คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter Three || The three-time-coincidence theory III
คณะศิลปกรรมศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยทันซลอินเตอร์เนชันแนลเป็นคณะขนาดเล็ก ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ ติดกับคณะอักษรศาสตร์ ตรงข้ามหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย เปิดการเรียนการสอนแค่หลักสูตรปริญญาตรี สี่ปีจบสำหรับนักศึกษาปกติ และมีโควตาสำรองถึงแปดปีสำหรับบางคนซึ่งอาจจะมีเหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องใช้เวลาเรียนนานกว่าเพื่อน หรือเกิดติดใจที่นี่มากจนอยากเติบโตไปด้วยกัน
ภายในคณะแบ่งออกเป็นสี่ภาควิชา ได้แก่ ภาควิชานฤมิตศิลป์ (Creative Arts), ภาควิชาวิจิตรศิลป์ (Fine Arts), ภาควิชาดุริยางคศิลป์ (Musical Instruments Arts) และภาควิชาสื่อสารการแสดง (Performing Arts) ในแต่ละภาควิชาก็จะมีสาขาแยกย่อยลงไปอีก นักศึกษาจะมีสิทธิ์เลือกวิชาเอก-โทเมื่อขึ้นปีสอง แต่ไม่ว่ายังไง ห้องเรียนของเด็กทุกเอกทุกชั้นปีก็ยังรวมกันอยู่ภายใต้ตึกที่ตั้งชื่อให้ไว้อย่างหรูหราว่า เคหาสน์บัว อยู่นั่นเอง
มันเป็นอาคารแฝดรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสองหลังที่เชื่อมขนานกันด้วยระเบียงไม้บนชั้นหนึ่ง ตึกแรกสูงสี่ชั้นใช้เป็นห้องเรียนทั่วไป ห้องประชุม ห้องภาควิชา รวมถึงห้องพักอาจารย์ อีกตึกหนึ่งสูงเพียงสาม ใช้เป็นห้องเรียนสำหรับวิชาเฉพาะทาง ประกอบด้วยห้องปั้นสำหรับเด็กประติมากรรม ห้องสตูดิโอตัดต่อสำหรับเด็กนิเทศศิลป์ ห้องเก็บเสียงให้เด็กดุริยางค์ซ้อมดนตรี และห้องที่มีกระจกรอบด้านเพื่อให้เด็กการแสดงได้ฝึกเต้นฝึกเล่นละคร เป็นต้น
ซ้ายมือของแนวทางเดินไม้คือลานซีเมนต์กว้างซึ่งคนในคณะใช้เป็นลานอเนกประสงค์ในการจัดทำกิจกรรมต่างๆ ขวาคือสระบัวสาย ต้นกำเนิดชื่อ เคหาสน์บัว ของอาคารศิลปกรรมศาสตร์ ล้อมรอบด้วยสวนหย่อมขนาดย่อมที่ออกแบบโดยพี่ๆน้องๆตั้งแต่รุ่นสี่ และกลายเป็นหน้าที่ที่ทุกคนในคณะจะต้องช่วยดูแลสืบต่อกันมา
แม้จะไม่ได้ใหญ่โตจนกลายเป็นอาณาจักรที่พรั่งพร้อมไปด้วยความสะดวกสบาย เหมือนคณะวิศวกรรมที่กินพื้นที่มหาวิทยาลัยไปหลายสิบไร่ แต่สถานที่เล็กๆตรงนี้ก็ให้ความรู้สึกว่าน่าอยู่ตามแบบฉบับของมัน
สถาปัตยกรรมแบบผสมผสานแห่งนี้รองรับเด็กจำนวนไม่ถึงพันคนด้วยความอบอุ่น จนบางทียงกุกก็คิดว่าเกือบจะร้อนเกินไปเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกับเวลาพักเที่ยงที่ทุกคนพร้อมใจกันเปิดสงครามแย่งชิงพื้นที่ในโรงอาหารใต้ตึก วุ่นวายและโหวกเหวกเสียจนหวิดจะกลายเป็นจลาจลกลางเมือง อย่างที่ต่อให้จะรักกันแน่นแฟ้นแค่ไหน แต่ถึงตอนนั้นความเป็นพี่เป็นน้องมันก็ไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว
หรือแม้แต่ในยามปกติที่แค่เดินสวนกันใต้ตึกคณะ รองเท้าผ้าใบของยงกุกก็ไม่เคยว่างเว้นจากการรับความรักจากส้นเท้ารุ่นพี่รุ่นน้องศิลปกรรมศาสตร์คนอื่นๆเลย นับเป็นสถิติที่เขาจะโดนสุ่มเหยียบเท้าเวลาเดินผ่านข้างล่างนี่ได้ถึงหนึ่งในสิบครั้งพอดิบพอดี
คณะแคบนิดเดียวจนคนแทบจะเดินชนกันตายแบบนี้ ยงกุกไม่เห็นเลยว่าจะมีสาเหตุอะไรที่จะทำให้เขาคลาดกับจุนฮงทั้งที่ เอ่อ.. อุตส่าห์ลงมาแกร่วรอที่ลานบัวตั้งแต่เลิกควิซตั้งแต่สิบโมงครึ่งจนถึงเกือบสี่ทุ่มอย่างนี้
แต่ก็อย่างที่ใครๆเขาว่ากัน เรื่องจริงมันมักจะยิ่งกว่านิยายเสมอ เพราะจนเพื่อนๆพี่ๆน้องๆคนสนิทที่ร่วมตั้งวงเฮฮาไร้สาระมาด้วยกันตลอดทั้งวันทยอยกลับเกือบหมดแล้ว บังยงกุกก็ยังไม่ยักเห็นวี่แววของชเวจุนฮงแม้แต่เงา
ความมั่นใจที่เมื่อเช้าพกออกมาจากหอเต็มเปี่ยม ถ้าเทียบเป็นลูกโป่งเต่งๆสักใบหนึ่งแล้ว ตอนนี้มันคงมีสภาพไม่ต่างอะไรจากเศษยางรุ่งริ่งที่ถูกเจาะจนแตกโพละ (ไม่ใช่ถูกปล่อยลมจนแฟบ แต่เป็นถูกเจาะจนแตกโพละ.. หากจะให้ย้ำอีกครั้งหนึ่ง) ซากร่อแร่ของสิ่งที่เคยเป็นลูกโป่งบรรจุความหวังทำให้ชายหนุ่มชักเริ่มไม่มั่นใจกับความเชื่อของตัวเอง
คณะนี้มันอาจจะกว้างกว่าที่คิด..
สุดท้ายแล้วยงกุกก็ต้องเก็บความคาดหวังของตัวเองกลับลงเป้ใบโปรด เขาบอกลาคิมซังอูกับพวกรุ่นพี่ปีหกสองสามคนที่ยังนั่งล้อมวงเล่นกีต้าร์กันอยู่เป็นผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายประจำวัน ก่อนจะสอดมือล้วงกระเป๋ากางเกง เดินทอดน่องเอื่อยๆกลับหอ ระหว่างทางก็โฉบเข้าร้านเช่าหนัง สอยเดอะโลนเรนเจอร์ (The Lone Ranger) มาดูเล่นแก้เบื่อ นี่เพิ่งจะสี่ทุ่มเท่านั้น ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล เด็กมหา’ลัยอยู่ตัวคนเดียวที่ไหนเขานอนก่อนตีสองกัน
เขาแวะรับเสื้อผ้าที่ฝากซักรีด ซื้อมื้อดึกนิดหน่อยจากรถเข็นป้าๆหน้าปากซอย กับพวกของแห้งในร้านสะดวกซื้อขึ้นไปตุนบนห้องด้วย ตอนที่แตะคีย์การ์ดและพยายามใช้ไหล่ดันประตูหอพักอย่างทุลักทุเลก็เลยอยู่ในสภาพบ้าหอบฟาง สองมือหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเต็มไปหมด โชคดีที่พี่เจ้าของหอประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์พอดี ยุนซึงออเลยแสดงน้ำใจลุกมาช่วยเปิดประตูให้ผู้เช่ารายเก่าแก่ที่อยู่กับหล่อนมานานเกินสองปีเต็ม
“นึกว่าคืนนี้ต้องนอนตากน้ำค้างข้างนอกซะแล้ว” ร่างสูงว่ากลั้วหัวเราะ รีบเบียดแทรกตัวผ่านช่องว่าง “ขอบคุณครับพี่”
เขาหันไปก้มศีรษะให้คนดูแลหอตามมารยาท หากอีกฝ่ายกลับยกมือขึ้นรับอย่างไม่ถือสา
“เล็กน้อยน่า แล้วนี่เราหอบอะไรมาตั้งเยอะแยะน่ะฮึ” หญิงสาวผมสั้นท่าทางปราดเปรียวมุ่นเรียวคิ้ว จุดยิ้มมุมปากให้กับภาพถุงพลาสติกเต็มสองมือใหญ่อย่างขบขัน
“พรุ่งนี้เรียนบ่ายครับ คืนนี้เลยว่าจะปาร์ตี้ยาวถึงเช้า”
“ปาร์ตี้เด็กประถมรึไง พี่เห็นแต่น้ำเปล่ากับขนมหลอกเด็กทั้งนั้น” หล่อนแซวถึงน้ำเปล่าขวดใหญ่หลายขวดและกองทัพถุงมันฝรั่งทอดในมือซ้ายขวาของอีกฝ่าย “แล้วพวกน้องคนอื่นอยู่ไหนล่ะ ยงกุกจะถือของขึ้นไปก่อนแล้วให้พี่รอเปิดประตูให้ไหม”
“เฮ้ย ไม่ต้องครับพี่ พวกมันไม่ได้มากัน วันนี้ผมลุยคนเดียว” ชายหนุ่มรีบโบกมือไม้เป็นพัลวัน
สีหน้าของซึงออเปลี่ยนเป็นจากยิ้มขำเป็นประหลาดใจ
“จริงเหรอ ถึงจะเป็นปาร์ตี้เด็กน้อยก็เถอะ แต่มีคนเดียวแบบนี้เหงาแย่ จีฮเยก็ยังไม่กลับมานี่ แหม ถ้าไม่ติดว่าพี่มีงานต้องเคลียร์อีกเป็นตั้งล่ะก็นะ จะชวนมาตั้งวงกันข้างล่างนี่แล้ว” เจ้าของหอพักหยอดนิดหน่อยพอเป็นพิธี ไม่ให้เสียภาพลักษณ์สาวเปรี้ยวสุดมั่นใจ แล้วก็ทำตาโตอย่างเพิ่งนึกอะไรได้
“เออนี่ แล้วเราเจอเด็กใหม่ห้อง 509 รึยัง.. คนที่พี่บอกว่าเพิ่งย้ายมาแทนเจ้าแทโฮน่ะ” ชายหนุ่มส่ายหน้าแทนคำตอบ “รู้สึกจะเป็นเด็กสินกำ[1]เหมือนเราเนี่ยแหละ ปีหนึ่งมั้งถ้าจำไม่ผิด ตัวสูงๆหน่อย แต่ดูเด๊กเด็ก หล่อน่ารักน่ากินซะด้วย..” คนพูดพยายามอธิบายภาพเท่าที่จำได้อย่างกระท่อนกระแท่น ขณะที่คนฟังยืนตัวแข็งค้างจนเกือบจะกลายเป็นหินไปแล้ว
แค่เด็กผู้ชายปีหนึ่ง.. สูง หน้าตาน่ารัก อยู่คณะเดียวกันกับเขา.. ข้อมูลที่ยุนซึงออมอบให้มีน้อยนิดแค่นั้น. หากสำหรับยงกุกแล้ว มันคือเชื้อเพลิงชั้นดีที่สามารถจุดเปลวไฟในใจเขาซึ่งแอบหรี่ลงนิดหนึ่งตั้งแต่เมื่อตอนเย็นให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาได้อีกครั้ง
“..ชื่ออะไรเหรอครับ?” เขาถาม เสียงที่ได้ยินนั้นทุ้มกังวานราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเอง
หญิงสาวผมสั้นกัดริมฝีปากด้วยท่าทางครุ่นคิด “เอ ไม่แน่ใจแฮะ พี่ก็ยังจำไม่ได้เหมือนกัน” หล่อนยักไหล่เป็นเชิงลุแก่โทษ ก่อนจะตบท้ายด้วยข้อเสนอแนะอย่างคนมองโลกในแง่ดี “เราลองไปทักทายดูเองสิ เผื่อว่าจะได้เพื่อนร่วมปาร์ตี้เพิ่มอีกสักคน”
คำแนะนำของพี่สาวคนสวยพุ่งผ่านเข้าหูซ้ายแต่ไม่ยอมทะลุออกไปทางหูขวา มันตกตะกอนอยู่ในหัวของเขาจนกระทั่งลากสังขารกลับขึ้นมาได้ถึงห้องพักของตัวเอง เสียงของผู้ดูแลหอที่พูดถึงเด็กใหม่ห้องตรงข้ามก็ยังดังวนเวียนอยู่ในโสตประสาทไม่ยอมหยุด
ชายหนุ่มโยนถุงขนมอบกรอบลงบนโต๊ะกลมเล็กๆ ยัดน้ำเปล่าสามขวดใหญ่เก็บเข้าตู้เย็น ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงบนโซฟากลางห้อง ปลายนิ้วยังเกี่ยวหูหิ้วถุงขนมกินเล่นร้อนๆที่ซื้อจากหน้าปากซอยไว้ มีทั้งต็อกโบกี ทวีกิม กิมจิมันดู โอเด้ง[2].. ตอนที่ซื้อมาก็คิดอยู่ว่าจะมากเกินไปหรือเปล่าสำหรับคนเดียว แต่เพราะตั้งใจว่าจะอยู่ให้ถึงเช้าก็เลยคิดว่าให้เหลือน่าจะดีกว่าขาด เลยตัดสินใจซื้อมาเยอะๆไว้ก่อน
อย่างนี้จะนับว่าฟ้าดลใจหรือโชคเข้าข้างได้ไหม เพราะถ้าคิดจะไปเสนอหน้าทักทายเพื่อนบ้านใหม่โดยไม่มีเหตุจำเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยมีขนมติดไปด้วยก็ภาษีดีกว่าไปมือเปล่าอยู่หลายเท่าตัวแหละน่า
ตัดสินใจได้แล้วว่าเอาไงเอากันวะ ยังไงจะลองออกไปทักทายดู.. ปัญหาต่อไปที่ยงกุกต้องจัดการคือ.. แล้วจะหยิบอะไรไปเป็นของฝากดีล่ะ?
ใจเขานึกถึงเกี๊ยวซ่าทอดไส้หมู ทวีกิมร้านนี้เป็นเจ้าดังของแถบนี้ ทอดได้กรอบ เนื้อกรุบ เคี้ยวเพลิน แต่ไม่อมน้ำมัน อาจจะเสียอย่างตรงที่ชิ้นเล็กไปหน่อย แต่โดยรวมแล้วก็รสชาติไม่เลวทีเดียว
ยงกุกใช้ความชอบส่วนตัวเป็นเกณฑ์การให้คะแนน หากพอคิดว่าจะถูกปากจุนฮงหรือเปล่านั้น.. เขากลับเริ่มไม่แน่ใจ
ตอนที่เขาเริ่มสนใจน้องแรกๆ ฮิมชานมันบอกว่าอะไรนะ.. ชเวจุนฮง บ้านรวย หัวนอก อะไรทำนองนั้นใช่ไหม.. ชายหนุ่มพิจารณาเกี๊ยวซ่าหน้าตาผอมแห้งในมือตัวเองอีกทีอย่างไม่มั่นใจ.. แล้วของบ้านๆอย่างนี้จะถูกปากเด็กนอกอย่างหมอนั่นรึเปล่า.. หรือควรถามว่ากินได้ไหม จะถูกมากกว่านะ
“ต็อกโบกีก็แล้วกัน” เขาพึมพำกับตัวเอง สุดท้ายก็เลือกเอาขนมแป้งราดซอสที่ดูเป็นอาหารเกาหลีแบบเบสิคสุดๆขึ้นมา คิดว่าต่อให้จะเป็นเด็กนอก แต่ถ้ามีชื่อเกาหลีก็แสดงว่ายังไงก็ต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นเกาหลีอยู่บ้างแหละน่า มันจะกินต็อกโบกีไม่ได้ก็ให้รู้ไป
อีกอย่าง.. “จะใช่จุนฮงรึเปล่าก็ไม่รู้” ความบังเอิญสองครั้งทำให้เขาคิดเข้าข้างไปเองว่ามันคงจะเกิดครั้งที่สามขึ้นมาได้โดยง่าย แต่พอมานึกดูอีกที โอกาสที่มันจะไม่เกิดก็มีมากพอๆกัน ยงกุกเตือนตัวเองให้เผื่อใจไว้หน่อยจะได้ไม่ต้องรู้สึกหน้าแตกมากถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่หวังไว้
ถึงจะเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว (หรือที่เขาคิดว่าน่าจะพร้อมแล้วน่ะนะ) แต่พอมาหยุดยืนหน้าประตูห้องเบอร์ 509 จริงๆ ชายหนุ่มก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ก้อนเนื้อในอกซ้ายเขาเต้นถี่รัวอย่างบ้าคลั่งจนยงกุกกลัวว่ามันจะหลุดออกมาข้างนอกไม่ในวินาทีใดก็วินาทีหนึ่ง.. แรงและเร็วยิ่งกว่าเมื่อตอนครั้งแรกที่เขาขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาตอนอายุสิบหกเสียอีก
เขาฝืนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ กำปั้นหลวมๆยกขึ้นหมายจะเคาะประตู ทว่าความลังเลที่แทรกเข้ามาเบียดเบียนความตั้งใจ ทำให้เขาลดมือลงอย่างเสียไม่ได้
ถ้าเจ้าของห้องไม่ใช่จุนฮง.. เขาควรจะทำอย่างไร
แล้วถ้าเกิดใช่จุนฮงขึ้นมาจริงๆล่ะ.. เขาควรจะทำอย่างไร
ถ้าน้องไม่พอใจ ไม่อยากผูกมิตร หรือถึงขั้นรำคาญเขาที่จู่ๆก็เสนอหน้าโผล่มาไม่รู้จักดูเวล่ำเวลาอย่างเอาแต่ใจ.. แล้วเขาควรจะทำอย่างไร
สมองเขาแล่นเร็วจี๋ คำว่า ถ้า ถ้า ถ้า ลอยว่อนอยู่เต็มหัวไปหมด มือยกขึ้นๆลงๆด้วยความละล้าละลังอยู่อย่างนั้น ไม่บ่อยนักที่คนอย่างเขาจะรู้สึกกลัวกับอะไรบางอย่างจนไม่อาจตัดสินใจได้ นับว่าเป็นเรื่องแปลกที่เด็กผู้ชายธรรมดาๆ ที่เกือบจะเรียกได้ว่าคนแปลกหน้าเพียงคนเดียวสามารถทำให้เขาเป็นได้ถึงขนาดนี้
แต่มันก็เป็นไปแล้ว.. และถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจกับตัวเองมากแค่ไหน ชายหนุ่มก็คงได้แต่ก้มหน้ายอมรับ
บังยงกุก ไอ้คนขี้ขลาด
เขาเริ่มต้นด่าตัวเองในใจ
เคาะสิวะ เคาะเลย แค่เรียกคนในห้องออกมาพิสูจน์ให้รู้ว่าใช่คนที่รออยู่รึเปล่า แล้วจะได้จบๆกันไป ไม่ต้องมามัวเงอะๆงะๆงี่เง่าอยู่อย่างนี้
ง่ายๆแค่นี้มึงยังทำไม่ได้เหรอวะ แล้วชาตินี้จะมีปัญญาทำห่าอะไรกิน ไอ้กระจอกเอ๊ย
ความคิดเริ่มทวีความดุเดือดขึ้น หากมือที่ยกค้างไว้ก็ยังคงทิ้งค้างกลางอากาศอยู่อย่างนั้น
ยงกุกถอนหายใจ ก่อนจะค่อยๆลดมือลง
ใครสักคนได้กล่าวไว้ว่า เมื่อต้องการความจริง ต้องยอมรับความจริงให้ได้เสียก่อน.. ชายหนุ่มเคยอ่านคำคมข้อนี้มาจากหนังสือเล่มไหนสักเล่มหนึ่ง เคยนึกขำว่า คนที่ต้องการความจริงแต่ยังยอมรับความจริงไม่ได้เนี่ย มันมีด้วยหรือวะ.. เพิ่งแจ่มแจ้งแก่ใจตอนนี้เองว่า บนโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลและประกอบด้วยผู้คนร้อยแปดรูปแบบนั้น อย่างน้อยๆก็มีเขาคนหนึ่งนี่แหละที่เป็นอย่างนี้
เขาเดินกลับเข้าไปในห้อง ฉีกชีทเรียนที่ไม่ได้ใช้แล้วออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วพลิกด้านหลัง จรดปากกาลงเขียนข้อความบนพื้นที่ว่าง “สวัสดีเด็กใหม่ หวังว่าจะอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายนะ J”
ยงกุกไม่ได้ลงชื่อผู้เขียน คิดเชื่อมโยงเอาเองในใจว่ายังไงเด็กใหม่ก็น่าจะเป็นคนเดียวกับที่เอาโพสท์อิทมาแปะไว้ที่หน้าห้องเมื่อคืน.. เขาอยู่ที่นี่มาตั้งสามปี พาพวกเพื่อนๆตัวแสบมาค้างมาโวยวายที่ห้องเป็นประจำ ยังไม่เห็นเคยโดนอะไรแบบนี้สักที (หมายถึงโดนเชือดเฉือนนิ่มๆผ่านโพสท์อิทน่ะนะ.. เพราะถ้าเป็นเพื่อนๆห้องอื่นที่คุ้นเคยกันดี ก็มักจะวิ่งแจ้นมาทุบประตูปังๆตัดรำคาญ หรือไม่ก็ตะโกนด่ากันตรงๆไปเลยมากกว่า)
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะเปิดเผยตัว เขาก็คิดว่าตัวเองก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเปิดเผยตัวก่อนเหมือนกัน
อดีตชีทเรียนซึ่งบัดนี้กลายร่างเป็นจดหมายแผ่นย่อมๆเรียบร้อยแล้ว ถูกม้วนสอดลงในถุงขนมต็อกโบกีเย็นชืด ชายหนุ่มแขวนมันเข้ากับลูกบิดประตูของห้อง 509 ลังเลอีกครั้งว่าจะเคาะเรียกดีหรือไม่ หากสุดท้ายก็ตัดใจ
ร่างสูงลากเท้ากลับมาล้มตัวลงนอน ไฟในห้องยังเปิดโร่ แต่เจ้าของห้องกลับข่มตาหลับทั้งอย่างนั้น
ท่ามกลางแสงไฟนีออนเหนือหัวที่สว่างจ้าจนทำให้ปวดหัวทั้งๆที่หลับตาอยู่.. เป็นครั้งแรกที่ยงกุกนึกหวังให้สิ่งที่เขาไม่เคยเชื่อถือเช่น พรหมลิขิต มีอยู่จริง
.
.
.
เก้าโมงครึ่ง
เขาลุกจากเตียง พร้อมด้วยความรู้สึกมวนท้องที่ปั่นป่วนอยู่ตั้งแต่เมื่อวาน.. หลังจากหลับๆตื่นๆครุ่นคิดเกี่ยวกับมันมาทั้งคืน ยงกุกก็พบว่าทางเดียวที่จะกำจัดมันให้พ้นๆไปได้คือ ต้องกล้าที่จะออกไปเผชิญหน้ากับความจริงให้รู้แล้วรู้รอดเสีย.. มือเรียวผลักประตูให้เปิดกว้าง เท้าแรกที่ก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน[3]แม้จะไม่มั่นใจในทีแรก แต่ก็รองรับน้ำหนักร่างกายที่โน้มออกไปถึงครึ่งตัวได้อย่างมั่นคง
ลูกบิดประตูของห้องตรงข้ามคือจุดแรกที่สายตาพุ่งมอง.. มันกลมเกลี้ยงและเป็นสีเงินเงาวับ สะท้อนสีหน้ากึ่งดีใจกึ่งโล่งอกของเขาเป็นรูปเล็กๆกลับหัวอยู่บนนั้น
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว รู้สึกเบาหวิวเหมือนตัวเองเป็นสายลับสักนายที่เพิ่งทำภารกิจสำเร็จพ้นไปด้วยดี
รอยยิ้มกริ่มผุดปรายขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะชะงักค้าง และเลือนหายไปอย่างรวดเร็วทันทีที่หางตาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างไหวอยู่ไวๆตรงหน้าประตูของตัวเอง
เขารีบรุดออกไปด้านนอก ถุงพลาสติกหน้าตาคุ้นๆใบย่อมที่แขวนอยู่กับลูกบิดเรียกให้ความรู้สึกชาวาบแล่นปราดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
เอามาคืนเหรอ? ไม่น่า.. จะใจร้ายขนาดนั้น? มือฉวยถุงขึ้นมาเปิดดู เผลอกลั้นหายใจเมื่อพบว่าขนมเกาหลีที่ใส่ไว้แต่แรก รวมถึงจดหมายที่แปรรูปจากชีทเรียนอันเก่าได้อันตรธานหายไปจนหมดแล้ว ทว่าผู้รับของได้ใส่บางอย่างเข้ามาแทนที่ พร้อมกับโพสท์อิทหน้าตาคุ้นเคยสองแผ่น ที่แปะไว้ฝั่งซ้ายขวาของถุงพอดีเป๊ะ เหมือนตั้งใจกะให้ได้สมมาตร
“พี่ยงกุก ขอบคุณสำหรับขนมนะ
ให้ของมานี่ต้องการให้ตอบแทนรึเปล่า? แต่ก็ไม่รู้จะตอบแทนอะไรแฮะ.. ยังไงพี่แบ่งผลไม้ไปกินละกัน มะม่วงนี่แม่เพิ่งซื้อมาฝากเมื่อสองวันก่อน กำลังคิดอยู่ว่ากินคนเดียวไม่น่าจะหมด.. ถุงก็ไม่มีด้วย ขอใช้ถุงเดิมนะ ไม่น่าเกลียดใช่ป่ะ?”
“ทีหลังมีอะไรก็เคาะเรียกดิ แขวนขนมไว้ที่ประตูยังงี้ ถ้าไม่บังเอิญเปิดออกมาเจอ เดี๋ยวมดขึ้นละอดกินนี่เสียดายแย่
ปล. พี่ซื้อเจ้าหน้าปากซอยป่ะ ถ้าใช่ วันหลังหิวๆจะได้ลงไปซื้อมั่ง อร่อยดี
ขอบคุณครับ J.H.”
..เป็นอีกครั้งที่ยงกุกรู้สึกเหมือนกับว่า โลกทั้งโลกหมุนช้าลง
สายตาเขาจดจ้องแค่ตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษสีสดแผ่นเล็กๆ กวาดอ่านซ้ำไปซ้ำมาราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายาก ซึ่งไม่มีใครเคยได้เห็น และเขาเป็นคนแรกที่โชคดีได้รับโอกาสนั้น
ชายหนุ่มอยากจะกดโทรศัพท์หาอูฮยอนตอนนี้เลย
อยากถามมันว่าไอ้ทฤษฎีความบังเอิญสามครั้งอะไรที่มันเคยพูดถึงเนี่ย มีสัดส่วนของความจริงความเท็จแค่ไหน.. ความจริงจังของเงื่อนไข.. รวมถึงโอกาสของความเป็นไปได้ และอัตราของการประสบความสำเร็จอีกเท่าไหร่
..แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเจอกันแล้วได้ไหม นับเป็นความบังเอิญครั้งที่สามได้หรือเปล่า หรือถ้าไม่ได้.. มันจะผิดมากไหม หากเขาจะแหกกฎที่ว่านั่น
จะเป็นอะไรไหม หากเขาจะไม่รอจนเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นครบทั้งหมดสามครั้ง เหมือนอย่างที่ทฤษฎีได้ว่าไว้..
เพราะยงกุกตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอม รอ ให้เสียเวลาเปล่าอีกต่อไป
TBC
[1] สินกำ - คำเรียกคณะศิลปกรรมศาสตร์แบบย่อๆ ในภาษาพูด แบบเดียวกับ ถาปัตย์ วิดวะ วิดยา ฯลฯ
[2] ขนมกินเล่นของเกาหลี ต็อกโบกี: ชิ้นแป้งราดซอส/ ทวีกิม: ของทอด/ กิมจิมันดู: เกี๊ยวนึ่งไส้กิมจิ/ โอเด้ง: เนื้อเสียบไม้ต้มๆ ลวกๆ
[3] คอมฟอร์ตโซน - Comfort Zone ศัพท์ทางจิตวิทยาว่าถึงพื้นที่ที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย มั่นใจ สบายใจที่จะอยู่ที่นั่น ประมาณนี้ค่ะ
[x] นี่คือเจอกันรึยังคะ งง 555555 ;-; ไม่ทำรูปโปรยหัวตอนแล้วนะคะ ยากและใช้พลังงานมากเกินไป ขี้เกียจ พูดเลย 55555 ;-;
#ชั่วโมงตอบนักอ่าน ใช่ค่ะ จูนงอยู่ห้อง 509 // ใช่ค่ะ น้องหล่อกว่าพี่ยงกุก // แต่เรื่องนี้เป็นปังเจลนะคะ ยังคงยืนยัน ;-; // ไม่มีพล็อตค่ะ ก็เรื่อยเปื่อยไปตามใจ ;-; และอารมณ์ // ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเขียนค่ะ งานไม่เยอะค่ะ แต่ติดซีรี่ส์ ;-; #เอ๊ะ
ปล. จุนฮงขี้อ่อยอ่ะ
ปลล. จุนฮงรู้ได้ไงว่าห้อง 508 คือพี่ยงกุก อันนี้เดี๋ยวมาเฉลยอีกที อิอิ
ปลลล. รักทุกคนค่ะ ;-; /พับเพียบกราบ
ความคิดเห็น