ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC B.A.P] All of my B.A.P short fictions

    ลำดับตอนที่ #3 : [SF] A word that starts with the letter L [01] [ZeloDae]

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 55


     



    A word that starts with the letter L

    Zelo x Daehyun fanfiction

    by kyosama

















    L is for the way you look at me.

     

     

     

    เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ

     

    เมฆขาวหอบเอาลมหนาวสุดท้ายจากไปแล้ว เปิดทางให้แสงแดดเข้าครอบครองพื้นที่ทั่วทุกตารางนิ้ว สัตว์น้อยใหญ่ทยอยตื่นจากการจำศีล ต้นไม้ใบหญ้าเองก็เริ่มเยี่ยมหน้าออกจากที่พักพิงที่เฝ้าเก็บตัวมาแรมเดือน ดอกไม้สะบัดตัวไล่เกล็ดหิมะที่ยังตกค้างอยู่บนตัวออกอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะชูคอเงยหน้ารับแสงอาทิตย์แรกหลังจากทนหนาวเหน็บมานาน ทุ่งดอกไม้เริ่มปรากฏให้เห็นประปราย ภาพกระรอกหอบลูกวอลนัทวิ่งไล่จับกันกลายเป็นภาพน่ารักเรียกรอยยิ้มที่เห็นได้อยู่บ่อยครั้ง มีคนเคยบอกไว้ว่าฤดูใบไม้ผลิคือฤดูแห่งชีวิต เป็นฤดูที่ทุกสิ่งทุกอย่างมีชีวิตชีวา ทั้งยังเบ่งบานสะพรั่งไปเสียหมด

     

    ความรักเองก็เช่นกัน

     

     

     

     

     

     

     

    แดฮยอนจำไม่ได้ว่าเขาเคยกลัวการไปโรงเรียนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ อาจจะตอนประถมต้น? ตอนอนุบาล? หรือจริงๆแล้วอาจจะไม่เคยเลยก็ได้กระมัง

     

    ชีวิตนักเรียนที่ผ่านมาของเด็กหนุ่มสมบูรณ์ดี เขาเป็นเด็กเก่งทั้งเรื่องเรียนและกิจกรรม เป็นที่รักของเพื่อนๆ แถมยังไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียให้ต้องด่างพร้อย และไม่เคยมีประวัติว่าโดนคนเหม็นหน้าจนถูกใครรังแกมาก่อน

     

    เขาเติบโตขึ้นมาอย่างสุขสบาย แม้จะไม่ได้ร่ำรวยขนาดเศรษฐี แต่ก็ถือว่าเป็นลูกคุณหนูที่ไม่เคยตกระกำลำบากคนหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้ว เศรษฐกิจโลกผันผวนอย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของเกาหลีใต้เป็นทอดๆ ราคาหุ้นดิ่งลงฮวบฮาบ บริษัทหลายบริษัทขาดทุนจนแทบประคองตัวไว้ไม่อยู่ บริษัทที่จองอินจูทำงานด้วยก็เป็นหนึ่งในนั้น

     

    เรื่องการเงินไม่เคยเข้าใครออกใคร เมื่อบริษัทใดก็ตามประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก สิ่งแรกที่ควรจะทำคือปลดบุคคลากรตำแหน่งสูงที่ได้เงินเดือนมากแต่ทำงานน้อยออกเป็นพวกแรกๆ พ่อของแดฮยอนถูกขอให้ออกจากงาน ได้เงินชดเชยก้อนใหญ่มาก้อนหนึ่ง ซึ่งเมื่อรวมกับเงินที่ได้จากการขายบ้าน ก็มากพอที่จะทำให้ทั้งครอบครัวย้ายกลับไปตั้งตัวที่ปูซาน ที่ทั้งครอบครัวเคยอยู่มาก่อนหน้าย้ายตามพ่อมาทำงานที่โซลได้อย่างสบายๆ

     

    ชีวิตต่างจังหวัดไม่ได้ลำบากอย่างที่เคยคิด ที่นั่นมีห้างสรรพสินค้า มีร้านกาแฟดีๆ มีไฟฟ้า มีน้ำประปา มีอินเตอร์เน็ตใช้ เด็กหนุ่มพอใจกับความสะดวกสบายเหล่านั้น แต่สิ่งที่ยังทำให้แดฮยอนลำบากใจอยู่จนทุกวันนี้มีเพียงอย่างเดียว..

     

    เขาเคยมีชีวิตสิบปีที่สงบสุขในรั้วโรงเรียนเอกชนชั้นดี เคยเป็นที่รักของทั้งครูอาจารย์และเพื่อนๆ ก้าวแรกในชีวิตมอปลายของแดฮยอนจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ โรงเรียนมัธยมปูซานเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด แล้วก็เป็นโรงเรียนรัฐที่ดีที่สุดในแถบนี้ แดฮยอนก้าวเข้ามาที่นี่ด้วยความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเก่ง ถึงอย่างไรเขาก็สอบได้ไม่เคยต่ำกว่าลำดับที่ห้าของชั้น และยังเคยเป็นถึงประธานนักเรียนตอนมอต้น อย่างน้อยก็น่าจะเรียกได้ว่าพอมีดีอยู่บ้าง

     

    พ่อแม่ของแดฮยอนเลี้ยงเขามาให้สุภาพอ่อนน้อม แต่พลาดอยู่อย่างที่ไม่เคยสอนให้รู้จักถ่อมตัว เด็กหนุ่มเป็นคนฉลาด และภูมิใจในความฉลาดนั้น เขารู้ว่าตัวเองทำอะไรได้ และไม่เห็นว่าการแสดงให้คนอื่นเห็นเช่นนั้นด้วยจะเป็นเรื่องผิดตรงไหน น่าเสียดายที่นอกจากคนต่างถิ่นจะเป็นสิ่งต้องห้ามในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้แล้ว เด็กเรียนก็ยังเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ถูกหมายหัวไว้ด้วย

     

    ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่โรงเรียนเพิ่งเปิดมาได้แค่ไม่เท่าไหร่ แต่ชื่อของจองแดฮยอนกลับขึ้นแท่นบุคคลที่ถูกกลั่นแกล้งมากที่สุดประจำสัปดาห์ไปแล้วเรียบร้อย ชีวิตพลิกจากที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของปิรามิด ตกลงไปจมอยู่ใต้ฐานอย่างรวดเร็ว

     

    แต่โชคชะตาก็ไม่ได้จะเกลียดเขาเสียทีเดียว เป็นครั้งแรกที่แดฮยอนนึกขอบคุณพระเจ้าที่ตัวเองเกิดมาหน้าตาพอใช้ได้ และถึงพ่อจะไม่มีงานประจำแล้ว แต่ร้านอาหารทะเลของแม่ก็ท่าทางจะกำไรดีจนไม่น่าจะต้องหยิบจับอะไรอย่างอื่นอีก แดฮยอนจึงเข้าข่ายหนุ่มหล่อฐานะดี ตรงตามแบบฉบับคนในฝันของสาวๆทั้งหลาย (ตัดเรื่องเรียนเก่งออกไป เพราะเนิร์ดเป็นสิ่งที่ไม่มีวันถูกเทิดทูนที่นี่) ซึ่งทำให้เขายังมีฐานเสียงพวกผู้หญิงกับเพศที่สามกลุ่มใหญ่รองรับให้พออุ่นใจว่าอย่างน้อยก็ยังไม่โดนคนเหม็นขี้หน้าทั้งโรงเรียน

     

    แต่ถึงอย่างนั้น

     

    เขาก็ยังไม่มีใครที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนจริงๆสักคน

     

    แดฮยอนคิดเช่นนั้นในวันหนึ่ง ขณะส่งการบ้านคณิตศาสตร์ให้คังแทโฮ อันธพาลประจำห้องเอาไปลอก และกลั้นใจรอรับฝุ่นแปรงลบกระดานที่เจ้ายักษ์ใหญ่เคาะใส่หัวแทนคำขอบคุณอย่างกล้ำกลืน

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

    จุนฮงจำไม่ได้ว่าเขาเคยรู้สึกอยากไปโรงเรียนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ อาจจะตอนประถมต้น? ตอนอนุบาล? หรือจริงๆแล้วอาจจะไม่เคยเลยก็ได้กระมัง

     

    ชีวิตนักเรียนที่ผ่านมาของเด็กหนุ่มไม่ค่อยน่าชื่นชมนัก เขาไม่ใช่คนเรียนเก่ง ไม่ทำกิจกรรมเพราะไม่ชอบหาภาระมาแขวนคอ ซ้ำยังเป็นลูกชังของพวกอาจารย์อีกเพราะมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นบ่อย อันที่จริงไม่ใช่ว่าจุนฮงอยากเกเรด้วยตัวเองสักหน่อย แต่คนอื่นชอบเหม็นหน้าเขาจนมาหาเรื่องก่อนเองต่างหาก แล้วจะไม่ให้เขาปกป้องตัวเองได้อย่างไร

     

    ตอนแรกจุนฮงก็แค่ป้องกันตัว แต่ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าเด็กผู้ชายตัวผอมๆแขนขายาวเก้งก้างอย่างเขาจะเก่งเทควันโด จริงไหม? พอชนะเข้าบ่อยหน่อยก็มีคนมาคอยดักท้าให้สู้ด้วยเพราะหมั่นไส้บ้าง อยากได้ชื่อเสียงบ้าง แต่สุดท้ายก็แพ้คลานกลับบ้านกันทุกราย เป็นที่มาของฉายาเจ้ายักษ์เจลโล่ที่เจ้าตัวเองก็ไม่ค่อยอยากจะรับสักเท่าไหร่ ที่มาพร้อมคะแนนความนิยมในหมู่นักเรียนด้วยกัน ผกผันกับคะแนนความประพฤติที่โดนอาจารย์หักจนแทบจะไม่เหลือ

     

    แต่เขาไม่สนใจคะแนนอะไรนั่น หรือจะให้พูดอีกอย่างคือ เขาไม่เคยสนใจอะไรที่เกี่ยวกับโรงเรียนมานานมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียน คะแนน ครู หรือแม้เพื่อนเพื่อนก็ตามที

     

    ถ้าจะให้เปรียบ จุนฮงคงบอกได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า ชีวิตในรั้วโรงเรียนนี่ก็คือคุกดีๆนี่เอง

     

    ที่ว่าดีคือข้าวที่โรงอาหาร ถึงคนอื่นจะบอกว่ารสชาติบัดซบแค่ไหน แต่ก็ดีกับท้องไส้มากกว่าอาหารที่บ้านเขานัก อย่างน้อยก็มีผักมีเนื้อให้กินบ้าง ไม่ใช่ว่าชีวิตมีแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับปลากระป๋อง และอาหารกล่องแช่แข็งที่นานๆจะได้กินทีหนึ่ง

     

    ส่วนที่ว่าคุกคือเขาเห็นว่าโรงเรียนเป็นที่กักขังอิสรภาพ จุนฮงมีความฝัน เขาอยากจะเป็นแรปเปอร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกเหมือนอย่างเจปป์ แบล็คแมน แรปเปอร์ใต้ดินที่ตัวเองชื่นชอบ และไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆหลายปีกับการท่องจำตำราที่สุดท้ายแล้วเขาก็คงจะไม่ได้ใช้ จุนฮงเคยคิดจะลาออกจากโรงเรียนไปหางานทำตามที่ถนัดอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ลองพูดเรื่องนี้กับพ่อ เป็นต้องจบด้วยการทะเลาะกันบ้านแทบแตกอยู่เสมอ

     

    จุนฮงคิดว่าพ่อเกลียดความฝันของเขา เพราะมันทำให้พ่อนึกถึงแม่

     

    แม่เป็นคนสวย สมัยยังสาวเคยเป็นดาราที่มีชื่อเสียงพอสมควร พอแต่งงานกับพ่อก็ห่างหายจากวงการไป แฟนๆก็คิดถึงจนมีคนตามกลับให้ไปเล่นละครหลังจากเพิ่งมีเขาได้หมาดๆ ทั้งที่พ่อไม่สนับสนุน สุดท้ายการโหมทำงานหนักทั้งที่สุขภาพไม่แข็งแรงก็ทำให้แม่ล้มป่วย และในคืนฝนตกคืนหนึ่ง โรคร้ายก็พรากผู้หญิงคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาและพ่อไปตลอดกาล

     

    ในบ้านไม่มีรูปถ่ายของแม่หลงเหลืออยู่แม้แต่ใบเดียว พ่อเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับแม่ไว้ในมุมที่ลึกที่สุดของชีวิต ตั้งแต่เด็กจุนฮงไม่เคยได้เห็นหน้าแม่ พอโตขึ้นมาหน่อยก็อาศัยเอาเรื่องที่พ่อเล่าไปค้นชื่อแม่ในอินเตอร์เน็ต ถึงได้เจอรูปเจอละครที่แม่แสดง จุนฮงได้อ่านชีวประวัติของแม่ที่มีคนเขียนเอาไว้ ตรงส่วนที่บอกว่าแม่แต่งงานกับพ่อมีภาพประกอบแนบไว้ด้วย ในภาพนั้นพ่อยิ้มกว้างอย่างมีความสุข นอกจากเครื่องหน้าที่เหมือนกันแล้ว ก็แทบไม่มีอะไรชวนให้นึกถึงผู้ชายเคร่งขรึมคนที่เขาเคยเห็นอยู่ทุกวันได้เลย   

     

    เด็กหนุ่มอยากให้พ่อยิ้มจากใจได้อย่างนั้นอีกครั้ง อันที่จริงเขาก็อยากทำในสิ่งที่พ่อจะสบายใจ แต่จุนฮงก็คิดว่ามันไร้สาระถ้าพ่อจะใช้อดีตของแม่มากำหนดอนาคตของเขา อย่างไรชีวิตนี้เกิดมาก็เป็นของตัวเองครึ่งหนึ่ง ควรได้มีสิทธิ์เลือกทางเดินเองบ้าง แล้วถ้าไม่ว่าจะทำอย่างไรพ่อก็ไม่เข้าใจจริงๆ เขาก็ควรหาวิธีอื่นสำรองเผื่อไว้ เช่น ศึกษาทางหนีทีไล่เผื่อจะหนีเข้าโซลเองสักวันหนึ่ง แต่ถ้าจะทำอย่างนั้นเขาก็ต้องหาข้อมูลที่จำเป็นไว้ก่อนล่วงหน้า อย่างเช่นพวกวิธีการเดินทาง สภาพแวดล้อม สภาพสังคมด้วย เป็นต้น

     

    นอกจากจะหาจากอินเตอร์เน็ตเอาเองแล้ว ถ้าได้ข้อมูลจริงจากคนเคยมีประสบการณ์ตรงด้วยก็น่าจะดีอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ปัญหาก็คือ ทั้งเขาทั้งคนรู้จักคนอื่นๆก็ไม่มีใครเคยเข้าโซลมาก่อนเลยนอกจากพ่อ แต่จะให้เขาไปถามเอาจากพ่อก็ไม่ได้ เกิดระแคะระคายขึ้นมา แผนที่อุตส่าห์วางไว้จะเสียหมด

     

    เสียงเตะโต๊ะดังโครม เรียกเด็กหนุ่มตัวสูงผู้กำลังจ่อมจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ให้เงยหน้าขึ้นสนใจกับเหตุการณ์หน้าห้อง

     

    ใช่แล้ว

     

    เด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายมานั่น.. น่าจะพอใช้ได้ ท่าทางว่าง่ายอยู่ด้วย

     

    จุนฮงคิดเช่นนั้น ขณะมองแดฮยอนส่งการบ้านคณิตศาสตร์ให้คังแทโฮ อันธพาลประจำห้องเอาไปลอก และนั่งนิ่งๆรอรับฝุ่นแปรงลบกระดานที่อีกฝ่ายโปะลงบนหัวอย่างกล้ำกลืน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     
     

    “ไง”

     

    เสียงทักที่จู่ๆก็ดังขึ้นเหนือหัวอย่างไม่ให้สุ้มเสียงล่วงหน้า เรียกให้เด็กหนุ่มเจ้าของผิวขาวจัดสะบัดหน้าขึ้นมองคนมาใหม่อย่างตกใจ ก่อนที่เรียวคิ้วจะเลิกขึ้น แปลกใจ เมื่อเห็นชัดเจนว่าใครคือผู้มาเยือน

     

    หน้าอ่อนๆแต่ยิ้มร้ายแบบนี้.. ลักยิ้มแบบนี้.. เขาจำได้..

     

    ชเวจุนฮง.. เจลโล่.. เด็กเกที่ใครๆก็ออกปากเตือนให้ระวัง

     

    “งะ.. ไง”

     

    มองตาอีกฝ่ายที่ยังจ้องตรงมาเขม็งไม่ยอมละสายตาหนีแล้วก็ข่มใจตอบเสียงสั่น รู้สึกได้ถึงความกลัวที่เข้าเกาะกุมหัวใจ จนใจเต้นรัวเกือบเป็นจังหวะกลองมาร์ชที่เคยเล่นสมัยอยู่วงดุริยางค์ที่โรงเรียนเก่า

     

    กิตติศัพท์ของจุนฮงเป็นที่เล่าลือกันทั่วทั้งโรงเรียน ขนาดเขาเพิ่งย้ายเข้ามาได้แค่ไม่กี่วันยังได้ยินเรื่องเสียๆของอีกฝ่ายจนหนักหู ทั้งเรื่องต่อยตีกับเด็กโรงเรียนอื่นบ้าง ทะเลาะกับอาจารย์บ้าง ข่มขู่รีดไถนักเรียนคนอื่นบ้าง..

     

    แดฮยอนไม่รู้หรอกว่าจุนฮงอุตส่าห์บุกเข้ามาทักเขาที่หลบมาซ่อนตัวกินข้าวอยู่มุมในสุดของสวนหลังโรงเรียนด้วยเหตุผลอะไร แต่ด้วยชื่อเสียงแย่ๆของอีกฝ่ายที่มีมากเกินพอ เขาก็จะขอเดาในทางร้ายไว้ก่อนว่า คนตัวสูงคงกำลังทำธุระบางอย่างอยู่แถวนี้เงียบๆ บังเอิญเกิดหิวขึ้นมาแล้วบังเอิญว่าเห็นเขานั่งกินข้าวอยู่พอดี ก็เลยเข้ามาทักเพื่อจะข่มขู่เอาข้าวกล่องไป

     

    ถึงมันจะดูเหมือนพล็อตการ์ตูนสาวน้อยไปหน่อย (ซึ่งแดฮยอนก็ไม่เคยอ่าน เพียงแต่เคยได้ยินเพื่อนผู้หญิงในห้องยกมาเป็นประเด็นกรี๊ดกร๊าดกันบ่อยเท่านั้นเอง) แต่เรื่องแต่งก็มักสร้างขึ้นจากเรื่องจริงไม่ใช่หรือ

     

    คิดอย่างนั้นแล้ว มือก็เผลอขยับกล่องข้าวเข้าหาตนเองอย่างลืมตัว

     

    ถ้าคิดจะแย่งไปจริงๆแดฮยอนก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็ขอให้ได้คุมเชิงบ้างเถอะ อย่างน้อยก็พูดได้เต็มปากว่าเคยขัดขืนแล้ว ไม่ใช่เอาแต่นั่งเซ่อแล้วปล่อยให้ใครมาหยิบฉวยของของตัวเองไปได้ตามใจชอบโดยไม่พยายามหาทางป้องกันอะไรเลย

     

    “นั่งด้วยคนดิ”

     

    เด็กหนุ่มตัวสูงบอกนิ่งๆ สองมือยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ในท่าที่แดฮยอนคิดว่ามันดูน่าหมั่นไส้ที่สุด

     

    เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ เมื่อกี้ชเวจุนฮงพูดว่ายังไงนะ นั่งด้วยคนดิ งั้นเหรอ.. เจ้ายักษ์เจลโล่ คนที่แสนจะเอาแต่ใจคนนั้น มีแก่ใจขออนุญาตเขาก่อนจะทำอะไรงั้นเหรอ?

     

    ถ้าไม่ใช่ว่าเขาหูฝาด ก็คงจะเป็นคนตรงหน้านี่แหละที่สติฟั่นเฟือนไปแล้วแน่ๆ

     

    คนตัวสูงคงหงุดหงิดที่เห็นเขานิ่งค้างไม่ตอบรับอะไร เพราะเสียงทุ้มๆนั่นสำทับคำถามอีกครั้ง.. คราวนี้ด้วยน้ำเสียงที่ทวีความไม่พอใจขึ้นมาอีกหน่อย “ไม่ได้รึไง”

     

    แดฮยอนตื่นจากภวังค์ ถึงแม้ว่าในใจจะคิดอะไรต่างๆนานา ไม่พอใจหรือสงสัยในจุดประสงค์มากมายสักเพียงไหน แต่สิ่งที่หลุดออกจากปากก็มีเพียงแค่ประโยคสั้นๆ

     

    “ดะ.. ได้สิ ทำไมจะไม่ได้” เด็กหนุ่มละล่ำละลักตอบ เบียดตัวเข้าชิดมุมตึกจนแทบจะกลืนหายไปกับผนัง เปิดทางให้อีกฝ่ายได้ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆโดยสะดวก

     

    พอเพื่อนร่วมห้องนั่งลงมา แดฮยอนก็ตั้งท่าระวังเต็มที่ เขานึกว่าจุนฮงจะฉวยเอาข้าวกล่องในอ้อมแขนไปจ้วงกินเสียอีก แต่ที่เด็กหนุ่มทำก็เพียงแค่หาวปากกว้างอย่างไร้มารยาทหวอดใหญ่ ก่อนจะยกขาขึ้นไขว่ห้าง แล้วก็เอนหลังเหม่อมองท้องฟ้าเท่านั้น

     

    แดฮยอนขยับตัวด้วยความอึดอัด ไม่ใช่ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ แต่เป็นไปด้วยความอึดอัดใจ จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายเข้ามาประชิดขนาดนี้เพราะต้องการอะไรกันแน่ ที่น่าโมโหก็คือดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่คิดบอกในเร็วๆนี้โดยง่ายเสียด้วย เอาแต่นั่งมองฟ้าอยู่ได้ ถ้าอยากมองฟ้านั่งทำไมไม่ขึ้นไปนอนดูบนดาดฟ้าเอาล่ะ จะมาแย่งที่นั่งให้เขากลัวจนใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆทำไม!

     

    นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มลอบตวัดมองคนข้างตัวอย่างเคืองๆ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายหลับตาลง ตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอกเรียบร้อยแล้ว

     

    ตอนนี้เด็กหนุ่มตัวสูงกำลังหลับตาพริ้ม แสงแดดอ่อนๆลอดผ่านหมู่ไม้เบื้องบนเข้ากระทบดวงหน้าอ่อนใส (ที่แค่มองจากระยะเท่านี้ยังรู้ว่าผิวดีขนาดไหน) ลบเหลี่ยมคมบนใบหน้า เหลือแต่ความอ่อนละมุนชวนฝัน บรรยากาศก็เย็นร่มรื่นเป็นใจนัก เมื่อมองโดยภาพรวมแล้ว แดฮยอนก็ว่าสภาพของคนข้างๆตอนนี้ชวนให้นึกถึงภาพจิตกรรมชิ้นเอกของเทวดาที่แอบงีบหลับอยู่ในสวนเอเดนยังไงยังงั้นทีเดียว

     

    เด็กหนุ่มจากโซลพิจารณาเพื่อนใหม่อย่างเพลิดเพลิน จุนฮงหน้าอ่อนกว่าที่เขาคิดไว้มากทีเดียว เครื่องหน้าก็ประกอบด้วยปากนิดจมูกหน่อย ไม่ได้มีความแข็งกร้าวหรือน่ากลัวอย่างที่คนเป็นนักเลงควรจะมีเลยสักนิด กลับกัน แดฮยอนกลับคิดว่าลักษณะของจุนฮงเหมือนเด็กผู้ชายซนๆทั่วไปคนหนึ่งมากกว่าเสียอีก.. ไม่เห็นเค้าเลยว่าคนคนนี้จะเป็นคนไม่ดีได้อย่างไร

     

    กำลังสำรวจอีกฝ่ายอยู่เพลินๆ จู่ๆชเวจุนฮงก็ลืมตาขึ้น แล้วหันมาประจันหน้าอย่างไม่ให้สุ้มเสียงเสียอย่างนั้น แดฮยอนตกใจจนเกือบหลุดตะโกนออกมา แต่ก็ถูกอะไรบางอย่างในดวงตาคู่สีน้ำตาลประกายที่สะท้อนแต่ภาพเขารั้งไว้ กระทั่งผ่านไปชั่วหายใจหนึ่งจึงเพิ่งนึกได้ว่าใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันแค่คืบ ระยะห่างเพียงนิดเดียวทำเอาคนตัวเล็กกว่าผงะ ถอยกรูดจนทั้งตัวเบียดเข้าชิดมุมตึกยิ่งกว่าเก่า

     

    “จองแดฮยอน”

     

    จุนฮงเปิดการสนทนาด้วยการเรียกชื่อเต็มของอีกฝ่าย.. หลังจากใช้เวลาคิดทบทวนสิ่งที่จะทำต่อไปนี้ดีแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าจะต้องดำเนินการตามแผนที่วางไว้อย่างไร้ข้อผิดพลาดให้จงได้ ร่างสูงเขยิบเข้าใกล้คนตัวเล็กกว่า กว่า ซึ่งบัดนี้ทั้งตัวสั่นทั้งตาโตอย่างที่เขานึกขำในใจว่าช่างหมดสภาพสิ้นดี สองมือวางลงบนไหล่บาง โน้มตัวลงให้สายตาของพวกเขาทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน ก่อนจะพูดช้าๆ เข้ม และชัดเจน

     

    “พาฉันหนีเข้าโซลที”

                    






    TBC..



     





    [] ..หรือควรแต่งให้จบเป็นเรื่องๆไปดีล่ะ ก๊าก #หาเหาใส่หัว #แกว่งเท้าหาเสี้ยน #ข่วนตัวเอง



     

    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×