้านอยู่ไหน เผื่อมีอะไรขึ้นมา ผมจะได้แจ้งตำรวจถูก”
“จะมีอะไรต้องแจ้งตำรวจ” วารวี เลิกคิ้ว งงๆ
ปิติยะอมยิ้ม ก่อนจะทำหน้าจริงจัง มองวารวีนิ่งๆ
“ก็เผื่อวันใดวันนึง วาเกิดขโมยหัวใจผมไปไงครับ”
“ หา .. อะไร” วารวีเสียงเข้ม นึกฉุนวูบกับคำพูดของปิติยะ แล้วความคิดที่ว่ากำลังถูกก่อกวนจึงวาบขึ้นในหัว
ปิติยะกลั้นหัวเราะ แกล้งทำหน้าขรึมๆ วางมาดผู้ใหญ่เกินอายุ
“นี่ น้องยะ ไม่ต้องมาลองของอะไรหรอกนะ พี่ว่า เรียนได้แล้วล่ะ” วารวี หยิบหนังสือเรียนขึ้นมา
“ใครบอกว่า ผมจะเรียน” ปิติยะลุกขึ้น
“แล้วไม่ต้องมาเรียกผม น้องด้วย ผมเป็นลูกคนเดียว” ว่าแล้วปิติยะก็เดินออกจากห้อง
วารวีมองตาม
‘ เจอเด็กเอาแต่ใจแล้วไหมละ พี่ก้อยไม่เห็นบอกไว้เลย’
..................................
“อ้าว นะ มาทุกเสาร์เลยนะ” สุธีร์เพื่อนร่วมห้องที่ทำงานพิเศษในสำนักวิทยบริการของมหาวิทยาลัยในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ทักชนะที่กำลังสอดบัตรผ่านประตูเพื่อเข้าใช้บริการ
“อืมม์ เป็นไง สถิติวันนี้ ธีร์” ชนะหันมาเอ่ยถามเพื่อน
“แน่น เหมือนเดิม อ้อ จะขาดเจ้าประจำแค่คนนึง” สุธีร์ตอบ
“เจ้าประจำ ใครรึ” ชนะเอี้ยวคอมาถาม
“เจ้าวา วันนี้ยังไม่เห็นเลย”
“อ้อ งั้นรึ เออ ขึ้นไปก่อนนะเพื่อน”
“อื้ม ตามสบาย เพื่อน” สุธีร์ก้มลงอ่านวารสารในมือต่อ ชนะรู้สึกโหวงลึกๆ วารวีไม่อยู่ห้องสมุด วันนี้ ที่คณะก็ไม่เข้า แล้วไปไหนของเธอกัน แต่ไม่แน่ สุธีร์อาจไม่เห็นตอนที่วารวีเข้ามาก็ได้ คิดอย่างนี้แล้ว ชายหนุ่มก็เร่งฝีเท้าไปยังมุมที่คาดว่าจะพบวารวี
...................................
‘ไม่เห็นมาตาม’ ปิติยะซึ่งนั่งเล่นเกมอยู่เริ่มไม่มีสมาธิกับการเล่น คอยชำเลืองมองประตูทางเข้าห้องทำงาน
‘ไปดูดีไหมวะ’ คิดแล้วพลางลุกขึ้น แล้วก็ชะงัก
‘ไม่ดีกว่า ขืนไปเสียฟอร์มตาย’ แล้วก็ทรุดลงนั่งต่อ เงยหน้ามองนาฬิกาโบราณราคาเรือนเกือบแสนซึ่งพ่อเลี้ยงซื้อมาจากสวิตซ์
‘สามสิบกว่านาทีแล้ว ทำอะไรของเขาอยู่วะ’ ปิติยะเริ่มกระสับกระส่าย กับพี่ก้อยซึ่งเป็นญาติ เขาไม่สามารถทำพยศได้มากนัก แต่กับแม่ครูคนนี้ เห็นหน้าเขาก็นึกอยากแกล้ง
‘ทนไม่ไหวแล้ว’ ปิติยะลุกขึ้น เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังประตูห้องทำงาน แล้วชะงักมือที่เอื้อมไปหมุนลูกบิด เหมือนคิดอะไรได้ จึงหันไปทางเข้าห้องครัว
........................................
‘ไม่อยู่’ ชนะกวาดตามองทั่วห้อง บริเวณที่คาดว่าวารวีน่าจะอยู่ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของหญิงสาว เขาเดินออกจากห้องอย่างยอมรับว่า วันนี้คงไม่ได้เจอสาวเจ้าจริงๆ นำหนังสือไปยื่นขึ้นทะเบียนยืมที่เคาเตอร์บริการอย่างเซ็งๆ แล้วจึงเดินลงมาชั้นล่าง สุธีร์เงยหน้ามองเพื่อนที่เดินหน้าไม่ค่อยเสบยออกมาพลางยิ้มให้
“อ้าว เร็วจริง”
“อื้ม หาหนังสือได้เร็วน่ะ วันนี้” ชนะว่า
“เฮ้ย หาหนังสือได้เร็ว รึไม่เจอหวานใจวะ ไอ้นะ” สุธีร์ แซวอย่างรู้กัน
“เปล่านี่ พูดมากน่า แก ไปล่ะ” ชนะโบกมือให้เพื่อน
“ นะๆ รอเดี๋ยว” ชนะหันกลับมามอง มาริสา สาวสวยคณะวิทยาศาสตร์ วิชาเอกวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม สาวเท้าตามมาอย่างเร่งรีบ
“อ้าว หวัดดี เฟิร์น มาทำอะไรกันนี่” ชนะเอ่ยถามยิ้มๆ เมื่อหญิงสาวตามมาทัน
“แหม ดูทักเข้าสิ ทำไม เฟิร์นจะมาห้องสมุดมั่งไม่ได้รึไงล่ะ” สาวสวยค้อนให้ทีนึง
“ก็เปล่า แค่แปลกใจ ปกติน่าจะอยู่แถวห้าง ไม่ก็สปา” ชนะเอ่ยล้อๆ
“นะ ก้อ กัดจิกเฟิร์นจริง ถ้าไม่มาที่นี่จะเจอนะไหมละ” มาริสาหน้างอ
“อ้าว นี่อย่าบอกนะว่า มานี่เพราะอยากเจอผม” ชนะเลิกคิ้ว มองหน้าคนสวย
“ก็ทำนองนั้นแหละ นะ น่ะ หาตัวยากนี่ ยิ่งเทอมนี้ไม่ได้ลงเรียนวิชาเดียวกันสักตัวด้วย” มาริสาว่า
“อื้ม มีอะไรละ เฟิร์น” ชนะเอ่ยถาม
“อ้าว ดูถามสิ เฟิร์นก็คิดถึงน่ะสิ ไม่ค่อยได้เจอกันเลยนี่” มาริสาทำท่ากระเง้ากระงอด
“นั่นๆ อย่าพูดให้ดีใจไปหน่อยเลยน่า” ชนะอมยิ้ม
“ฮึ นะก็เป็นซะอย่างนี้ ว่างไหมเนี่ย ไปดูหนังกันนะ มีหนังใหม่เข้า” มาริสาเอ่ยชวน
ชนะดูนาฬิกา วารวีไปอยู่ไหนนะตอนนี้
“อื้ม ไปก็ไป รถจอดไหนละเฟิร์น”
“ทางนี้ค่ะ” มาริสายิ้มร่า เดินนำชนะไปยังลานจอดรถด้านข้างตึกสำนักวิทยบริการ
.............................
ปิติยะเปิดประตูห้องครัวด้านที่ต่อกับห้องทำงาน แล้วชะงักนิดนึง มองภาพที่วารวีกำลังเอาชมพู่เข้าปากในท่าเอี้ยวคอมองเขา ตรงไปวางบนโต๊ะ มองจานชมพู่ที่ยังเหลืออยู่สี่ห้าชิ้น และแก้วน้ำผลไม้บนโต๊ะอย่างขัดตา ก่อนที่หญิงสาวจะหันกลับไปยังหนังสือที่อยู่บนโต๊ะต่อ ปิติยะเดินถือแก้วน้ำ
‘ใช้ได้นี่’ ปิติยะคิดในใจ
“นึกว่าทำอะไร กินไม่เกรงใจเจ้าของบ้านเลยนี่” ปิติยะเท้าสองแขนบนโต๊ะว่า
วารวีเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม สบตาคมๆ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ก็น้องบอกว่า ถ้าหิวก็หาอะไรในครัวกิน”
“ผมพูดแค่ ว่า น้ำ ไม่ใช่ชมพู่รึน้ำผลไม้ และบอกแล้วผมเป็นลูกคนเดียว” ปิติยะสวน
วารวียักไหล่ มองแก้วน้ำที่ปิติยะยกมา
“อย่าบอกนะว่า น้ำแก้วนี้ เอามาให้พี่” วารวีอมยิ้ม
“ก็กลัวว่าจะคอแห้งอยู่ในห้องน่ะ” ปิติยะว่า แล้วนั่งลงตรงข้าม
“นี่ จะสอนผมจริงๆน่ะรึ” ชะโงกหน้ามาถาม วารวียืดตัวขึ้น
“อ้าว รับปากไว้แล้วนี่คะ” วารวีว่า
“ผมมีข้อตกลง” ปิติยะยิ้มยวน
“อะไร” วารวีเลิกคิ้วมอง
‘จะมาไม่ไหนอีกละ เจ้าเด็กแก่แดด’
“ห้ามเรียกผมน้อง และแทนตัวเองว่า วา ไม่ใช่พี่ ถ้าตกลงตามนี้ ผมก็จะเรียน ถ้าไม่ก็เชิญออกจากบ้านได้เลย” ปิติยะยักคิ้ว
‘อยากบีบคอเจ้านี่นัก’ วารวีคิดเข่นเขี้ยวในใจ พลางเก็บหนังสือและเอกสารเข้ากระเป๋า
“งั้น ก็ ซาโยนาระ นะจ๊ะ น้องยะ” วารวีลุกขึ้น เน้นคำว่าน้องอย่างจงใจ
“ ยินดีที่ได้พบ และขอบใจสำหรับการต้อนรับพี่ในวันนี้นะจ๊ะ” เน้นคำว่าพี่อีกครั้ง ปิติยะลุกและอาศัยความเร็วกว่า ไปยืนขวางประตูไว้ วารวีชะงักกึก เงยหน้ามองคนเป็นเด็ก แต่ตัวสูงจนต้องแหงนมอง
“ ถอดใจง่ายๆ อย่างงี้เลยเหรอคร๊าบบ” ปิติยะเอ่ยล้อๆ
“ไหน น้าก้อยบอกว่าจะหาครูคนเก่ง ฉลาดเฉลียว ดีทั้ง ไอคิว อีคิว มาให้น่ะ แต่ดูแล้ว น้าก้อยถ้าจะหลอกกันซะแล้ว จะให้สาวปัญญาอ่อนมาสอนผมซะงั้น เอาเหอะ งั้นรีบๆไปเถอะครับผม” ปิติยะหลีกทาง พลางผายมือเชื้อเชิญ
วารวีมองเด็กปากร้ายตาลุก ถ้าตาจุดไฟได้ ปิติยะคงมอดไหม้ได้แน่แท้
“งั้นเหรอจ๊ะ แต่พี่ก้อยก็ไม่ได้บอกนี่ว่า ต้องมาสอนเด็กไม่มีสัมมาคารวะ แบบนี้” วารวี เปิดประตู ก้าวเดินออกมา
“ โชคดีนะขอรับ คนสวย” ปิติยะ เดินตามมายั่ว วารวีจ้ำอ้าวออกจากตัวบ้าน หยุดใส่รองเท้า ขณะที่ปิติยะเดินวางท่าสบายอารมณ์ตามมา
“ผมเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์ดีกว่าไหมครับ” ปิติยะยังไม่ลดละวาจา ยั่วยุ
“ไม่จำเป็น ชั้นมาเองก็กลับเองได้ ขอบใจ” วารวีสะบัดหน้ามุ่งสู่ประตูรั้วอัลลอยด์ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอดี วารวีกดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“พี่ก้อย ทำไมพี่ก้อยไม่บอกวาคะ ว่าเด็กนั่นนิสัยแย่หยั่งงี้” โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง หรือทักทายปลายสาย วารวีเสียงขุ่นใส่พี่รหัสทันที
“ อ้าว ใจเย็น วา มีอะไรรึ” เสียงทางนั้นปลอบๆ
“ก็เด็กนั่นน่ะสิคะ ช่างเถอะ วาไม่รับงานนี้แล้วคะ พี่ก้อย” วารวีว่า อยู่ๆก็ไม่อยากอธิบายต้นสายปลายเหตุ
“วาจ๊ะ อย่าเพิ่งโมโหจ้ะ ฟังพี่ก่อน พี่ไม่ดีเองไม่อธิบายเรื่องเจ้ายะให้วาฟังก่อน คืองี้นะ ปิติยะน่ะก็ค่อนข้างมีปัญหานะวา เพราะพ่อแม่เขาแยกทางกัน พ่อก็ไปมีเมียใหม่ แม่ก็มีสามีใหม่ แล้วเขาก็ไม่พอใจพ่อแม่ และแอนตี้พ่อเลี้ยงอยู่ลึกๆน่ะ วา เป็นเด็กดื้อเงียบแหละ แม่เค้าก็พยายามชดเชยให้ลูกน่ะนะ แต่มันก็อาจจะยังไม่พอหรอก ไม่เห็นแก่พี่ วาก็เห็นแก่พี่ณีเค้าเถอะนะ เค้ากลัวว่าถ้าลูกเค้ามีเวลาว่างเกินไปจะ ไปมั่วสุมรึไม่ก็ติดเกม ติดเน็ตไปน่ะ” กรุณาอธิบายยืดยาว
“เหรอคะ แต่ว่า วา..” วารวีอ่อนลง
“น่า วา ทนเอาหน่อย เจ้ายะไม่มีอะไรหรอก คงเห็นวาใหม่ๆน่ะ นานๆไปก็ดีเองแหละ” กรุณาเกลี้ยกล่อมน้องรหัส
“วาจะคิดดูแล้วกันคะ พี่ก้อย” วารวีกดปิดสาย แล้วยืนพิงประตูรั้วมองบ้านหลังใหญ่อย่างครุ่นคิด
.....................................
ความคิดเห็น