คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : [SF] An Aide-de-comp [BangZelo]
An Aide-de-comp
B.A.P fanfiction by kyosama
Yongguk & Junhong
[๑]
ยงกุกเพิ่งเข้ารับราชการได้ไม่นาน
เขาเป็นลูกชายนายทหารชั้นประทวน เมื่อเกิด ของเล่นชิ้นแรกที่จับคือดาวประดับบ่าของพ่อ การ์ตูนเรื่องแรกที่ดูคือเกิดเป็นทหารหาญใจต้องเหี้ยม เรียนลูกเสือก็ได้ตำแหน่งหัวหน้าหมู่ตลอด ว่ากันว่าคำแรกที่พูดได้คือคำว่ากองตรง!เสียด้วยซ้ำ
ใครๆต่างก็คาดการณ์ว่าโตขึ้นคงไม่ทิ้งแถวผู้เป็นพ่อ แถมยังอาจจะก้าวหน้ามากกว่าเสียด้วยซ้ำ.. แล้วเขาก็ทำให้ครอบครัวชื่นใจได้จริงๆ เมื่อใบประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนทหารชื่อดังมีชื่อของบังยงกุกพิมพ์เด่นหราอยู่เกือบบนสุดของแถวจนได้ เขาตั้งใจเรียน และใช้ความพยายามอีกหลายปี กระทั่งคว้าเอายศร้อยตรีมาเขียนนำหน้าชื่อได้ในที่สุด และหลังจากทุ่มเทให้กับการงานอย่างหนัก สุดท้าย เขาก็สามารถไต่เต้าขึ้นมาจนถึงระดับพลทหารชั้นสัญญาบัตร.. ได้ดำรงตำแหน่งร้อยเอกในขณะที่อายุได้เพียงแค่ยี่สิบสี่ปีเท่านั้น
ในช่วงวัยเด็ก ยงกุกมองภาพของบิดาผู้เป็นนายทหารด้วยความเลื่อมใส เขาเฝ้ามองชีวิตการทำงานของผู้เป็นพ่อ เทิดทูนอาชีพนี้ในฐานะของผู้ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติและบ้านเมือง และตั้งใจว่าจะเติบโตขึ้นเป็นอย่างนั้นบ้าง แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาจริงๆ ยงกุกจึงค้นพบว่าหนทางของการเป็นทหารต่างออกไปจากที่คิดไว้มาก
เมื่อแรกที่เขาก้าวออกจากรั้วโรงเรียนเตรียมทหาร เขาวาดฝันถึงหน้าที่อันทรงเกียรติและภารกิจเสี่ยงตายในหลากหลายรูปแบบ หากสิ่งที่ร้อยตรียงกุกได้ทำจริงๆก็เพียงแค่งานเล็กๆน้อยๆในออฟฟิศ และงานลาดตระเวนชายแดนที่เขาประจำการอยู่เท่านั้น.. มันอาจจะเป็นงานที่ออกจะเสี่ยงอันตรายอยู่สักหน่อย แต่ก็น่าเบื่อ วันๆยงกุกไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการเดินไปมาตามแนวรั้วกั้นประเทศ วิ่งหลบลูกกระสุนบ้าง กระโดดเลี่ยงกับระเบิดบ้าง.. ตกเย็นก็ก๊งเหล้ากับเพื่อนทหาร แล้วก็นั่งเล่นไพ่กันจนง่วงแล้วจึงนอน.. ตารางชีวิตทั้งวันของเขามีแค่นั้น
ชายหนุ่มเคยทำเรื่องขอย้ายประจำการไปที่ชายแดนอื่นที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายมากกว่าหลายครั้ง แต่ละครั้งเขาก็มักจะดวงดี ได้จับพลัดจับผลูเป็นหัวหน้ากองปราบปรามกบฏ หรืออะไรทำนองนี้ แล้วคว้าชัยมาได้เสมอ ทำให้ตำแหน่งหน้าที่การงานก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว.. ยงกุกเห็นดังนั้นก็คิดว่าเป็นเรื่องดี เขาคิดเองเออเอง(อีกแล้ว)ว่าตำแหน่งที่สูงขึ้นจะนำไปสู่โอกาสทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น จึงเร่งสร้างผลงาน จนมาจบที่ยศร้อยเอกอย่างนี้
เพื่อนทหารด้วยกันเคยบอกว่า ถ้ายงกุกยังบ้าทำงานอย่างนี้ต่อไป เขาคงจะได้เลื่อนขึ้นเป็นนายพันในเร็ววัน.. หากชายหนุ่มไม่มีโอกาสได้พิสูจน์สมมติฐานที่เพื่อนตั้งให้ เพราะในเช้าวันหนึ่งที่แสนจะธรรมดาเหมือนเช้าวันอื่นๆทั่วไป จดหมายด่วนจากกองทัพก็ถูกไปรษณีย์นำมาหย่อนไว้หน้าห้องพักของเขา เมื่อหยิบขึ้นมาแกะออกอ่าน ก็เห็นข้อความเรียกตัวกลับกรุงโซลด่วน โดยมีการยื่นคำขาดประกอบด้วยว่าให้มารายงานตัวที่กรมที่ระบุไว้ในจดหมายภายในเวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์
ชายหนุ่มงุนงง แต่ก็ยังกระวีกระวาดเก็บข้าวของที่มีอยู่เพียงน้อยนิด จับรถไฟเข้าเมืองหลวงในคืนนั้นเอง
แล้วชีวิตที่(ยงกุกเห็นว่า)เคยราบเรียบเสมอมาของเขาก็เปลี่ยนไป
[๒]
ยงกุกเพิ่งเข้ารับราชการได้ไม่นาน
เขาเริ่มต้นการทำงานในสายอาชีพด้วยยศร้อยตรีที่ได้จากการจบหลักสูตรที่โรงเรียนเตรียมทหาร ก่อนจะทำงานอย่างหนักจนก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งร้อยเอกได้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ยงกุกประจำการที่ชายแดนมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกเรียกตัวเข้าเมืองหลวงด่วน ก็ตัดสินใจละทิ้งฐานที่มั่นตลอดหลายปีของตนเอง ชายหนุ่มไม่รู้สาเหตุของการถูกเรียกตัวครั้งนี้ แต่ขึ้นชื่อว่าด่วนและเป็นคำสั่งจากกองทัพโดยตรงเช่นนี้ เขาก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว จึงโดยสารรถไฟจากนอกเมืองเข้ามาในคืนนั้นเอง
ชายหนุ่มนึกว่าเขาจะได้รับมอบหมายหน้าที่ยิ่งใหญ่ อาจจะเป็นภารกิจลับสุดยอดเหมือนที่เคยเห็นในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด อาจจะได้ลองเป็นสายลับ.. เขาคิดเล่นๆ แต่ลึกลงไปข้างในแล้วก็หวังให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ.. หากแต่สิ่งที่ผู้ชายผิวขาวจัด สวมแว่นตาสีดำหนาเตอะดั่งผู้คงแก่เรียน ซึ่งแนะนำตัวว่าเป็นเลขาฯของผู้ที่ออกคำสั่งเรียกตัวไป แจ้งทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในห้องของรองผู้บัญชาการ กลับตัดรอนความคาดหวังของยงกุกลงโดยสิ้นเชิง
‘ท่านได้ยินชื่อเสียงของคุณมานาน ก็หวังจะให้มาเป็นนายทหารคนสนิทให้น่ะครับ’
ชายหนุ่มฟังแล้วก็ทำหน้าพิลึก.. นายทหารคนสนิทเชียวหรือ ตำแหน่งอะไรไม่รู้ไม่เคยได้ยิน จะให้ตกปากรับคำง่ายๆได้อย่างไร แล้ว ‘ท่าน’ ที่ว่านี่ใครกัน คนตรงหน้าไม่ยักบอกชื่อเสียด้วย แต่ถึงจะไม่ได้เอ่ยชื่อ ยงกุกก็คิดว่า ‘ท่าน’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงคงจะเป็นคนใหญ่คนโตไม่ใช่น้อย.. ก็ถึงกับมีอำนาจสั่งย้ายเขาเป็นการส่วนตัวได้เลยทีเดียว
‘แล้วผมต้องทำอะไรบ้าง’ เขาถาม น้ำเสียงห้วนสั้นอย่างนายทหารผู้คุ้นชินกับการทำอะไรตรงๆและรวดเร็ว แต่ก็ยังคงความสุภาพอยู่ในที เรียกรอยยิ้มอ่อนจางจากคู่สนทนา
‘สิบโมงพรุ่งนี้ กลับมาที่นี่อีกครั้งแล้วคุณก็จะรู้เอง’
ประโยคของอีกฝ่ายคล้ายๆจะเป็นการตัดบทไล่ หากยงกุกยังปักหลักมั่นอยู่ในห้อง ไม่ยอมจากไปอย่างที่คนไล่ต้องการ ชายหนุ่มถามซ้ำ
‘ผมต้องทำอะไรบ้าง’
ฮิมชานเลิกคิ้ว ดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มมุมปากอย่างขบขัน.. หมอนี่อุดมการณ์สูงส่ง แถมยังท่าทางเอาเรื่องไม่ใช่เล่น.. ‘ท่าน’ เกิดไปถูกใจอะไรเข้าละหนอ ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่ากำราบไม่ได้ง่ายๆเลย ต่อไปข้างหน้าถ้ายังควบคุมไม่ได้อีกก็คงจะสร้างแต่ปัญหาให้วุ่นวายเปล่าๆแน่นอน
แต่ก็นั่นแหละ.. ชายหนุ่มจำได้.. ‘ท่าน’ เป็นคนชอบความท้าทาย..
‘เป็นคนสนิทก็ต้องทำตามที่นายสั่ง’
‘แล้วเรื่องที่นายจะสั่งมีอะไรบ้าง ช่วยอธิบายให้ชัดกว่านี้ได้ไหม’
ยงกุกชักหงุดหงิด ไอ้เจ้าคนนี้มันตั้งใจจะกวนเขาแน่ สายตาวิบๆกับยิ้มแปลกๆบนหน้ามันฟ้องชัดทีเดียว
คนที่เขากำลังก่นด่าในใจขยับยิ้มกว้างขึ้นอีก ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงรื่นรมย์เกินธรรมดา
‘ก็ทั่วไป.. ทำงานเอกสาร เป็นที่ปรึกษาความคิดเห็น ออกงานการกุศลแทนในโอกาสที่นายไม่ว่าง.. ทำนองนั้น’
ผู้ชายหน้าขาวทำลายศักดิ์ศรีของยงกุกลงอย่างง่ายดายด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค ทำให้เขาเจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกกระชากออกจากอกโดยแรง ฉีกทึ้งจนหนำใจแล้วจึงค่อยปาลงพื้น ก่อนจะใช้ปลายเท้าตามไปขยี้ซ้ำจนยับเยินไม่เหลือชิ้นดี
‘..แต่ ‘ท่าน’ ว่า หลักๆจะให้คุณเป็นคนขับรถ’
ว่าที่คนขับรถประจำตัว ‘ท่าน’ นิ่งค้าง.. เขา - นายทหารยศร้อยเอก ผู้สร้างผลงานปราบปรามกองกำลังไม่ประสงค์ดีตามแถบชายแดนมากมาย ถูกเรียกตัวขึ้นมาเพียงเพื่อจะให้ใช้ความสามารถที่มีในฐานะคนขับรถเท่านั้นละหรือ!
‘ได้คำตอบแล้วก็ไปเสียสิ’ เห็นคนท่ามากนิ่งค้างไปด้วยคาดไม่ถึงอย่างนั้น ฮิมชานก็ได้ทีสำทับอย่างสะใจ
‘อ้อ แล้วก็อย่าลืมล่ะ พรุ่งนี้ ที่นี่ มาให้ทันสิบโมงตรง.. จะยอมเป็นคนขับรถดีๆ หรือจะโดนเด้งไม่ทันตั้งตัวก็เลือกเอา’
รอยยิ้มเยาะหยันน่าเกลียดของเลขาฯ ‘ท่าน’ ที่ยงกุกเห็นเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนเดินใจลอยออกจากห้อง ยังตามมาหลอกหลอนกระทั่งเขาเข้านอน
[๓]
ยงกุกเพิ่งเข้ารับราชการได้ไม่นาน
เขาเริ่มต้นการทำงานในสายอาชีพด้วยยศร้อยตรีที่ได้จากการจบหลักสูตรที่โรงเรียนเตรียมทหาร ก่อนจะทำงานอย่างหนักจนก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งร้อยเอกได้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ยงกุกประจำการที่ชายแดนมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกเรียกตัวเข้าเมืองหลวงด่วน ก็ตัดสินใจละทิ้งฐานที่มั่นตลอดหลายปีของตนเอง ชายหนุ่มไม่รู้สาเหตุของการถูกเรียกตัวครั้งนี้ แต่ขึ้นชื่อว่าด่วนและเป็นคำสั่งจากกองทัพโดยตรงเช่นนี้ เขาก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว จึงโดยสารรถไฟจากนอกเมืองเข้ามาในคืนนั้นเอง
แต่เขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อรู้ว่าตนถูกเรียกขึ้นมาเพื่อรับตำแหน่งนายทหารคนสนิทของท่านผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งตั้งใจจะใช้เขาเป็นคนขับรถให้เท่านั้น ชายหนุ่มในวัยยี่สิบสี่ปี พ่วงยศร้อยตรีนำหน้าชื่อ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องยอมลดศักดิ์ศรีมาทำงานที่ไม่ได้ใช้ความสามารถเช่นนี้ด้วย
มีคนอีกตั้งมากมาย ทำไมจึงต้องจำเพาะเจาะจงเลือกบังยงกุกคนนี้ด้วย
คำถามที่เขาสงสัยมาตลอดหลายสัปดาห์ที่ย้ายมาทำงานให้กับ ‘ท่าน’ อย่างเต็มตัว.. แต่ก็ยังไม่กล้าถามเอาคำตอบเสียที
ก่อนหน้านี้ ตอนที่คุยกับฮิมชานเมื่อคราวแรกที่เขามาเยือนที่นี่ ยงกุกเคยวาดภาพ ‘ท่าน’ ว่าคงจะเป็นผู้ชายตัวโตเหมือนหมี คงจะดุดันและเด็ดขาดสมกับความเคารพที่ทุกคนในกรมพร้อมใจกันมอบให้ หากแต่เอาเข้าจริง.. เมื่อได้พบกับ ‘ท่าน’ จริงๆ หลายอย่างของ ‘ท่าน’ ก็ทำให้เขาอดแปลกใจไม่ได้
‘ท่าน’ เป็นผู้ชายตัวโต แต่ก็ไม่ได้เหมือนมีลักษณะเหมือนหมี แค่เป็นคนรูปร่างใหญ่สมส่วนเท่านั้น ผมของ ‘ท่าน’ ตัดสั้นเรียบไปกับรูปศีรษะ เห็นเส้นสีดอกเลาแซมอยู่จางๆในกลุ่มผมสีดำ ดวงหน้าก็ไม่ได้ดุดันน่ากลัว หากคมเข้มด้วยเครื่องหน้าหล่อเหลา ที่ถึงแม้จะปฎิเสธไม่ได้ว่าร่วงโรยไปตามเลขอายุที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังจัดว่าดูดีอยู่มากทีเดียวเมื่อเทียบกับบุรุษในวัยเดียวกัน
นอกจากวัยวุฒิแล้ว ‘ท่าน’ ยังน่าเกรงขามในด้านของคุณวุฒิด้วย ชื่อเต็มของ ‘ท่าน’ คือ พลเอกชเวซึงฮยอน ผู้บัญชาการประจำกองทหารราบที่ ๕ ยงกุกได้ยินว่าตอนสมัยหนุ่มๆท่านทำผลงานไว้มากมาย อย่างที่หากเปรียบชิ้นหนึ่งเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง ก็คงมากพอจะสร้างห้องสมุดขนาดย่อมได้เลยทีเดียว.. อำนาจของนายพลซึงฮยอนมากพอจะดึงดาวออกจากบ่าของยงกุก แล้วดีดเขากลับลงไปเป็นสามัญชนคนธรรมดาได้สบายๆเพียงแค่กระดิกนิ้ว
เอาเข้าจริงแล้วยงกุกไม่กลัว.. ชายหนุ่มเป็นคนสมัยใหม่ ผู้ซึ่งถือว่าความสามารถคือมาตรวัดคุณค่าของคน ไม่ใช่บรรดาศักดิ์หรือฐานะเงินทอง เขาเคยคิดจะปลดแอกตัวเองจากตำแหน่งที่ฮิมชานเรียกอย่างแสบสันต์ว่าเจเนรัลเบ๊อยู่หลายครั้ง ยงกุกคิดว่าออกจากทหารแล้วก็ไปประกอบอาชีพอื่นได้ อาจจะไปเป็นชาวนา หรือไม่ก็เปิดแผงขายของเล็กๆน้อยๆตามหัวมุมถนน ก็ยังพอเลี้ยงตัวได้
หากทุกครั้งที่คิดเช่นนั้น ภาพใบหน้าปลื้มปิติของบิดามารดา ในวันที่เขาก้าวขึ้นรับมอบยศครั้งแรกก็จะแล่นวาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิด ลบล้างความหงุดหงิดที่มีอยู่ให้จางหายไป.. ทุกคนชื่นชมแกนะยงกุก เขามักจะเตือนตัวเองอย่างนั้น ความสำเร็จของแกคือความสุขของพ่อแม่ อย่าทำลายมันลงด้วยความไม่สู้งานเล็กๆน้อยๆของตัวแกเลย
เมื่อคิดเช่นนั้น ก็ทำให้เขามีกำลังใจกลั้นใจเป็นคนขับรถให้นายพลซึงฮยอนต่อไป
ยงกุกบอกตัวเองว่าเพราะเห็นแก่พ่อแม่ จึงยังยอมทนขายศักดิ์ศรีอยู่ ทว่าชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าลึกลงไป.. เหตุผลเล็กๆสีชมพูอีกข้อหนึ่งกำลังซ่อนตัวเงียบเชียบอยู่ในซอกหลืบของหัวใจ
‘เย็นนี้ไม่ต้องมารับนะฮะ’ เด็กหนุ่มตัวสูงในชุดเครื่องแบบโรงเรียนเอกชนชื่อดังแจ้งทันทีที่รถยุโรปคันงามจอดเทียบริมทางเท้า เรียกให้ยงกุกเลิกคิ้ว ก่อนจะเบือนหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายผ่านทางกระจกหลัง
‘ทำไม? จะไปไหนเหรอ?’ ..เขาถามก็เพราะว่าเป็นหน้าที่ คนขับรถอย่างเขาจำเป็นต้องรู้ว่าผู้โดยสารอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ เพื่อที่ว่าหากเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรจะได้ช่วยเหลือได้ทันที.. ไม่ใช่ว่าอยากรู้เป็นการส่วนตัวเสียหน่อย
คนถูกถามย่นจมูก เดาว่าคงกำลังขัดใจที่โดนดักทางอีกแล้ว.. แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี
‘ไปบ้านจงออบ.. เดี๋ยวสักสามทุ่มโทรหานะฮะ’
‘แล้วก่อนไปบ้านจงออบ จะแวะที่ไหนก่อน?’ ชายหนุ่มถามอย่างรู้ทัน
‘ไม่แวะไหนทั้งนั้นแหละ เลิกเรียนก็จะตรงไปบ้านหมอนั่นเลย พี่ยงกุกจะซักให้ได้อะไรขึ้นมาเนี่ย’ เด็กหนุ่มผมบลอนด์แกล้งทำเสียงเข้มเหมือนไม่พอใจ หากดวงตาหลุกหลิกอย่างพิรุธจัด ก่อนจะตัดบทเอาเสียดื้อๆ ‘ผมว่าผมรีบไปดีกว่า นี่สายมากแล้ว เดี๋ยวโดนมิสบ่นจนหูชาอีก.. ไปนะฮะ’
ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังของคนที่วิ่งปร๋อจากไปจนลับสายตา.. จุนฮงก็เป็นอย่างนี้ พยายามเลี่ยงไม่บอกเขาว่าจะไปไหนอย่างไร แต่ก็ไม่ใจแข็งพอที่ขนาดจะหนีได้ถ้าโดนซัก เพราะฉะนั้นยงกุกก็เลยได้เห็นสีหน้าเซ็งสุดขีดของเจ้าตัวยามต้องจำใจตอบคำถามเขาเป็นประจำ
ยงกุกไม่โทษจุนฮงหรอก.. ถึงจะมีบิดาเป็นคนใหญ่โต ถึงขนาดสั่งเป็นสั่งตายใครได้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดา ย่อมอยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง พวกเขาจึงสร้างสัญญากันว่าชายหนุ่มจะไปรับคุณหนูแค่ตามเวลากับสถานที่สุดท้ายที่บอก ส่วนสถานที่อื่นๆก่อนหน้าที่นัด เขาจะไม่เข้าไปยุ่งด้วย ถือเป็นการเปิดให้เด็กหนุ่มมีโอกาสได้เที่ยวเล่นกับเพื่อนๆอย่างคนธรรมดาทั่วไป
จุนฮงก็พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับข้อเสนอนี้ เพราะดูเข้าท่าและมีแต่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายที่สุดแล้ว หากเด็กหนุ่มไม่รู้เลย.. ทุกครั้งที่ยงกุกส่งตนลงเสร็จ เขาจะเอารถไปเก็บ แล้วแอบตามจุนฮงไปห่างๆไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวเสมอ เพราะชเวจุนฮงเป็นบุตรชายคนเล็กของพลเอกชเวซึงฮยอน ย่อมเป็นที่หมายตาของผู้ไม่หวังดีหลายคน ถ้าถูกสะกดรอยหรือดักทำร้ายขึ้นมา ไม่มีคนคอยดูแลจะเป็นอันตราย.. เขาคิด.. เกิดเป็นลูกคนมีตำแหน่งก็ลำบากอย่างนี้
ถึงเขาจะเป็นแค่คนขับรถ.. แต่ลองท่านนายพลไว้ใจขนาดให้เขาขับรถรับส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนขนาดนี้แล้ว ชายหนุ่มก็คิดว่าเขาควรดูแลคุณหนูให้ดี อย่าให้เป็นอะไรไปได้ ให้สมกับความเชื่อใจที่เจ้านายมอบให้
ยงกุกคิดเช่นนั้น.. ไม่ได้สำรวจตัวเองเลยว่าความอยากรู้อยากเห็นและความเป็นห่วงเกินขอบเขตลูกน้องธรรมดาของตนเกิดจากสาเหตุใดกันแน่.. เขาคิดแต่เพียงว่าจะต้องทำตามหน้าที่ให้ไม่มีบกพร่องเท่านั้น โดยลืมไปว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ทุกวันนี้เกิดคำว่าหน้าที่ไปตั้งเท่าไหร่แล้ว
เขาเป็นคนขับรถ ไม่ใช่บอดี้การ์ด จะตามติดจะตามห่วงความปลอดภัยคุณหนูจุนฮงให้เหนื่อยฟรีทำไม
แต่ยงกุกก็ไม่รู้.. เหมือนกันกับคนอีกหลายล้านคนบนโลกที่รู้ใจตัวเองช้ากว่าสายตาคนนอกมองเสมอ.. เขาจึงเพียงแค่ขยับยิ้มเอ็นดูเมื่อนึกถึงคำลา ไปนะฮะ กับอาการโบกมือประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็วิ่งปรู๊ดจากไปของคุณหนูคนเล็ก
ชายหนุ่มสตาร์ทรถ.. หักพวงมาลัยพาเบนซ์คันงามเข้าสู่ถนน มุ่งไปยังที่จอดรถประจำอย่างอารมณ์ดี
ไม่รู้ตัวเลยว่าแค่ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กคนนั้น จะหล่อเลี้ยงหัวใจเขาให้ชุ่มชื้นได้ทั้งวัน
[๔]
ยงกุกเพิ่งเข้ารับราชการได้ไม่นาน
เขาเริ่มต้นการทำงานในสายอาชีพด้วยยศร้อยตรีที่ได้จากการจบหลักสูตรที่โรงเรียนเตรียมทหาร ก่อนจะทำงานอย่างหนักจนก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งร้อยเอกได้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ยงกุกประจำการที่ชายแดนมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกเรียกตัวเข้าเมืองหลวงด่วน ก็ตัดสินใจละทิ้งฐานที่มั่นตลอดหลายปีของตนเอง ชายหนุ่มไม่รู้สาเหตุของการถูกเรียกตัวครั้งนี้ แต่ขึ้นชื่อว่าด่วนและเป็นคำสั่งจากกองทัพโดยตรงเช่นนี้ เขาก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว จึงโดยสารรถไฟจากนอกเมืองเข้ามาในคืนนั้นเอง
แต่เขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อรู้ว่าตนถูกเรียกขึ้นมาเพื่อรับตำแหน่งนายทหารคนสนิทของท่านผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งตั้งใจจะใช้เขาเป็นคนขับรถให้เท่านั้น ชายหนุ่มในวัยยี่สิบสี่ปี พ่วงยศร้อยตรีนำหน้าชื่อ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องยอมลดศักดิ์ศรีมาทำงานที่ไม่ได้ใช้ความสามารถเช่นนี้ด้วย
ความจริงแล้วเขาจะทิ้งหน้าที่ไปเสียตอนนี้เลยก็ได้ แต่เพราะคิดถึงความภาคภูมิใจของพ่อแม่ เขาจึงยังทนกล้ำกลืนทำงานขายศักดิ์ศรีเช่นนี้อยู่ ทว่านั่นไม่ใช่เหตุผลเดียว.. ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าในส่วนลึกของหัวใจตนเอง ยังมีเหตุผลสีชมพูอันเล็กๆหากหนักแน่นนักอีกข้อหนึ่งคอยถ่วงการตัดสินใจอยู่เช่นกัน
เหตุผลที่ว่าคือ ชเวจุนฮง บุตรชายคนเล็กของพลเอกชเวซึงฮยอนนี่เอง
ยงกุกโง่งมกับความรู้สึกของตัวเองนานเดือนกว่า เขาคิดว่าตนเองห่วงใยอีกฝ่ายในความที่เป็นผู้ดูแลที่ดี และเอ็นดูในฐานะน้องชายที่รู้จักเท่านั้น.. เพิ่งมารู้ใจตัวเองจริงๆเอาก็ตอนที่ได้ยินเสียงปืนลั่นดังเปรี้ยง และเห็นภาพเด็กหนุ่มผมบลอนด์ทรุดลงกองกับพื้นด้วยสองตา รายล้อมด้วยเสียงกรีดร้องของฝูงชนทีแตกฮือไปคนละทิศทาง
เขาผวาเข้าประคองร่างอ่อนปวกเปียกนั่นแทบจะในทันทีที่เสียงปืนหยุดลง รอบตัวจุนฮงว่างเปล่า เพื่อนของเด็กหนุ่มหนีไปหมดแล้วเพราะกลัวถูกลูกหลง.. แม้แต่ไอ้จงออบอะไรนั่น ที่คุณหนูกำลังจะเดินทางไปบ้านมันก็เช่นกัน.. ยงกุกคุกเข่า ช้อนตัวจุนฮงไว้บนตัก ก่อนจะฉีกชายเสื้อนักเรียนของคนเจ็บขึ้นมากดห้ามเลือดไว้ด้วยมืออันสั่นเทา
กระสุนพลาดเป้า มันไม่เจาะเข้าที่หัวใจหรือจุดสำคัญอื่นของร่างกาย แต่แฉลบไปกับพื้นแล้วสะท้อนขึ้นถากสีข้างจุนฮง เรียกโลหิตสีแดงฉานให้ย้อมเสื้อเชิ้ตขาวสว่างจนเป็นด่างดวง.. หากแค่นั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้ยงกุกรู้สึกปวดหนึบในอกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นชำแรกผ่านกล้ามเนื้อและกระดูกเข้ามาบีบหัวใจ
เสียงปืนเงียบลงไปนานมากแล้ว เขาไม่แน่ใจว่ามันเห็นเขาแทรกตัวเข้ามาจึงหยุดยิงเพราะไม่อยากสร้างเรื่องให้ใหญ่ไปกว่านี้ หรือกำลังดูเชิงอยู่ หรือพอใจแค่ได้ทำร้ายจุนฮงแล้วจริงๆ ยงกุกได้ยินเสียงไซเรนของอะไรบางอย่างดังอยู่ไม่ไกล ไม่แน่ใจว่าเป็นรถตำรวจหรือรถพยายาม แต่จะอะไรเขาก็ดีใจทั้งนั้น.. ใครสักคนคงโทรแจ้งหน่วยฉุกเฉินให้แล้ว และอีกไม่นานจุนฮงก็จะปลอดภัย
มือใหญ่ยกขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าของอีกฝ่าย ถึงจะโดนแค่ยิงแค่เป็นแผลถากๆ แต่สำหรับคุณหนูผู้ไม่เคยแม้แต่จะโดนไม้มะยมตีสักทีนั้น แผลเท่านี้คงเจ็บเหลือประมาณเลยทีเดียว
‘พี่.. ยงกุก..’
ชายหนุ่มชะงัก เสียงพึมพำเรียกชื่อตนเองที่หลุดรอดจากริมฝีปากสีอ่อน ทั้งที่คนพูดยังปิดเปลือกตาแน่น ทำให้หัวใจพองโตอย่างควบคุมไม่ได้.. จุนฮงยังไม่ได้สติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังละเมอเป็นชื่อเขานั่นหมายความว่าอย่างไร.. หมายความว่าสำหรับอีกฝ่ายแล้ว ตัวตนของเขาสำคัญถึงขนาดที่แม้แต่จิตใต้สำนึกยังยอมรับใช่หรือไม่..
ความลิงโลดคับอยู่เต็มอก อันเป็นความรู้สึกที่ออกจะน่ารังเกียจเมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์ไม่เหมาะสมเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถกำราบปีศาจร้ายในตัวที่กำลังโห่ร้องแสดงความยินดีอย่างบ้าคลั่งได้เลย
ยงกุกโน้มตัวลง.. เขากระซิบปลอบข้างหู โอบอุ้มเด็กหนุ่มในความดูแลไว้แนบอก.. แนบชิดจนน่าจะได้ยินจังหวะหัวใจ
‘ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไร’
ในประโยคนั้น ชายหนุ่มได้ยินเสียงหัวใจตนเองกระซิบถ้อยคำบางอย่างประสานขึ้นมา ชัดเจนอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย
[๕]
ยงกุกเพิ่งเข้ารับราชการได้ไม่นาน
เขาเริ่มต้นการทำงานในสายอาชีพด้วยยศร้อยตรีที่ได้จากการจบหลักสูตรที่โรงเรียนเตรียมทหาร ก่อนจะทำงานอย่างหนักจนก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งร้อยเอกได้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ยงกุกประจำการที่ชายแดนมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งที่ถูกเรียกตัวเข้าเมืองหลวงด่วน ก็ตัดสินใจละทิ้งฐานที่มั่นตลอดหลายปีของตนเอง ชายหนุ่มไม่รู้สาเหตุของการถูกเรียกตัวครั้งนี้ แต่ขึ้นชื่อว่าด่วนและเป็นคำสั่งจากกองทัพโดยตรงเช่นนี้ เขาก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว จึงโดยสารรถไฟจากนอกเมืองเข้ามาในคืนนั้นเอง
แต่เขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อรู้ว่าตนถูกเรียกขึ้นมาเพื่อรับตำแหน่งนายทหารคนสนิทของท่านผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งตั้งใจจะใช้เขาเป็นคนขับรถให้เท่านั้น ชายหนุ่มในวัยยี่สิบสี่ปี พ่วงยศร้อยตรีนำหน้าชื่อ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องยอมลดศักดิ์ศรีมาทำงานที่ไม่ได้ใช้ความสามารถเช่นนี้ด้วย
ความจริงแล้วเขาจะทิ้งหน้าที่ไปเสียตอนนี้เลยก็ได้ แต่เพราะคิดถึงความภาคภูมิใจของพ่อแม่ เขาจึงยังทนกล้ำกลืนทำงานขายศักดิ์ศรีเช่นนี้อยู่ ทว่านั่นไม่ใช่เหตุผลเดียว.. ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าในส่วนลึกของหัวใจตนเอง ยังมีเหตุผลสีชมพูอันเล็กๆหากหนักแน่นนักอีกข้อหนึ่งคอยถ่วงการตัดสินใจอยู่เช่นกัน
เขารักบุตรชายคนเล็กของนายพลชเวซึงฮยอน.. รักตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะตั้งแต่วันแรกที่ท่านนายพลใช้เขาให้ไปรับส่งคุณหนูคนเล็กที่โรงเรียนแล้วกระมัง แต่เขาไม่เคยรู้ตัวเลย กระทั่งจุนฮงถูกลอบทำร้ายในเย็นวันหนึ่ง กระสุนปืนถากแค่สีข้างของเด็กหนุ่ม แต่เกือบกระชากได้ทั้งหัวใจของยงกุก ยิ่งได้ยินคนเจ็บละเมอเป็นชื่อเขา ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนั้น แต่ก็ยังรู้สึกลิงโลดจนห้ามไว้ไม่ไหว เมื่อนั้นชายหนุ่มจึงเพิ่งรู้ความหมายของเสียงกระซิบในหัวใจตนเอง
ยงกุกถามจุนฮงในวันหนึ่ง.. นานหลังจากวันที่เกิดเรื่องจุนฮงถูกยิงมากทีเดียว.. เขาถามว่า จุนฮงรักพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เด็กน้อยที่ตอนนั้นก็เริ่มตัวไม่น้อยเท่าไหร่แล้วหน้าแดงเรื่อ แกล้งหันหน้าหนี ไม่ตอบคำถามเสียอย่างนั้น จนเขาต้องเป็นฝ่ายเดาเอง
ตั้งแต่ตอนที่พี่สารภาพแล้วโดนคุณพ่อเอาขวดน้ำไล่ตีหรือ เด็กน้อยส่ายหน้า ตั้งแต่ตอนที่ฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นพี่หลับอยู่ข้างเตียงหรือ เด็กน้อยส่ายหน้าอีก งั้นก็ตั้งแต่ตอนที่จุนฮงโดนยิง? เด็กน้อยก็ยังส่ายหน้าอีก เดาไม่ถูกสักทีจนเขาต้องยอมแพ้ แล้วตกลงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ยงกุกเห็นคนรักคลี่ยิ้มหวานจัดจนเห็นลักยิ้มสองข้างแก้ม.. หวานจัดจนดวงตาพร่าพราย
ตั้งแต่วันแรกที่คุณพ่อให้พี่ยงกุกมารับส่งผมละมั้ง
เขาฟังแล้วก็หัวเราะ ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นคำพูดใดๆได้ จนต้องรวบตัวอีกฝ่ายเข้าไว้ในอ้อมกอด แล้วปล่อยให้เสียงของหัวใจช่วยกระซิบบอกกันแทน
ชายหนุ่มนึกถึงอดีตที่ผ่านมา นึกพิศวงกับหนทางของบังยงกุกและชเวจุนฮงที่ไม่น่าจะมาบรรจบกันได้.. เขาขอบคุณคุณพ่อที่เป็นตัวอย่างนายทหารที่ดีจนเขาอยากดำเนินรอยตาม.. ขอบคุณพลเอกชเวซึงฮยอน(ผู้ซึ่งบัดนี้กลายเป็นว่าที่พ่อตา และยงกุกเรียกอย่างสนิทปากว่าคุณพ่อเรียบร้อยแล้ว)ที่เรียกตัวเขาขึ้นมาเพื่อรับตำแหน่งคนขับรถประจำตัว และทำให้เจอกับจุนฮง.. ขอบคุณตัวเองที่อดทนทำงานต่อโดยไม่ทิ้งไปเสียก่อน.. ขอบคุณมือปืนคราวนั้นที่ช่วยให้เขาได้รู้ใจตนเอง..
เหนือสิ่งอื่นใดเขาขอบคุณจุนฮงสำหรับความรักที่มีให้กัน.. ขอบคุณสำหรับความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่และอย่างไร.. มันอาจจะลุ่มๆดอนๆไปบ้างเมื่อครั้งที่ต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่รู้ใจตนเอง แต่เมื่อวันนี้ความรักออกดอกออกผลงดงามให้ได้เชยชมแล้ว.. ชายหนุ่มก็ได้แต่หวังว่าสิ่งดีๆเหล่านี้จะคงอยู่ตลอดไป
นับจากนี้ไป เขาจะดูแลต้นรักนี้ให้หยั่งรากลึกเคียงคู่ชีวิตพวกเขาทั้งสอง ตราบเท่าลมหายใจ
พันตรีบังยงกุก ขอใช้ตำแหน่งหน้าที่และหัวใจเป็นเครื่องรับประกัน
.END
. Aide-de-comp (Adj.) แปลว่านายทหารคนสนิทนะคะ
. หาสาระมิได้เช่นเคย
. ไม่แน่ใจเรื่องหน้าที่ของนายทหารคนสนิทเท่าไหร่นะคะ คือทำการบ้านมาแล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าต้องทำอะไรมั่ง แต่หลักๆก็ประมาณนี้แหละนะ
. สรุปว่าท่านชเวซึงฮยอนเรียกตัวพี่บังแกขึ้นมาถึงนี่เพราะอะไรเราก็ไม่รู้เหมือนกัน๕๕๕๕ อาจจะมีตอนต่อ(มั้ง.. ไม่ชัวร์)
ความคิดเห็น