คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : :: Treasure ตอนที่ 6 ::
ตืด ตืด ตืด
ไม่รับสายงั้นหรอ…
คนตัวเล็กสวมชุดนอนหมีสีน้ำตาลนอนจิ้มปุ่มโทรออกอยู่นับไม่ถ้วน นึกหมั่นไส้ตัวเองทำไมจะต้องมานอนดิ้นทุรนทุรายเป็นกังวลขนาดนี้กับอีแค่คนปลายสายไม่ยอมรับโทรศัพท์ จะให้โทรจิตไปหาแบบที่ฝ่ายนั้นชอบทำก็ดูประหลาด ไม่เข้าใจเหมือนกันพอพยายามทำแบบนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าคุยคนเดียวเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝ่ายนั้นตอบกลับมา เป็นเพราะผมไม่ใช่แวมไพร์ใช่มั้ย ผมถึงไม่มีความสามารถด้านนั้นหนะ กร๊าซซซซซ!
ครืดดดด ครืดดดด
นิ้วเรียวยาวชะงักทันทีเมื่อมีสายซ้อนเข้ามาในขณะที่กำลังจะกดโทรออกอีกครั้ง ใบหน้ามุ่ยตึงได้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆเมื่อตระหนักได้ว่าสายซ้อนนั้นคือใครก่อนจะกดรับ
“ว่างหรอครับ ถึงโทรมา?” ถึงแม้จะพูดประโยคที่อาจจะทำให้คนปลายสายฟังแล้วหัวใจแฟบไปค่อนนึงแต่กับคนๆนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นผลมิหนำซ้ำยังรับรู้อีกด้วยว่าคนตัวเล็กพูดติดตลกเท่านั้น
(ติดธุระอยู่ก็จะเจียดเวลาโทรหาครับ)
ร่างบางพลิกตัวเปลี่ยนมานอนหงายแทนเมื่อรู้สึกว่าสายนี้อาจจะต้องคุยอีกยาวเป็นแน่
“ให้มันจริงเถอะครับพี่แจบอม ว่าแต่โทรมามีไรหรือเปล่า?” รอยยิ้มบางยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าซึ่งเขาก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องยิ้มทุกครั้งที่ได้คุยกับคนๆนี้
(ไม่มีอะ แต่คุยได้เป่า?) น้ำเสียงออดอ้อนถูกดึงกลับมาใช้อีกครั้งเวลาร่างสูงคุยกับคนตัวเล็ก
“ถ้าตอบว่าคุยไม่ได้อะ”
(พี่ก็จะรู้ทันทีว่านายโกหกแหละแบมๆ ฮ่าฮ่าฮ่า)
“ทำไมพี่หลงตัวเองแบบนี้ละครับ? ฮ่าฮ่าฮ่า” คนต้วเล็กแอบเผลอหัวเราะออกมากับความน่ารักของอีกฝ่าย นิ้วเรียวยาวลูบท้องตุ๊กตาหมาที่เขาคว้ามันมากอดเล่นเพลินๆ เขารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้คุยกับผู้ชายคนนี้ ความเครียดหรือความสับสนที่เขามักจะชอบนำมาใส่หัวให้ตัวเองรู้สึกไม่สบายใจบรรเทาลง นอกจากแม่ที่เขารักก็มีผู้ชายคนนี้แหละที่เขากล้าเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขาไปแล้ว… ความกระวนกระวายใจเมื่อกี้ได้หายไปจนหมด ความต้องการอยากจะโทรหาร่างหนาที่คนตัวเล็กกังวลนักกังวลหนาได้ถูกลบหายไปชั่วครู่จนลืมสังเกตุสายซ้อนที่โชว์อยู่หน้าจอไปโดยสิ้นเชิง…
เสียงหัวเราะที่ใครๆฟังแล้วก็ต้องยิ้มตามไปด้วยดังรอดออกจากหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ มือหนาตัดสินใจกดตัดสายทิ้งเป็นรอบที่สี่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่สนใจมารับสายของเขา
เซ้นส์ความอดทนของนายนี่มันแย่จริงๆเลยนะแบมๆ...
ร่างหนายัดโทรศัพท์เก็บเข้ากางเกงของตัวเองก่อนจะนอนแนบลงกับพื้นหลังคาโดยใช้มือของเขาเป็นหมอนหนุนพรางหลับตาลงช้าๆตั้งใจฟังเสียงของคนตัวเล็กที่นอนอยู่ในห้อง หัวใจสั่นรัวเร็วเหมือนกับว่ามันจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้เวลาได้ยินคนตัวเล็กเอ่ยชื่อ แจบอม
หวัง แจ็คสัน ผู้ซึ้งไม่เคยแคร์ความรู้สึกใครมาก่อน ผู้ซึ้งไม่มีสมาธิอยู่กับที่ได้นานๆ แต่เขากลับมานั่งอยู่บนหลังคาบ้านของเด็กคนนึง เด็กคนที่เขาไม่คิดว่าจะมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขา เขาแอบตามตัวเล็กมาหลังจากที่แบมๆมาถึงบ้านได้ไม่นาน เพราะด้วยความเป็นห่วงที่ตัวเองได้ไล่ตัวเล็กออกไปแบบนั้นและมันก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะมาส่งแบมๆ พูดตามตรงร่างหนาก็รู้สึกดีใจไม่น้อยที่ตัวเล็กโทรหาเขาตั้งหลายสาย แต่เขาเลือกที่จะไม่รับเพราะอยากจะรู้ว่าคนตัวเล็กจะเป็นยังไงทั้งๆที่เขาอยากจะรับใจจะขาด เขาเห็นทุกการกระทำทั้งสีหน้าที่ไม่พอใจเมื่อคนตัวเล็กเห็นว่าร่างหนาไม่รับโทรศัพท์ เขายิ้มไม่หุบจนกระทั้งความตั้งใจของแบมๆหมดไปหลังจากรับสายของผู้ชายที่ชื่อ แจบอม
“พี่จะเข้าชมรมฟันดาบจริงหรอ?”
“…”
“ผมว่ามันอันตรายนะ ถ้าปลายมันทิ่มหน้าพี่ละครับ ฮ่าฮ่า นี่ผมซีเรียสนะ”
“…”
บทสนทนาที่ร่างหนานอนฟังอยู่ด้านบนมันทำให้เขากำมือแน่น เขาไม่ชอบเวลาเห็นคนตัวเล็กหัวเราะกับคนอื่น ไม่ชอบเลยจริงๆ คำพูดที่ดูเป็นห่วงเป็นใยพวกนั้น..
ถ้าปลายมันทิ่มหน้าหรอ… ผ่องแม่งจะทิ่มให้ทะลุหน้ากากชอนไปยังตาจนไปเกี่ยวเส้นหยักในหัวเลย อย่าให้ถึงมือหวัง แจ็คสันนะครับ… นึกแล้วก็โมโห กร๊าซซซซซ!
ปึก!
ไอสึด… เจ็บบบบบบบ
ร่างหนาเผลอใช้มือที่มีแผลอยู่ทุบลงบนกระเบื้องหลังคาอย่างไม่ได้ตั้งใจด้วยความโมโห ความเจ็บปวดแปร๊ดขึ้นมาจนเขาถึงกับดีดตัวขึ้นมานั่งกำมือเพื่อปลอบขวัญตัวเอง แต่ที่หน้าตกใจที่สุด…
“แปบนะพี่แจบอม ผมได้ยินเสียงอะไรก็ไม่รู้อะครับ”
เชี่ยแล้วไงครับ… แจ็คสันรีบลุกขึ้นยืนหันซ้ายหันขวาหวังหาที่หลบเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนตัวเล็กดูท่าทางจะเดินมาเปิดหน้าต่างดูและก็เป็นอย่างที่คิด
พรื้ดดดดดด
เสียงหน้าต่างถูกเปิดให้กว้างขึ้นจากที่เปิดอยู่แล้วก่อนที่คนตัวเล็กจะชะโงกหัวเงยหน้าขึ้นมามองด้านบน
“ไม่เห็นมีไรเลย… ผมคงคิดไปเองมั้งครับ ค้าบบบ ผมจะล็อกเดี๋ยวนี้แหละ บ่นเป็นพ่อเลย ฮ่าฮ่าฮ่า”
กรึก!
หลังจากสำรวจระยะสายตาแล้วว่าไม่หน้ามีอะไรอยู่บนหลังคา แบมๆก็เก็บหัวเข้าไปในห้องก่อนจะปิดหน้าต่างแน่นพรางใส่กลอนเรียบร้อย
ไอเชี่ยเอ้ย มด! ร่างหนากระโดนลงมาจากต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ข้างบ้านของคนตัวเล็กทันทีเมื่อได้ยินเสียงปิดหน้าต่างพรางปัดมดออกจากแขนอย่างรนราน แม่งใครให้พวกเมิงมาทำคอนโดบนนี้เนี่ย แม่งอยู่ชั้นซะสูงเชียว ไอชาติมด… บ่นอุบอิบอย่างหัวเสียอยู่ในใจก่อนจะเงยหน้ามองห้องนอนของคนตัวเล็กอีกครั้ง
“หงุดหงิดวะ… กลับบ้านเว้ยไอแจ็ค!” ร่างหนาพูดเบาๆกับตัวเองก่อนจะเดินหันหลังให้บ้านของแบมๆ มือที่ตอนนี้เจ็บเพิ่มขึ้นมาอีกหลังจากที่เขาทุบไปที่หลังคาบ้านแบมๆเมื่อครู่ ยังจะมาโดนมดกัดสร้างความน่ารำคาญให้ร่างหนายิ่งขึ้นอีก แต่มันคงไม่รำคาญใจเท่ากับคำพูดของคนบนนั้นหรอก
“ไม่เห็นมีไรเลย… ผมคงคิดไปเองมั้งครับ ค้าบบบ ผมจะล็อกเดี๋ยวนี้แหละ บ่นเป็นพ่อเลย ฮ่าฮ่าฮ่า”
ฉันไม่เคยอยู่ในสายตานายอยู่แล้วแบมๆ เวลามีไอแจบอมอยู่รอบๆนายหนะ…
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!
“จะเสียงดังทำไมละครับ?” เด็กหนุ่มยกนิ้วขึ้นมาแตะปากบางที่เปื้อนรอยยิ้มเพื่อปราบให้อีกฝ่ายลดเสียงลง
“คุณเป็นใคร!?” หญิงสาววัยรุ่นแต่งตัววาบหวิวสองคนยืนเกาะกันแน่นด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆก็มีผู้ชายร่างสูงโปร่งคนนึงปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ใบหน้าขาวซีดจนแทบจะไม่มีสีเลือด เสื้อคอวีสีดำสนิทโชว์แผ่นอกขาวซีดไม่ต่างไปจากใบหน้าของเขาทำให้เขาดูผิดปกติไปจากคนธรรมดาจนเห็นได้ชัด แววตาเป็นประกายกับผมสีแดงสดอาจจะช่วยให้เขาดูเป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาขึ้นมานิดแต่ก็ขัดกับความปกติอยู่ดี
“ผมเพิ่งมาอยู่เมืองนี้ได้ไม่กี่วันเอง ผมไม่ค่อยคุ้นเส้นคุ้นทางเท่าไหร่ พวกคุณพอจะชี้ทางผมได้มั้ย?”
ร่างสูงหันซ้ายหันขวาสีหน้าฉงนสงสัยเหมือนเด็กหลงทาง เด็กวัยรุ่นสองคนเห็นแบบนั้นก็มองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมา ความรู้สึกตกใจเมื่อกี้ค่อยๆหายไปทีละนิดเมื่อเห็นใบหน้าชัดๆของร่างสูง
“เป็นคนต่างถิ่นหรอคะเนี่ย” เด็กสาวคนแรกที่ใส่เดรสเกาะอกสีฟ้าอ่อนโชว์เนินอกขาวค่อยๆขยับตัวเข้าไปหาร่างสูงช้าๆ ร่างสูงเห็นแบบนั้นก็เผลอเหลือบตาไปมองเนินอกแทนที่จะเป็นใบหน้าที่เรียกได้ว่าน่ารักพอสมควร
“อา.. ครับ! ต๊างต่างถิ่น” มือบางเริ่มเกาะกุมที่รอบแขนของร่างสูงเมื่อเห็นว่าร่างสูงจ้องหน้าอกตัวเองไม่วางตา
“บ้านอยู่แถวไหนหรอค่ะ” เด็กสาวอีกคนเดินมาเกาะแขนอีกข้างของร่างสูง
“บ้านผมอยู่สุดซอยโน่นแหนะครับ” ร่างสูงพยักหน้าไปทางซอยเปลี่ยวๆมืดสนิทที่ดูเหมือนว่าไม่หน้ามีบ้านอยู่ในซอยนั้นเลยสักหลัง เด็กสาวสองคนมองตามก่อนจะทำหน้าประหลาดใจพรางมองหน้ากันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“แล้วอยู่กับใครหรอ” สาวเสื้อโชว์เอวเอ่ยถามขึ้นยิ้มๆ ร่างสูงก้มมองหน้าอย่างพอใจกับคำถามก่อนจะยิ้มกว้างเล่นเอาคนเห็นแทบจะพลีกายได้ในเสี้ยวนาที
“ปกติอยู่กับพ่ออะครับ แต่พ่อไปทำธุระต่างประเทศ ผมเลยอยู่คนเดียว”
“งั้น… ให้พวกเราเดินไปส่งมั้ย?” สาวเกาะอกว่าบ้าง
“ไม่กลัวหรอ ผมเป็นผู้ชายนะ” ร่างสูงเอ่ยถามพรางทำหน้าซีเรียสแต่ดูก็รู้ว่าเขาแสร้งทำ
“แต่เรามีกันสองคนนะ คิกๆ”
“นั่นสิ นายตั้งหากที่ต้องกลัวเรา”
ผู้หญิงสมัยนี้…
“นะ ให้เราสองคนไปส่งที่บ้านก็แล้วกัน” สาวน้อยเอวสูงพยายามแนบอกกับแขนแกร่ง ร่างสูงอมยิ้มพอใจกับผลงานของตัวเองก่อนจะถอนหายใจอย่างคนไม่มีทางเลือก(เสแสร้ง)
“ก็ได้ครับ จะไปส่งผมก็ได้ แต่… ผมต้องมีอะไรตอบแทนหรือเปล่าเนี่ย” ร่างสูงมองหน้าวัยรุ่นสองคนสลับไปมาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“มีแต่เราจะให้มากกว่า… เนอะฮโยริน” สาวเอวรอยมองหน้าเพื่อนสนิทของตัวเองอย่างนึกสนุก
“นั่นสิโบมิ เดี๋ยวคืนนี้เราสองคนจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง”
“โอเค เห็นว่าผมเป็นหน้าใหม่ในนี้นะเนี่ยผมจะยอมตามใจก็แล้วกัน ฮ่าฮ่าฮ่า” ร่างสูงหัวเราะน่ารักก่อนจะเดินนำเด็กสาวสองคนไปในซอยมืดสนิทนั่น
“นี่ฉันว่าซอยมันมืดไปนะฮโยริน” เด็กสาวที่มีนามว่าโบมิเอ่ยขึ้นหลังจากร่างสูงเดินทิ้งห่างไปนิดนึงแล้วเขาสองคนเดินตามไปอย่างช้าๆ
“อย่าคิดมากได้มั้ยแก ดูหน้าตาหวานๆอย่างนายนั่นพิษภัยก็มีแต่ฆ่าผู้หญิงอย่างเราๆให้ตายนี่ละ คนบ้าอะไรหล่อชะมัด หรือแกไม่เอา! ฉันเอาเองก็ได้นะ…”
“เห้ยยย ใครว่า ฉันก็แค่พูดไปงั้นแหละนะ”
“มีไรกันหรือเปล่าครับ?” ร่างสูงหยุดเดินแล้วหันมาถาม
“อ๋อ ไม่มีค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อย” ฮโยรินเอ่ยขึ้นพร้อมกับทำมือโอเค ร่างสูงเห็นแบบนั้นก็ยิ้มให้ก่อนที่สองสาวจะวิ่งไปเดินแนบข้าง
“พวกคุณเชื่อเรื่องผีดูดเลือดหรือเปล่า?” อยู่ๆร่างสูงก็พูดขึ้นมา ฮโยรินกับโบมิถึงกับมองหน้าร่างสูงอย่างสงสัย
“ไม่เชื่อหรอกคะ แต่ถ้าคุณเป็น…พวกเราก็อาจจะยอมให้ดูดก็ได้นะ” และเป็นอีกครั้งที่ฮโยรินเป็นคนพูด น้ำเสียงติดตลกของเธอทำให้ร่างสูงชอบใจ
“งั้น… จะเป็นไรมั้ยถ้าหากว่า…” มือหนาจับรอบแขนของทั้งสองคนไว้แน่น เขี้ยวแหลมยาวงอกเด่นออกมาในขณะที่ฮโยรินกับโบมิยืนมองด้วยอาการตกใจสุดขีด ดวงตาเปิดกว้างจ้องมองไปยังในตาสีแดงเป็นประกายของร่างสูงที่ตอนนี้มีเขี้ยวยาวงอกออกมาจากปากอย่างหน้าขนลุก ไม่รู้ว่าเป็นอะไรดวงตาสีแดงคู่นั้นทำให้เส้นประสาทการวิ่งหนีของทั้งสองคนเป็นอัมพาตขึ้นมาทันที ทั้งสองยืนมองนิ่งอ้าปากค้างราวกับว่ากำลังจะกรีดร้องแต่ก็ไร้ซึ้งเสียง
“ผมจะเสียมารยาทรับประทานพวกคุณก่อนจะถึงบ้านหนะครับ..”
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด !!
ค่ำคืนที่แสนหอมหวานของเด็กหนุ่มผิวขาวที่เพิ่งมาอาศัยอยู่ที่ต่างแดน เลือดรสหวานจากเด็กสาววัยรุ่นสดใหม่ที่เขาได้ลิ้มรสถึงสองคนทำให้เขารู้สึกว่าเมืองนี้มีอะไรพิเศษกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ดวงตาเปิดกว้างใบหน้าหวาดกลัวพร้อมกับเสียงกรีดร้องค่อยๆหมดไปพร้อมกับเลือดที่ค่อยๆหมดตัวด้วยฝีมือของแวมไพร์หนุ่มหิวกระหาย
เสียงรถระแวกนั้นกลบเสียงกรีดร้องของเด็กวัยรุ่นสาวผู้หน้าสงสารไปเสียหมด ภายในไม่กี่นาทีร่างที่ไร้วิญญาณ…และผิวหนังอมชมพูที่ควรจะอยู่บนร่างกายของคนปกติก็ได้จางหายไป ทิ้งไว้แต่ร่างผิวสีซีด รอบคอมีเลือดเปอะเปื้อนอยู่ สภาพเด็กสาวสองคนไม่ได้มีความต่างกันเท่าไหร่และที่เห็นชัดคือ… รอยกัด
“สองสามวันมานี้รู้สึกว่าจะมีแต่ข่าวคนโดนฆาตกรรม นายต้องระวังเข้าไว้นะแบมๆ”
น้ำเสียงดูเป็นห่วงเป็นใยของหนุ่มร่างใหญ่ไม่ได้ทำให้แบมๆหลุดจากภวังค์ สองสามวันมานี้นอกจากจะมีข่าวฆาตกรรมคดีแปลกๆแต่มันก็ไม่ได้หดหู่ใจเท่ากับว่าเขาแทบจะไม่ได้เจอหน้าผู้ชายขี้โวยวายเอาแต่ใจอย่างแจ็คสันเลยสักนิด หายหัวไปไหนของเขานะ… ข่าวฆาตกรรมแปลกๆที่รูปการบอกว่าอาจจะเป็นรอยเข็มฉีดยาของพวกเหล่าติดยา ร่างบางดูยังไงก็ออกว่ามันคือรอยกัดชัดๆ มันเลยทำให้เขาอดคิดไปไม่ได้ว่านั่นอาจจะเป็นฝีมือของผู้ชายที่ชื่อว่าแจ็คสัน…
“นี่นายกำลังฟังที่พี่พูดอยู่หรือเปล่า?”
“ครับ?”
“…”
“พี่แจบอมพูดว่าอะไรนะครับ”
“ช่วงนี้นายดูเหม่อลอยนะ มีอะไรหรือเปล่า?” แจบอมรีบเดินเบี่ยงตัวมาขวางหน้าร่างบางเอาไว้จนแบมๆเสียงหลักนิดหน่อย สีหน้าดูจริงจังของแจบอมทำให้แบมๆถอนหายใจ
“พี่เลิกพูดจาเป็นห่วงเป็นใยผมได้แล้ว ผมโตแล้วนะครับ” น้ำเสียงตอบปัดๆทำให้ร่างใหญ่ที่แสดงความเป็นห่วงอย่างเต็มที่ถึงกับหน้าตึง
“ช่วงนี้นายเปลี่ยนไปนะแบมๆ”
“อย่ามาพูดประโยคพวกนี้กับผมนะ มันเหมือนละครหลังข่าวเลย ฮ่าฮ่าฮ่า” แบมๆที่ไม่ได้ติดใจอะไรกับคำพูดของอีกฝ่ายหัวเราะออกมากับสิ่งที่ตัวเองคิด
สองสามวันที่ไม่ได้เจอแจ็คสันแทนที่ร่างบางจะรู้สึกสบายใจเพราะทำให้เขากับแจบอมมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น แต่มันกลับผิดคลาด… เมื่อแบมๆแทบจะไม่มีความสุขที่ได้อยู่กับแจบอมเลยสักนิด
วิชาจัดดอกไม้… ใครริเริ่มแต่งตั้งวิชานี้ขึ้นมาวะ!! แม่งโคตรหน้ารำคาญเลย นี่มันการงานอาชีพชัดๆ กร๊าซซซซซซ เด็กชายจินยองผู้ซึ่งเกลียดอะไรละเมียดละไมละสิ่งสวยงามทุกอย่างบนโต๊ะข้างหน้าไปเสียหมด เขาใช้กรรไกรตัดดอกไม้เล่นจนเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อระบายอารมณ์เบื่อพรางนั่งสั่นขาไปมาด้วยความหงุดหงิดอยากจะออกจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดแต่ก็ดูเหมือนจะยากเสียหน่อย เหลือบดูนาฬิกายังเหลืออีกตั้งหนึ่งชั่วโมงกว่า
“ผมขอซ่อมเป็นทำรายงานมาส่งคุณครูไม่ได้หรอครับบ?”
“ยองแจ! หยุดต่อลองแล้วรีบไปจัดใหม่เดี๋ยวนี้ นี่ฉันให้โอกาสเธอเป็นครั้งที่สองนะ หัดรับไว้ซะบ้าง”
“แต่ผมอย่างทำราย…”
“ไป!!”
“ค้าบบบบ TT” บทสนทนาอันมีวาทะหน้าฟังของลูกศิษย์กับคุณครูเล่นเอาคนทั้งห้องเงยหน้าสนใจกันยกใหญ่รวมทั้งคนที่กำลังเบื่อหน่ายอย่างจินยอง
นั่นมันเพื่อนเด็กไอแจ็คสันมันนี่หว่า…
ยองแจเด็กน้อยผู้หน้าสงสารไม่ได้แคร์สายตาของคนในห้องกำลังเดินถือช่อดอกไม้ช่อใหม่ที่คุณครูได้หยิบยื่นให้พร้อมด้วยสีหน้าอยากจะร้องไห้เต็มที่แถมยังเดินตรงดิ่งมายังจินยองที่กำลังมองเขาตั้งแต่ยืนเถียงกับคุณครูเมื่อสักครู่อย่างไม่ทันสังเกตุ
ปัก! เสียงดอกไม้กระแทกกับโต๊ะด้วยแรงทุบของร่างบางทำเอาจินยองที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่ตรงหน้าเผลอยิ้มออกมา
“ขอจ้างไปจัดดอกไม้รับปริญญาให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ? ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะดังสนันกับคำพูดของตัวเองที่พูดแทงใจดำส่งไปยังคนตรงหน้า
“….” ไร้ซึ่งเสียงตอบของอีกฝ่าย ยองแจนั่งมองหน้าจินยองอย่างไม่พอใจสักพักก่อนจะหยิบกรรไกรมาตัดก้านดอกไม้ออกทีละดอกๆ
“ปากนายใช้ได้หรือเปล่า ไหนดูหน่… โอ๊ย!”
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรอครับ?”
ยองแจใช้ปลายกรรไกรจิ้มที่มือของอีกฝ่ายอย่างจังเมื่อจินยองเอื้อมมือจะไปแตะปากของเขา จินยองรู้สึกคุ้นเคยกับยองแจเนื่องจากว่าเขาเคยไปบ้านยองแจมาก่อนแต่ดูเหมือนว่ายองแจจะไม่รู้จักจินยองเนื่องจากว่าในขณะที่จินยองอยู่บ้านยองแจนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะหลับตลอดเวลาแถมยังถูกจินยองสะกดจิตอีกตั้งหาก หน้าสงสารยิ่งนักชีวิตของยองแจ…
“ก็… ไม่หรอกมั้ง”
“งั้นก็อย่ามายุ่งกับผม ผมกำลังทำงานอยู่” พูดจบก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างผลงานชิ้นใหม่ของตัวเอง จริงๆแล้วก็ทำๆไปงั้นให้งานมันเสร็จเร็วๆแล้วเอาไปส่งครูเท่านั้นแหละ
“นี่มันห้องเรียนคลาสฉัน นายมาได้ไง” จินยองที่ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดตัดบทของอีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้นด้วยอารมณ์แอบสงสัยนิดนึง ก็นี่มันคลาสเรียนแล้วก็คาบเรียนของจินยองนี่หนา
“ผมเดินแวะเอางานมาส่งแล้วมันไม่ผ่าน ครูเลยให้นั่งแก้… หวงห้องหรอ”
ยองแจเหล่ตามองแปบนึงแล้วหันไปตั้งหน้าตั้งตาตัดดอกไม้ต่อ
“จริงๆฉันอยากให้ห้องนายทั้งห้องเลยถ้าเป็นไปได้ แม่งอยากจะออกจากห้องนี้จะแย่อยู่แล้ว” จินยองวางกรรไกรที่ถืออยู่ในมือลงกับโต๊ะก่อนจะหาวออกมาแสดงถึงอาการเบื่อเต็มที่ ยองแจเห็นแบบนั้นก็ทำหน้าไม่พอใจกับกริยาหยาบคายของอีกฝ่าย
“ถ้าคนเราหายตัวได้เหมือนพวกแวมไพร์ก็ดีมั้ง”
“…”
“เมื่อกี้นายว่าไงนะ”
“หะ?”
“ที่นายบอกว่าแวมไพร์อะไรนั่นอะ” จินยองเรียกทวนคำถามทันทีเมื่อจู่ๆยองแจก็พูดลอยๆขึ้นมา
“หายตัวไง เพื่อนผมมันชอบอ่านหนังสือพวกแวมไพร์แล้วมันชอบมาเล่าให้ฟัง”
“เพื่อนนาย?”
“ก็เพื่อนผมอะดิ หน้าอย่างผมดูไม่มีเพื่อนหรอ?” ยองแจที่ไม่ชอบขี้หน้าจินยองเป็นทุนเดิมก็ดูเหมือนจะเพิ่มความเกลียดขี้หน้าเข้าไปอีกหลังจากคิดไปเองว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นสงครามประสาทกับเขาอยู่
“เออ ดูคบตัวเองมากกว่า”
“…”
“แล้วเพื่อนนายที่ว่าเนี่ยรู้เรื่องแวมไพร์มากแค่ไหน” จินยองยื่นหน้ามาใกล้ๆยองแจจนเจ้าตัวต้องเอนหลังออกไปเล็กน้อยเพื่อถอยห่าง
“ก็เท่าที่มันอ่านแหละมั้ง จะอยากรู้ไปทำไมครับ โรคจิตหรือเปล่าเนี่ย คุณครูค้าบบ!”
“หุบปาก!”
“อุบ = =” จินยองเอื้อมมือไปปิดปากยองแจด้วยความหัวเสียที่อยู่ๆร่างบางก็แหกปากขึ้นมา ไอ้บ้านี่แม่งปัญญาอ่อนชัดๆเลยวะ…
“ตะโกนเรียกแม่มาทำไมวะ!”
“ทำไมนายเป็นคนหยาบคายแบบนี้ละครับ!?” ยองแจมีสีหน้าหวาดระแวงผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเด็กน้อยลูกผู้ดีอย่างเขาไม่เคยได้รับคำหยาบจากใครแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างยูคยอมหรือแบมๆเลยสักครั้ง
“ก็ไม่ใช่คนสุภาพไง” จินยองถลึงตาใส่ยองแจก่อนจะเอนตัวพิงเก้าอี้แต่ไม่ทันได้ลิ้มรสถึงความสบาย ก็มีบางอย่างกระทบกับสิ่งที่เรียกว่าหัว..
ป้าบบบบบ!!
เช้ดดดดดดดดดดดดด = =’’
“ใครให้เอากรรไกรตัดดอกไม้แบบนั้น ปาร์ค จินยอง!”
สมอง… กู…แทบ…ไหล = =^
ร่างเล็กเดินตามตูดคนตรงหน้าต้อยๆหลังจากที่พยายามจะเจอหน้าหลายครั้งแล้ว พอมาเจอก็ได้แต่เดินตามต้อยๆเหมือนเด็กน้อยหลงทางเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมแม้แต่จะหันมามองหน้าเลยด้วยซ้ำ
“พี่จะหยุดเดินได้ยัง ผมเมื่อยแล้วนะ” แบมๆที่ตอนแทบจะก้าวขาไม่ออกพูดขึ้นหวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นใจ
“แล้วมาเดินตามฉันทำไม ไม่มีขนมให้หรอกนะ” ถึงจะพูดแบบนั้นแจ็คสันก็เบาฝีเท้าเดินให้ช้าลงกลัวว่าจะคลาดกับร่างเล็กไป ถึงจะโมโหอยู่แต่ก็อยากให้คนหัวรั้นอย่างแบมๆอยู่ใกล้ๆ
“เราไม่ได้เจอกันสองสามวัน ผมคิดถึงพี่นะเว้ย!”
“…”
“นี่พี่จะไม่พูดอะไรเลยจริงๆหรอ” แบมๆหยุดเดินทันทีหลังจากพูดประโยคนั้นแต่คนตรงหน้าก็ยังคงย่ำเท้าต่อไปเรื่อยๆ ไอคนกากเอ้ย!
“แล้วจะให้ฉันพูดว่าไร เออ คิดถึงนายเหมือนกัน แล้วนายก็จะยิ้มแล้วก็บอกว่า ผมไม่เชื่อพี่หรอก แล้วก็เดินสะบัดตูดไปหาไอแจบอมหนะหรอ นายคิดว่านายเป็นใครกันแบมๆ”
แจ็คสันเดินสวนทางกลับมาหาแบมๆที่ยืนทำหน้าตกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย คำพูดและสีหน้าที่ดูโมโหของร่างหนาทำเอาแบมๆใจไม่ดี มือบางยกขึ้นลูบเบาๆที่แก้มของอีกฝ่าย แจ็คสันยืนแข็งทื่อไม่ได้ตอบโต้อะไรเพราะไม่รู้ว่าร่างบางกำลังคิดอะไรอยู่
“ผมขอโทษเรื่องวันนั้นอะ ผมพูดไม่คิดเองแหละ”
“แล้วนายกล้าพูดมั้ยว่านายก็ชอบฉันเหมือนกัน”
“ผม…”
“มันไม่ง่ายที่จะพูดเลยใช่มั้ยละ เพราะนายไม่ได้รู้สึกอะไรเลยไง เพราะฉะนั้นเลิกเดินตามฉันได้แล้ว” แจ็คสันจับมือของร่างเล็กออกก่อนทำท่าจะเดินจากไปแต่แบมๆก็คว้าชายเสื้อเอาไว้ก่อน
“พี่ไม่ให้เวลาผมตัดสินใจอะไรเลยหรอ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ”
“ชอบฉันมันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยหรอ”
“พี่เป็นผีมีเขี้ยวนะ!”
“แวมไพร์ - -”
“เกิดพี่โมโหขึ้นมา ผมจะปกป้องตัวเองยังไง”
“ฉันโมโหใส่นายตั้งหลายครั้ง… ฉันเคยทำร้ายนายมั้ย?”
“…”
“ตอบสิ”
“ไม่ครับ…”
“แล้วนายจะกลัวอะไร”
“ผมกลัวว่า ถ้าหากสักวันผมตายไป พี่จะเจ็บปวดมั้ย เพราะผมเชื่อว่าผมต้องตายก่อนพี่แน่ๆ แวมไพร์มันอำมตะนี่!”
แบมๆหลับตาแหกปากโวยวายใส่คนตรงหน้า แจ็คสันได้แต่ยืนเฉยก่อนจะยีหัวแบมๆเล่น
“สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ล้วนมีความเจ็บปวดกันทั้งงั้นแหละ ไม่ต้องห่วงพี่เรื่องนั้นหรอก”
“ถ้าสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ล้วนมีความเจ็บปวด ทำไมพี่ต้องไปลงความเจ็บปวดกับพวกผู้หญิงพวกนั้นละครับ?”
“หะ?” แจ็คสันมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด แบมๆเห็นแบบนั้นก็ช่วยขยายความ
“สองสามวันมานี่ที่ผมไม่เจอพี่ ผมรู้ว่าพี่โกรธผมในเรื่องไรสักเรื่อง(?) แต่พี่ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปฆ่าผู้หญิงพวกนั้นเลย เขาหน้าสงสารนะครับ”
“ฆ่าอะไร ฉันไม่มีเวลาไปฆ่าใครทั้งงั้นแหละ” ก็มัวแต่ไปนั่งเฝ้านายที่บ้านตลอดจะเอาเวลาไหนไปวะ
“แล้วถ้าไม่ใช่พี่แล้วจะเป็นใคร พี่จินยองหรอ พี่จินยองไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก แวมไพร์หยิ่งยโสขนาดนั้น”
“เออไอนั่นมันหยิ่งยโสเห็นด้วยแต่ฉันไม่ได้ไปฆ่าใครจริงๆ อยากรู้เหมือนกันว่ามันเป็นใคร”
แจ็คสันที่ช่วงนี้ก็คิดไม่ตกเหมือนกันหลังจากมีข่าวถึงการฆาตกรรมแล้วรอยแผลที่ศพก็ไม่ได้ต่างไปจากสิ่งที่เผ่าพันธ์ของเขาทำ แต่เขามัวแต่วุ่นเรื่องคนตัวเล็กเลยไม่ได้ให้ความสนใจกับมันนัก
“แสดงว่ามีแบบพี่อีกอะสิ!” แบมๆดูมีอาการหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ก็นอกจากจินยองกับแจ็คสันเขาก็ไม่คิดจะไว้ใจแวมไพร์ที่ไหนอีกแล้วหนะสิ แค่สองคนนี้ก็เกินพอแล้วมั้ง
“ก็บอกว่ามีเยอะ แต่ไม่คิดว่าจะโผล่มาโฉงฉ่างแบบนี้ ตระกูลไหนกันวะแม่งกล้าเปิดเผยตัวเองขนาดนี้”
“แต่ตอนพี่ดูดเลือดผู้หญิงคนนั้นพี่ก็โฉ่งฉ่างนะ…”
“…”
“พี่จะไปว่าเขาไม่ได้”
“แต่ฉันไม่ได้ทำติดกันทุกวันขนาดนั้น มันต้องไม่ใช่เล่นๆแน่”
“ผมจะตายมั้ยเนี่ย” แบมๆเอามือปิดหน้าตัวเอง แจ็คสันเหล่มองก่อนจะถอนหายใจ
“หลังจากนี้ฉันจะไปส่งนายที่บ้านเหมือนเดิม”
“พี่หายโกรธผมแล้วใช่มั้ย?”
“ยัง”
“แต่พี่ก็ยอมไปส่งผมที่บ้านเหมือนเดิม” แบมๆอมยิ้มด้วยความสบายใจที่เห็นคนตรงหน้าเริ่มปฏิบัติกับเขาเหมือนเดิม
“พูดมากเกินไปแล้วนายอะ เกิดไอบ้านั่นมันโผล่มาตอนที่นายกำลังเดินกลับบ้าน ฉันจะได้รู้ด้วยเลยว่ามันเป็นใครกัน มันเป็นแผนซ้อนแผนเว้ย” แจ็คสันหัวเราะร่าออกมากับความฉลาดที่ตัวเองคิดขึ้นมาเองว่าฉลาด(?) แบมๆเบ้ปากก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
เห็นคนตรงหน้ามีความสุข ผมก็มีความสุขแล้ว… นี่ผมคงเริ่มชอบพี่แจ็คสันแล้วสินะ
หึ นี่ของรักของมึงหรอไอแจ็คสัน.. คงได้เจอกันเร็วๆนี้นะ
พรึบ! เงาที่เคยปกคลุมอยู่บนยอดไม้ต้นสูงได้หายไปพร้อมกับกลิ่นไอความกระหายแค้นที่ส่งไปยังร่างหนา
รอยกัดที่หยาบกระด้างสันดารที่โหยหาเลือดมนุยษ์แบบนั้น… คงกลับมาแล้วสินะ
ไอ้มาร์ค…
____________________________________________
ต้วน!! คือไรท์ชักแต่งอะไรเกินเลยและจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า
ขอบคุณ คห. ล่าสุดนะค่ะที่ไม่ลืมไรท์ TwT
ช่วงนี้ชีวิตยุ่งเหยิงสุดๆ
ถึงจะไม่ค่อยเม้นกันแต่ไรท์ก็จะด้านแต่งต่อ
รักไรท์ รัก#Jackbam
ความคิดเห็น