ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC B.A.P] All of my B.A.P short fictions

    ลำดับตอนที่ #7 : [SF] From pain to gain [BangZelo]

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 55



     

     

     

     

    Junhong’s look for this fiction

     

     

    Yongguk’s look for this fiction

     

     

     

     

     

    please listen to คำยินดี – klear (CLICK) while reading

     

     

     

     

     

     

     

    From pain to gain

    B.A.P fiction by kyosama

    Yongguk & Junhong

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “พี่ยงกุกจะรับปริญญาอาทิตย์หน้าแล้ว มึงจะไปไหม?”

     

    เสียงปลายสายโพล่งถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่ได้เข้ากันกับสถานการณ์ที่เพิ่งเงียบเพราะหัวเราะจนเหนื่อยจากมุกตลกโง่ๆเมื่อกี้นี้เลยสักนิด มือเรียวเผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่นเข้า ตัวชาไปวูบหนึ่งกับคำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน.. อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ แบบไม่ให้ตั้งตัวก่อนอย่างนี้

     

    “ต้องดูก่อนว่ะ ไม่รู้จะว่างไหม”

     

    จุนฮงตอบ กลั้นใจข่มน้ำเสียงให้เรียบเฉยไว้ หากคู่สนทนาย้อนถามกลับมาอย่างไม่คิดเกรงใจ

     

    “อะไรว่าง เวลา หรือหัวใจ”

     

    “................................”

     

    เด็กหนุ่มไม่ตอบ ทั้งห้องเงียบลงจนได้ยินแต่เสียงลมหายใจ กับเสียงหัวใจที่เต้นดังจนน่ากลัวว่าจะทะลุออกมา

     

    ยองแจถามตรงเหมือนมานั่งอยู่กลางใจเขา ถูกของอีกฝ่าย อาทิตย์หน้าเขามีเรียนก็จริง แต่ไม่มีงานหรือโปรเจ็คใหญ่ต้องทำส่ง ยังไงก็เหมือนว่างทั้งสัปดาห์อยู่แล้ว.. แต่ที่บอกไปว่าขอดูก่อน แทนที่จะตกปากรับคำทันที ก็เพราะต้องการเวลาในการทบทวน ช่วยตัดสินใจ

     

    “..ไม่รู้ว่ะยองแจ” สุดท้าย หลังจากทิ้งให้เพื่อนสนิทถือสายรอนานเกือบห้านาที จุนฮงก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่อีกฝ่ายรู้ได้ทันทีว่าสีหน้าของคนพูดกำลังเป็นอย่างไร “..กูไม่รู้จริงๆ...”

     

    แค่นึกว่าจะได้กลับไปยืนต่อหน้าคนที่เคยเดินจากมา จุนฮงก็คิดอะไรต่อไม่ออกแล้ว

     

    ..สี่หรือห้าปีเห็นจะได้ที่ไม่ได้ติดต่อกัน ไม่แม้แต่จะส่งข้อความมือถือ หรือถามไถ่ความเป็นไปผ่านช่องทางการติดต่อแสนสะดวกอย่างโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค

     

    เหมือนกับว่าต่างฝ่ายก็ไม่อยากทำอะไรที่เสี่ยงต่อการรื้อฟื้นหรือทำให้นึกถึงเรื่องนี้อีก โดยเนื้อแท้แล้วทั้งคู่ก็ยังเจ็บ แต่เมื่อบาดแผลนั้นหาทางเยียวยาไม่ได้ ทางออกที่ดีที่สุดก็คือตัดขาดกันไปเสีย ไม่ต้องคุยกัน ไม่ต้องเจอกัน ก็ไม่ต้องนึกถึง พอไม่ต้องนึกถึงก็ไม่ต้องเจ็บ

     

    จุนฮงยังเด็กก็คิดได้แค่นั้น หารู้ไม่ว่าการทิ้งแผลสดไว้นานๆโดยไม่รักษา ยิ่งทำให้แผลกลัดหนอง ยิ่งเจ็บ.. ยิ่งบวมช้ำ.. จนกลายเป็นแผลเป็นฝังลึก ที่พร้อมจะอ่อนไหวกับสะเก็ดไฟเก่าๆที่กระเด็นมาโดน

     

    อาจเป็นเพราะจบกันไม่สวยหนึ่งด้วย และอาจเป็นเพราะทิฐิโง่ๆที่ค้ำคอคนทั้งคู่จนไม่มีใครอยากลดตัวลงมาเป็นฝ่ายยอมก่อนอีกหนึ่งด้วย.. ที่ทำให้ไม่เคยได้ปรับความเข้าใจกัน และทำให้ทุกอย่างยังค้างคามาจนถึงทุกวันนี้

     

    ตั้งแต่เลิกกันไป จุนฮงก็ไม่ได้ติดตามข่าวสารของอีกฝ่ายเลย จะรู้ก็แต่พวกเรื่องซุบซิบต่างๆที่เพื่อนเห็นว่าน่าสนใจจนต้องหยิบมาเล่าให้ฟังบ้างเท่านั้น เช่นเรื่องพี่ยงกุกสอบเข้าคณะดุริยางค์อย่างที่หวังไว้ได้ หรือเรื่องที่พี่ยงกุกก่อตั้งชมรมสังคมสงเคราะห์ขึ้นใหม่ในมหาวิทยาลัย เป็นต้น

     

    จุนฮงไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านั้น ทุกครั้งที่เพื่อนนำข่าวคราวมาเล่าสู่กันฟังก็ทำแค่พยักหน้าอือออแล้วก็ปล่อยเลยผ่าน สิ่งเดียวที่กระตุกต่อมความสนใจของเด็กหนุ่มได้คือข่าวลือล่าสุด ที่เพื่อนในกลุ่มเพิ่งคาบข่าวจากแฟนที่เป็นเพื่อนร่วมคณะกับยงกุกมาบอก 

     

    บังยงกุก แห่งคณะดุริยางค์ศิลป์ กับ จองแดฮยอน แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ กำลังคบกัน

     

    อะไรก็ไม่น่าเจ็บใจเท่าที่ว่า จองแดฮยอนเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนแถวบ้านของยงกุก ที่จุนฮงจำได้ว่าตอนยังคบกันก็เคยเล่นหัวกับเขาอยู่บ่อยๆ และทั้งคู่ก็เหมือนจะเริ่มคบกันหลังจากเขากับพี่ยงกุกเพิ่งเลิกกันได้แค่เดือนกว่าๆเท่านั้นเอง

     

    เหมือนจงใจหยาม            

     

    จุนฮงพยายามจะไม่มองเพื่อนที่เคยรู้จักในแง่ร้าย แต่ก็อดคิดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมันเกินคำว่าบังเอิญไปหลายอย่าง แต่ยิ่งสนใจขุดคุ้ยเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็เจอแต่เรื่องชวนหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น

     

    สุดท้ายแล้วก็เลยตัดปัญหาเสีย ด้วยการปิดหูปิดตาไม่รับฟังอะไรเกี่ยวกับคนที่ชื่อบังยงกุกทั้งนั้น หันไปทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับสเก็ตบอร์ดและการแต่งเพลงฮิปฮอปแทน.. ถึงจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ เพราะจะกี่เพลงที่แต่งก็ออกมามีแต่เนื้อหาเดิมๆคืออกหักรักคุด ลืมรักเดิมไม่ลงเหมือนกันหมด แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยตัวเองให้จมปลักกับอดีต แบบไม่มีโอกาสให้โงหัวขึ้นมาบนผิวน้ำเลย

     

    จุนฮงลอยคอผลุบๆโผล่ๆอยู่ในแม่น้ำที่ชื่อว่าความอาวรณ์ที่มีต่อบังยงกุกอยู่นาน บางทีก็รู้สึกว่ายังรักมากยังอยากขอคืนดี แต่บางทีก็เกลียดตัวเองที่ยังตัดใจไม่ได้เสียทีจนอยากร้องไห้

     

    หัวใจของเด็กหนุ่มวนเวียนกับความรู้สึกนี้อยู่หลายปี จนจบมอปลาย พอก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ได้เจอกิจกรรมต่างๆนานาเรียงแถวเข้ามาช่วยแบ่งปันเวลาชีวิต ก็เริ่มลืมๆอดีตไปได้บ้าง จุนฮงเลยโหมกิจกรรมหนักขึ้น อาสาทำทุกอย่างตั้งแต่กวานพื้นยันลงสมัครผู้แทนคณะ เพราะอย่างนั้นชีวิตถึงได้ยุ่งจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น สมองก็เหมือนลบความทรงจำเกี่ยวกับคนชื่อบังยงกุกทิ้งไปโดยอัตโนมัติ

     

    มีชีวิตอย่างสุขสบายดีมาถึงสามปีกว่า จนกระทั่งวันนี้ที่ยองแจโทรมาถามเรื่องวันรับปริญญาของใครคนนั้น เขาจึงนึกถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมาได้อีกครั้ง.. ในอกลึกๆก็ออกอาการเจ็บอีกครั้ง.. หลังจากห่างหายมาหลายปี

     

    ถ้าเกิดข่าวลือที่ได้ยินเป็นเรื่องจริง และวันนั้นที่ยอมกลับไปเจอหน้าจะต้องเห็นสองคนนั้นอยู่ข้างกันจริงๆ จุนฮงก็ไม่แน่ใจว่าจะจัดวางความรู้สึกของตัวเองไว้อย่างไร

     

    ไม่รู้ว่าหัวใจจะทนไหวไหม

     

    ..ไม่อยากตอบรับ แต่ก็ยังไม่อยากปฏิเสธทันที อยากจะขอเวลาคิดดูก่อน แต่ก็กลัวว่าถ้าตกลงใจว่าไปแล้วจะกลายเป็นคนโง่ ที่พาความรู้สึกเฉาๆช้ำๆไปเจอให้เขาเหยียบย่ำเล่นถึงที่

     

    จุนฮงสับสนจนเรียบเรียงความคิดไม่ถูก ยองแจเสียอีกที่เป็นฝ่ายสรุปให้ง่ายๆ

     

    “อยากไปก็ไป ไม่อยากก็ไม่ต้องไป” 

     

    เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว แม้ว่าจะอยู่คนละฟากของโทรศัพท์ แต่จุนฮงก็เชื่อว่ายองแจรู้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร

     

    “ได้เหรอ?”

     

    “ทำไมจะไม่ได้วะ ใครบังคับมึงเหรอ” อีกฝ่ายว่ากลั้วหัวเราะ ก่อนจะย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง “อยากไปก็ไป ไม่อยากก็ไม่ต้องไป ชีวิต หัวใจ ความรู้สึกมันเป็นของมึงจุนฮง ลงมึงบอกว่าจะไม่ไปเสียอย่างก็ไม่มีใครบังคับมึงได้แล้ว”

     

    เด็กหนุ่มผิวขาวเงียบไปอีกอึดใจใหญ่ แล้วตัดสินใจ

     

    “กูจะไม่ไป”

     

    “เอางั้น?”

     

    “เออ เอางั้นแหละ” น้ำเสียงชัดเจนขึ้น มั่นคงขึ้น “ไม่ไปน่ะดีแล้ว กูไม่อยากเจอ.. ทั้งเขา.. ทั้งอีกคน.. ถ้าไปจริงคนอื่นคงมองกูเป็นคนโง่ตัดใจไม่เป็น อย่างนั้นแล้วจะเสนอหน้าไปให้เขาด่าฟรีทำไม”

     

    “เออ ดี คิดได้ก็ดี.. งั้นกูวางละ บอกแค่นี้แหละ พอดีเมื่อกี้เห็นปฏิทินแล้วนึกขึ้นได้ก็เลยลองถามดู ไม่โกรธนะที่ทำให้เสียใจก่อนนอน?”

     

    เสียใจเหี้ยอะไร! เสียงสิบแปดหลอดของจุนฮงทะลุผ่านลำโพงโทรศัพท์เข้ากระแทกโสตเขาจนหูอื้อ ยองแจโดนเพื่อนบ่นแกมด่าไปอีกหลายชุด.. คิดว่าน่าจะเป็นการเอาคืนที่โดนเขากวนตีน กับพาลเรื่องยงกุกด้วย.. กว่าอีกฝ่ายจะยอมวาง

     

    สายโทรศัพท์ตัดไป พร้อมๆกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่จางลง

     

    เขาทำผิดหรือเปล่านะ..

     

    ยองแจมองโทรศัพท์ในมือแล้วก็ถอนใจ

     

    ..จะไม่บอกจุนฮงหรอกว่างานนี้บังยงกุกเป็นคนออกปากถามเองว่าจุนฮงจะมาร่วมด้วยหรือไม่.. จะไม่บอกจุนฮงหรอกว่าตลอดสี่ปีที่ผ่านมายงกุกยังคิดถึงอีกฝ่ายตลอดเวลา.. จะไม่บอกจุนฮงหรอกว่าแดฮยอนก็แค่คนแก้เหงา ที่บังเอิญผ่านเข้ามาตอนยงกุกไม่มีใคร.. ไม่ได้ผูกพันอะไรลึกซึ้งมากไปกว่านั้น

     

    ยองแจไม่เข้าใจว่ายงกุกต้องการอะไรถึงได้ลงทุนมาอ้อนวอนให้เขาช่วยแบบนี้.. อยากกลับไปหาจุนฮงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่กลับไปตั้งแต่แรก.. อยากปรับความเข้าใจเหรอ? ก็อย่างนั้นแล้วทำไมถึงปล่อยทิ้งไว้มาได้ตั้งหลายปี..

     

    ขอร้องล่ะยองแจ ช่วยฉันหน่อยเถอะนะ ฉันอยากเจอจุนฮงมากจริงๆ แต่ไม่รู้จะทำยังไง.. นอกจากนายก็ไม่รู้จะแบกหน้าไปขอให้ใครช่วยอีกแล้ว

     

    ตอนนั้นเขาพยักหน้าตอบรับไปเพราะสงสาร แต่ในใจลึกๆแล้วเขารู้ว่ายังไงตัวเองก็จะไม่ช่วย ต่อให้เป็นคุกเข่าร้องขอต่อหน้าก็ยังคงไม่ช่วย ยองแจไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมากเพราะเป็นแค่เพื่อนในมหาลัยของจุนฮงก็จริง แต่ความเหงากับความเจ็บปวดลึกๆที่สะท้อนอยู่ในตาของเพื่อนคนนี้ตลอดเวลา ทั้งยามรู้ตัวและไม่รู้ตัว มันทำให้เขาอดใจเสียตามไม่ได้

     

    จุนฮงไม่เคยมีความสุขเลย แม้กระทั่งในยามที่เจ้าตัวยิ้มอยู่ก็ตามที

     

    เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าความเศร้าในตาของจุนฮงจะจางหายไปเมื่อไหร่ อาจจะในเร็ววันนี้ หรืออาจจะอีกสิบปีข้างหน้า แต่ถึงจะต้องใช้เวลาอีกนานมันก็ยังมีวันหาย.. ยิ่งลืมเร็ว ยิ่งทำใจได้เร็ว.. ยิ่งทำใจได้เร็ว ก็ยิ่งหายเจ็บเร็ว.. แต่ถ้าได้เจอหน้า ได้พูดคุย ก็จะยิ่งอยากได้มากกว่านั้น แล้วก็จะไม่มีวันพอ.. ความเศร้าก็จะไม่มีวันหมดไป..

     

    เพราะอย่างนั้นเขาถึงไม่อยากให้ยงกุกเจอกับจุนฮง ไม่อยากให้เพื่อนต้องทนเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะความคิดถึงที่ไม่มีที่สิ้นสุด.. ปล่อยคนที่ตัวเองรักทิ้งไว้อย่างนั้นได้ตั้งหลายปี ยงกุกรักจุนฮงจริงอย่างที่ปากว่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือแค่กำลังเหงาที่แดฮยอนห่างไป และนึกเสียดายจุนฮงขึ้นมาเท่านั้น

     

    เขากลัวหัวใจเพื่อนจะถูกขยี้ซ้ำที่รอยเดิมอีกครั้ง ก็เลยไม่อยากให้ได้เจอกัน

     

    ยองแจภาวนา

     

    เพื่อนเขาใกล้จะทำใจได้อยู่แล้ว..

     

    แผลเป็นมันตกสะเก็ดจนใกล้จะแห้งสนิทแล้ว..

     

    อย่าสะกิดให้ช้ำขึ้นมาอีกเลย

     

     

     

    - From pain to gain -

     

     

     

    ถ้าเป็นไปได้ จุนฮงก็อยากให้ธรนีสูบเขาลงไปเสียตรงนั้น

     

    “ไหนมึงบอกจะไม่มา”

     

    “กูก็คิดว่าจะไม่มา..”

     

    เด็กหนุ่มผมบลอนด์ส่งยิ้มจืดเจื่อนให้เพื่อน

     

    เขาคิดไว้แล้วจริงๆว่าจะไม่มา แต่พอใกล้วันจริง น้ำหนักของคำตัดสินในใจก็ชักแกว่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เผลอใจลอย แต่งตัวคว้ากระเป๋าออกจากบ้านมาแต่เช้า รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่หน้าคณะดุริยางค์ศิลป์ ยืนยิ้มสู้ใบหน้าถมึงทึงของเพื่อนได้อย่างไรก็ไม่รู้

     

    “แต่มึงก็มา” ยองแจว่าเรียบๆ คิ้วหนาที่จวนจะขมวดเป็นปมเริ่มคลายออก.. อ่อนใจ..

     

    “อือ.. แต่กูก็มา” จุนฮงทวนคำซ้ำราวกับละเมอ  

     

    ..เพราะส่วนลึกของหัวใจมันเรียกร้อง

     

    รอยเปื้อนเล็กๆบนภาพความทรงจำของวันนาน กระซิบบอกจุนฮงให้ลดทิฐิลงแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับอดีตดูสักตั้ง.. มาเจอ.. มาคุย..

     

    เขารู้ดีว่าทุกอย่างไม่มีวันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เพียงแต่เขาหวังว่าการได้คุยกันครั้งนี้น่าจะช่วยปรับความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายให้ตรงกันได้มากขึ้น.. อาจจะช่วยลบเลือนความเจ็บปวดที่เป็นมะเร็งหัวใจมานานให้หายไป หรือไม่ก็จะได้ช่วยกันเช็ดรอยเปื้อนด่างดำนั้น ให้ภาพเมื่อวันวานกลับมาสวยงามดังเดิม

     

    อย่างน้อย.. ก็คงจะช่วยทำให้ความทรงจำเหลือไว้แต่เรื่องดีๆ

     

    ยองแจผ่อนลมหายใจ.. ถึงจะหวังดีกับเพื่อนแค่ไหน แต่ถ้าเจ้าตัวตัดสินใจทุ่มสุดตัวขนาดนี้แล้ว ไอ้คนมีบรรดาศักดิ์เป็นแค่เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยอย่างเขาก็จนใจจะห้าม.. เด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบถูกต้องตามกฎระเบียบทุกประการ พะยี่ห้อคณะกรรมการนักศึกษาได้แต่ชี้บอกทางไปยังลานกว้างกลางคณะ ที่พวกพี่บัณฑิตกำลังใช้เป็นสถานที่ถ่ายรูปเก็บความทรงจำร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมทั้งกำชับให้เพื่อนดูแลทั้งตัวและหัวใจของตัวเองให้ดี.. ก่อนจะโบกมือลา ขอตัวไปสะสางงานคณะที่ดูท่าจะกำลังวุ่นวายอยู่มาก

     

    จุนฮงพยักหน้าขอบใจเพื่อน ก่อนจะสาวเท้าไปตามทาง.. เขามาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะพูดถึงในแง่ของมหาวิทยาลัย หรือในส่วนของคณะเองก็ตาม.. แต่จุนฮงก็ต้องยอมรับว่าระบบการจัดการสถานที่ของที่นี่ดีมากจริงๆ ทั้งเรื่องการออกแบบอาคารให้เดินง่าย ไม่มีซอกมุมซับซ้อน หรือพวกป้ายระบุตำแหน่งที่มีติดไว้ให้เห็นเป็นระยะ.. ช่วยให้คนอย่างเขาที่ไม่เคยมาเหยียบที่นี่เลย รอดพ้นจากการหลงทางอย่างโง่ๆไปได้

     

    สุดท้ายจุนฮงก็มาหยุดยืนที่หน้าลานกว้าง มึนงงไปกับภาพของฝูงชนในชุดเครื่องแบบบัณฑิตที่กระจายตัวอยู่เต็มสนามหญ้า เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบ กำลังคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี เสียงหวานใสของใครคนหนึ่งก็ร้องทักขึ้นจากด้านหลัง

     

    “อ้าว น้องจุนฮง มาได้ยังไงเนี่ย”

     

    คนพูดคือรุ่นพี่ฮันซอนฮวา แฟนสาวของมุนจงออบเพื่อนในกลุ่มเขา ที่วันนี้ดูสง่าเป็นพิเศษในชุดเครื่องแบบผู้สำเร็จการศึกษา ดวงหน้าสวยแฉล้มชะเง้อหาเงาร่างของใครอีกคนที่คิดว่าน่าจะอยู่ใกล้ๆ

     

    “มาคนเดียวเหรอ จงออบล่ะ?” 

     

    “มาคนเดียวครับ จงออบไม่ได้มาด้วย หมอนั่นติดซ้อมเต้นงานบายเนียร์ของคณะ” พูดไปแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ จึงรีบแก้ต่างให้เพื่อนพัลวัน

     

    “แต่มันไม่ได้ลืมวันพิเศษของรุ่นพี่หรอกนะครับ ได้ยินมาว่าน่าจะซ้อมเสร็จก่อนบ่ายสาม เดี๋ยวเย็นๆคงรีบมา อย่าเพิ่งโกรธจงออบมันเลยนะครับ” ท้ายประโยคลากเสียงอ่อย หวังจะใช้เป็นไม้เด็ดเรียกคะแนนความเห็นใจ ซึ่งพี่สาวคนสวยก็ดีใจหาย พยักหน้าอย่างเข้าใจ

     

    “ไม่โกรธหรอกจ้ะ จงออบบอกแล้วว่าไม่ว่าง แถมเขาก็มาเมื่อวันซ้อมใหญ่แล้วด้วย ก็ถือว่าพอชดเชยกันได้ล่ะเนอะ.. พี่ถามเพราะแปลกใจที่เห็นจุนฮงเฉยๆ ไม่นึกว่าจะมาคนเดียว.. เอ..” นัยน์ตาเรียวปรือลงอย่างกึ่งประเมิน “..หรือที่มาคนเดียวนี่เพราะนัดใครไว้หรือเปล่านะ”

     

    “เปล่าครับ ไม่ได้นัดใครเลย” เขารีบแก้ ท่าทางคงตลก เสียงก็คงตะกุกตะกักจนน่าขำ เพราะเห็นซอนฮวานูนาหัวเราะชอบใจ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ

     

    “ไม่ได้นัด แต่ก็ตั้งใจมาหาจริงๆใช่ไหมล่ะ”

     

    จุนฮงไม่ตอบ เพราะไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร จะให้ตอบว่าใช่ก็ยังกระดากปาก แต่ครั้นจะให้บอกว่าไม่ใช่ ก็ดูจะผิดวิสัยคนโกหกไม่เป็นอย่างเขาไปหน่อย เด็กหนุ่มจึงเลือกที่จะเงียบเสีย ซึ่งก็มีความหมายของการสื่อสารแทบไม่ต่างกับการยอมรับข้อกล่าวหากลายๆเลย

     

    แฟนสาวของเพื่อนหรี่ตามองอย่างรู้แกว ก่อนจะตบไหล่เขาปุๆ

     

    “พี่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่หรอกนะ จงออบไม่ค่อยยอมเล่าให้ฟัง.. แต่จะช่วยเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน สู้นะ” ตบท้ายประโยคด้วยการชูกำปั้นแล้วขยิบตาให้เขาอีกต่างหาก.. จุนฮงไม่รู้ว่าฮันซอนฮวาจะทำอะไร แต่ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องป่วนๆอย่างที่เจ้าตัวถนัดแน่ จึงว่าจะร้องห้าม แต่กว่าจะคิดได้ ร่างโปร่งบางก็เดินตัวปลิวจากไปเสียแล้ว

     

    เขาแทรกตัวผ่านกลุ่มคน พยายามไล่ตามเรือนผมสีบลอนด์สว่างอันเป็นเอกลักษณ์นั่นไป โผล่ออกมายืนหอบหายใจอีกทีก็เห็นรุ่นพี่คนสวยกำลังยืนคุยกับใครคนหนึ่งอยู่ในมุมอับเกือบจะเป็นมิดชิด ไม่ไกลนักด้วยท่าทางเคร่งเครียด พอรุ่นพี่ซอนฮวาหันมาเห็นเขาก็ทำท่าดีใจใหญ่ ชี้มือชี้ไม้มาทางนี้ทันที.. เขาที่กำลังจะเดินเข้าไปหาถึงได้ชะงักค้าง.. ลางสังหรณ์บางอย่างแล่นปราดไปทั่วร่าง.. ประจวบเหมาะกับที่สายตาเพิ่งปรับโฟกัสให้เข้าที่ได้ เด็กหนุ่มจึงเพิ่งเห็นว่าร่างสูงโปร่งในชุดเครื่องแบบบัณฑิตที่ยืนอยู่กับพี่ซอนฮวาคุ้นตามาทีเดียว

     

    พอสายตาของคนตัวสูงเบือนมาตามทางที่มือชี้นำ

     

    จุนฮงก็รู้สึกเหมือนกับว่าลมหายใจของตนเองขาดห้วงลงตรงนั้น

     

    ยงกุกฮยอง..

     

    บังยงกุก.. ที่คนหัวใจทั้งผลักไสและเพรียกหามาตลอดสามปี บัดนี้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วจริงๆ

     

     

     

     

     

     

    หลังจากลากพวกเขามาประจันหน้ากันได้แล้ว.. เพียงแค่เปิดยิ้มใสๆ กับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า พวกเธอไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน ให้คุยกันตามลำพังน่าจะดีกว่าเนอะ งั้นฉันขอตัวล่ะ ไม่อยากรบกวนความเป็นส่วนตัวพี่ซอนฮวาก็หนีความผิดไปได้อย่างง่ายดาย.. ทิ้งอดีตคู่รักไว้ในสภาพกระอักกระอ่วนเหลือทน

     

    แล้วยงกุกก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน

     

    “..มาคนเดียวเหรอ”

     

    “..ครับ” คนตอบพึมพำเสียงแผ่วหวิว.. ยังก้มหน้า หลุบตามองพื้นอย่างอึดอัด

     

    ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายดึงดันอยากจะมาให้ได้เองแท้ๆ.. ทั้งที่เตรียมคำพูด คำตัดพ้อต่อว่ามาเสียตั้งมากมาย.. แต่พอมาอยู่ต่อหน้ากันอย่างนี้.. ตัวเป็นๆที่ไม่ใช่แค่ภาพในฝันอย่างนี้.. สิ่งที่เตรียมมาก็ถูกกลืนหายลงคอไปหมด มีเพียงแต่ความรู้สึกซาบซ่านในอกเท่านั้น ที่ยังอบอวลจนรู้สึกได้ชัดเจน

     

    ยงกุกฮยองคนที่เขาจำได้เคยเป็นยังไง ยงกุกฮยองคนตรงหน้านี้ก็เป็นอย่างนั้น.. นอกจากความสูงที่ดูจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อย กับผมที่ยาวขึ้นเล็กน้อย ทุกอย่างก็ยังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง.. แม้แต่รอยยิ้มจางๆที่มักจะเห็นประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ กับแววตาดุดันทว่าอ่อนโยนในที ก็ยังคงเหมือนเดิมเช่นกัน..

     

    ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย..

     

    จนมีวูบหนึ่งที่จุนฮงเผลอคิดไปว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับบังยงกุกสมัยมอปลายอยู่จริงๆ.. ก่อนที่มือเรียวจะจิกเข้าหากันเมื่อนึกถึงความจริงข้อหนึ่งได้

     

    อ้อ เปลี่ยนสิ ต้องมีอะไรที่เปลี่ยนไปแน่..

     

    อย่างน้อยก็เรื่องสถานภาพของพวกเขาที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนั่นอย่างไร

     

    แค่คิด.. แผลเป็นในอกก็เหมือนจะปริร้าว จนรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา

     

    “ขอบคุณนะที่มา”

     

    “..ครับ” เขาพึมพำตอบกลับไปอีกครั้ง.. น่ากลัวว่าเสียงตอบจะเบากว่าเสียงหัวใจเต้นโครมครามจนน่ากลัวว่าจะทะลุออกมาตอนนี้เสียอีก

     

    “จากหอนายมาถึงนี่ตั้งไกลก็ยังจะอุตส่าห์มา ฉันดีใจมากนะ” เรียวคิ้วสวยมุ่นเข้าหากัน พร้อมกับที่ใบหน้าเงยขึ้นมองคนพูดอย่างลืมตัว.. พี่ยงกุกรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่หอ.. แล้วรู้ได้ยังไงว่าหออยู่ที่ไหน.. คำถามถัดมายิ่งพาให้เด็กหนุ่มนึกประหลาดใจมากขึ้นอีก “แล้วเรียนนิเทศเป็นไงบ้าง ยากไหม”

     

    “..ฮยอง.. รู้..?”

     

    ฮยองของจุนฮงขยับยิ้มราวกับสิ่งที่ได้ยินช่างน่าขำเสียเหลือเกิน

     

    “พี่รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับนายนั่นแหละ จุนฮง” ..แม้แต่สรรพนามที่ใช้แทนตัวเองก็ยังเหมือนเดิม.. ยังให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนเดิม.. “เรียนที่ไหน.. ชอบทำอะไร.. หัวเราะเมื่อไหร่.. ร้องไห้เพราะใคร..” ท้ายเสียงเจือหัวเราะน้อยๆราวกับจะเยาะ.. เปล่าเลย ยงกุกไม่ได้คิดจะเยาะเย้ยจุนฮงแต่อย่างใด..

     

    แววตารวดร้าวของชายหนุ่มสะท้อนให้เห็นว่าเขากำลังเยาะหยันตนเอง

     

    ..และแค่นั้นก็มากพอแล้ว ที่จะสั่นคลอนเสาที่ชื่อว่า ทิฐิ ภายในใจของจุนฮงให้พังทลายลง

     

    “ทำไมกันครับ..” เสียงที่เล็ดลอดผ่านริมฝีปากบางช่างอ่อนระโหย.. เขาเข้าใจอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ.. “..ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น”

     

    ปลายนิ้วเรียวยาวปาดหยาดน้ำตาที่จวนเจียนจะหยดออกให้อย่างเบามือ.. นัยน์ตาเรียวสวยแดงช้ำเขม้นมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ

     

    “..ถ้าไม่รักก็อย่าทำแบบนี้เลย”

     

    “พี่เคยบอกนายหรือว่าไม่รัก” เสียงทุ้มต่ำย้อนทวงถามทันที.. กระแทกกระทั้นด้วยอารมณ์ “มีแต่นายที่คิดเองเออเองไปคนเดียว แล้วก็เอาแต่หนีพี่ ไม่ยอมฟังอะไร.. แล้วอย่างนี้จะมาบอกว่าพี่ไม่รัก.. เป็นคนทิ้งนายไปได้ยังไง”

     

    “ก็ฮยองหายไป!” คนอายุน้อยกว่าเริ่มเสียงดังบ้าง พอกำลังอารมณ์ขึ้น ความอัดอั้นต้นใจที่เพียรสะกดกลั้นไว้ทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมา

     

    “หายหน้าไปเป็นเดือนๆไม่ติดต่อกลับมาเลย โทรหาก็ไม่รับ! แถมยังมีข่าวมาให้ได้ยินเป็นระยะว่าคบกับคนโน้นคนนี้ไปทั่วอีก.. พอผมเชื่อใจฮยอง คนอื่นก็บอกว่าผมโง่จนท่าจะบ้า เออ! ผมก็ว่าผมบ้าจริงๆนั่นแหละ! ทั้งเป็นห่วง ทั้งกังวลสารพัด ไหนยังจะโดนคนรอบข้างกดดันอีก.. ฮยองคิดว่าเด็กสิบหกตัวคนเดียวอย่างผมจะทนได้นานแค่ไหนกัน!”  

     

    ได้ระบายออกไปแล้วก็เริ่มสงบขึ้น.. จุนฮงลดเสียงลง.. ผ่อนลมหายใจกระชั้น.. เพราะมัวแต่ให้ความสนใจอยู่กับอารมณ์โกรธของตนเอง จึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนโตกว่าถือวิสาสะวาดแขนโอบร่างเข้าใกล้ชิดได้อย่างไม่ทันรู้ตัว

     

    “เลิกกันแล้วก็เหมือนตายจากกันไปเลย ยิ่งพอยงกุกฮยองเรียนจบไป เราก็ยิ่งเหมือนอยู่กันคนละโลก.. หายหน้าไป ไม่มีการติดต่อ กลายเป็นว่าก็เลิกกันไปทั้งที่ผมเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำอะไรผิดไป.. คิดมากจนจะเป็นบ้าอยู่คนเดียว.. ตอนนั้นผมเสียใจเท่าไหร่ ทุกข์มากแค่ไหน พูดไปฮยองก็คงนึกไม่ออก..”

     

    “นึกออกสิ” ชายหนุ่มกระซิบแนบกลุ่มผมสีบลอนด์ “..เพราะพี่ก็เป็นเหมือนกัน”

     

    ยงกุกเล่าให้จุนฮงฟังทุกอย่าง.. ตั้งแต่เรื่องที่เขาตัดสินใจทิ้งความสัมพันธ์ไปเพราะไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายคือความรักจริงๆหรือแค่เอ็นดูแล้วเผลอใจ จึงต้องการเวลาเพื่อกลับไปตั้งหลักทบทวนหัวใจตัวเอง โดยปิดบังจุนฮงว่าจะไปเรียนซัมเมอร์ที่ต่างประเทศเกือบเดือน ทั้งที่จริงแล้วแค่หนีหน้าไปอยู่บ้านญาติที่ต่างจังหวัดเท่านั้น เพราะกลัวว่าถ้าน้องรู้แล้วจะพลอยคิดมากไปด้วยอีกคน

     

    แต่ผลกลับแย่กว่าที่คาดไว้มาก เพราะจุนฮงเกิดรู้ขึ้นมาว่าเขาไม่ได้ไปเรียนซัมเมอร์จริงอย่างที่อ้าง.. เด็กหนุ่มพยายามติดต่อยงกุกจนเขารำคาญแทบโยนโทรศัพท์ทิ้ง สุดท้ายก็เลยถอดแบตออกแล้วทิ้งเครื่องเปล่าไว้ให้แมวดมเล่นอยู่อย่างนั้น.. ยงกุกมีชีวิตโสดสามอาทิตย์ที่แสนสบาย มีอิสระเต็มที่ ไม่ต้องคอยดูแลใคร และไม่มีใครมาคอยตามกวนใจ.. ถึงบางทีจะรู้สึกเหงาไปบ้าง แต่ก็คิดว่าชอบมากกว่าที่จะต้องผูกชีวิตไว้กับใครแค่เพียงคนเดียว

     

    พี่เคยบอกนายหรือเปล่าว่าพี่เป็นคนที่มีอีโก้สูงมาก เขาถามคนในอ้อมกอด เมื่อน้องส่ายหน้า ยงกุกจึงเล่าต่อว่า

     

    เขาตั้งใจจะกลับมาคุยกับจุนฮง จะขอให้จบความสัมพันธ์กันแบบดีๆ.. ยงกุกไม่รู้ว่าจุนฮงรู้แล้วว่าเขาโกหก เขาคิดว่าที่น้องโทรตามบ่อยๆก็เพราะแค่เหงาด้วยความห่างไกลธรรมดาเท่านั้น จึงรู้สึกรำคาญ.. แผนกมัธยมของโรงเรียนเขามีนักเรียนแค่ไม่กี่ร้อยคน เมื่อมีข่าวลือที่น่าสนใจก็มักจะแพร่กระจายและกลายพันธุ์ไปได้อย่างรวดเร็วเสมอ.. เมื่อยงกุกกลับมา ได้ยินแต่ละข่าวลือเกี่ยวกับตนเองแล้วก็นึกถึงจุนฮงขึ้นมา

     

    ถึงจะกำลังอยากจบความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายอยู่ก็จริง แต่ยงกุกก็อยากเป็นฝ่ายบอกเลิกเองอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เป็นเพราะผลพวงจากข่าวลือที่ป้ายสีให้เขาดูเป็นคนไม่ดีอย่างนี้.. จึงพยายามจะติดต่อน้องเพื่อชี้แจงความเข้าใจผิดก่อน แต่จุนฮงก็เอาแต่หลบหน้าเขาตลอด จนไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกันอย่างที่หวัง

     

    สู้ตามตื๊อจุนฮงได้เดือนกว่า พอเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของเทอมสองก็เริ่มเหนื่อย ซ้ำยังต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย จึงไม่ค่อยมีเวลาว่างด้วย ยงกุกที่จริงๆก็ชักโกรธความงี่เง่าของจุนฮงขึ้นมาครามครัน ก็เลยปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมัน แล้วหันไปทุ่มเทให้กับการฟิตอ่านหนังสือแทน.. ก็เลยกลายเป็นว่าเลิกกันไปจริงๆโดยพฤตินัย ทั้งที่ในใจก็ยังค้างๆคาๆ ยังงงๆ

     

    ตอนนี้แหละที่ตัวละครที่ชื่อ จองแดฮยอน มีบทบาทสำคัญขึ้นมา

     

    ต้องเท้าความก่อนว่ายงกุกกับแดฮยอนสนิทกันในระดับหนึ่งอยู่แล้ว.. ถึงกับเคยเอาเรื่องของจุนฮงไปปรึกษาด้วยหลายเรื่อง.. พอยงกุกเลิกกับจุนฮงก็เก็บตัวอยู่กับบ้านมากขึ้น ก็มีโอกาสได้สานสัมพันธ์กับเพื่อนข้างบ้านคนนี้มากขึ้น.. แดฮยอนช่วยเหลือยงกุกทุกอย่าง ทั้งช่วยดูแลความเป็นอยู่ ช่วยติวหนังสือจนเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ คอยเป็นกำลังใจให้กับการปรับตัวเข้าหาสังคมที่ไม่คุ้นเคย.. แดฮยอนดีถึงเพียงนั้น แถมยังโผล่มาถูกจังหวะเวลา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ยงกุกผู้ซึ่งยังไม่ชินกับความเหงา จะเปิดหัวใจให้รุ่นน้องตัวเล็กก้าวเข้ามาได้อย่างง่ายดาย

     

    เราตัดสินใจคบกันตอนช่วงปลายๆปีหนึ่งเทอมหนึ่ง ยงกุกเล่า น้ำเสียงเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่นอยู่มากกว่าจะเป็นเรื่องของตัวเอง แรกๆมันก็ดี.. ดีจนไม่น่าเชื่อเชียวล่ะ แต่พอคบกันไปสักพัก พี่ถึงรู้ตัวว่าที่คบกับแดฮยอนก็เพราะความดีเท่านั้น มันไม่ได้มีความรักอยู่ในนั้นเลย

     

    แดฮยอนเป็นคนดีจริง แต่เป็นความดีที่ทำให้ยงกุกรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่เผลอทำไม่ดีกับอีกฝ่ายไป.. พอเป็นแบบนี้แล้ว เขาก็คิดถึงช่วงเวลาที่คบกับจุนฮงขึ้นมา เขาไม่เคยต้องถนอมน้ำใจจุนฮงขนาดนี้ คิดยังไงก็พูด อยากทำอะไรก็ทำ ถึงแม้จะทำให้ต้องมีปากเสียงกันบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ใครคนใดคนหนึ่งก็ยังยอมลงให้กันก่อนเสมอ.. ถึงจะทะเลาะกันบ่อย แต่ก็ทำให้เข้าใจกันและกันมากขึ้นเสมอ 

     

    มากเสียจนยงกุกก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะหาใครเข้าใจเขาได้เท่าจุนฮงอีกไหม

     

    สุดท้ายยงกุกก็เลิกกับแดฮยอนทั้งที่เพิ่งคบกันได้แค่สามเดือน.. และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถึงแม้จะมีคนคุยหน้าใหม่ๆผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาไม่ขาดสาย แต่เขาก็ไม่เคยคบใครเป็นแฟนอย่างจริงจังอีก

     

    เพราะตระหนักได้ว่านอกจากชเวจุนฮงคนนั้นแล้ว หัวใจเขาก็ไม่อาจยอมรับใครได้อีกเลย

     

    “..แต่พวกคนที่ไม่สนิทกันก็ไม่รู้หรอกนะ พี่ไม่ได้บอกใคร.. กับแดฮยอนก็ยังคุยกันอยู่ ก็เป็นคนที่สนิทด้วยที่สุด ถึงจะไม่ได้เป็นแฟนแล้วก็ยังเป็นที่ปรึกษาที่ดี.. คนนอกมองดูก็คงเข้าใจว่ายังคบกัน” จุนฮงครางอือในคอ.. เลิกกันแล้วนี่เอง.. มิน่าล่ะ วันนี้ถึงว่าไม่เห็นเงาพี่แดฮยอนแถวนี้เลย

     

    “เลิกกับแดฮยอนแล้วก็อยู่คนเดียวมาตลอด.. คิดถึงแต่นาย.. เสียใจที่เดินจากมา แล้วก็ทุกข์ที่ยอมปล่อยนายไปอย่างโง่ๆ.. ถ้าย้อนเวลาได้ก็อยากจะย้อนกลับไปเปลี่ยนการตัดสินใจของตัวเองในวันนั้น.. จะได้ไม่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกแบบนี้เป็นปีๆ”

     

    มือหนาละจากข้างเอว เลื่อนขึ้นมากุมมือเรียวยาวของอีกฝ่ายไว้.. ตาจ้องประสานตา ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำอ่อนหวาน

     

    “..พี่ยังรักนายอยู่นะ จุนฮง”

     

    จุนฮงเสหลบตา ถามเสียงเบา

     

    “ตลอดสี่ปีเลยหรือครับ”

     

    ยงกุกยิ้ม

     

    “คงจะตลอดไป”

     

    เขาแพ้แล้วจริงๆ

     

    เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาแก้มที่ซับสีเรื่ออย่างเก้อๆ.. ประโยคหวานเลี่ยนชวนจั๊กจี้ไม่สมกับหน้าตาดุๆของคนพูด ทำให้คนฟังอดขำไม่ได้

     

    แต่น่าแปลกที่หัวใจที่ยังเต้นรัวจนถึงเมื่อครู่นี้ พอได้ยินคำบอกรักจากอีกฝ่าย มันก็เริ่มผ่อนจังหวะช้าลง..

     

    คนผิวขาวจัดสูดลมหายใจลึก เขารู้สึกปลอดโปร่งอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในช่วงหลายปีมานี้.. เหมือนกับว่าอะไรหนักๆที่เคยกองสุมอยู่ในอกได้ถูกยกออกไปจนหมดสิ้น..

     

    จุนฮงเคยเข้าใจจริงๆว่าที่ทั้งคู่ต้องเลิกคบกันไปเป็นเพราะเขาเอาแต่หนีหน้ายงกุก.. ก็เลยเป็นห่วงความรู้สึกของอีกฝ่ายที่เหมือนจะโดนทิ้งกลายๆทั้งที่ไม่รู้ตัว แล้วก็กังวลและรู้สึกผิดมาโดยตลอดว่าตนเองได้เผอเรอสร้างบาดแผลอะไรไว้ในใจยงกุกบ้างหรือไม่.. เมื่อพบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากการกระทำของทั้งสองฝ่าย เขาก็เบาใจขึ้น ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองมีส่วนต้องรับผิดชอบหัวใจของอีกฝ่าย.. ไม่ต้องกลัวว่าการเจอหน้ากันจะเป็นการทำร้ายใครให้เสียใจอีกต่อไป

     

    จังหวะหัวใจที่สงบลงย้ำเตือนถึงความมั่นคงทางอารมณ์ของเขา จุนฮงเงยหน้าขึ้นสบตาอดีตคนรักอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยทั้งรอยยิ้ม

     

    “ผมก็ยังรักฮยองอยู่.. แล้วก็ดีใจที่ได้ยินฮยองว่ายังรักเหมือนกัน” เขาสารภาพความลับในใจที่เฝ้ารักษาไว้หลายปี มือเรียวคลายจากมือใหญ่ที่ยึดไปเกาะกุมไว้อย่างถือวิสาสะ “..แต่ตอนนี้ความรักมันไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว

     

    เด็กหนุ่มปฏิเสธกล้าอ่อนของต้นรักที่อีกฝ่ายยื่นให้อย่างนิ่มนวล

     

    “ผมไม่เคยคิดภาพเรากลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อนเลย.. ตั้งแต่ที่ฮยองหายไป ผมก็รู้ว่าทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิม.. ถึงจะยังบอกว่ารักอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรักในแง่ของการต้องอยู่ด้วยกันอย่างนั้น.. ความรักมันทำร้ายผมสาหัสเหลือเกิน ถึงตอนนี้แผลก็ยังเจ็บอยู่ไม่หาย จนไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับใคร แม้ว่าจะเป็นกับคนเดิมก็ตามที”

     

    จุนฮงนิ่งไปอึดใจ มองสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็ใจหายนิดหนึ่ง.. ยงกุกสีหน้าไม่ดีเลย.. อีกฝ่ายคงไม่ได้คาดไว้ว่าเขาจะพูดแบบนี้เหมือนกัน

     

    “ผมขอบคุณที่ฮยองเคยดูแลผมอย่างดี คอยตามใจเวลาผมเอาแต่ใจ แล้วก็ยอมลงให้เวลาที่ผมงี่เง่า.. ยงกุกฮยองเป็นคนดีนะครับ ผมรักที่ฮยองเป็นแบบนั้น ถึงอยากให้พี่มีชีวิตที่ดี อยากให้มีความสุขมากๆ.. ที่ผมมาวันนี้ก็แค่เพราะอยากจะมาปรับความเข้าใจให้ตรงกัน แล้วก็อยากจะมาขอโทษที่เคยทำตัวไม่ดีกับฮยองไว้.. ผมอยากให้เราจบกันด้วยดีมากกว่าจะทิ้งมันไว้เป็นเรื่องค้างคาใจไม่รู้จบ”

     

    จุนฮงหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า.. ส่งพวงกุญแจตุ๊กตาทิกเกอร์ที่ขะมุกขมอมจนแทบจะเป็นย้อมสีส้มหม่นให้ยงกุก ซึ่งก็ยื่นมือออกมารับอย่างใจลอย

     

    “อะไรที่เคยให้มาผมคืนให้.. ความรักที่เคยให้มาผมคืนให้.. ความเจ็บปวดที่เคยให้มาผมก็คืนให้.. หลังจากนี้เราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก.. ตั้งแต่นี้ไปถ้าต้องคิดถึงความรักของเรา ผมก็อยากเห็นแต่ความทรงจำที่สวยงาม”

     

    เด็กหนุ่มเอียงคอมองคนตัวสูงที่ยังยืนนิ่งอยู่ ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน

     

    “แล้วก็มาอวยพร.. ในฐานะน้องชายคนหนึ่งที่อยากให้พี่ชายมีความสุขมากๆ.. อย่ามัวแต่ยึดติดกับอดีตเลยนะครับ”

     

    พี่ชาย ขยับยิ้มฝืดเฝื่อนให้ อย่างที่ดูก็รู้ว่าปั้นออกมาด้วยความยากลำบาก

     

    ไม่ได้คิดถึงคำพูดในแง่นี้มาก่อนเลย.. ชายหนุ่มมัวแต่ดีใจที่เห็นจุนฮงมาจริงๆอย่างที่เขาลงทุนบากหน้าไปขอร้องยูยองแจ.. แล้วก็มัวแต่คิดลำพองเข้าข้างตัวเองว่า น้องยอมมาทั้งที ต้องเป็นเพราะยังมีใจให้กันแน่ๆ.. พอโดนพูดอย่างนี้เข้าใจก็เลยทตกใจจนคิดอะไรไม่ออก จุกเหมือนโดนกำปั้นลุ่นๆอัดเข้ากลางลำตัวเต็มแรง แต่ยงกุกก็ต้องยอมรับ.. เขาทิ้งร้างไม่เห็นค่าความรักมานานตั้งเท่าไหร่ ถึงจะบอกว่ายังคิดถึงอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ไม่เคยพยายามอย่างเต็มที่เลย.. จะหวังให้จุนฮงยังฝากหัวใจไว้ที่ความรักครั้งเก่าอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร

     

    ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ.. ถึงจะไม่ได้กลับไปคบกันเหมือนเดิม แต่แค่น้องได้รับรู้ว่าเขายังรัก และได้แก้ไขความเข้าใจผิดที่ตกค้างมาแรมปีจนเหลือเพียงแต่ความรู้สึกดีๆต่อกันได้ เท่านั้นก็ดีกว่าที่คิดไว้มากแล้วไม่ใช่หรือ.. และถึงแม้น้องจะยืนยันว่าไม่มีโอกาสอีกแล้ว แต่นั่นก็เป็นแค่คำพูดที่เกิดขึ้นในวันนี้.. ถ้าหากต่อไปเขาลองพยายามให้เต็มที่อีกสักหน่อย แค่ไขว่คว้าความรักที่เคยหลุดมือไปกลับคืนมา มันจะไม่มีทางเป็นไปได้เชียวหรือ..

     

    อดีตก็เป็นเรื่องของอดีต.. ส่วนอนาคตก็เป็นเรื่องของอนาคตไม่ใช่หรือไง

     

    คิดได้ดังนั้นแล้วยงกุกจึงค่อยยิ้มได้ แม้จะเป็นรอยยิ้มที่จืดชืดเต็มที แต่ก็ไม่ฝืนเท่าที่ปั้นส่งให้จุนฮงเมื่อครู่แล้ว

     

    “อืม.. ขอบใจ.. นายเองก็เหมือนกันนะ อย่ายึดติดอยู่กับอดีตอีกเลย”

     

     เขาขอบใจน้อง.. ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าจะขอบใจไปทำไม แค่คิดว่าน่าจะเป็นมารยาทที่ต้องพูด แต่พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มหวานตอบกลับมาให้ ยงกุกก็เผลอคิดว่าที่ทำลงไปนี่เป็นเรื่องถูกต้องจริงๆเลย.. เออ แค่จุนฮงยิ้มให้ก็เป็นเสียขนาดนี้แล้ว สงสัยเรื่องที่น้องอยากให้หยุดความสัมพันธ์ไว้แค่พี่ชายน้องชายนี่คงจะทำได้ยากแล้วจริงๆ

     

    “จริงสิ ไหนๆก็มาแล้ว ถ่ายรูปด้วยกันสักใบเถอะ.. เป็นเครื่องยืนยันว่าต่อไปนี้เราจะมีแต่ความทรงจำที่สวยงามอย่างที่นายอยากให้เป็นไง” คนแก่วัยกว่าชักชวน ซึ่งจุนฮงก็ตกลงรับคำ..  วันนี้เขาก็ตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะมาแสดงความยินดีจริงๆ เพราะฉะนั้นแค่ขอให้ถ่ายรูปด้วยกันมันก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร

     

    “เฮ้ย ฮิมชาน” ยงกุกก้าวผ่านเขาไป ตะโกนเรียกผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งที่จุนฮงไม่คุ้นหน้า “ถ่ายรูปให้หน่อย แฟนเก่ากูมา” จุนฮงทำท่าจะค้านกับคำกล่าวอ้างนั้น แต่พอเห็นคนที่ยงกุกเรียกมาไม่ได้มีท่าทีจะแซวหรือล้ออะไรเป็นพิเศษ นอกจากสายตาระลึกได้วูบหนึ่ง ประมาณ อ้อ แฟนเก่าคนนั้น ที่จางหายไปในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็วทันใจแล้ว จุนฮงก็ยอมก้าวตามคนจูงมือไปอย่างว่าง่าย

     

    “กล้องฟิล์มนะ” ยงกุกส่งกล้องสีเงินขอบดำ ห้อยสายคล้องคอลายทิกเกอร์หางม้วนสีส้มแปร๊ดให้ฮิมชาน.. สิ่งที่น่าประหลาดใจอีกอย่างเกี่ยวกับยงกุกคือ รสนิยมติสต์บ้างแหววบ้างของเขาที่ดูจะแปลกผิดมาตรฐานของคนทั่วไป.. แต่ก็นั่นแหละ ความไม่เหมือนใครก็ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน

     

    “รูปฟิล์ม.. ถ่ายได้ทีเดียว สวยก็สวยเลย เสียก็เสียเลย แต่ล้างออกมาแล้วให้อารมณ์ภาพความทรงจำจริงๆ” ชายหนุ่มอธิบาย

     

    “พร้อมยัง? ชิดๆกันหน่อยครับ.. อีกนิดนึง.. เออนั่นแหละ ดีแล้ว.. จะถ่ายแล้วนะ ยิ้มกว้างๆด้วย หนึ่ง สอง สาม เอ้า ชีส!

     

    เสียงชัตเตอร์ลั่นดังแชะ สองคนที่ยืนชิดกันงงไปวูบหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าถ่ายเสร็จแล้วจริงหรือ แต่พอฮิมชานเดินถือกล้องกลับมาคืนให้ก็รู้ตัวว่าถ่ายเสร็จแล้วจริงๆ

     

    พวกเขาผละออกจากกัน พูดขอบคุณฮิมชานตามแพทเทิร์นที่คนมีมารยาทพึงกระทำ จุนฮงยิ้มเมื่อยงกุกสัญญาว่าล้างฟิล์มเสร็จเมื่อไหร่จะส่งรูปให้ กว่าจะยอมปล่อยให้เขาขอตัวกลับได้ ก็ตะล่อมขอเบอร์โทรศัพท์ กับแอคเคาท์โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คต่างๆของเขาบันทึกไว้ในโทรศัพท์เรียบร้อย.. ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายหวังจะใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อสานต่อความสัมพันธ์อย่างไร แต่จุนฮงก็ตอบไปตามความจริงทั้งหมด ไม่คิดที่จะโกหก ด้วยเชื่อว่าไม่ว่าจะมาไม้ไหน ยงกุกก็จะไม่มีวันได้อะไรกลับไปมากกว่าที่เขาพูดไปแล้ว

     

    เพราะจุนฮงมั่นใจว่าความรู้สึกของตัวเองชัดเจนมากพอ

     

    เด็กหนุ่มก้าวเดินช้าๆ.. หากหนักแน่นนัก ย้อนกลับไปตามทางที่เดินเข้ามา พลางนึกแปลกใจตนเอง

     

    เขารู้สึกโตขึ้นมากเหลือเกิน.. ไม่ได้หมายถึงแค่ร่างกายที่เห็นได้ชัดว่าสูงเกือบไล่ทันยงกุกแล้ว แต่จุนฮงหมายถึงในเรื่องของจิตใจด้วย.. ใจเขาเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมมาก จนยากที่จะเชื่อว่าคนที่ตัดรอนพี่ยงกุกอย่างแทบจะไม่ให้เหลือเยื่อใยเมื่อครู่นี้ จะเป็นคนเดียวกับที่เคยร้องไห้จนตาแดงช้ำแค่เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมรับโทรศัพท์เขาแค่ไม่กี่สาย

     

    เวลาเปลี่ยน.. อะไรๆก็เปลี่ยน

     

    น้ำในแก้ววางทิ้งไว้ยังระเหยจนหมดได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับใจคน

     

    จุนฮงเลิกคิดที่จะย้อนกลับไปหาความรักครั้งเก่านานแล้ว.. ไม่มีความคิดที่จะแก้แค้นยงกุกให้ต้องทุกข์ทนอย่างที่เขาเคยเป็นด้วย.. สิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการจริงๆคือแค่ปรับความเข้าใจให้ตรงกันว่าจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก แต่ก็ยังรักและปรารถนาดีต่อกันเสมอ.. แค่ในฐานะคนรู้จักและพี่น้องเพียงเท่านั้น ไม่มีในรูปแบบอื่นอีก..

     

    ไม่ต้องเสี่ยงกับความรู้สึกผิดหวังจนปวดร้าวเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

     

    สองเท้าพาเด็กหนุ่มมาหยุดยืนอยู่หน้าป้ายคณะดุริยางค์ศิลป์.. อาจเป็นเพราะตอนที่เดินเข้าไปเขาได้เรียนรู้ทางจนคุ้นเคยดีแล้ว ขากลับจึงไม่หลงเส้นทาง สามารถฝ่าทะเลฝูงชนกลับออกมาข้างนอกได้โดยสวัสดิภาพภายในเวลาอันรวดเร็ว 

     

    แสงแดดจัดจ้าของยามตะวันคล้อยเหนือหัวไปไม่เท่าไหร่ ทำให้เด็กหนุ่มต้องยกมือขึ้นบังแดด หยีตามองภาพเบื้องหน้า.. 

     

    นี่บ่ายแล้วหรือ.. จำได้ว่าตอนมาถึงยังไม่เที่่ยงเลยด้วยซ้ำ.. เวลาเดินเร็วเหลือเกิน

     

    วันเวลาไม่เคยหยุดหมุน.. มีแต่จะไหลเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆอย่างมั่นคง ถึงแม้จะปรารถนาให้หยุดไว้ หรืออยากย้อนกลับไปอย่างไรก็เป็นได้เพียงแค่หวัง.. เหมือนกับสายน้ำทุกสาย.. ที่ไหลไปไม่มีหยุดหรือทวนกลับอย่างไร เวลาก็เป็นเช่นนั้น

     

    ไม่ว่าจะเคยสุข เคยเสียใจ เคยเจ็บปวดอย่างไร.. ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป

     

    มีเพียงความทรงจำเท่านั้น ที่อาจเก็บรักษาช่วงเวลาอันมีค่าเหล่านั้นไว้ได้

     

    เมื่อไม่อาจหวนคืน และยังไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะแก้ไขอดีต.. ที่ทำได้คือแค่ยิ้ม.. พยายามเข้าใจและยอมรับกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น และให้อภัย.. เพื่อปกป้องภาพวันวานดีแสนดีที่เคยมี ไม่ให้บอบช้ำมากไปกว่าเดิม

     

    ..เพื่อรักษาความรักที่เคยงดงามให้คงอยู่คู่หัวใจตลอดไป

     

    ..จึงขอให้จบลงที่คำยินดี

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    .END

     

     

     

     

     

    [x] ฟิคอะไรก็ไม่รู้;___; คือเขียนครึ่งแรกแล้วก็ทิ้งไว้ตั้งนานถึงค่อยมาต่อครึ่งหลังแบบงงๆ คือรู้ตัวว่าอารมณ์มันไปคนละทางกันมาก แต่ แต่ แต่.. เก๊าก็ไม่รู้จะแก้ยังไงอ่ะ มันเขียนไปแล้ว เพราะงั้นก็.. ช่างมันเถอะนะคะ โฮฮ #แก้ตัวสุดแถสุดสีข้างถลอกสุดไรสุด

     

    [x] เป็นฟิคที่เต็มไปด้วยคำฟุ่มเฟือย๕๕๕ คืออยู่ดีๆก็อยากเขียนฟิคที่มีคำขยายเยอะๆ เอาแบบวิเศษณ์ขยายวิเศษณ์แล้วขยายวิเศษณ์อีกทีไรงี้ เพ้อเจ้อๆมโนๆไรงี้ ก็เลยกลายเป็นฟิคเรื่องนี้ขึ้นมา๕๕๕ แต่ไม่มีพล็อตไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากฟีลลิ่งที่ได้จากการฟัง คำยินดี ซ้ำไปซ้ำมา อารมณ์ในเรื่องก็เลยปนกันมั่วไปหมดไรงี้ #ทำร้ายตัวเองอีกรอบทำไม

     

    [x] บังเจลนี่มันเขียนยากจริงๆ;___; เวลาคนน้องอยู่กับคนพี่นี่น่ารักน่าเอ็นดูมาก แต่พอเอามาเขียนฟิคนี่เขียนยากมาก;___; อิชั้นจะตายยยค่ะะ ฮืออ

     

    [x] ขอขายตัวประกอบนิดนึง.. ยูยองแจจจจจจจจจ หล่อจังเลยยยยยยยยยยยยยยยยยย ฮืออออออออออออออออออ ;___________; บ้าจริง! #ตาย #เขวี้ยงแอปเปิ้ลเขียวใส่หน้า  




    THE★FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×