ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fake Friend ใครเพื่อนคุณ ? [รีไรท์]

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 : เรื่องคืนนั้น

    • อัปเดตล่าสุด 30 มี.ค. 64


     

    ถ้าถามว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มันมาจากอะไร ก็คงจะต้องย้อนกลับในคืนนั้นเมื่อ 3 ปีก่อน

     

    .

     

    .

     

    .

     

    31 December 2016

     

    23:59 น.

     

    "5 4 3 2 1"

     

    เกร๊ง!

     

    1 January 2017

     

    00:00 น.

     

    "แฮปปี้นิวเยียร์!!! หมดแก้ววววววว"

     

    เสียงชนแก้วเบียร์ และคำอวยพรวันปีใหม่ดังขึ้นเมื่อนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนตรง เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นของปี 2010 ที่ดูแล้วน่าจะเมายับตั้งแต่ต้นปีกันเลยล่ะมั้ง

     

    "อะ ๆๆๆ ไอเม กูเห็นน้า มึงกินไม่หมดอะ อย่ามาเนียน หมดแก้วเว้ยหมดแก้ว"

     

    ฉันที่เนียน ๆ จิบเบียร์จำต้องยอมยกแก้วที่เหลือกระดกดื่มให้หมดในคราวเดียว เพราะโดนไออาร์มเพื่อนตาดีป่าวประกาศประจานความเนียนตัวเองกลางวงเหล้า

     

    "เอออออ หมดแล้ว กูเมาแล้วเนี่ย ให้กูพักหน่อยเถอะ"

     

    "พักไรว้า คืนนี้ยังอีกยาวไกลเว้ย ยันหว่างอะ ยันหว่างงงง"

     

    "ไอเมกากว่ะ เพิ่งจะเที่ยงคืนเองจะรีบเมาไปไหน"

     

    อาร์มกับพีท พากันร้องพากันรับเข้าขาเป็นลูกคู่ที่ดีแซวฉันที่เริ่มกรึ่ม ๆ ก็ใช่สิ ตัวเองแทบจะไม่ได้กิน แต่ฉันนี่สิ แพ้เกมโดนรุมแกล้งให้กินยังไม่ได้พักเลย แถมยังผสมนู่นนี่มั่วไปหมด จะเมาก็ไม่แปลกหรอกนะ

     

    "พวกมึงจำไว้เลยนะ อย่าให้เป็นทีของกูละกัน มา! แจกไพ่เลย"

     

    พิรามิด เกมที่ถ้าไม่มีพวกก็อาจจะโดนรุมแกล้งจนเมาหัวทิ่มกันได้ง่าย ๆ เป็นเกมที่แจกไพ่เป็นลำดับขั้น ขึ้นเป็นฐานพิรามิด 5 4 3 2 และ 1 ใบ คว่ำไว้ แล้วแจกไพ่ที่เหลือให้กับสมาชิกในวงจนกว่าจะหมด

     

    หากเปิดฐานพิรามิดแล้วใครมีเลขหรือตัวอักษรเดียวกันนั้น จะสามารถสั่งให้ใครก็ได้ในวงกินตามลำดับขั้น เช่น ฐาน 5 ใบกิน 3 อึก ฐาน 4 ใบกิน ครึ่งแก้ว ฐาน 3 ใบกิน 1 แก้ว ฐาน 2 ใบกิน 1 แก้วครึ่ง และสุดท้าย ฐาน 1 ใบ รับไปเลยสองแก้วเต็ม ๆ

     

    เกมดำเนินไปเรื่อย ๆ เป้าหมายในการกลั่นแกล้งก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และเหมือนเพื่อนๆ จะไม่ได้รุมแกล้งฉันเกินไปนัก เพราะตอนนี้เหยื่อที่เพื่อน ๆ รักเป็นพิเศษคือ ซีเนียร์ ที่ตอนนี้ไม่ว่าใครได้ฐานไหนก็พากันชี้ให้ซีเนียร์กินซะหมด จนตอนนี้แก้มขาวๆ ของเขาเริ่มขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อ และตัวก็เริ่มเอนเอียงไปมา จนหัวมาซบกับไหล่ของฉัน

     

    "ซี...ไหวป้ะเนี่ย"

     

    ฉันสะกิดถาม

     

    "ไหวววว ผมยังไหววววว"

     

    ไม่ไหว...ฉันนึกในใจอย่างขำ ๆ นึกตลกเพื่อนคนนี้ไม่น้อย จริง ๆ ฉันกับกับซีเนียร์รู้จักกันมาปีนี้ก็น่าจะ 10 ปีเต็มได้แล้ว แต่อาจจะไม่ได้สนิทกันมากนัก

     

    เพิ่งมาช่วงหลังๆ มานี่ที่เจอกันบ่อยเพราะเพื่อนสนิทของฉันที่มหาลัยเป็นเพื่อนสนิทของซีเนียร์ตอนมัธยมปลาย แล้วนัดปาร์ตี้กันเรื่อยๆ เลยทำให้เราสองคนได้เจอกันบ่อยแล้วสนิทกันไปโดยปริยาย

     

    "ปากดี ถ้าไหวมึงกินไปเลยอีกแก้ว กูมี 3 เว้ย! "

     

    ไพ่ฐานสามใบที่เปิดออกมาเป็นเลข 3 ไอนิวตัน เพื่อนสนิทของฉันและเป็นเจ้าของบ้านที่กำลังปาร์ตี้กันอยู่นี่ เลยยกแก้วนี้ให้ซีเนียร์ที่ไม่ดูสภาพตัวเองไปอีกแก้ว

     

    "ไอนิว ไอเวร เบาก่อนเดี๋ยวได้พากันเก็บศพเพื่อนขึ้นห้อง ฮ่า ๆๆๆๆ"

     

    เสียงไออาร์มขัดนิวตันที่จะแกล้งซีเนียร์ให้กินอีกแก้ว

     

    "อะ ๆๆ งั้นไอซี มึงไม่ต้อง ห้ามนักใช่มั้ย มึงเลยไออาร์ม หมดแก้ว!"

     

    "กลัวที่ไหนคร้าบบบ กูอะคนจริงโว้ย"

     

    เสียงเอะอะโวยวาย เฮฮากันดังสนั่น แต่เหมือนจะรบกวนการนอนของคนข้างๆ ฉันไม่ได้เลย แถมมีการขยับหัวหามุมเหมาะในการเอาหัวมาซบอีกแหน่ะ แก้มแดง ๆ ใส ๆ นั่นทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะแอบจิ้มเบา ๆ

     

    "ขึ้นไปนอนข้างบนดี ๆ มั้ย เดี๋ยวเราให้เพื่อนพาขึ้น"

     

    ฉันถามซีเนียร์เพราะการมานอนซบไหล่ฉันแบบนี้ก็ไม่ได้สบายนักหรอก จะปวดคอซะเปล่า ๆ

     

    "ไม่เอาาา ผมอยากร้องเพลง!"

     

    อยู่ๆ คนที่ซบไหล่ฉันก็เด้งตัวขึ้นแล้วยกมือตะโกนขึ้นมา จนเพื่อน ๆ หันมามองเป็นตาเดียว ก่อนที่ซีเนียร์จะเอามือลงแล้วเอนหัวมาซบกับไหล่ฉันเหมือนเดิน แล้วเสียงหัวเราะก็ดังสนั่นในวงเพื่อน

     

    "ฮ่า ๆๆๆๆ ไป ๆ กูว่าพามันขึ้นไปนอนดีกว่า ตีสามแล้วด้วย"

     

    "เออ มา ๆ เดี๋ยวกูพยุงมันขึ้นไปเอง"

     

    อาร์มกับพีทหิ้วปีกซีเนียร์คนละข้างแต่เหมือนคนเมาจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือนัก ทิ้งน้ำหนักตัวไม่ยอมจะขึ้นไปนอนท่าเดียว แถมยังเอาแต่พูดว่า 'จะร้องเพลง ๆ' อยู่นั่นแหละ ทุลักทุเลทีเดียวกว่าจะแบกคนเมาที่โคตรดื้อขึ้นไปนอนได้

     

    "ป้ะ ปล่อยให้มันนอนนี่แหละ ลงไปกินต่อดีกว่าพวกเรา"

     

    หลังจากจัดท่านอนให้ซีเนียร์ดีๆ แล้ว พวกเราก็พากันลงไปข้างล่างเพื่อปาร์ตี้ต่ออีกนิดหน่อย ไม่นานนักก็ขึ้นมานอน แต่ละคนสติไม่ค่อยสมบูรณ์นักเนื่องจากกินเหล้าเบียร์ราวกับน้ำเปล่า ขยันเทขยันชนจนแน่นท้องไปหมด

     

     

    เตียงขนาดหกฟุตตอนนี้อัดแน่นไปด้วยผู้ชายตัวโต ๆ 2 คน กับผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มก็คือฉัน และยังมีอีกหลายคนที่นอนโซฟาและฟูกด้านล่าง ออกัสเพื่อนชายใจหญิงในกลุ่มเลือกนอนริมด้านในเตียง

     

    ถัดมาเป็นซีเนียร์ที่ครองเตียงเกือบครึ่งและตามด้วยฉันที่เหลือสเปซเล็ก ๆ พอให้แทรกตัวลงไปนอนได้อย่างพอดิบพอดี

     

    ไม่รู้ว่านานแค่ไหนหลังจากขึ้นมานอน รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนโดนอะไรบางอย่างรัดจึงลืมตาตื่นขึ้นมาดู เป็นซีเนียร์นั่นเองที่เบียดเบียนที่นอนของฉัน จากที่มีแค่พื้นที่เล็กๆ อยู่แล้วให้ยิ่งแคบเข้าไปอีก และคงคิดว่าฉันเป็นหมอนข้างล่ะมั้ง ถึงได้เอาแขนขาก่ายฉันแบบนี้

     

    ฉันไม่ได้โวยวายอะไร จริงๆ เราสองคนก็สกินชิพแบบนี้กันบ่อย ๆ ส่วนมากเป็นฉันที่เข้าไปลวนลามก่อนด้วยซ้ำ ก็…ใครใช้ให้เขาหน้าตาน่ารักน่าลวนลามแบบนั้นกันล่ะ

     

    เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา ก็หลับตานอนต่ออย่างสุขใจ ได้นอนหลับในอ้อมกอดของผู้ชายหน้าตาดีนับว่าเป็นกำไร ไม่มีอะไรเสียหายเลยสักนิด

     

    ขณะที่สะลึมสะลือกำลังจะหลับก็รู้สึกถึงอะไรยุกยิก ๆ บริเวณใบหน้า หน้าผาก แก้ม จมูก เหมือนมีอะไรปักผ่านจนจั๊กจี๋นิดหน่อย จึงได้ขยับหนี แต่เหมือนว่าสิ่งที่ยุกยิกบนใบหน้าฉันจะขยับตามมาด้วย จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ รดบริเวณปลายจมูกของฉัน

     

    และในตอนนั้นเองก็มีสัมผัสนุ่มๆ กดทับลงมาที่ริมฝีปากของฉัน กดหนัก ๆ ก่อนจะผละออก แล้วก็กดแผ่ว ๆ ย้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง ราวกับจะทดสอบ เมื่อฉันไม่ได้หลบหนีหรือหลีกเลี่ยง สัมผัสนั้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น

     

    แรงขบเม้มบริเวณริมฝีปากหนักขึ้นเรื่อย ๆ ลมหายใจที่รดใบหน้าฉันก็เริ่มร้อนขึ้นตามแรงอารมณ์ เป็นซีเนียร์ที่กำลังละเลียดชิมริมฝีปากฉันประหนึ่งว่ามันเป็นขนมหวานอะไรสักอย่าง ยิ่งถอยยิ่งรุกไล่เข้ามามือข้างนึงเลื่อนขึ้นมาจับต้นคอและเอียงองศาให้เราสัมผัสกันแนบแน่นมากขึ้น

     

    ลิ้นอุ่นร้อนเริ่มรุกรานเข้ามาภายปากของฉัน พัวพันจนสติของฉันที่เดิมมีน้อยอยู่แล้วยิ่งเตลิดไปกันใหญ่ กดจูบแล้วผละออก ทำซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น เมื่อฉันเริ่มหายใจไม่ออกเขาก็ผละออก พอสักพักเขาก็กดจูบลงมาอีกครั้ง

     

    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านมานานเท่าไหร่ที่เราสองคนจูบกันอยู่แบบนั้น แต่เมื่อมือของเขาเริ่มซุกซนแตะไต่เข้ามาในเสื้อยืดสัมผัสผิวเนื้อของฉันตรง ๆ ความเย็นจากปลายนิ้วทำให้ฉันสะดุ้ง ฉันจึงผละริมฝีปากออกจากเขา ลืมตาจ้องมองใบหน้าของคนที่กำลังขโมยจูบฉันอยู่

     

    “รู้ตัวมั้ยเนี่ยว่าทำอะไรอยู่?”

     

    ฉันถามเขาที่กำลังจ้องมองมาที่ฉันเหมือนกัน แววตาคนตรงหน้าทำให้ฉันรู้สึกวูบไหวผิดปกติ

     

    เมา...หรือไม่เมา?

     

    แต่เหมือนว่าคำถามของฉันจะไม่มีวันได้คำตอบซะแล้ว เพราะทันทีที่จบคำถาม ริมฝีปากของฉันก็ถูกครอบครองอีกครั้ง สัมผัสที่ดื้อรั้นและเอาแต่ใจ ลมหายใจที่เจือกลิ่นเบียร์จาง ๆ ทำให้รู้สึกมึนงงยิ่งกว่าเดิม เหมือนเขามอมฉันด้วยรสจูบนี้ หัวฉันโล่งไปหมดคิดอะไรแทบไม่ออก ฉันคิดได้แต่สัมผัสจากคนตรงหน้า

     

    ร่างกายเราทั้งสองคนแนบชิดกันไปทุกสัดส่วน มือทั้งสองข้างก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม สัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายอย่างซุกซน ปัดป่ายไปแทบจะทุกส่วนที่สามารถสัมผัสได้

     

    ฟึ่บ!

     

    “อืมมม หม่าม๊า กัสกินไม่ไหวแล้ว”

     

    กึก!

     

    ทันทีที่ได้ยินเสียงออกัสขยับตัวและละเมอออกมาทำให้ฉันคิดได้ว่า ในห้องนี้ไม่ได้มีแค่ฉันกับซีเนียร์ แต่ยังมีเพื่อน ๆ นอนเรียงรายกันอีกมากมาย

     

    อีกทั้งยังมีออกัสที่นอนอยู่ข้าง ๆ ซีเนียร์อีก ฉันจึงหยุดการกระทำที่อาจทำให้เพื่อน ๆ เข้าหน้ากันไม่ติดถ้าเกิดตื่นมาเห็นฉากอะไรที่ไม่ควรจะเห็นแบบนี้เข้า

     

    “พ...พอก่อน”

     

    ฉันรีบยกมือขึ้นทาบปิดริมฝีปากของคนตรงหน้าฉันเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะจูบฉันอีก

     

    “อื้อออ”

     

    เขาส่งเสียงขัดใจที่เขาไม่สามารถทำสิ่งที่เขาต้องการจะทำได้

     

    แต่เด็กดื้อก็ยังคงเป็นเด็กดื้อ แถมเป็นเด็กโข่งตัวเท่าควายที่ไม่ยอมอะไรง่าย ๆ อีกด้วย เมื่อจูบที่ปากไม่ได้ ก็เริ่มขบเม้มฝ่ามือของฉันที่ใช้ปิดปากเขา สัมผัสประหลาดทำให้ฝ่ามือฉันร้อนผ่าวจนต้องขยับมือหนี

     

    แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ฉันทำแบบนั้น มืออีกข้างที่ว่างเว้นจากการโอบกอดฉันขยับมาจับรัดที่ข้อมือ เขาค่อย ๆ พรมจูบไปที่ฝ่ามือ ก่อนจะไล่จูบไปทีละนิ้ว โดยที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดูการกระทำของตัวเองด้วยซ้ำ!

     

    แต่ฉันที่เห็นทุกอย่างที่เขาทำมันทำให้รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า จะหลบก็ถูกจับข้อมือไว้ จะพลิกหนีก็มีอีกมือโอบไว้ไม่ให้ไปไหน ได้แต่มองการกระทำที่หน้าไม่อายของคนตรงหน้า และดูเหมือนว่าเขาจะจูบที่มือของฉันจนพอใจแล้วจึงได้คลายมือที่รัดข้อมือฉันออก และเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นริมฝีปากของฉันอีกครั้ง

     

    เอาเถอะ จะจูบก็จูบไป ฉันสู้อะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่ อีกทั้ง...ก็ยังรู้สึกดีกับรสจูบนี้เอามาก ๆ ซะด้วยสิ

     

    เราจูบกันอยู่อย่างนั้น ไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เหนื่อยก็ผละออกจากกันแล้วก็วนกลับมาจูบใหม่ ไล่ป้อนความหวานให้กันและกัน จนกระทั่งฉันเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่คืนนั้น น่าจะเป็นค่ำคืนที่หวานที่สุดเท่าที่ฉันเคยมีมาเลย...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×