ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC B.A.P] All of my B.A.P short fictions

    ลำดับตอนที่ #6 : [SF] A word that continues with the letter O [02.2] [ZeloDae]

    • อัปเดตล่าสุด 21 ส.ค. 55





    A word that continues with the letter O

    Zelo x Daehyun fanfiction

    by kyosama

     

     

     

     

    part 2

     

     

     

     

     

     

     

    O is for the only one I see.

     

     

     

    ร่างโปร่งบางมัวแต่ตกตะลึงกับความคิดของตัวเองจนเผลอชะงักเท้า แดฮยอนกะพริบตาปริบ เพิ่งพบว่าเขาเดินเหม่อลอยผิดทางมาจนเกือบอ้อมกลับไปยังเส้นทางเก่า ถึงจุดที่แยกกับจุนฮงก่อนอีกฝ่ายจะเข้าไปหาอาจารย์ เด็กหนุ่มยิ้มขำความเซ่อซ่าของตัวเอง อดคิดไม่ได้ว่าถ้าจุนฮงรู้เรื่อง รับรองหมอนั่นต้องหัวเราะลั่นจนหงายหลังตกเก้าอี้แน่

     

    แดฮยอนกำลังจะก้าวเลี้ยวมุมตึกเพื่อกลับไปเริ่มใหม่ บนเส้นทางเดิมอีกครั้ง เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่ง ผสานกับเสียงพูดคุยที่จับความได้กระท่อนกระแท่นแค่คำว่า เจลโล่ อะไรบางอย่าง ก็ทำให้เขาเลือกที่จะดึงเท้ากลับ แล้วรีบกระโจนเข้าซ่อนตัวในมุมมืดของเงาตึก เด็กหนุ่มยืนตัวลีบติดกำแพงอาคาร เงี่ยหูแอบฟังบทสนทนาของกลุ่มคนแปลกหน้าอย่างตั้งใจ

     

    “..ดีแต่จะทำให้เราลำบากขึ้นแท้ๆ” เสียงฝีเท้าย่ำเข้ามาใกล้ เสียงพูดคุยกันก็ดังขึ้นตามระยะห่างที่ลดลง.. เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นคงไม่ทันเฉลียวใจว่าจะมีใครกำลังแอบฟังพวกเขาอยู่อย่างนี้

     

    “ใช่ ตั้งแต่เจลโล่เริ่มตามประกบมัน อะไรๆก็เปลี่ยนไปมาก” เจลโล่.. ตามประกบมัน.. คนพวกนี้กำลังพูดถึงเขาอยู่ยังงั้นใช่ไหม? แดฮยอนได้ยินเสียงคนแปลกหน้าหนึ่งในนั้นถอนใจ “เงินก็รีดไม่ได้ การบ้านก็ไม่มีให้ลอก จะแกล้งธรรมดาๆแค่คลายเครียดก็ยังไม่กล้.. เอ่อ ไม่มีโอกาส.. ไอ้เจลโล่แม่งตามติดไอ้แว่นตาฝาขวดน้ำนั่น ทุก-ฝี-ก้าว! อย่างกับหมาติดเจ้าของ”

     

    เฮ้ๆ ให้มันน้อยหน่อย.. แดฮยอนครางในใจ เขาไม่รู้หรอกนะว่าคนพูดเป็นใคร แต่พอได้ยินอย่างนี้ก็ชักอยากจะเห็นหน้ารู้ชื่อขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่อะไรหรอก แค่เวลาเอาไปฟ้องจะได้โบ้ยถูกคน.. จุนฮงๆ มีคนว่านายเป็นหมาแน่ะ..  แค่ลองคิดภาพใบหน้ายาวเรียวหากสมบูรณ์ด้วยเครื่องหน้าได้สัดส่วน สั่นระริกด้วยความโกรธอย่างยิ่งยวด แดฮยอนก็รู้สึกสนุกแล้ว.. เด็กหนุ่มยอมรับ ได้ยินแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างมาตั้งนานนม.. ลึกๆแล้ว เขาก็อยากเห็นเจลโล่ในตำนานอาละวาดมากทีเดียว

     

    “พูดแบบนี้แสดงว่ามึงไม่เคยได้ยินที่เขาลือกันน่ะสิ” คนแอบฟังหูผึ่งทันที.. ข่าวลืออะไรหว่า ยังไงก็น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขาอยู่แล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั่นเสือกไว้ก่อนก็ไม่น่าเสียหาย

     

    เสียงพูดคุยเงียบไปชั่วหายใจหนึ่ง แดฮยอนคิดว่าคนถูกถามคงกำลังพยักหน้ารับ หรือไม่ก็ส่ายหัวปฏิเสธ.. ก่อนที่เจ้าของคำถามเมื่อครู่จะเฉลยความ ด้วยประโยคที่ทำให้ผู้เร้นกายในเงามืดนิ่งกึก

     

    “เขาว่ากันว่าจองแดฮยอนจ้างให้ไอ้เจลโล่คอยดูแลมัน”

     

    โอ้โห จินตนาการบรรเจิดเสียจริงพ่อคุณ

     

    แดฮยอนอดนึกชมความเพ้อเจ้อสุดกู่ของคนสร้างข่าวไม่ได้..

     

    ไอ้คนนั้นทำยังไงถึงนึกว่าคนอย่างเจลโล่จะยอมศิโรราบต่อเงินไม่เท่าไหร่กันหนอ.. คนที่ทิฐิจัดขนาดแค่แดฮยอนจะเลี้ยงข้าวขอโทษที่มาสายยังไม่ยอมเนี่ยนะ จะยอมลดศักดิ์ศรีตัวเองลงมาให้เขาเอาให้ฟาดหัวง่ายๆ? อีกอย่าหนึ่ง ว่ากันตามจริงแล้วครอบครัวของแดฮยอนก็ไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น.. ความเป็นอยู่อาจจะดูโอ่อ่าฟู่ฟ่ากว่าคนอื่นที่นี่ก็จริง แต่ก็ยังดำเนินอยู่บนพื้นฐานของความเป็นชนชั้นกลาง ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังขนาดจะเที่ยวโปรยแจกคนอื่นเล่นหรอกนะ จะบอกให้

     

    “พวกคนรวยก็ยังงี้แหละ คิดอะไรไม่ออกเอะอะก็ใช้เงินสู้ไว้ก่อน” เสียงคนพูดขึ้นจมูกอย่างน่ารังเกียจ “แน่จริงไม่ต้องใช้ไอ้เจลโล่เป็นกันชนสิวะ เงินเหลือนักก็เอามาแบ่งคนจนๆอย่างเราใช้หน่อยเป็นไร”

     

    “เออ ว่าแต่พวกมึงว่าเจลโล่มันจะยอมเป็นหมาให้ไอ้คุณหนูนั่นจูงไปอีกนานแค่ไหนวะ”

     

    “จนกว่าจะเรียนจบล่ะมั้ง” ใครสักคนว่า “เงินดีงานสบายยังงี้หาไม่ได้ง่ายๆหรอกนะโว้ย เอาจริงๆถ้ากูเป็นเจลโล่มัน กูก็รับนะงานนี้ แค่ยอมเดินตามตูดเจ้านายต้อยๆ ทำตาขวางใส่ชาวบ้านมากขึ้นหน่อยก็ได้เงินมาใช้สบายๆแล้ว แต่กูว่าจริงๆเจลโล่มันโง่นะ ลองเป็นกูหน่อยไม่ได้ กูจะหลอกไอ้คุณหนูให้มันซื้อของนู่นนี่ให้สักหลายแสน เอาให้แม่งกระเป๋าแฟบเลย หมดประโยชน์เมื่อไหร่ค่อยเขี่ยทิ้ง โอย พูดแล้วก็เปรี้ยวปาก พวกมึงว่ากูลองไปปะเหลาะไอ้คุณหนูให้จ้างกูเป็นบอดี้การ์ดเพิ่มอีกสักคนดีไหมวะ”

     

    “เออดีๆ รวยเมื่อไหร่อย่าลืมกลับมาเลี้ยงเพื่อนบ้างแล้วกัน” พูดจบก็หัวเราะกันางฮาเฮ

     

    มือเล็กบางเผลอกำเข้าหากันแน่นอย่างลืมตัว.. แดฮยอนไม่ได้สนใจสันดานหิวเงินน่ารังเกียจของคนกลุ่มนั้น ไม่ได้สนใจคำป้ายสีเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับจุนฮงด้วย.. ทว่าประโยค หมดประโยชน์เมื่อไหร่ค่อยเขี่ยทิ้ง ที่ได้ยินมันวนเวียนอยู่ในหัว สะกิดให้เด็กหนุ่มระลึกถึงอะไรที่เผลอลืมเลือนไปเสียนาน

     

    ถึงจะไม่ใช่เพราะเงิน.. แต่จุนฮงก็มาหาเขาเพราะหวังผลประโยชน์จริงๆไม่ใช่หรือ

     

    จุนฮงอยากไปโซล.. ถึงได้ลงทุนมาขู่บังคับเอาความช่วยเหลือจากเขาที่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีแต่แรก.. ถึงตอนนี้จะสนิทกันมากขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าได้เข้าโซลสมใจอยากแล้ว.. ในสายตาของชเวจุนฮง จองแดฮยอนจะหมดค่าพอให้สนใจหรือไม่

     

    แดฮยอนเป็นคนง่ายๆ เมื่อรู้ตัวว่าตนเองอยู่ที่สถานะไหนในสังคมนี้ ก็คิดว่าจะทำตัวเงียบๆ ใช้ชีวิตไปแบบไม่ต้องยุ่งกับใคร แต่เมื่อได้จับพลัดจับผลูมาเกี่ยวข้องกับจุนฮง พอนึกถึงวันที่แวะเล่นเกมตีหัวตัวตุ่นที่จุนฮงชอบนักหนาที่เกมเซ็นเตอร์ด้วยกัน หรือลองชิมไอศกรีมรสแฮมชีสจนหน้าเบี้ยวไปด้วยกัน หรือวิ่งหนีม็อบประท้วงของพวกชมรมเต้นจนหัวเราะไม่หยุดไปด้วยกัน.. แดฮยอนก็คิดว่าการมีเพื่อนสักคนช่วยทำให้ชีวิตที่นี่ดีขึ้นมากทีเดียว

     

    เพิ่งตระหนักได้เดี๋ยวนี้เองว่าอีกฝ่ายอาจไม่ได้คิดแบบเดียวกัน

     

    เด็กหนุ่มยังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตนเอง ตอนที่เขาได้ยินเสียงคำรามอย่างโกรธขึ้งข้างหู วินาทีถัดมาก็เห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งพุ่งผ่านตัวไป เป้าหมายอยู่ที่กลุ่มคนซึ่งบัดนี้เดินเข้ามาใกล้มากแล้ว แดฮยอนยืนงุนงงอีกเพียงสักพัก เมื่อกะพริบตาอีกทีจึงเพิ่งเห็นชัดว่าเงาร่างนั้นแท้จริงแล้วคือชเวจุนฮง ผู้เป็นหนึ่งในสองบุคคลเป้าหมายของบทสนทนาเมื่อครู่นั่นเอง

     

    เด็กหนุ่มกระโจนเข้าตะลุมบอนกับคนทั้งสามทันที คลุกวงในนัวเนียกันได้สักพัก จุนฮงก็เป็นฝ่ายเหนือกว่า เด็กหนุ่มได้ที อาศัยจังหวะที่สองในสามเผลอหยัดเท้าถอยหลังเพื่อตั้งตัว กระชากเอาคนที่เข้าทางมือที่สุดเข้ามาใกล้จนเกือบประชิดหน้า กำปั้นลุ่นๆซัดเข้าที่ซีกหน้าของคนปากพล่อย เร็วและแรงพอที่จะทำให้หน้าหันและร่างกายเซไปตามแรงส่ง จุนฮงไม่ปล่อยให้โอกาสอันดีหลุดมือไปอย่างง่ายๆ เด็กหนุ่มคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้ กระชากเข้ามาต่อยอีกสองหมัด ก่อนจะเหวี่ยงร่างสูงใหญ่ทั้งร่างเข้าใส่เพื่อนร่วมก๊วนที่พุ่งเข้ามาหมายจะช่วยด้วยพละกำลังอันน่าเหลือเชื่อ  

     

    ร่างสูงใหญ่สองร่างปะทะกันโครม เกิดเป็นภาพอุจาดตาของเด็กหนุ่มตัวสูงเก้งก้างสองคนกองทับกันไม่เป็นท่าอยู่บนพื้น คนที่สามไม่ได้รับความใจดีปล่อยให้ยืนลอยนวลอยู่นาน จุนฮงยกเท้าถีบโครมเข้ากลางตัวทีเดียว เจ้าของร่างผอมสูงดูขี้โรคก็ลงไปกองกับพื้นตามเพื่อนอีกสองคนที่คอยท่ารอไว้อยู่ก่อนแล้ว

     

    จุนฮงหอบหนัก ใบหน้าเป็นสีแดงจัดอย่างที่ไม่แน่ชัดว่าเป็นเพราะออกแรงมากหรือด้วยอารมณ์โกรธกันแน่

     

    “ใครบอกมึง” เจลโล่ ผู้ซึ่งในสายตาของทุกคนตอนนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าเสือภูเขา ถึงกับชี้นิ้วใส่หน้าไอ้ปากรั่วเบอร์หนึ่ง (เป็นชื่อที่จุนฮงตั้งให้ภายหลัง) ที่ยังกลิ้งโค่โร่อยู่ “กูถามว่าใครบอกมึง! ตอบมา!”  

     

    กลุ่มคนผู้ซึ่งตัวสั่นไม่หยุดอย่างควบคุมไม่ได้ตอนแรกเหมือนจะไม่เข้าใจว่าเด็กหนุ่มพูดถึงอะไร ต่อเมื่อจุนฮงทำท่าจะเหยียบซ้ำเข้าที่ท้องอีกนั่นแหละ คนตัวโตสุดที่น่าจะเป็นหัวหน้าแก๊งค์ถึงได้ตาเหลือก รีบตอบละล่ำละลัก

     

    “ดะ.. ดะ.. ได้ยินพวก.. ปะ.. ปีสามพูด.. กันมาอีกที..”

     

    แดฮยอนได้ยินคนตัวสูงสบถอะไร คล้ายๆ เหี้ยเอ๊ย แล้วก็ บัดซบ ออกมาเต็มไปหมด จุนฮงเดินงุ่นง่านไปมา เฉียดกลุ่มคนที่กองอยู่บนพื้นก็แวะเข้าไปเตะซ้ำทีสองที เป็นอย่างนี้อยู่นานกว่าจะสงบลง สุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มก็เดินไปนั่งยองๆข้างกลุ่มคนที่มีแรงพอจะตะกายตัวขึ้นมานั่งพิงกำแพงอย่างอ่อนระโหย พูดด้วยท่าทางจริงจัง

     

    “ฉันจะไม่ถามชื่อ เพราะถึงถามไปเดี๋ยวแกก็คงจะตอบว่าไม่รู้อีกอยู่ดี.. เอาเป็นว่าสามวันต่อจากนี้ฉันต้องไม่ได้ยินเรื่องนี้อีก ถ้าพ้นสามวันไปแล้วยังมีข่าวลืองี่เง่าหลุดมาเข้าหูฉันอีกล่ะก็..” มือใหญ่กระตุกป้ายชื่อที่ติดอยู่บนเสื้ออีกฝ่ายมาไว้ในมือ ก่อนจะขยับรอยยิ้มเย็นเยียบ “ที่นี่จะไม่มีนักเรียนชื่อโอซึงอออีกต่อไป.. เข้าใจนะ?”

     

    คนชื่อโอซึงออพยักหน้ารัวๆ ไม่รู้เป็นเพราะเข้าใจจริงๆหรือแค่อยากไปให้พ้นๆกันแน่ จุนฮงโยนป้ายชื่อกลับคืนให้อีกฝ่าย แล้วก็โบกมือไล่

     

    “เข้าใจแล้วก็ไปได้”

     

    สามร่างลุกขึ้นพร้อมกันทันทีโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะวิ่งอ้าวจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับสภาพอ่อนเปลี้ยที่เห็นเมื่อกี้เป็นเพียงมายาไม่ใช่ความจริง

     

    จุนฮงยืนมองตามจนกระทั่งร่างทั้งสามลับสายตา เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันกลับมาหาอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ตลอดเหตุการณ์ ทั้งที่สีหน้าตัวเองก็ยังยุ่งอยู่ แล้วก็เลิกคิ้ว ถาม

     

    “นายโอเคหรือเปล่า”

     

    โอเคสิ.. เขาควรจะยิ้มแล้วตอบไปอย่างนั้นใช่ไหม

     

    “นายโกรธอะไร” หากสิ่งที่หลุดออกจากปากกลับเป็นคำถาม.. ที่เผลอถามออกไปทั้งที่ตนเองยังแทบไม่รู้ตัว

     

    เขาเห็นจุนฮงขมวดคิ้ว (ที่เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นอีกแล้วว่ามันเป็นสีฟ้า ให้ตาย นี่สรุปว่าเขาถูกไอ้หน้าม้าบ้าๆนั่นหลอกมาตลอดทั้งวันเลยใช่ไหม) แต่ยังไม่ทันที่คนถูกถามจะได้พูดอะไร แดฮยอนก็เป็นฝ่ายชิงตอบแทรกขึ้นมาเองเสียก่อน ด้วยน้ำเสียงที่ทั้งกร้าวและเกือบจะเป็นแค่นหัวเราะ

     

    “โมโหที่พวกนั้นว่านายรับเงินจากฉันงั้นเหรอ”

     

    จุนฮงมองคนตัวเล็กที่กำลังโกรธโดยไม่รู้ตัวด้วยสายตาเรียบเฉย.. เขายืนอยู่ข้างหลังแดฮยอนนานพอที่จะได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายได้ยิน และรับรู้ในความคลางแคลงใจที่เกิดขึ้น แต่เพราะถ้าใช้ไฟดับไฟ ก็คงจะไม่เกิดผลอะไรนอกจากเชื้อไฟที่ลามขยายมากกว่าเดิม จุนฮงเลยเลือกที่จะนิ่งเสีย เขาจงใจเว้นช่วงบทสนทนาให้เงียบไปครู่หนึ่ง เพื่อที่ว่าแดฮยอนจะได้สงบสติอารมณ์ลงบ้าง เมื่อเห็นว่าแก้วตาสีน้ำตาลใสลดประกายคุกรุ่นไปมากแล้ว คนตัวโตจึงเอ่ย.. ช้าๆ และชัดเจน

     

    “เปล่า ฉันโกรธที่มันบอกว่าฉันหวังผลประโยชน์จากนาย แล้วก็เสียใจ.. ที่นายเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” ถ้อยคำกรีดลงกลางใจจนคนฟังสะท้านวูบ จุนฮงอ่านความคิดเขาออกหรือไง ถึงได้พูดอะไรออกมาตรงใจได้ขนาดนี้

     

    ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้

     

    “แต่นายก็หวังผลประโยชน์จากฉันจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะนายอยากไปโซล อยากเป็นนักร้องตามอย่างไอ้เจ๊บๆแจ็บๆอะไรนั่นมากขนาดนั้น นายก็คงไม่คิดจะเข้าหาฉันหรอกใช่ไหม”

     

    “นั่นก็จริง” จุนฮงยอมรับอย่างว่าง่าย “ฉันคิดอยากให้นายช่วยก็เลยเข้าไปขู่ แต่พอได้รู้จักกัน ไอ้ความคิดที่ว่าจะเอาแต่ประโยชน์อย่างเดียวมันก็หายไป.. ฉันชอบเวลาที่อยู่กับนาย ได้เที่ยวด้วยกัน เดินเล่นด้วยกัน หัวเราะเรื่องโง่ๆด้วยกัน.. นายทำให้ฉันรู้สึกว่าได้รับอะไรมากมายจนจำเป็นต้องตอบแทน.. ถึงอย่างนั้นแล้ว ฉันก็ยังเป็นชเวจุนฮงคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรจะให้ นอกจากพยายามสร้างมิตรภาพที่ดี เพราะคิดว่านายอาจจะต้องการ.. เพราะคิดว่าน่าจะดีถ้าเราได้เป็นเพื่อนกัน”  

     

    ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาล้วนแต่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ.. ดวงหน้าอ่อนเยาว์ของอีกฝ่ายที่ถึงจะบวมช้ำจากการตะลุมบอนเมื่อครู่ แต่ก็ยังแผ่บารมีความเป็นเจลโล่ผู้ทรงอำนาจออกมาเรืองๆ ทำให้แดฮยอนที่สัมผัสได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงถึงกับต้องเบือนสายตาหลบ.. ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร

     

    “ถึงจะเคยไปบังคับมา แต่ตอนนี้ก็อยากให้เป็นเพื่อนกัน.. ฟังแล้วเข้าใจไหม”

     

    ประโยคสรุปสั้นๆ.. ซึ่งถ้าได้ยินไม่ผิด.. แดฮยอนคิดว่ามันเจือน้ำเสียงวิงวอน ทำเอากำแพงหัวใจที่เพิ่งสร้างได้ไม่ถึงชั่วโมงดีอ่อนยวบเหมือนขี้ผึ้งลนไฟ

     

    จุนฮงเองก็เหมือนกับเขา.. ต่างกันแค่ว่าเขาอยู่ในสถานะต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารที่นี่ ส่วนเจลโล่กลับยืนอยู่บนยอดสูงสุดของปิรามิด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สิ่งรอบตัวผิดแผกไปจากกันเลย.. ในขณะที่เขาไม่มีเพื่อนเพราะใครๆต่างก็พากันตั้งแง่รังเกียจ ไม่ชอบ.. เจลโล่เองก็ไม่เคยมีเพื่อนเพราะภาพลักษณ์ที่ดูเก่งกาจจนน่ากลัว ไม่น่าเข้าใกล้ เช่นเดียวกัน

     

    คนตัวเล็กไม่ทราบว่าชีวิตของจุนฮงก่อนมาเจอเขาเคยเป็นอย่างไร แต่ก็พออนุมานได้จากข่าวลือเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่มีให้ได้ยินอย่างหนาหูตลอดเวลาว่าคงไม่ค่อยโสภานัก.. จากข่าวลือที่ได้ยินมาทั้งหมด มีเพียงเศษเสี้ยวไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเองที่ตรงกับจุนฮงที่แดฮยอนรู้จัก

     

    ทุกคนเอาแต่พูดถึงเจลโล่ที่ชอบโดดเรียน เจลโล่ที่เก่งเรื่องต่อยตี เจลโล่ที่ไม่เคารพรุ่นพี่ แต่ไม่เคยมีใครพูดถึงชเวจุนฮงคนที่ชอบเล่นเกมตีตัวตุ่น ชอบไอศกรีมเชอร์เบตรสมะนาว หรือชอบเต้นป็อปปิ้นส์เลย.. จุนฮงมีมุมที่น่าสนใจมากถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่มีใครเคยเห็น ไม่เคยมีใครได้ร่วมแบ่งปันความสนุกสนานอย่างนี้ด้วยกัน.. จนกระทั่งได้มาเจอเขา คนที่ยอมกินข้าวเที่ยงร่วมโต๊ะโดยไม่สนสายตาใคร คนที่กล้าเถียงเวลาจุนฮงชักจะเอาแต่ใจเกินขอบเขตโดยไม่กลัวโดนตี คนที่ร่วมหัวเราะไปกับเรื่องโง่ๆ..

     

    ถึงจะดูเข้าข้างตัวเองไปหน่อยก็เถอะ แต่แดฮยอนก็คิดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกไม่ต่างกัน

     

     

     

    จุนฮงเองก็คงคิดเหมือนกันว่าการมีเพื่อนสักคนช่วยทำให้ชีวิตที่นี่ดีขึ้นมากทีเดียว

     

     

     

    คนตัวเล็กเชิดหน้าขึ้น กอดอก สีหน้ายังนิ่งอยู่ แต่ผิวแก้มซับสีเรื่อจางๆ ซึ่งแทบจะมองไม่เห็น เมื่ออยู่ภายใต้เงามืดที่ทอดยาวของยามตะวันคล้อยเช่นนี้

     

    “ไม่ค่อยเข้าใจ”

     

    “อืม” สีหน้าของอีกฝ่ายสลดลงชัดเจน ถ้าจะเปรียบกับลูกหมาแล้วก็อาการคล้ายๆ หางลู่หูตก เลยทีเดียว จุนฮงรับคำสั้นๆ แล้วก็หันหลังให้ ร่างสูงโปร่งกำลังจะเดินจากไปอย่างจ๋อยสนิทแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าแดฮยอนร้องขัดขึ้นเเสียก่อน

     

    “นั่นนายจะไปไหน”

     

    "กลับบ้าน" จุนฮงตอบ ทั้งที่ยังไม่ยอมหันกลับมาเผชิญหน้า “เจ็บตัวแล้วยังจะทะเลาะกับเพื่อนอีก เหนื่อยใจ” แดฮยอนคิดว่าคราวนี้ตนเองคงหยอกเล่นแรงไปเสียแล้ว เพราะขนาดน้ำเสียงประชดของคนพูดยังฟังดูซึมไปถนัดตา เด็กหนุ่มจึงปราดเข้ายึดต้นแขนขาวจัดไว้ ก่อนจะประกาศ

     

    "ฉันไปด้วย"

     

    พูดไปแล้วก็ตกใจกับความกล้าของตัวเอง พอมองคนฟังก็เห็นว่ามีสีหน้าไม่ต่างกัน แต่เพราะเห็นจุนฮงยังนิ่งๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร แดฮยอนเลยใจชื้นขึ้น พอคนตัวสูงเริ่มออกเดิน สองขาเรียวก็พาร่างเล็กๆก้าวยาวๆตามอีกฝ่ายไปอย่างเงียบๆ ทิ้งระยะห่างให้พอมีช่องว่าง จุนฮงที่กำลังนอยด์จัดจะได้ไม่รู้สึกถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัวเกินไปนัก ไม่งั้นเดี๋ยวจะเป็นบ้าหันมาขู่แฮ่ใส่เขาเข้าให้

     

    เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มตัวโตก็หยุดเท้า จุนฮงหันกลับมามองคนที่ไม่รู้จะยอมรับหรือยังว่าเป็นเพื่อนกัน ที่ยืนฉีกยิ้มกว้างอย่างปลอมจัด ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอย่างสงบเสงี่ยมให้ แล้วก็พ่นลมหายใจพรืดอย่างติดจะระอา

     

    "มานี่" สุดท้าย เขาก็ตัดสินใจกวักมือเรียก "อย่าเดินตามหลัง ฉันรู้สึกเหมือนโดนสตอล์คยังไงไม่รู้"

     

    ลูกแมวสืบเท้าเข้าหาคนเรียกอย่างว่าง่าย จุนฮงมองหน้าเซ่อๆของคนตัวเล็กกว่านิดหนึ่ง ก่อนที่คนตัวสูงจะทำในสิ่งที่อีกฝ่าย (หรือแม้แต่ตัวเองก็ยังมายอมรับในภายหลังว่า) ไม่คาดคิด

     

    มือใหญ่ฉวยเอามือคนข้างตัวมากุมไว้

     

    พอแดฮยอนสะบัดหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ จุนฮงก็ให้คำอธิบายสั้นๆ

     

    "เจ็บแผล"

     

    ..ก็จับมือเขาแล้วมันจะหายเจ็บหรือไงวะ!

     

    แดฮยอนจำไม่ได้ว่าตัวเองมีพลังรักษาตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าไปแล้วแค่จะปลูกต้นไม้ให้งามเขายังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ.. แต่มือใหญ่อุ่นจัดที่ยังยึดมือเขาไว้มั่น และสีหน้าผ่อนคลายของคนข้างตัว ก็ทำให้เด็กหนุ่มอมยิ้มขำ แล้วเลือกที่จะแกล้งเพิกเฉยต่อคำแก้ตัวน้ำขุ่นคลั่กนั่นเสีย

     

    ดังนั้นแล้ว จองแดฮยอน ผู้ซึ่งเพิ่งค้นพบว่าตนเองมีพลังเยียวยาบาดแผลโดยไม่เคยรู้ตัวมาก่อน ก็ปล่อยให้ชเวจุนฮง ผู้ซึ่งเพิ่งคว่ำเด็กผู้ชายวัยเดียวกันสามคนด้วยมือเปล่า แต่ก็ต้องแลกกับแผลคิ้วแตกแก้มช้ำบนใบหน้า จูงมือกลับบ้านไปอย่างง่ายดายเช่นนี้เอง

     

     

     

     

     

    “กลับมาแล้วครับ”

     

    บ้านของจุนฮงเป็นบ้านเดี่ยวขนาดกำลังดี ไม่ได้เก่าหรือทรุดโทรมอย่างบ้านหลังอื่นๆที่เห็นกันโดยทั่วไป ซ้ำยังดูสะอาดสะอ้านมากเสียจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ชายตัวโตๆสองคน (แดฮยอนไม่เคยเจอพ่อของจุนฮงก็จริง แต่ในเมื่อจุนฮงตัวใหญ่เสียขนาดนี้.. มันก็ชวนให้คิดว่าพ่อของจุนฮงคงตัวโตไม่ต่างกันเท่าไหร่)

     

    แดฮยอนถอดรองเท้า เรียงไว้ข้างรองเท้าเจ้าของบ้านอย่างเป็นระเบียบ.. มองไปรอบๆก็เห็นว่าภายในบ้านยิ่งสะอาดกว่าที่เห็นจากข้างนอกหลายเท่า จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขาเป็นเศษฝุ่นจะไม่กล้าย่างเท้าเข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้เลย เพราะเห็นท่าว่าจะต้องโดนกวาดทิ้งภายในไม่กี่ชั่วโมงแน่ๆ

     

    คนตัวโตพาเขามาทิ้งไว้บนโซฟารับแขก ก่อนที่จะขอตัวไปทำแผล พอเขารั้นบอกให้เอาพลาสเตอร์กับยามาก็ไม่ยอม แถมยังดุให้อยู่เฉยๆนั่งนิ่งๆรออีกต่างหาก แดฮยอนทั้งที่เบื่อแสนเบื่อก็ต้องยอมฟังคำสั่งเจ้าของบ้าน นั่งดูทีวีไปมือก็หยิบซอฟต์คุกกี้ที่อร่อยมากๆเข้าปากไป.. ที่ยอมทำตามนี่เพราะเป็นแขกนิสัยดีมีมารยาท ไม่ใช่ยอมเพราะขนมที่เอามาติดสินบนอร่อยหรอกนะ บอกเอาไว้เลย!

     

    กว่าจุนฮงจะกลับมาอีกที จานขนมที่ยกมาให้ก็สะอาดเกลี้ยงจนรับรองว่ามดมาเห็นต้องร้องไห้แน่ๆ เด็กหนุ่มส่ายหน้า นึกสงสัยว่าระบบการทำงานของร่างกายแดฮยอนท่าทางจะผิดปกติ ก็กินเยอะอย่างนี้ตลอดแต่ไม่ยักโตขึ้นเสียที  เห็นตัวเล็กๆบางๆแบบนี้ดูท่าคงไม่เคยรู้จักคำว่าเซลลูไลท์ส่วนเกินด้วยซ้ำ

     

    เจ้าของบ้านตัวสูงหย่อนตัวลงบนโซฟา ซึ่งคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วก็รู้ใจ ขยับตัวเปิดทางให้เขาทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยปากบอก จุนฮงเอื้อมมือหมายจะหยิบรีโมทที่วางอยู่บนโต๊ะรับรองด้านหน้า หากมือเล็กเรียวของใครอีกคนก็ชิงคว้าสิ่งที่ต้องการตัดหน้าไปเสียก่อน

     

    จุนฮงมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ.. ดวงตาสีน้ำตาลใสของแดฮยอนวาววับ ก่อนที่ริมฝีปากสีอ่อนจะเอ่ยคำถามที่ไม่ได้เข้ากับสถานการณ์เอาเสียเลย

     

    “ทำไมต้องเป็นฉัน” แดฮยอนถาม.. ทั้งที่คิดว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากได้ความมั่นใจ “ทำไมต้องให้ฉันเป็นเพื่อนนาย”

     

    จุนฮงเอนหลังพิงกำแพง หลับตาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อนึก แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ไม่สามารถหาคำตอบที่ดีพอจะตอบทั้งคนถามและตัวเองได้

     

    “นั่นสิ ทำไมกันนะ..”

     

    “ถามจริงๆเลย ห้ามโกรธกันนะจุนฮง นายเหงาเหรอ.. เคยมีเพื่อนบ้างหรือเปล่า”

     

    จุนฮงฟังแล้วก็ทั้งขำทั้งฉุน ปากขอให้เขาไม่โกรธ แต่คำถามที่เล่นเอาซะไปไม่ถูกเลยทีเดียว ฟังยังไงมันก็คำปรามาสว่าหน้าอย่างเขาไม่มีปัญญาหาเพื่อนชัดๆ แต่..

     

    “เคยมี.. แต่ก็ไม่มีมานานแล้ว”

     

    ..อะไรที่เป็นความจริงก็ต้องยอมรับ

     

    แดฮยอนดูไม่ประหลาดใจเท่าที่จุนฮงคาดไว้ อาจเป็นเพราะว่าคาดการณ์กับคำตอบทำนองนี้ไว้ก่อนหน้าแล้ว เด็กหนุ่มจึงยิ้ม

     

    “อย่างที่เขาบอก ยิ่งสูงยิ่งหนาว ใช่ไหม”

     

    “ก็ไม่มาก พอทนได้” เขาตอบติดตลก เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่ายให้คลี่ขยายขึ้นอีก  

     

    “แต่ก็ลำบากใช่ไหม”

     

    คราวนี้จุนฮงเลือกที่จะเงียบ.. อันที่จริงเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องความลำบากของการเป็นเจลโล่ ที่ต้องยืนอยู่เหนือคนอื่นตามลำพังมานานแล้ว.. แน่ล่ะว่าแรกๆอาจจะมีคิดบ้าง เพราะก็ต้องยอมรับว่าการโดนเพื่อนที่เคยเล่นหัวกันค่อยๆตีจากทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดย่อมเป็นเรื่องไม่ค่อยน่ายินดีเท่าไหร่.. แต่สายน้ำก็ยังไหลไป เหมือนกับเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เผลอแค่แปบเดียว รู้ตัวอีกทีจุนฮงก็ชาชินกับความรู้สึกโดดเดี่ยว จนไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจอีกต่อไปแล้ว

     

    “เพราะเป็นอย่างนี้เลยอยากหนีไปโซลงั้นสินะ” แดฮยอนมองสีหน้าของเพื่อนแล้วก็คาดเดาความรู้สึกได้ไม่ยาก เด็กหนุ่มรำพึงกับตัวเอง แต่ก็คงจะเป็นการรำพึงรำพันที่เสียงดังเกินไปหน่อย เพราะคนถูกพาดพิงได้ยิน และดูท่าทางจะไม่ค่อยพอใจเสียด้วย

     

    “ไม่ได้จะหนี” จุนฮงชี้แจง ด้วยเสียงที่พยายามข่มไว้ไม่ให้ขุ่น แต่ก็ยังสัมผัสถึงความไม่สบอารมณ์ได้เป็นระลอก “ฉันไม่เคยมีความคิดจะหนีอะไรอยู่แล้ว ที่บอกว่าอยากไปโซลก็เพราะอยากไปจริงๆ แล้วที่บอกว่าอยากไปทำตามความฝันก็คืออยากทำตามความฝันจริงๆเหมือนกัน อย่าเข้าใจผิดไป”

     

    พูดจบแล้วก็ลุกขึ้นยืน ก้าวยาวๆไปยังตู้ไม้ขนาดกะทัดรัดข้างโต๊ะวางโทรทัศน์ เขาค้อมตัวลงเปิดบานประตูตู้ออก เผยให้เห็นสภาพภายในที่แบ่งออกเป็นช่องย่อยๆอีกสองช่องบนล่าง ช่องล่างเต็มไปด้วยเศษขี้เถ้า ใช้เป็นที่วางกระถางธูปเล็กๆ ส่วนช่องบนสะอาดสะอ้าน วางไว้เพียงแต่ดอกเบญจมาศสดหนึ่งดอก กับกรอบรูปสีขาวดำของผู้หญิงท่าทางใจดีคนหนึ่ง ซึ่งมีโครงหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับคนที่เพิ่งย่อตัวลงคุกเข่าต่อหน้ารูปภาพอยู่หลายส่วน จนเดาได้ไม่ยากเลยว่าคือใคร

     

    “ฉันเคยบอกนายว่ายังไงบ้างนะ.. บอกว่าอยากเป็นแร็ปเปอร์ที่ดีเหมือนเจปป์ฮยองใช่ไหม.. นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่อีกเหตุผลที่สำคัญจริงๆแล้วก็คือ..” นัยน์ตาคมวาวทอดมองดวงหน้าของหญิงสาวในรูปอย่างอ่อนโยน “..ฉันอยากเห็นเมืองที่แม่รัก.. อยากเห็นแสงสี อยากเห็นผู้คนที่แม่รัก.. อยากใช้ชีวิตในแบบที่ใกล้เคียงกับท่าน.. ชดเชยที่ฉันเกิดมาทำให้ท่านอ่อนแอจนต้องเสียความฝันทุกอย่างไป”

     

    น้ำเสียงที่เล่าสะท้อนด้วยอารมณ์หลากหลาย

     

    “..ฉันไม่เคยบอกนายใช่ไหมว่าพอฉันเกิดมาสุขภาพของแม่ก็แย่ลงมาก แต่ท่านก็ยังดึงดันจะทำงานในวงการบันเทิงต่ออีกจนล้มป่วยและจากพวกเราพ่อลูกไปในที่สุด” มุมปากยกขึ้นนิดๆ คล้ายจะเยาะหยันในโชคชะตาของตนเอง “พ่อเคยบอกว่าในช่วงที่แม่กำลังรุ่งโรจน์ ผู้คนรักท่านมาก เมื่อจากไปก็มีคนเสียน้ำตามากมาย.. ฉันอยากลองสัมผัสชีวิตแบบนั้นดูสักครั้ง.. อยากรู้ว่าความรักแบบไหนกัน ที่มีค่าถึงขนาดทำให้แม่ยอมลำบากถึงขนาดนั้น”

     

    “แม่ฉันเป็นแฟนแม่นาย มีเทปบันทึกทุกชุด เมื่อก่อนเปิดให้ฉันดูบ่อยยิ่งกว่าเล่านิทานก่อนนอนด้วยซ้ำ”

     

    ร่างเพรียวบางก้าวลงคุกเข่าข้างทายาทของหญิงสาวผู้ล่วงลับ.. รอยยิ้มสวยสดคุ้นตาเมื่อแรกเห็น ยามนี้แดฮยอนนึกออกแล้วว่าเป็นรอยยิ้มจากผู้หญิงคนเดียวกันที่เคยเห็นบ่อยๆในโทรทัศน์ตอนเด็กๆ.. จะต่างกันตรงที่ว่าคนที่เห็นเมื่อยังเล็กนั้นสดใสด้วยความมีชีวิตชีวา ส่วนที่เห็นอยู่ตอนนี้สดใสด้วยความทรงจำที่สวยงามเป็นประกายเท่านั้นเอง

     

    “ฉันเองก็ชอบแม่นายเหมือนกัน ดูละครที่ท่านแสดงแล้วชอบ ท่านเล่นเก่งดี” น้ำเสียงที่เอ่ยเคร่งขรึมผิดปกติ แดฮยอนไม่รู้วิธีปลอบใจคนอย่างจุนฮง.. คนประเภทที่ดูเข้มแข็งเสมอมาแต่พอล้มทับแผลเก่าเข้านิดหน่อยก็เจ็บจนร้องไห้จ้า.. เด็กหนุ่มถึงได้พยายามวางมาดเป็นผู้ใหญ่ พยายามให้กำลังใจอีกฝ่ายด้วยเหตุผล

     

    “เอาจริงๆ ฉันดูไม่เป็นหรอกว่าใครเล่นเก่งหรือไม่เก่ง แต่แม่นาย.. ทุกครั้งที่เห็นในละคร ถึงบุคลิกจะเปลี่ยนไปแต่ฉันก็ยังสัมผัสได้ถึงความสุขที่อยู่รอบๆตัวท่าน เป็นความสุขที่เกิดจากสิ่งที่กำลังทำอยู่.. ฉันว่าท่านคงไม่ถือว่าการทำงานคือความลำบาก.. ท่านคงคิดว่าในเมื่อแฟนๆรักท่านเพราะผลงานของท่าน ท่านก็ควรจะมอบผลงานที่ดี ที่คู่ควรกับความคาดหวังของพวกเขาตอบกลับไป..”

     

    เขาใจกล้าขนาดยกมือขึ้นบีบไหล่ที่คู้ลงของอีกฝ่ายเบาๆได้อย่างไรก็ไม่รู้

     

    “ก็เหมือนกับนายที่พยายามตอบแทนฉันด้วยมิตรภาพไงจุนฮง.. เพราะได้รับมามากมายเหลือเกิน จึงอยากตอบแทนด้วยสิ่งที่ตัวเองพอจะมีกำลังทำได้.. ฉันว่าคุณแม่เองก็คงคิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

     

    คนถูกปลอบหันมาส่งยิ้มให้เขานิดหนึ่ง จุนฮงพึมพำขอบคุณเบาๆ สีหน้าผ่อนคลายลงมาก ออกจะเจือยิ้มมุมปากด้วยซ้ำ หากแววตาที่หันกลับไปประสานกับดวงตาของคนในรูปก็ยังนิ่งเหมือนเดิม.. ทว่าเปลี่ยนไปเป็นนิ่งด้วยความมุ่งมั่น มากกว่าที่จะนิ่งด้วยความทอดอาลัย

     

    “แดฮยอน” จู่ๆคนข้างตัวก็โพล่งขึ้นโดยไม่มีอารัมภบทก่อน จนคนโดนเรียกสะดุ้งหน่อยๆอย่างตกใจ “นายว่าโง่ๆเซ่อๆอย่างฉันถ้าไปอยู่ที่นั่นจะรอดไหม.. ทั้งในโซล ทั้งในวงการบันเทิง”

     

    แดฮยอนยิ้มน้อยๆ

     

    “ไม่ลองไม่รู้”

     

    คำตอบที่ทำให้จุนฮงหัวเราะเบาๆ

     

    ลูกชายอดีตดาราดาวรุ่งยืดตัวขึ้นเต็มสัดส่วน.. เขาไม่นั่งค้อมตัวอีกต่อไปแล้ว.. และพอนั่งคุกเข่า หยัดหลังตรงต่อหน้ารูปภาพของมารดาผู้ล่วงลับอย่างนี้แล้ว จุนฮงก็ดูเอาจริงเอาจังขึ้นมาก.. แม้แต่น้ำเสียงที่เอ่ยต่อมาก็ฟังดูหนักแน่นมากทีเดียว

     

    “คุณแม่ครับ” เด็กหนุ่มตัวโตเริ่มอย่างนั้น “ผมจะเป็นนักร้องที่โด่งดังให้สมกับเป็นลูกชายคุณแม่ให้ได้ รออีกสักหน่อยนะครับ.. ผมจะพิสูจน์ให้คุณพ่อเห็นเองว่าความสำเร็จก็ไม่ได้มาพร้อมกับความลำบากเสมอไป” ให้คำมั่นสัญญาเสร็จแล้วก็ก้มหัวลงคำนับทำความเคารพ เป็นการแสดงความตั้งใจว่าจะทำให้ได้อย่างที่ว่าจริงๆ.. แดฮยอนเห็นเพื่อนทำอย่างนั้นก็รีบคำนับตาม.. พอลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างมองหน้าแล้วก็ยิ้มให้กัน

     

    จุนฮงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็น และสิ่งที่จู่ๆเขาก็คิดขึ้นได้.. การมีเพื่อนสักคนช่วยทำให้ชีวิตที่นี่ดีขึ้นมากทีเดียว หรืออะไรประมาณนั้น

     

    นาทีนี้ เขาคิดว่าเขาเข้าใจมันมากขึ้นกว่าเดิม..

     

    ยามมองรอยยิ้มอ่อนโยนที่แสดงถึงความเข้าใจทุกอย่างและพร้อมจะเป็นกำลังให้ ของคนตัวเล็กๆที่จุนฮงได้พิสูจน์มาแล้วว่าหัวใจไม่ได้เล็กเท่าที่คิดเลย.. ความรู้สึกที่เต็มตื้นอยู่ภายในอกของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไป

     

    ไม่ใช่แค่ใครสักคนหรอก..

     

    แต่การมีจองแดฮยอนเป็นเพื่อนต่างหาก ที่ทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นมากทีเดียว

     

     

     

     

     

    TBC..

     

     

     

     

    [] บอกแล้วว่าไม่มีอะไร LOL แต่จุนฮงก๋า ตะไมน่ายักจังเยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยง่ะตัวววววว โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ O<-< (แต่งเองหลงเองและตายไปเอง แอร๊ยย) 

    [] อีกสองตอนก็จบล้าลล (มั้ง.. LOL) 


    THE★FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×