คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter One || The three-time-coincidence theory I
ว่ากันว่า
คนเราพบกันครั้งหนึ่งคือเรื่องธรรมดา
พบกันครั้งที่สองคือเรื่องบังเอิญ
แต่ถ้าพบกันครั้งที่สาม.. นั่นเป็นเรื่องของพรหมลิขิต
ลมเอื่อยๆต้นฤดูใบไม้ผลิไม่ได้บาดผิวจนต้องควานหาเสื้อคลุมมาสวมทับเสื้อผ้าปกติอีกชั้น แต่กำลังเย็นสบายในระดับที่ทำให้ใครต่อใครจูงมือกันออกมาเดินเล่นริมทะเลสาบขนาดย่อมของมหาวิทยาลัยได้อย่างรื่นรมย์ โดยเฉพาะในยามเย็นอย่างนี้ที่บรรยากาศออกจะดีเป็นพิเศษ จึงกลายเป็นว่าไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่คู่รักนักศึกษาอิงแอบกันชื่นมื่นเต็มไปหมด
อย่างคู่รักชายหญิงที่กำลังปิกนิกอยู่บนเนินหญ้าเล็กๆนั่นไง หญิงสาวป้อนแซนวิชให้แฟนหนุ่มซึ่งอ้าปากรับอย่างว่าง่าย ตบท้ายด้วยการมองตากันซึ้งใจ กลิ่นความรักหวานเลี่ยนตลบอบอวลมาแต่ไกล ไม่ได้เหลือทนขนาดนั้น แต่กลับน่าขำและน่าเอ็นดูกำลังดี ขนาดที่คนโสดอย่างเขาเห็นแล้วยังอดยิ้มตามไม่ได้
ในบริเวณสวนพักผ่อนแห่งนี้ เห็นทีจะมีแต่บังยงกุกคนเดียวเท่านั้นล่ะมั้งที่ไร้คู่
‘สวนพักผ่อนแห่งมหาวิทยาลัยทีเอสไอ’ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสวนสาธารณะที่สวยและโรแมนติคที่สุดในแถบนี้ จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยเมื่อปลายปีที่แล้ว ไม่ได้มีสภาพที่เป็นมิตรต่อชายหนุ่มผู้โดดเดี่ยวเลยสักนิด มันเป็นสถานที่ที่คู่รักเลือกจะใช้เวลาร่วมกันเป็นอันดับสาม รองลงมาจากแม่น้ำฮันและย่านช็อปปิ้งมยองดง และเป็นสถานที่อันดับต้นๆที่พวกคนโสดมักหลีกเลี่ยง ด้วยเหตุผลประการสำคัญคือส่วนใหญ่ทนอิจฉาฉากสวีทหวานของพวกคู่รักไม่ไหว
ยงกุกเองถ้าไม่มีเหตุจำเป็นก็คงไม่เข้ามาที่นี่เหมือนกัน .. เปล่าหรอก เขาไม่ใช่คนประเภทขี้อิจฉาแบบนั้น ชายหนุ่มออกจะรู้สึกประดักประเดิดมากกว่าที่ตัวเองต้องมาอยู่ลำพังในสถานการณ์ที่ทุกคนตั้งใจมาจู๋จี๋กับคู่รักอย่างนี้
ไม่มีใครว่าเขาเลย.. อันที่จริง ต้องพูดว่าไม่มีใครสนใจว่ามีผู้ชายตัวโตหน้าโหดคนหนึ่งกำลังนั่งหลบมุมอยู่ตรงนี้จะถูกมากกว่า เพียงแต่จิตใต้สำนึกของเขาคอยหลอกหลอนตัวเองอยู่ทุกห้านาทีว่าเขาดูเหมือนสตลอ์คเกอร์โง่ๆ ที่คอยตามเก็บภาพคู่รักดาราไปขายเลี้ยงปากท้องยังไงไม่รู้.. ซึ่งเรื่องจริงมันก็คล้ายๆอย่างนั้น เขากำลังนั่งสังเกตการณ์คู่รักในสวนพักผ่อนอยู่จริงๆ แค่ไม่ได้ถ่ายรูปไปหาเงิน และมันเป็นคำสั่งจากวิชาเรียนก็เท่านั้นเอง
เขานั่งอยู่ตรงนี้มานานหลายชั่วโมงแล้วกับการบ้านโหดหินของวิชาออกแบบตกแต่งสวน.. วิชาเล็กๆแค่สองหน่วยกิต แต่งานแต่ละชิ้นที่อาจารย์สั่งช่างสรรค์สร้างและน่ามหัศจรรย์เหลือเกิน ดูอย่างการบ้านชิ้นล่าสุดนี่เป็นไง โจทย์คือให้ออกแบบสวนสำหรับคู่รัก โดยใช้แรงบันดาลใจจากกิริยาที่คนรักพึงกระทำต่อกัน
งานลำบาก ที่คนโสดอย่างเขาต้องขวนขวายหาแรงบันดาลใจจากคู่รักอื่นเพราะตัวเองไม่มี ซึ่งก็ไม่รู้จะหาตัวอย่างจากไหน ฮิมชานกับฮโยซองเลิกกันไปตั้งนานแล้ว คงใช้งานไม่ได้ มยองซูกับซองยอลก็ยังสถานะก้ำกึ่ง ขนาดที่คนในกลุ่มเองยังไม่กล้าแหย่หรือแซวเพราะอาจโดนฟาดด้วยกล้องแคนนอน 5D ตัวบักเอ้กเข้าเต็มๆหน้าได้ พวกที่เหลือก็จับมือกันเกาะคานอย่างเหนียวแน่น .. แล้วจะเหลือทางเลือกอะไรให้เขานอกจากปลอมตัวเป็นคนโรคจิต ทำท่าว่ามานั่งรับลมทะเลสาบแต่ความจริงแล้วแอบสังเกตการณ์ท่าทางของพวกคู่รักอยู่ทุกเม็ดทุกหน่วยอย่างนี้กันล่ะ
คิดทีไรก็ขำทุกที ไม่เคยนึกเลยว่าชีวิตนึงจะต้องมาทำอะไรพิลึกพิลั่นแบบนี้ อย่าให้ไอ้พวกเพื่อนปากกระโถนรู้เด็ดขาดเชียว ขืนโดนมันเอาไปโพนทะนาต่อ ภาพพจน์ของเขามีหวังพังป่นปี้แน่ๆ
ชายหนุ่มเอนหลังพิงต้นไทรต้นใหญ่ ผ่อนคลายอาการล้าต้นคอ สมุดสเก็ตช์ยังวางแบอยู่บนพื้นหญ้าข้างตัว มีดินสอกุดๆสองสามแท่งนอนเกลือกกลิ้งอยู่ไม่ไกลกันนัก
แต่เอาเข้าจริงที่นี่ก็มีส่วนดีเหมือนกัน สวนสวยๆ อากาศสะอาดๆ ธรรมชาติเน้นๆ.. ทำให้จิตใจที่อ่อนล้าจากการสู้งานหนักตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาของเขาดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ.. ที่เคยอ่านผ่านๆในหนังสือพิมพ์ว่าคนสมัยนี้ใช้ชีวิตคลุกคลีกับมลภาวะมากเกินไป ควรผ่อนเวลาให้ธรรมชาติได้ชะล้างสารพิษบ้าง ท่าจะจริง
บรรยากาศเงียบสงบ ทั้งยังร่มรื่นจนชายหนุ่มเกือบจะผล็อยหลับอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ใช่ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นโบราณของเขาจะส่งเสียงน่าหนวกหูดังถี่ๆขึ้นมาก่อน ยงกุกคว้าไอ้แก่คู่ใจขึ้นมากดดูอย่างเสียไม่ได้.. โนตินับสิบจากกรุ๊ปคาทกขึ้นเตือนว่าหัวค่ำนี้เขาและเพื่อนๆมีนัดชิลล์กันที่ร้านเหล้าข้างมอ และนี่ก็เย็นพอสมควรแล้ว ฮิมชานกับอูฮยอนเพิ่งเลิกเรียนเลยว่าจะไปหาอะไรกินกันก่อน มีใครสนใจจะแจมไหม แล้วเนื้อหาในกรุ๊ปก็เปลี่ยนจากซาวด์เสียงหาเพื่อนกินข้าวเย็นเป็นแย่งกันเสนอชื่อร้านอาหารที่ตัวเองชอบไปเสียอย่างนั้น
สงครามขนาดย่อมในโลกโซเชียลทำท่าจะไม่จบลงง่ายๆ และเขาเองก็ขี้เกียจเกินกว่าจะกระโจนเข้าไปร่วมวงสู้ด้วย ข้อความที่ [ B.YG ] ส่งไปจึงมีสั้นๆแค่ [ อือ กูไป ตกลงร้านได้ละบอกด้วย ] จากนั้นชายหนุ่มก็จัดแจงปิดเสียงโทรศัพท์ ยัดมันไว้ในหลืบกระเป๋ากางเกง ตั้งใจว่าจะของีบเอาแรงสักหน่อย.. ไว้ค่อยตื่นไปผจญกับพวกมารเอาอีกทีตอนสงครามแอลกอล์ฮอล์คืนนี้ทีเดียวก็แล้วกัน
แต่บังยงกุกก็ไม่ได้หลับสมใจ ความสงบสุขของเขาถูกขัดขวางเป็นครั้งที่สองด้วยเสียงเอะอะโวยวายซึ่งดังมาจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะชะโงกมองหาต้นเสียง ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นอะไรหรอกนะ แต่อย่างว่า.. ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องชาวบ้านแล้วล่ะก็ คนเราพร้อมที่จะหูตาไวเสมอ
เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังมีเรื่องกันอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่เมตร ผู้ชายสามคนยืนขวางคนที่น่าจะเป็นเป้าหมายในการทะเลาะครั้งนี้ไว้ โดยมีผู้ชายท่าทางเอาเรื่องอีกคนยืนคั่นกลางเป็นทัพหน้า.. ปกติแล้วชายหนุ่มไม่ใช่คนชอบสอดเรื่องของคนอื่นสักเท่าไหร่ แต่คราวนี้มันติดอยู่ตรงที่เขารู้สึกคุ้นๆหน้าพวกกลุ่มคนที่พร้อมจะหาเรื่องอยู่ตะหงิดๆ และแผ่นหลังใต้เสื้อยืดสีดำสนิท กับเรือนผมสีบลอนด์สว่างของคนที่หันหลังให้นั่น ก็ให้ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเหมือนกัน
"เป็นแค่เด็กปีหนึ่งแท้ๆ กวนตีนนักนะมึง!"
คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มกระชากคอเสื้อเป้าหมายเข้าหา หากอีกฝ่ายกลับนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ ยิ่งทำให้คนอารมณ์ร้อนดูจะโมโหยิ่งขึ้นอีก.. จุดที่ยงกุกนั่งอยู่ค่อนข้างไกลจากพวกนั้นพอสมควร จึงฟังบทสนทนาไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ ได้ยินขาดๆหายๆกับแค่บางคำที่คนพูดตะเบ็งเสียงดังลั่นด้วยอารมณ์เท่านั้น เช่น " มองหน้า" " ตอบสิวะ " แล้วก็ "ชเวจุนฮง " เท่านั้นเอง
...
เดี๋ยวก่อน..
เมื่อกี้หมอนั่นว่าอะไรนะ..
ชเว.. จุนฮง.. อย่างนั้นเหรอ
ชื่อที่ไม่คิดว่าจะได้ยินทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ.. คงไม่หรอกมั้ง อะไรมันจะบังเอิญได้ขนาดนี้.. ใจเขาคิดเช่นนั้น หากร่างกายกลับเป็นตรงกันข้าม ชายหนุ่มลุกขึ้นเต็มความสูง อดไม่ได้ที่จะก้าวยาวๆเข้าหาสถานการณ์ต่อยตี (ของคนอื่น) ตรงหน้าอีกนิด แอบลอบสังเกตการณ์ความเป็นไปของเรื่องราวให้ใกล้ขอบสนามขึ้นอีกสักหน่อย
คนหาเรื่องผรุสวาทใส่เป้าหมายอีกครั้ง ก่อนจะเหวี่ยงอีกฝ่ายลงบนพื้นเต็มแรง แล้วก็คงจะปรี่เข้ามาทำร้ายซ้ำ ถ้าไม่ถูกอีกสองคนที่มาด้วยกันล็อคแขนห้ามไว้เสียก่อน เจ้าของผิวขาวจัด ตัดกันชัดเจนกับสีเข้มของเสื้อบนตัว ยังกองไม่เป็นท่าอยู่บนพื้นสนามหญ้า และนาทีที่ผู้ตกเป็นเป้าสายตาเบือนหน้าหนีจากคนเดือดจัดหันมาทางฝั่งนี้ แค่ได้เห็นเสี้ยวหน้านวล ยงกุกก็เผลอก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว
และ..
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้..
โลกนี้จะหาคนชื่อ ชเวจุนฮง ได้สักกี่คนกันเชียว
มือหนาวางลงบนไหล่ลาด ไม่เพียงแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่เงยหน้าขึ้นมองแขกไม่ได้รับเชิญอย่างแปลกใจ.. กลุ่มคนสามคนที่กำลังมะรุมมะตุ้มกันเองอยู่ต่อหน้า ก็ชะงักไปด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน
ทีแรกยงกุกก็ยังไม่แน่ใจนักว่าการที่เขาเข้ามาสอดจะเป็นผลดีหรือเสีย แต่พอเห็นสีหน้าตกตะลึงของคนที่น่าจะกำลังอารมณ์ขึ้นที่สุด และได้ยินหนึ่งในสองของพลทัพห้ามพึมพำออกมาเบาๆว่า 'รุ่นพี่ยงกุก..‘ ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนได้ยื่นเท้าเข้าแตะเส้นชัยไปแล้วหนึ่งก้าว
"นาย.. อินจอง ? กับ.. ?"
"พึนซลครับ ปีสอง ส่วนอีกคนก็คยองอู ปีสองเหมือนกัน" เด็กแว่นทัพหลังละล่ำละลักตอบ
พอมาเห็นหน้าใกล้ๆยงกุกก็เริ่มจำได้ ซออินจอง ศูนย์หน้าทีมฟุตบอลประจำรุ่นสามสิบ อยู่กลุ่มเดียวกับโอจีซบ ที่เป็นหนึ่งในทีมพี่ระเบียบปีนี้ ดีกรีเลือดร้อนและกร่างไม่น้อยไปกว่ากัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่คนประเภทหาเรื่องใครไปทั่ว
ส่วนพึนซลกับคยองอูเป็นเด็กจากอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียบร้อยกว่า เหมือนจะเป็นกึ่งๆพวกหนอนหนังสือไม่นิยมเข้าสังคมด้วยซ้ำไป น่าแปลกใจนิดหน่อยเหมือนกันว่าทำไมถึงมาอยู่ด้วยกันได้ ในสถานที่ และสถานการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์แบบนี้
“อืม ฉันยงกุก อยู่ปีสาม เป็นรุ่นพี่พวกนาย .. น่าจะรู้จักกันอยู่แล้วมั้ง” มุมปากอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขำ ยามสบตากับดวงตากร้าวที่เริ่มอ่อนลงของรุ่นน้องนักบอล
ตำแหน่งประธานฝ่ายกีฬาของยงกุกไม่ใช่จับสลากได้ แต่เขาถูกเลือกด้วยเหตุผลสำคัญสองประการ หนึ่งคือ .. ไม่ได้ยอตัวเองนะ.. แต่ใครๆก็บอกว่า บังยงกุก เป็นนักฟุตบอลฝีเท้าเทพอย่างหาตัวจับยากคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยทีเอสไอทีเดียว และสองคือ เขาค่อนข้างมีคอนเนคชั่นกับพวกนักกีฬาในคณะพอสมควร .. มีคนไม่มากหรอกที่บ้ากีฬาลูกกลมๆนี่ถึงขนาดนัดเล่นกันเกือบทุกเย็นที่ว่าง และแน่นอนว่ากับกลุ่มสังคมยิ่งเล็ก สมาชิกในนั้นก็ยิ่งรู้จักกันอย่างทั่วถึง
กรณีบังยงกุกกับซออินจองก็เช่นกัน พวกเขาเคยไปกินเหล้าด้วยกันหลังเตะบอลหลายครั้ง แม้จะไม่ได้สนิทสนมกันส่วนตัว แต่เพราะคุ้นหน้ากันดีเลยทำให้เกิดความเคารพนับถือ การปรากฏตัวของยงกุกทำให้อินจองมีท่าทีอ่อนลงมาก อย่างน้อยก็ยอมยืนนิ่งๆเฉยๆ ไม่ได้โวยวายให้เพื่อนอีกสองคนต้องช่วยดึงแขนห้ามไว้แล้ว แม้สายตาจะยังมีแววกรุ่นโกรธอยู่ไม่จางก็ตามที
“ไง ไอ้แสบ ไม่พอใจอะไรกันรึไง”
ยงกุกเจาะจองถามอินจองโดยเฉพาะ พึนซลกับคยองอูเหลือบมองกันแวบหนึ่ง ก่อนจะเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น ขณะที่คนถูกถามมองหน้าเขา สลับกับเด็กปีหนึ่งผู้(เกือบจะ)ถูกทำร้าย ที่ยังก้นติดพื้น แล้วก็กลับมามองหน้าเขาอีกทีหนึ่ง นัยน์ตาคู่ดำสนิทสบกับเขาอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่คู่สนทนาจะหลบสายตา แล้วถอนหายใจสั้นๆ
“แค่เรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยเท่านั้นแหละฮยอง”
ยงกุกพยักหน้า.. ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันคงไม่ใช่แค่นั้น แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยอมลงให้ถึงขนาดนี้แล้ว ก็มีแต่คนโง่กับคนบ้าเท่านั้นแหละที่จะหาความต่อให้เรื่องมันยาวขึ้น
“เออ งั้นก็ดี แค่เข้าใจผิดกันใช่ไหม แล้วนี่เคลียร์เสร็จยัง ” ชายหนุ่มตบไหล่จุนฮงหนักๆสองที “เจ้าหนูนี่ฉันดูอยู่ ถ้ายังไงถือซะว่าฉันขอก็แล้วกัน .. ได้ไหม?”
รุ่นน้องคนคุ้นหน้าไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร เพียงแต่โบกมือลาแล้วหันหลังเดินจากไปเท่านั้น.. พึนซลกับคยองอูเสียอีกที่รีบโค้งอำลาให้ แล้วรีบวิ่งตึงๆตามเพื่อนที่เดินนำลิ่วไปไกลแล้ว
“หมอนี่ว่าง่ายกว่าที่คิดแฮะ ” เขาพึมพำไล่หลังกลุ่มคนที่ค่อยๆเคลื่อนห่างออกไป เคาะเท้าเป็นจังหวะ ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับบุคคลซึ่งถูกทิ้งไว้เป็นผู้รอดชีวิตจากศึกชิงนายเมื่อครู่ “เอาล่ะ ทีนี้มาดูซิว่าฉันควรจะทำยังไงกับนายดี ”
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลแก่จ้องตรงๆมาที่เขา.. ใสแจ๋วเหมือนลูกแก้วคริสตัล.. คล้ายจะอ่านง่าย หากในความกระจ่างนั้น ยงกุกกลับมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากเงาสะท้อนของตัวเอง.. ไม่มีความเป็นมิตร ไม่ได้เย็นชา เป็นเพียงแค่สายตาแววตาเฉยเมย ไม่ยินดียินร้ายกับอะไรทั้งสิ้น แม้ชายหนุ่มจะแอบยกหางตัวเองอยู่ในใจว่า น้องควรจะซาบซึ้งบุญคุณที่เขาเพิ่งพาพ้นจากสถานการณ์วุ่นวายเมื่อกี้นี้มาได้แท้ๆ
มันทำให้เขานึกถึงตอนที่เจอเด็กคนนี้ครั้งแรก ตอนที่เดินสวนกันจนเบียดไหล่ซึ่งจุนฮงไม่แม้แต่จะเหลือบตาแล มีแต่เขาที่เป็นฝ่ายมองตามจนเหลียวหลัง ความรู้สึกตอนนั้นยังติดอยู่ในอก.. ฮิมชานอาจจะพูดถูก เจ้าหนูนี่ค่อนข้างขาดมนุษยสัมพันธ์จนผิดวิสัยคนทั่วไป และร่างสูงก็คิดว่าตัวเองก็ค่อนข้างจะพิลึกเหมือนกัน ที่ยังคงค้างคาใจกับแววตาว่างเปล่าเมื่อครั้งนั้นมาจนถึงทุกวันนี้
หลังจากเหตุการณ์สามวินาทีนั่น (ซองยอลเป็นคนตั้งชื่อให้หลังจากรู้เรื่อง แล้วให้ฮิมชานปากโทรโข่งเอาไปเที่ยวประกาศต่อเสียทั่วว่าเขากำลังฟอลลิ่งอินเลิฟอยู่กับน้องปีหนึ่งชื่อย่อ จ.ฮ. และใส่สีตีไข่จนกลายเป็นเรื่องรักๆเลี่ยนๆชวนฝันพอๆกับโรมิโอแอนด์จูเลียตของเชคสเปียร์ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ยังงั้น แต่ชายหนุ่มก็ขี้เกียจเกินกว่าจะตามแก้ข่าวที่ป่านนี้จะลือกันไปถึงไหนแล้วไม่รู้) ยงกุกก็ไม่ได้เจอตัวรุ่นน้องคนดังแบบจังๆอีกเลย
อาจเพราะตารางเรียนไม่ตรงกันหนึ่งด้วย และเขาเองก็ไม่ใช่คนประเภทเที่ยวดักรอใครต่อใครหน้าห้องเรียนอย่างนั้น สองอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงเป็นช่วงเวลาที่ว่างเปล่าและยาวนานพอที่จะทำให้ยงกุกเริ่มลืมเรื่องของน้องปีหนึ่งซึ่งเพื่อนเล่าให้ฟังว่ามีนิสัยประหลาดคนไปทีละน้อย .. แต่แปลก ที่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเก็บป้ายชื่อของชเวจุนฮงเอาไว้ ถึงจะถูกยัดรวมไว้กับชีทเรียนวิชาต่างๆอยู่ในลิ้นชักที่หอนอนในสภาพที่เรียกได้ว่าเลวร้าย แต่ก็ยังไม่เคยเลยสักหนที่จะคิดหยิบทิ้งไป
มันซุกตัวอยู่ในนั้น สงบนิ่งเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่างซึ่งยงกุกก็ไม่แน่ใจว่าคืออะไร หากเขาสังหรณ์ใจอย่างประหลาด.. ว่าบางทีตัวเองก็อาจจะกำลังรอคอยสิ่งเดียวกัน
แต่จุนฮงจะมี สิ่งนั้น อยู่หรือเปล่า.. นั่นเป็นคำถามที่ยงกุกต้องค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง
“ชื่อจุนฮงใช่ไหมเรา ”
เอ่ยถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว เพียงเพราะไม่รู้จะหาเรื่องสนทนาอย่างไรต่อ ในเมื่อรุ่นน้องตัวสูงยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเฉยเมยไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการไม่ปริปากพูดคำใดๆสักคำ เพียงแต่เงยหน้าขึ้นจ้องเขาแล้วเลิกเรียวคิ้วขึ้นด้วยอากัปกิริยาเหมือนจะถามว่า มึงเป็นใคร ?.. ถ้าสุภาพหน่อยก็คงจะเป็น นายเป็นใคร ? พี่เป็นใคร? คุณเป็นใคร ? แต่ดูจากสีหน้าของจุนฮงแล้ว.. ยงกุกว่าอารมณ์ของน้องมันตั้งใจให้เป็นแบบคำถามแรกมากกว่าเห็นๆ
"พี่รู้จักเรานะ"
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูด เขาก็จะเป็นฝ่ายพูดให้เองก็ได้.. ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมลุก ชายหนุ่มก็ตัดสินใจย่อตัวลงประจันหน้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย
"เราคือชเวจุนฮง เด็กปีหนึ่งที่คนเขาลือกันว่าเจ๋งสุดๆแต่นิสัยไม่น่าคบสุดๆเหมือนกันใช่ไหม พี่จำหน้าได้.. ความจริงก็ไม่อยากเชื่อไอ้ฮิมชานหรอกนะเพราะมันขี้โม้ แต่ถ้ารุ่นพี่อุตส่าห์ลงมานั่งคุยด้วยขนาดนี้แล้วยังจะไม่ตอบสักคำ ข่าวลือที่เขาว่ากันเห็นทีคงจะเป็นเรื่องจริง" ตบท้ายด้วยรอยยิ้มอย่างเอ็นดูหนักหนา
คนโดนหยอกพ่นลมหายใจพรืด บิดริมฝีปากให้นิดหนึ่งอย่างเสียไม่ได้
"ผมชื่อชเวจุนฮง ศิลปกรรมปีหนึ่ง"
"ส่วนพี่ก็บังยงกุก ศิลปกรรมปีสาม" เจ้าเด็กหน้าขาวกลอกตาเหมือนจะรู้ว่าผู้เป็นรุ่นพี่จงใจล้อเลียนเพื่อยั่วโมโหเล่น "ยินดีที่ได้รู้จัก"
"อือ ยินดี" เสียงแหบติดจะสูงอย่างเด็กซึ่งยังไม่โตเป็นหนุ่มเต็มที่ ไม่มีร่องรอยของ ความยินดี อยู่ในนั้นแม้แต่น้อย แต่ใช่ว่ายงกุกจะสนใจเสียที่ไหน ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างหน้าชื่นตาบาน แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าคนพูดกำลังพูดด้วยอารมณ์อย่างไร
"อือ ยินดี"
"..อือ"
"..อือ"
เป็นครั้งแรกที่ยงกุกเห็นดวงตาของอีกฝ่ายสะท้อนอย่างอื่นนอกจากความว่างเปล่า มันกึ่งๆหงุดหงิด รำคาญ แต่ก็ผสมความขบขันไว้ด้วยพร้อมๆกัน
"นี่ตั้งใจกวนผม?" หางเสียงฟังแล้วเบาขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก คนถามคงฉุนนิดๆ แต่น่าจะกำลังอ่อนใจมากกว่า
"อือ"
"เคยมีคนบอกป่ะว่าพี่แม่งโคตรน่าโมโหเลย"
"ไม่บ่อยหรอก" ยงกุกตอบกลั้วหัวเราะ "เราคนแรก"
ได้ยินเจ้าของผมบลอนด์สวย เก๋ด้วยหน้าม้าสีฟ้าตัดกัน สบถบางอย่างคล้ายคำว่า กวนตีน ก่อนที่เรียวปากสีอ่อนจะวาดขึ้นเป็นเส้นโค้งสวย คราวนี้จุนฮงยิ้มจริงๆ ยิ้มทั้งปากทั้งตา ยิ้มแบบที่ทำให้ยงกุกซึ่งใบหน้าห่างกันแค่ไม่เท่าไหร่ถึงกับค้างไปหนึ่งจังหวะด้วยไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ
"เออ ดีเนอะ "
อืม.. ใช่
ดีครับ.. ดีจริงๆ
สติสตังยังเรียกกลับมาได้ไม่ครบ เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ยืดกายขึ้นเต็มความสูง จุนฮงปัดเศษผงเศษตินที่ติดอยู่ตามเนื้อตัวออก อีกนิดเดียวใบหญ้าก็จะฟาดหน้ายงกุกอยู่แล้ว หากรุ่นพี่คนเก่งยังติดสตั๊นจากรอยยิ้มพิฆาตของอีกฝ่ายเกินกว่าจะคิดท้วงติงให้น้องต้องขุ่นข้องหมองใจ
"คุยกับพี่ตลกดี แต่ผมต้องไปแล้วล่ะ " คนอายุน้อยกว่าโบกมือให้ "เมื่อกี้ขอบคุณนะที่ช่วย"
ไม่รู้ว่าพูดจากใจจริงหรือแค่ขอบคุณไปแกนๆอย่างนั้น แต่แค่คำขอบคุณที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน ก็มากพอแล้วที่จะทำดาเมจให้คนฟังได้ถึงหลักพันหน่วย ระดับเลือดของผู้เล่นบังยงกุกลดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดิ่่งฮวบทีเดียวหมดหลอดจนต้องล้มลงตายอย่างหมดสภาพ ทันทีที่มอนสเตอร์รุ่นเล็ก (แต่ตัวไม่ยักเล็กตามรุ่น) ยกยิ้มมุมปากหวานๆให้อีกทีพร้อมเอ่ยลา
"ไว้เจอกัน"
.
.
.
บังยงกุกรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า
น้องเดินลับตาไปนานมากแล้ว แต่เขาเหมือนยังเห็นภาพหน้าขาวๆ ยิ้มหวานๆติดตาอยู่ไม่รู้เลือน ในหัวก็ยังได้ยินแต่คำว่า ไว้เจอกัน วนก้องอยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเปิดแผ่นเสียงตกร่อง
ขนาดลากสังขารมาถึงร้านเหล้าหลังมอก็แล้ว นั่งฟังอูฮยอนสวดเรื่องเทงานมื้อเย็นจบไปหลายบทก็แล้ว.. ตอนที่เรียกเพื่อนให้ล้อมวงเข้ามาแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ใจมันก็ยังสั่นไม่หาย ยงกุกคิดว่าตัวเองคงกึ่มๆแล้ว แต่ฮิมชานตบหัวป้าบเข้าให้
"มึงเพิ่งจิบไปช็อตเดียว เมาก็หมาแล้ว" หนุ่มหล่อดีกรีหลีดคณะ ซึ่งยังเป็นที่สงสัยในหมู่เพื่อนกันอยู่จนทุกวันนี้ว่าคนเลือกเขามองเห็นอะไรในตัวมัน ช่วยเรียกสติคนใจลอย ก่อนจะเฉลยให้ต่ออย่าง (ที่มันเคลมเองว่า) มีเมตตานัก
"อาการแบบนี้เขาไม่เรียกเมา ไอ้โง่ มึงแค่นอนไม่พอ" ว่าแล้วก็ยิ้มอย่างภูมิใจในความฉลาดซึ่งจริงๆแล้วไม่มีของตัวเอง
"กูว่ามันซัดกาแฟมากไป" อีซองยอลพยายามโชว์เหนือบ้าง "มิน่าพักหลังนี่หน้าดำเชียว เห็นไกลๆกูนึกว่าน้องแดฮยอน.. ตลกป่ะ กูมองไอ้ห่าบังยงกุกเป็นน้องจองแดฮยอน เออไอ้เหี้ย แม่งตลกว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ" เล่นเองชงเอง แล้วก็ขำเอิ้กอ้ากชอบใจเอง เรียกเสียงหัวเราะผสมโรงและรอยยิ้มได้จากเพื่อนเกือบรอบวง เว้นก็แต่คิมฮิมชานที่ตาขวางขึ้นมาทันทีเพราะของรักถูกลูบคม
"อ้าวไอ้นี่ ลามปามแล้วมึง ทีมยองซูหน้าเหมือนแมวนอนกูยังไม่เคยว่าให้ฟังสักคำ"
"จะแมวนอนก็นอนตักกูโว้ย ไม่เหมือนมึงหรอก จะดำทั้งทีเขายังไปดำบนหน้าไอ้ยงกุกมัน อดแดกไหมล่ะมึง" ยงกุกขมวดคิ้ว เดี๋ยวนะ กูว่าตรงนี้เริ่มไม่ใช่ละ
"รำคาญพวกโง่จังโว้ย" นัมอูฮยอนปรายตามองมนุษย์โตแต่ตัวสองคนที่กำลังตีกันด้วยเรื่องไร้สาระ อย่างรังเกียจ "ยงกุกมันไม่ได้เมา ไม่ได้ป่วย ไม่ได้เป็นห่าอะไรอย่างที่พวกมึงว่าทั้งนั้นแหละ แต่มันแค่กำลังมีความรัก!"
เงียบสนิททั้งวงเลยทีนี้ ทุกสายตาพร้อมใจกันพุ่งมาที่ชายหนุ่มผู้ถูกพาดพิงเป็นตาเดียว จนคนถูกจ้องต้องขยับตัวเพื่อคลายความรู้สึกอึดอัด คู่เด็กไม่รู้จักโตพักรบกันชั่วคราว ซองยอลถึงกับหันมาถามทวนซ้ำอีกครั้งอย่างอึ้งๆ
"มึงว่าอะไรนะนามู ยงกุกมันทำไมนะ" ตาที่แต่เดิมก็โปนนิดๆอยู่แล้ว เหมือนจะยิ่งปูดโปนขึ้นอีกตอนที่เบือนหน้ามาคาดคั้นเจ้าของชื่อด้วยตัวเอง "มึงจะไปพักไหนนะ เพิ่งเปิดเทอมแปบเดียวจะหนีเที่ยวแล้วเหรอวะไอ้บัง นี่มึงรีบ?"
เที่ยวพ่อ! อูอยอนกระแทกลมหายใจอย่างหงุดหงิดเต็มที และจะไม่อดทนอีกต่อไป
"บางทีกูก็สงสัยนะ ว่าที่กูตัดสินใจคบพวกมันเป็นเพื่อนนี่กูคิดดีแล้วเหรอวะ"
"เออ กูก็อยากรู้เหมือนกัน" ยงกุกตอบรับอย่างเห็นด้วย ขณะที่คนเหนื่อยใจส่งยิ้มกลับมาให้เจือจาง
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเสียงหลักของกลุ่ม หันหลังทั้งตัวให้คู่หูปัญญาอ่อนที่พอยงกุกกับอูฮยอนไม่ตอบอะไรก็กลับไปทะเลาะกันอีกครั้ง ส่วนคนอื่นที่ยังพอมีสติเหลืออยู่บ้าง ทีแรกก็ตาวาวจะเฮละโลกันเข้ามาซักไซ้ให้เรื่อง แต่ก็โดนอูฮยอนไล่เปิงไปบอกขอเวลาส่วนตัวให้คุณหมอคุยกับคนไข้เรื่องอาการป่วย (ของหัวใจ) หน่อย เลยต้องเขยิบออกไปนั่งสุมกันอยู่อีกฝั่งของโซฟาแทน
"ไอ้บัง" จู่ๆน้ำเสียงของอีกฝ่ายก็เข้มขึ้นจนกลายเป็นจริงจัง ก่อนจะโน้มตัวเข้าหายงกุกเล็กน้อย ลดเสียงลงจนกลายเป็นกระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน ตัดเพื่อนขี้เมาที่เหลือซึ่งกำลังรุมแย่งเหล้าที่กองอยู่ทางหัวโต๊ะมุมโน้นออกจากวงสนทนาโดยสิ้นเชิง "แต่เรื่องของมึงอ่ะกูพูดจริงนะ ลักษณะแบบนี้เนี่ย.. จากสายตากูผู้เห็นโลกผ่านนิยาย หนัง และซีรี่ส์มามาก กูฟันธงให้เลยว่ามึงสนใจน้องเขาแน่ๆ ถ้าไม่จริงกูให้มึงมาเหยียบตีนไอ้ฮิมชานกับซองยอลเล่นได้คนละสามครั้งต่อวันเลยเอ้า"
"ก็.. คงใช่ล่ะมั้ง" คนถูกทักว่ากำลังอินเลิฟตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ยงกุกยังไม่แน่ใจตัวเองนักว่าคิดอย่างไรกับเด็กที่ชื่อชเวจุนฮง แต่ถ้าถามแค่ว่าสนใจไหม.. ชอบมองไหม.. เห็นแล้วอยากเดินเข้าไปทักไหม.. เขาก็มั่นใจว่าคงตอบได้ไม่ยาก
"มึงรู้ไหม มันมีทฤษฎีหนึ่งของความรักว่าคนเราที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นพิเศษ จะบังเอิญเจอกันสามครั้งได้มันต้องเป็นพรหมลิขิต"
"มึงจำมาจากซีรี่ส์เรื่องไหนอีกล่ะ"
"เอ๊ะไอ้นี่! อย่าขัดมู้ดสิวะ" ตัวพ่อละครประโลมโลกจิ๊ปากอย่างขัดใจ "นี่กูจริงจังนะ มึงเจอน้องเขาสองครั้งแล้ว.. ถ้าเจออีกเป็นครั้งที่สามมันก็น่าคิดอยู่ว่าไม่ใช่ปกติ"
"น้องมันอยู่คณะเรา ยังไงกูก็ต้องเจอรึเปล่า" ยงกุกหัวเราะไปกับความคิดเพื่อน "ตั้งแต่เจอกันครั้งนั้นกูก็เห็นมันเป็นสิบรอบแล้ว มึงจะเอาอะไรมากวะกับแค่คำพูดเพ้อพกของพระเอกในละคร"
"แม่หมอจากเรื่อง Love is in the air เขาทำนายให้คู่พระนางโว้ย ไม่ใช่พระเอกพูดเอง" ติ่งซีรี่ส์ยอมไม่ได้ที่โควตสุดรักจะถูกเข้าใจผิด "เจอผ่านๆแบบนั้นก็ไม่นับสิวะ มันต้องเจอแบบประชิดตัว เอาแบบครั้งก่อนไม่ก็ครั้งล่าสุดที่มันเป็นสถานการณ์พิเศษที่จะทำให้มึงใจเต้นตึกตัก รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือไม่ก็จำไปจนวันตาย อะไรทำนองนั้นน่ะ.. ถ้าได้เจอน้องเขาแบบนั้นอีกครั้ง มึงจะทำยังไงวะยงกุก กูอยากรู้"
"ถ้าได้เจอกันอีกเหรอ.." เขาเงียบไปยาว ลองนึกถึงว่าตัวเองได้เจอกับเด็กหนุ่มหน้าหวานซึ่งมีนิสัยไม่สมกับหน้าตาอีกครั้ง แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ "บังเอิญสามทีติด.. ท่าจะเป็นเนื้อคู่อย่างที่มึงว่า กูคงต้องยอมแพ้คำสั่งสวรรค์ ก็คงต้องลุยจีบสถานเดียวแล้วล่ะมั้งยังงั้น"
"ครับพ่อยอดนักรัก พ่อกามนิตหนุ่ม.. ถุย! ทำเป็นตลกไปนะ เรื่องพรรค์นี้เขาเตือนกันตลอดว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แต่หน้ายิ้มๆมึงนี่บอกยี่ห้อชัดเลยครับว่านอกจากไม่เชื่อแล้ว ยังจะจงใจท้าทายอีกต่างหาก"
นัมอูฮยอนหัวเราะหึหึ ตัวเขาเองไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้นเพราะถ้าของมันจะเข้าใคร ก็มีแต่ยงกุกนั่นแหละที่จะโดน อูฮยอนไม่เกี่ยวด้วยเสียหน่อย อย่างมากก็แค่ซวยตกกระไดพลอยโจนเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจให้ไอ้เพื่อนไก่อ่อนมันอย่างนั้น
"ระวังไว้เถอะ เห็นพูดแบบนี้ร้อยทั้งร้อยเจอดีกันทั้งนั้น"
คำขู่ของเพื่อนไม่ได้ทำให้ยงกุกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขากลับเห็นว่ามันเป็นเรื่องชวนหัวมากกว่า.. จุนฮงอยู่คณะเดียวกันกับเขา ถึงแม้ปีหนึ่งกับปีสามจะไม่ค่อยมีตารางอะไรร่วมกัน แต่กับเขาที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการฯที่ดูแลงานทั้งหมดของคณะแล้ว.. ยังไงเสีย ความบังเอิญ ที่จะทำให้เขากับน้องได้เจอกันก็ย่อมจะมีมากกว่าคนอื่นๆหลายเท่าตัว
แต่สีหน้าจริงจังของอูฮยอนที่ยังคงติดตาอยู่ ก็ทำให้เขาอดย้อนกลับไปคิดถึงบทสนทนาเมื่อครู่ไม่ได้
"มันมีทฤษฎีหนึ่งของความรักว่าคนเราที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นพิเศษ จะบังเอิญเจอกันสามครั้งได้มันต้องเป็นพรหมลิขิต"
"ที่มันเป็นสถานการณ์พิเศษที่จะทำให้มึงใจเต้นตึกตัก รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือไม่ก็จำไปจนวันตาย"
"ถ้าได้เจอน้องเขาแบบนั้นอีกครั้ง มึงจะทำยังไงวะยงกุก กูอยากรู้"
"ก็คงต้องลุยจีบสถานเดียวแล้วล่ะมั้ง"
ท่าทางสบายๆของเขาอาจทำให้คนฟังเข้าใจว่าตั้งใจตอบแค่ขำๆ
แต่ชายหนุ่มรู้ดี แม้กระทั่งตอนนี้ที่อูฮยอนพาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปแล้ว ประโยคนั้นก็ยังคงแจ่มชัดอยู่ในความคิด และคงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่า บังยงกุก แน่ใจกับคำพูดของตัวเองมากแค่ไหน
ถ้าได้เจอกันอีก..
ใช่
แต่ก็แค่.. ‘ถ้า’ น่ะนะ
ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความคิดที่เกิดขึ้นในระยะสั้นๆ ซึ่งเขาคิดว่าอีกไม่นานมันก็คงจางหายไปตามกาลเวลา เหมือนอย่างทุกครั้งอย่างที่เคยเป็นมาก่อนหน้านั้น
ทว่ายงกุกประเมินโชคชะตาต่ำไป
ชายหนุ่มเองก็เหมือนกับคนอีกมากบนโลก ที่เห็นสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นเรื่องตลกที่สามารถหยอกเย้าได้อย่างไม่จำเป็นต้องเชื่อถือ
โดยที่ไม่รู้เลย ว่าเมื่อวงล้อแห่งโชคชะตาเริ่มหมุนครั้งหนึ่งแล้ว ..
จงอย่าได้ท้าทายพลังของมัน
TBC..
กรี๊ดดดด
หายไปหกเดือนนน ฮ่าาาาาาาาาๆๆๆๆ (ไม่มีคำแก้ตัว)
Hashtag #b2Lines ในทวิตเตอร์ได้นะคะ ;-)
ความคิดเห็น