ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ◆ IDEAL DOLL ◆ [YUNJAE]

    ลำดับตอนที่ #6 : - D o l l - 06. : ตุ๊กตาที่มีหน้าสีแดง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 282
      6
      9 ก.ค. 57




    ตอนที่ 6




     





     

     

    หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ

                ตอนที่มีใครอีกคนมานอนทับกันอยู่...อีกทั้งยังถามคำถามแบบนั้นออกมาได้ง่ายดายด้วยใบหน้าซื่อๆ

                ยุนโฮรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังติดกับดัก ในตอนที่ถูกตากลมๆ กับริมฝีปากอิ่มๆ ที่อยู่แค่เอื้อมสะกดเอาไว้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ไม่รู้แม้แต่คำตอบของคำถามแจจุง

                หรือจริงๆ เขาอาจจะรู้...แต่ยังไม่กล้าที่จะยอมรับมันก็เป็นได้

                ก็นี่มันเร็วเกินไป

                เพราะไม่รู้จะตอบอะไรก็เลยได้แค่ประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับตัวเองที่ยันตัวขึ้นมานั่งงงๆ กับอาการของตัวเองแบบนั้น และอาจจะเป็นเพราะคนที่นั่งข้างๆ เห็นสีหน้าของเขาไม่ดีเอาเสียเลย ริมฝีปากอิ่มก็เลยอดไม่ได้ที่จะถาม

                “ยุนโฮ เป็นอะไรเหรอ”

                “.....”

                “หัวใจเต้นแรง แล้วก็หน้าสีแดงด้วย เพราะแจจุงล้มใส่ใช่มั้ย ขอโทษนะ” เขาถามเสียงอ่อย คงเป็นเพราะคิดว่าการที่ตัวเองล้มลงไปทับอีกคนนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้จู่ๆ ยุนโฮก็เงียบไปแบบนี้ “พูดขอโทษแล้ว ยุนโฮรู้สึกดีขึ้นหรือยัง ถ้ายัง แจจุงจะพูดอีกก็ได้ ขอโทษ ขอโทษ

                เอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วราวกับคิดว่าถ้อยคำนั้นเป็นเวทมนตร์ที่จะเสกให้คนตรงหน้าหายจากความเศร้าหรือความเจ็บปวดอะไรสักอย่างได้ และนั่นก็ทำให้คนฟังได้แต่หัวเราะพลางส่ายหน้าเบาๆ

                “ฮะๆ นายนี่น้า...” รอยยิ้มเท่ๆ ปรากฏบนมุมปาก ก่อนเขาจะพูดต่อไป “ไม่รู้หรือไงว่าเวลาแบบนี้น่ะ จะพูดขอโทษอีกสักกี่ที่ฉันก็ไม่รู้สึกดีขึ้นหรอก”

                “.....”

                “ถ้าอยากให้ดีขึ้นจริงๆ น่ะ ต้องทำแบบนี้...” เขาเฉลยวิธีนั้นด้วยการรวบร่างเล็กของอีกคนเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างที่ไม่ทันให้ตุ๊กตาตัวน้อยทันตั้งตัวเลยสักนิด ใบหน้าหวานซบบนบ่ากว้าง ในขณะที่อีกคนถือวิสาสะเกยปลายคางบนศีรษะเล็ก นัยน์ตาคู่คมหลับลงช้าๆ

                “ขออยู่อย่างนี้แป็บนึงนะ”

                ราวกับเป็นมนตร์สะกด เพราะในทันทีที่ได้ยินคำขอร้องแสนประหลาดนั้นแล้ว คนที่ควรจะเงยหน้ามาเอ่ยถามเหตุผลในทุกๆ เรื่องอย่างทุกทีก็นิ่งไป...แจจุงปล่อยให้ยุนโฮกอดเขาเอาไว้อย่างนั้น ก่อนนัยน์ตากลมโตจะมองเลยผ่านบ่ากว้างไปเห็นกระจกที่วางอยู่ข้างหลังร่างสูงพอดี

                แจจุงเห็นหน้าของตัวเองสะท้อนอยู่ในนั้น

                และนั่นทำให้เขาค้นพบความจริงบางอย่างอีกข้อในเวลานี้

              “แจจุง...ก็หน้าสีแดง...เหมือนกันนี่นา”

     

               

    ◆ ◆ ◆

     

     

                ค่ำคืนแห่งความสงสัยของตุ๊กตาตัวน้อยผ่านไปอย่างรวดเร็ว

                เช้าวันต่อมา ยุนโฮที่กลับไปอารมณ์ดีเหมือนเดิมราวกับเมื่อวานไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ชวนแจจุงออกไปข้างนอกแต่เช้า เขาบอกว่าวันนี้มีนัดกับพวกชางมินที่บ้านของยูชอน

                แจจุงก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก แต่ก็อาบน้ำแต่งตัวออกมากับยุนโฮอยู่ดี

                ตอนก่อนจะออกจากบ้าน แจจุงไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือเล่มโปรดที่ตัวเองยังอ่านไม่จบติดมือออกมาด้วย และยุนโฮที่เห็นเข้าก็ถามด้วยความสงสัย “นี่ ติดมากเลยหรือไง เห็นถือไอ้หนังสือเล่มฟ้าๆ นี่เดินไปเดินมาตลอดเลยนะช่วงนี้”

                “ก็มันสนุกนี่” เสียงหวานตอบเรียบๆ

                “ก็แค่นิยายน่า ทำไมนายถึงไม่อ่านอะไรที่มันมีประโยชน์กว่านี้ล่ะ” แหม พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองให้หายซ่า ก่อนจะต้องรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าจริงๆ เมื่อได้ยินคำตอบของตุ๊กตาตัวน้อยที่ชักจะปีกกล้าขาแข็งขึ้นทุกวัน

                “บทเรียนทั่วไปน่ะ ฉันอ่านไปถึงชั้นมัธยมปลายแล้ว” เขาตอบ “ยุนโฮต่างหากล่ะที่ควรจะอ่านหนังสือบ้าง แจจุงเห็นวันๆ เอาแต่เล่นเกม”

                จึ้กปะ

                แทงใจดำปี๋เลยปะให้ทาย

                “ชิ อะไรเล่า มาทำเป็นสอน”

                “หนังสือนิยายก็ช่วยพัฒนาการอ่านเหมือนกันนะ และแจจุงก็ว่ามันสนุกดี” ตอบ พลางยกไอ้หนังสือปกฟ้าที่มีตัวประหลาดบนปกมาให้อีกคนดู ซึ่งคนฟังก็ได้แต่ทำหน้าเบ้ใส่ “ก็แค่นิยายติ๊งต๊องปัญญาอ่อนอีกล่ะสิ ไม่เห็นน่าสนใจเลย เก่าก็เก่า พิมพ์มาตั้งกี่ปีแล้วก็ไม่รู้”

                พูดก่อนจะทำหน้าเชิดแล้วเดินนำไป ทิ้งให้คนเป็นตุ๊กตาได้แต่เดินตามพลางส่ายหน้าไปมาเลียนแบบที่ร่างสูงเคยทำให้ดู

               

     

                ใช้เวลาไม่นานหนึ่งคนกับหนึ่งตุ๊กตาก็เดินทางมาถึงสถานทีที่เรียกว่า ห้องลับของยูชอน

                อันที่จริงมันก็คือบ้านของปาร์คยูชอนนั่นแหละ ซึ่งดูภายนอกก็เหมือนบ้านเล็กๆ ธรรมดาที่อยู่กันตามประสาคนพอมีพอกินท่าท่างไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าพอเข้ามาแล้ว สิ่งที่ได้เห็นจะต่างจากสิ่งที่เป็นอยู่ขนาดนี้

                บ้านยูชอนเป็นบ้านเล็กๆ แสนธรรมดาจริงๆ ที่มีกลไกประตูพิเศษที่สามารถนำทางไปสู่ห้องลับใต้ดินได้เหมือนในหนังวิทยาศาสตร์หรือนิยายเวทมนตร์สักเรื่อง

                และที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นี่ไม่ใช่มรดกตกทอดของตระกูลปาร์คแต่อย่างใด หากแต่เป็นกลไกที่ปาร์คยูชอนเด็กน้อยอัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์และกลไกทางไฟฟ้าเป็นคนวางระบบขึ้นมาตอนอายุได้ 15 ปีต่างหาก

                ประตูห้องลับของยูชอนขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแรงสูงที่มีระบบป้องกันภัยเป็นลายนิ้วมือของเพื่อนทั้งสี่คน

                นั่นแปลว่ามีเพียงชางมิน ยูชอน จุนซู และยุนโฮเท่านั้นที่เข้ามาที่นี่ได้

                ซึ่งพออธิบายแบบนี้พวกคุณก็น่าจะสงสัยว่าแล้วพ่อแม่ของเขาล่ะไปไหน ใช่มั้ย? ซึ่งความจริงง่ายๆ ก็คือท่านก็ไม่ได้ไปไหนหรือเกิดโศกนาฏกรรมอะไรแต่อย่างใด ก็แค่หลังจากย้ายครอบครัวพามิกกี้กลับมาอยู่เกาหลีได้สามปี สองสามีภรรยาที่อาร์ตจัดก็ผันตัวไปทำงานเป็นทีมอนุรักษ์สัตว์ป่าอยู่ที่แอฟริกาต่อ ก่อนจะทิ้งลูกน้อยที่พวกเขาเชื่อมั่นว่าฉลาดนักหนาและน่าจะเอาตัวรอดได้ให้เรียนต่ออยู่ที่เกาหลีเพียงลำพัง

                แล้วยูชอนก็อยู่มาทั้งอย่างนั้นโดยใช้เงินที่พ่อแม่ส่งมาเป็นระยะๆ จนป่านนี้เหมือนยุนโฮ

                จะต่างกันก็แค่เรื่องจำนวนเงินที่มากกว่าอยู่หลายเท่าตัวเหมือนกันน่ะนะ

                ยังไงเรื่องนั้นก็ช่างมันก่อนละกัน

                ในที่สุดยุนโฮกับแจจุงก็มาถึงห้องลับของยูชอนจนได้

                ปลายนิ้วเรียวแสกนนิ้วมือตัวเองลงบนเซ็นเซอร์ตามความเคยชิน ก่อนกลไกประตูจะเริ่มทำงานทันทีเมื่อได้รับรหัสผ่านที่ถูกต้อง มือใหญ่ดึงข้อมือเล็กให้เดินตามมา ในขณะที่หัวกลมๆ ก็เอาแต่หันมองสิ่งรอบตัวที่ดูแปลกใหม่ไปมาอย่างตื่นเต้น

                ตามปกติแล้ว เพราะไม่ใช่คนสายอะไรแล้วก็ค่อนข้างตรงเวลา มีนัดกันทีไรก็มักจะเป็นยุนโฮเสมอที่มาคนแรก แต่วันนี้ต่างออกไป เพราะเมื่อหนึ่งคนกับหนึ่งตุ๊กตาเดินเข้ามา เขาก็ต้องพบว่าตัวแสบประจำแก๊งอีกสามคนนั้นได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาที่นี่แล้ว

                พร้อมกับใช้นัยน์ตาทั้งสามคู่นั้นหันมาจ้องเขาเป็นตาเดียวด้วย

                “อ..อะไรเนี่ยพวกมึง พร้อมหน้าพร้อมตากันเชียว แล้วมองกูแบบนั้นทำไม” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงตะกุกตะกักเมื่อรู้สึกได้ถึงนัยน์ตาที่จดจ้องมาอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งเพื่อนตัวเล็กหัวเราะออกมานั่นแหละ เขาถึงได้รู้ตัวว่ากำลังโดนกวนประสาทซะแล้ว “ฮ่าๆ หลงตัวเองไปหรือเปล่ายุนโฮ ที่พวกฉันมองน่ะใช่นายซะที่ไหน”

                “หา”

                “นู่น...ตุ๊กตาตัวน้อยที่รอคอยแต่ความรักขอนายนู่น...ที่น่ามองกว่าหน้ากวนๆ ของนายเป็นไหนๆ” จุนซูเอ่ย ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยทักทาย “สวัสดี ชื่อแจจุงใช่มั้ย ฉันจุนซูนะ คิมจุนซู ยินดีที่ได้รู้จัก ส่วนนี่ปาร์คยูชอน” เขาพยักเพยิดหน้าไปหาเจ้าของบ้านอีกคนที่นั่งข้างหลัง

                “อ่า จุนซู...ยูชอน สวัสดี” เสียงใสเอ่ยตอบ เช่นเดียวกับที่หันไปทักอีกคนด้วยรอยยิ้ม “ชางมิน สวัสดี”

                “อื้ม เป็นไง หนังสือสนุกไหม” เด็กหนุ่มเอ่ยถามกลับ และนั่นทำให้ใบหน้าหวานฉายประกายสดใสทันที “อื้อ มีแต่เรื่องน่าสนใจทั้งนั้นเลย ขอบคุณนะ”

                “เอ้าๆ นี่จะทำความรู้จักกันอีกนานมั้ยเนี่ย” ไม่รู้เป็นอะไรแต่พอเห็นใบหน้าหวานๆ ของอีกคนส่งยิ้มให้เพื่อนของตัวเอง ต่อมอยากจะแทรกก็คันขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ว่าแต่วันนี้เรียกมามีอะไรล่ะ”

                “อะไรว้า ยุนโฮ พอมีเมียเข้าหน่อย เพื่อนเรียกมาเจอแค่นี้ไม่ได้เลยหรือไง” เป็นยูชอนที่เอ่ยแซะเข้าให้ จนเพื่อนอีกสองคนต้องประสานเสียงหัวเราะ และนั่นทำให้คนโดนล้อโวยวายในทันที “ไม่ใช่เมียเว้ย!

                “เมีย...เมียเป็นคำสามัญของคำว่าภรร...” ใบหน้าหวานทำท่านึกคำศัพท์

                “ว๊ากกก ไม่ใช่ แจจุงอย่าไปเชื่อไอ้พวกนี้นะ” เสียงทุ้มรีบแย้ง ก่อนจะหันไปตวาดเพื่อน “นี่พวกแกเรียกฉันมาทำอะไรแน่เนี้ย!” เขามองอย่างระแวง

                “ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่จะชวนมาปาร์ตี้” ชางมินเอ่ยเรียบๆ “แล้วก็เป็นการเลี้ยงต้อนรับแจจุงไปในตัวด้วย”

                “ปาร์ตี้เหรอ...” และท่าทางตื่นเต้นของตุ๊กตาตัวน้อยข้างกายนั่นก็ทำให้ยุนโฮขัดอะไรไม่ได้อีกต่อไป...ก็ดูยิ้มเข้าสิ

     

     

    ◆ ◆ ◆

     

     

                แล้วปาร์ตี้เล็กๆ ของแก๊งเด็กหนุ่มก็เริ่มจัดเตรียมขึ้นโดยแจจุงกับจุนซูจะเป็นฝ่ายจัดการเรื่องอาหาร ส่วนอีกสามคนก็จัดสถานที่ไป

                จริงๆ มันก็ไม่ใช่โอกาสพิเศษอะไรนักหรอก ในเมื่อปกติยูชอน ชางมิน ยุนโฮและจุนซูก็มักจะจัดปาร์ตี้เล็กๆ ขำๆ ระหว่างพวกเขาอยู่แล้วเดือนละสองหรือสามครั้ง ด้วยเนื่องจากในปัจจุบันโลกพัฒนาไปมาก นั่นแปลว่าการแข่งขันก็ต้องสูงขึ้นตามไปด้วยเป็นเท่าตัวเช่นกัน อัตราการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวจึงน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด หลายครอบครัวที่ปล่อยให้ลูกชีวิตเพียงลำพังเพื่อให้รู้จักเอาตัวรอดโดยที่ตัวเองก็ต้องหาเงินที่ยังคงเป็นปัจจัยที่ห้าของมนุษย์ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยแทน และยูชอนกับยุนโฮก็เป็นหนึ่งในนั้น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พ่อแม่ของชางมินหรือจุนซูมักจะชักชวนพวกเขาไปทานข้าวที่บ้านบ่อยๆ หรือไม่ก็แนะนำให้พวกเด็กๆ จัดปาร์ตี้ร่วมกันบ้างจะได้ไม่รู้สึกเบื่อกันจนเกินไป

                จุนซูเป็นคนพาแจจุงไปยังห้องครัว

                แม้จะรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่เป็นครั้งแรกเลยที่ยุนโฮปล่อยให้แจจุงคลาดสายตา แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนรักเขาจึงไม่คิดอะไรมาก นัยน์ตาคมมองตามไปจนลับสายตา ก่อนจะหันกลับมาแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเจอสายตาอีกสองคู่ที่จ้องเขม็งแทน “เฮ้ย ตกใจนะเว้ย”

                “ไอ้ยุนโฮ! มึงรักไอเดียลดอลเข้าแล้วเหรอ!” เป็นเสียงทุ้มของปาร์คยูชอนที่เอ่ยเบาราวกระซิบ “ไอ้ห่า ไม่ถึงอาทิตย์เลยทำไมใจง่ายจังวะ”

                “ไอ้บ้า ใครบอกเล่า!” คนฟังหันไปเถียงหน้าตาตื่น ในขณะที่ชางมินเสริม “นั่นดิ ดูตาก็รู้แล้วว่าให้ไปทั้งใจ”

                “เว่อละ!! ดูละครมากไปแล้วพวกมึงเนี่ย”

                “ไม่งั้นแล้วจะทำยังไงต่อ” เขาถามพลางลุกขึ้นจัดโต๊ะไปด้วย

                “ก็ไม่ยังไง ก็อยู่แบบนี้ไปก่อน” ยุนโฮตอบส่งๆ

                “แต่อีกไม่กี่วันก็เปิดเทอมแล้วนะ” ชางมินว่า “มึงจะปล่อยให้แจจุงอยู่บ้านคนเดียวรึไง”

                “โห่ พวกแกน่ะไม่รู้อะไร หมอนั่นเก่งจะตาย ทำไมจะอยู่ไม่ได้เล่า”

                “แต่เขาเป็นตุ๊กตานะ แถมนายก็ไม่มีใบอนุญาตด้วย”

                “ก็อยู่ในบ้านใครจะรู้ล่ะ ไอ้พ่อบ้านั่นคงไม่คิดจะให้ฉันเอาแจจุงไปเรียนด้วยหรอกใช่ไหม?” บ่นไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะต้องเงียบไปเมื่อเพื่อนทั้งสองนิ่งเงียบ “เป็นอะไรกันไปวะ”

                “มึงอ่านบันทึกอะไรนั่นของด็อกเตอร์จินโฮจบหรือยัง” ชางมินถาม เขาทำหน้าเครียด ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อคำตอบที่ได้รับไม่ต่างจากที่คาดการณ์ไว้มากนัก

                “เออ ลืมไปเลยว่ะ”

                “กูว่าแล้ว” ปาร์คยูชอนตบเข่าดังฉาด ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่งให้เพื่อนดู “เมื่อวานนี้มีเมล์ไม่ปรากฏชื่อคนส่งส่งเข้ามาโทรศัพท์กูกับชางมิน มึงดูเองก็แล้วกัน”

                คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ก่อนจะรับอีเมล์ที่ว่ามาดูอย่างสงสัย และในทันทีที่อ่านใจความนั้นจบครบสมบูรณ์ ยุนโฮก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า

     

              สวัสดีเพื่อนรักของยุนโฮ

              คงใกล้จะเปิดเทอมกันแล้วใช่ไหม ยังไงก็ฝากดูแลเจ้าลูกชายตัวแสบกับเพื่อนใหม่ที่แสนน่ารักด้วยนะ ไม่รู้เจ้ายุนโฮรู้เรื่องอะไรกับเขาหรือยัง ฝากเตือนมันอ่าน หนังสือบ้างนะ

     

                “เท่านั้นยังไม่พอนะมึง มีนี่ส่งมาที่บ้านของจุนซูด้วย” ยูชอนหันไปหยิบพัสดุอีกชิ้นมายื่นให้เพื่อน ก่อนมันจะทำให้ชองยุนโฮยิ่งเหงื่อตกเมื่อพบว่ามันคือ...

                “ชุดนักเรียนโรงเรียนเราเนี่ยนะ!?”

                “เออ ไซส์เดียวกับจุนซู กูว่าแจจุงก็น่าจะใส่ได้พอดี” ยูชอนพยักเพยิดหน้า “เอาจริงๆ ถึงไม่ต้องไอคิว 205 เท่าไอ้ชางมิน มึงก็น่าจะเดาได้นะว่าด็อกเตอร์จินโฮต้องการสื่ออะไร ยังไงก็เหอะ มึงเอาสมุดไดอารี่เล่มนั้นมาหรือเปล่า ถ้าให้เดา หนังสือที่ว่าก็คงหมายถึงไอ้นั่นน่ะแหละ พ่อแกคงเดาได้ว่าแกจะอ่านไม่จบ ถึงมาบอกพวกฉันแทน”

                “โอ้ย นี่มันจะไปกันใหญ่แล้ว เล่นอะไรกันอยู่เนี่ย”

                “แต่ฉันว่ามันท่าทางจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ว่ะ ยุนโฮ” ชางมินว่า “หลังจากที่ได้อีเมล์ ฉันก็โทรหาไอ้ยูชอนแล้วก็พยายามให้มันแฮ็กระบบอีเมล์เพื่อจะหาที่มาดู แต่ก็ปรากฏว่าโดนไวรัสกินจนเกลี้ยงเลย”

                “เออ ดีนะที่กูเซฟภาพหน้าจอเอาไว้ ตัวอีเมล์จริงๆ น่ะถูกทำลายทิ้งไปหมดแล้ว” เขาพูดอย่างเซ็งๆ “นี่คอมพ์กูเลยพลอยเจ๊งไปด้วยเลย ไม่น่าหาเรื่องเลย”

                “ว่าไงนะ”

                “จากที่กูประเมินสถานการณ์...บางทีด็อกเตอร์จินโฮอาจจะมีเหตุผลสำคัญที่ส่งตุ๊กตาประหลาดตัวนี้มาให้มึงจริงๆ” เขาเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ทั้งลักษณะการป้องกันการสืบสาวตัว การใช้วิธีเขียนวิธีการดูแลแจจุงให้มึงด้วยดินสอกับกระดาษแทนการส่งอีเมล์หรือใช้คอมพ์ มึงก็รู้ว่ามันเป็นวิธีที่โบราณมากๆ แต่ก็แน่นอนว่าถ้าทำแบบนี้ก็จะไม่เหลือหลักฐานอะไรในอินเตอร์เน็ตให้สืบค้นแน่นอน”

                “โหย นี่มึงเป็นนักสืบหรือเปล่าชางมิน” ถึงจะเห็นเพื่อนซีเรียสแต่ก็ไม่วายแหย่ไปอยู่ดี จนต้องโดนมันตวัดหางตาใส่นั่นแหละถึงจะเลิกพล่าม “มึงก็เอาแต่ทำเป็นเล่น”

                “โหยยย แซวแค่นี้ทำไมต้องทำหน้าเครียดด้วยว้า แต่เอาจริงๆ นะชางมิน พ่อกูอะก็เป็นคนชอบแกล้งอะไรซับซ้อนแบบนี้ล่ะ กูนี่โดนมาตั้งแต่เด็กจนชินแล้ว คงไม่มีอะไรหรอกม้าง ถ้าซีเรียสก็น่าจะบอกมาเลยตรงๆ”

                “เขาอาจจะมีเหตุผลที่ทำให้บอกมึงตรงๆ ไม่ได้ก็ได้...เอาจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ บางทีก็อาจจะแค่เล่นๆ อย่างที่มึงว่า แต่ก็สันนิษฐานไว้ก่อน เพราะที่แน่ๆ เรื่องมีไอเดียลดอลในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะ”

                “ก็จริง” พอคิดได้แบบนั้น คิ้วเรียวก็อดจะขมวดเข้าหากันไม่ได้

                “ว่าแต่มึงเอาสมุดบันทึกเล่มนั้นมาหรือเปล่า ดูดิ๊ ว่ามีไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มั้ย”

                “เออๆ เอามา” คนถูกจิกขมวดคิ้ว ก่อนจะหยิบสมุดเล่มเล็กที่แม้ช่วงนี้จะพกติดตัว แต่ก็ดูเหมือนเขาจะเอาแต่วุ่นวายกับแจจุงจนลืมอ่านมันไปเสียสนิท มือหนาพลิกหน้ากระดาษไปมาอย่างเซ็งๆ ก่อนจะต้องเบิกตาตี่ๆ จนโตเมื่อเจอข้อความอะไรบางอย่าง

                “ชิบหายเหอะ!

     

                พ่อทำเรื่องสมัครเรียนให้แจจุงแล้ว ห้องเดียวกับลูก ประวัติทุกอย่างก็เตรียมไว้ให้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นตอนเปิดเทอม พาแจจุงไปโรงเรียนด้วยนะ อย่าทิ้งเขาไว้ที่บ้านคนเดียว ดูแลตุ๊กตาตัวน้อยที่รอคอยแต่ความรักของพ่อดีๆ นะยุนโฮ ตั้งใจเรียนล่ะ! ˋˊ

     

             

    ◆ ◆ ◆

     

     

              “จุนซูทำอาหารเป็นเหรอ” เสียงหวานเอ่ยถาม ในขณะที่ยืนมองฝ่ามือเรียวของอีกคนหยิบจับวัตถุดิบต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว ใบหน้าจิ้มลิ้มได้ฟังก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “ก็นิดหน่อย งานอดิเรกน่ะ...ก็มันน่าเบื่อนี่นา ยุคนี้อาหารสำเร็จรูปน่ะมีเยอะแยะไปหมดจนคนแทบจะเลิกทำกินเองกันหมดแล้ว ฉันก็เลยฝึกไว้เล่นๆ น่ะทำกินกับเจ้าพวกนี้แหละ สนุกดี”

                “เหรอ” ดวงตากลมโตมองอย่างสนใจ และนั่นทำให้อีกคนเอ่ยทัก “แจจุงอยากลองทำบ้างหรือเปล่าล่ะ?”

                “ฉันทำได้เหรอ”

                “ได้สิ ฝึกทำกับอ่านหนังสือทำอาหารนิดๆ หน่อยๆ เดี๋ยวก็เป็น”

                “อื้ม แต่ฉันไม่มีของ”

                “ของ? อ้อ นายคงหมายถึงวัตถุดิบพวกนี้ ซื้อของน่ะไม่ยากหรอกน่า ลองให้ยุนโฮพาไปซื้อดูก็ได้ ว่าแต่อยากลองทำอะไรล่ะ”

                “ยังนึกไม่ออกเหมือนกัน เดี๋ยวจะลองไปอ่านในหนังสือดู เมื่อวานนี้ยืมชางมินมาเยอะแยะเลย น่าจะมีอยู่นะ”

                “ฮ่าๆ ได้ยินยุนโฮบ่นว่าช่วงนี้นายเอาแต่อ่านหนังสือ”

                “อื้ม สนุกดีน่ะ วันนี้ก็เอามานะ” พูดอย่างตื่นเต้นพลางยกหนังสือเล่มโปรดขึ้นมาให้อีกฝ่ายดูอย่างภาคภูมิใจ “เพราะฉันยังอ่านไม่ค่อยเก่ง...ก็เลยใช้เวลานานนิดหน่อย นี่เพิ่งอ่านไปครึ่งเล่มเอง”

                “โหย เร็วมากแล้วล่ะ นายน่ะ เพิ่งเริ่มอ่านภาษาเกาหลีเป็นไม่ถึงอาทิตย์เลยไม่ใช่เหรอ”

                “อื้ม ก็นิดหน่อยน่ะ แต่ถ้าอ่านจบฉันจะขอชางมินให้จุนซูยืมด้วยนะ”

                “ฮ่าๆ ขอบใจ ว่าแต่มันเป็นหนังสืออะไรเหรอ ปกแปลกดีจัง” พูดพลางหยิบหนังสือหน้าตาประหลาดในมืออีกฝ่ายมาดู ซึ่งเสียงหวานก็ตอบอย่างใจดี “นิยายน่ะ นิยายรัก”

                “เห นายนี่อ่านหนังสือเหมือนเด็กผู้หญิงเลยนะ” จุนซูทักอย่างแปลกใจพร้อมรอยยิ้ม “ทำไมถึงชอบล่ะ”

                “จริงๆ หนังสือแบบอื่นก็สนุกเหมือนกัน ฉันอ่านไปตั้งหลายแบบแล้วล่ะ ทั้งประวัติศาสตร์...การศึกษา นิทานสนุกทั้งนั้นเลย แต่นิยายแบบนี้เพิ่งจะเคยอ่าน”

                “อ่าฮะ”

                “อื้ม แค่รู้สึกว่าเวลาคนมีความรู้สึกรักหรือชอบใครซักคนนี่มันดีจัง” เขายิ้ม “ฉันก็เป็นคน ถึงจะเรียนรู้ช้าไปสักหน่อย แต่ซักวันก็อยากจะมีความรู้สึกแบบนี้บ้าง”

                เอ๋...เดี๋ยวนะ

                “แจจุง นาย...” ใบหน้าจิ้มลิ้มฉายแววสงสัย...เมื่อกี้เขาได้ยินไม่ผิดใช่ไหม

     

                เป็นคน...งั้นเหรอ?

                แค่พูดผิดเฉยๆ...หรือไม่รู้จริงๆ กันแน่?

     

                “อะไรเหรอ”

                “ป..เปล่า คือฉันแค่สงสัยว่านายเคยมีความรักไหม อะไรงี้น่ะ แหะๆ”

                “อ๋อ...ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เท่าที่อ่านจะคำแปล มันก็พอจะเข้าใจอยู่นิดหน่อยนะ...เขาบอกว่าความรักคือสิ่งที่ฉันทำแล้วมีความสุข...ฉันชอบอ่านหนังสือ ชอบอาบน้ำกับยุนโฮ ทำแล้วมีความสุขแบบนี้ก็เรียกเป็นความรักใช่ไหม”

                และคำตอบของอีกคน ก็ทำเอาจุนซูอยากจะกุมขมับ

                ให้ตายสิ...นี่อาบน้ำกับไอ้บ้านั่นด้วยเหรอเนี่ย

                เออ แต่ช่างเถอะ นั่นไม่ใช่ประเด็นตอนนี้สักหน่อย

                “ฮ่าๆ ถึงมันจะยังไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียงอ่านะ คือจะว่ายังไงดีล่ะ ความรักน่ะมันเป็นเรื่องซับซ้อนมากเลย...ฉันก็อธิบายไม่เก่งซะด้วยสิ ฮ่าๆ”

                อันที่จริงแล้ว...จุนซูแค่ไม่แน่ใจต่างหากว่าตุ๊กตาอย่างแจจุงจะเข้าใจคำนั้นได้จริงๆ

                มันก็จริงที่ว่าแจจุงน่ะเป็นไอเดียลดอลที่เหมือนมนุษย์มาก...โอเค เขายอมรับว่าตอนนี้ แม้แต่ตัวเขาเอง ก็ยังแยกแจจุงกับคนทั่วไปไม่ออกสักเท่าไร มันไม่เหมือนไอเดียลดอลตัวอื่น ที่ถึงแม้จะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ตั้งใจทำขึ้นมาให้เหมือนคนแค่ไหน แต่ด้วยขีดจำกัดการพัฒนาในตอนนี้ ข้อแตกต่างระหว่างตุ๊กตากับมนุษย์จริงๆ ก็ยังมีอยู่มาก จุนซูเองก็มีโอกาสได้สัมผัสกับพวกไอเดียลดอลที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนบ่อยครั้ง และถึงแม้พวกนั้นจะเดินกันขวักไขว่ไปมาไม่ต่างจากเด็กนักเรียนคนอื่น แต่คำพูดที่เป็นระบบระเบียบและการกระทำที่เหมือนถูกโปรแกรมมาแล้วนั้น ก็ยังสามารถดูออกได้ง่ายอยู่ดี

                 แต่แจจุงไม่ใช่

                เขามีการโต้ตอบอย่างเป็นธรรมชาติและมีความคิดเป็นของตัวเอง และนี่เป็นสิ่งที่จุนซูไม่เคยพบในตุ๊กตาตัวไหนมาก่อน

                ไม่แปลกเลยที่ด็อกเตอร์จินโฮจะกล้าไว้ใจเอาแจจุงมาปล่อยให้อยู่กับยุนโฮแบบนี้ เพราะถ้าไม่พาไปผ่านเครื่องตรวจจับกลไกประดิษฐ์อย่างละเอียดละก็ คงเอาผิดยุนโฮเรื่องครอบครองตุ๊กตาได้ยาก

                ประเด็นก็คือแล้วเขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน

                ไหนจะเรื่องที่คิดจะส่งแจจุงไปเรียนที่โรงเรียนในฐานะมนุษย์อีก เฮ้อ คิดยังไงก็ไม่เข้าใจจริงๆ

                และเพราะดูเหมือนจะคิดอะไรอยู่กับตัวเองนานไปหน่อย คนตาใสที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงเอ่ยเสียงเรียก

                “จุนซู”

                “.....”

                “จุนซู”

                “ฮ..ฮะ มีอะไรเหรอ”

                “ดูเหมือนหม้อจะโกรธแล้วล่ะ” ปลายนิ้วขาวชี้ไปที่น้ำเดือดๆ ที่มีควันโขมงขึ้นด้วยใบหน้าซื่อๆ ในขณะที่คนเหม่อถึงกับหันมามองด้วยความตกใจ มือเรียวตะลีตะลานลดไฟวุ่นวายไปหมด

                “เฮ้ยยย เวร ไหม้หรือเปล่าเนี่ย อ๋าๆ”

                ว่าแต่หม้อโกรธนี่น่ารักจริงๆ น้า...

               

     

    ◆ ◆ ◆

     

     

                แล้วปาร์ตี้เลี้ยงต้อนรับตุ๊กตาตัวน้อยที่แสนน่ารักก็ผ่านไปอย่างราบรื่น

                หลังจากโบกมือล่ำลาแก๊งเพื่อนจอมป่วนจนเสร็จ หนึ่งคนกับหนึ่งตุ๊กตาก็พากันกลับบ้านเหมือนปกติ

                พร้อมกับมีเรื่องบางอย่างที่ต้องคิดแตกต่างกันไป

                “ยุนโฮ คิดอะไรอยู่เหรอ” ใบหน้าหวานถามพาซื่อ ในขณะที่มองคิ้วขมวดเป็นปมของอีกคน จนคนถูกทักต้องรีบทำตัวผ่อนคลายกลบเกลื่อน “หือ? คิดอะไรน่ะเหรอ? ฮ่าๆ เปล่าซะหน่อย”

                “เหรอ”

                “ว่าแต่นายเหอะ คิดอะไรอยู่ล่ะ เห็นทำท่านึกอะไรอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

                “เอ๋ ฉันน่ะเหรอ” เขาเอ่ย ก่อนจะตอบเสียงเบาราวกับไม่แน่ใจ “ก็...ไม่รู้สิ”

                “อืม...”

                แล้วก็พากันเงียบไป        

                “อือ..นี่ยุนโฮ”

                “หือ”

                “ชอบกินอะไรเหรอ”

                “เห หมายถึงยังไง”

                “ก็อาหาร...ของกินน่ะ ชอบกินอะไรเหรอ”

                “ฮ่าๆ มาแปลกนะ นายเห็นฉันกินอะไรบ่อยล่ะ”

                “บะหมี่ถ้วย”

                “ถูกเผง! เฮ้ย ใช่ซะที่ไหนกันเล่า โธ่ ก็ไม่ได้กินขนาดนั้นสักหน่อย” เสียงทุ้มเอ่ยแก้ต่าง ก่อนจะทำท่านึก “ก็...อืม กิมจิชิเก...กับข้าวสวยร้อนๆ โอ้ย คิดแล้วฟิน”

                “กิมจิ...ชิเกเหรอ”

                “อื้ม”

                “ที่...สีส้มเหรอ แล้วก็โกรธๆ”

                “โกรธอะไรของนาย เค้าเรียกเดือด”

                “ใช่ๆ อ้อ...อืม”

                “ว่าแต่จะถามไปทำไม”

                “ก็เปล่านี่” ตอบเสียงเบา ก่อนจะพึมพำอะไรอุบอิบกับตัวเองแล้วทำเป็นหันหน้าไปทางอื่นแทน ทว่าคนที่เดินล้วงกระเป๋าอยู่นานกลับสังเกตได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเสียก่อน “นี่ หนาวเหรอ”

                “หืม...”

                “แก้มซีดหมดแล้ว ให้ตายสิ ฉันลืมซื้อผ้าพันคอให้นายเลย” ว่าก่อนจะปลดเครื่องแต่งกายของตัวเองที่สวมมาเพราะความเคยชินจนลืมดูของอีกคนก่อนออกจากบ้านเสียสนิท มือใหญ่จับผ้าพันรอบลำคอขาว ก่อนจะสวมถุงมือให้พลางถาม “มือชาหรือเปล่า หนาวทำไมไม่บอกล่ะ”

                “หนาวเหรอ...เอ๋ ก็ไม่นี่นา เย็นๆ สบายดีออก”

                “เย็นอะไรเล่า นี่ก็ค่ำแล้ว อากาศเย็นจะตาย ดูสิ ผิวนายน่ะซีดหมดเลย เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี”

                “แล้วแบบนี้ยุนโฮไม่หนาวเหรอ” เสียงหวานถาม พลางมองอีกคนที่เดินไปก็กอดอกไปด้วย

                “โหย...แค่นี้เอง ฉันน่ะแข็งแรงจะตาย แค่นี้สบาย...ฮัดชิ้ว”

                “อ่า ยุนโฮร้อง”

                ไม่ใช่ร้องเว้ย เค้าเรียกจาม! โธ่ จะโชว์แกร่งซะหน่อย หน้าแหกหมดกู

                “เอ้อ แหะๆ จะว่าไปมันก็หนาวไม่ใช่เล่นนะ” เขาหัวเราะเจื่อนๆ

                “ยุนโฮหนาวเหรอ”

                “ก็นิดหน่อย ไม่มากมายหรอกน่า” ก็ยังจะพยายามเท่นั่นแหละ แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกคนจะเห็นถึงท่าทางสั่นๆ ของอีกคนได้อยู่ดี “งั้นยุนโฮ....ยืนนิ่งๆ ก่อนนะ”

                อยู่ๆ ก็หันมาบอกกันแบบนั้น ท่ามกลางผู้คนบางตาที่สวนกันไปมาบนทางเท้าในยามค่ำคืนที่อากาศเย็นเช่นนี้ คงไม่มีทางจะรู้สึกอุ่นได้แน่ถ้าไม่ได้เครื่องดื่มร้อนๆ...หรืออ้อมกอดของใครสักคนเหมือนอย่างตอนนี้

                “นี่ จะทำอะ...” เสียงทุ้มเงียบไป เมื่อจู่ๆ คนที่กล้าออกคำสั่งใส่กันแบบนั้นก็พลิกกายหันกลับมาก่อนจะสอดแขนเล็กๆ ในชุดไหมพรมเข้าใต้รักแร้แล้วก็กอดกันแน่นแบบนี้ ใบหน้าหวานซบลงบนอกอุ่นก่อนจะหลับตาพริ้มลงช้าๆ

                “แค่นี้ก็อุ่นแล้วใช่ไหม”

                คนตัวโตยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่ก็ทำเพียงเงยหน้ามองฟ้าราวกับไม่คิดอะไรก่อนจะขยับแขนสวมกอดร่างเล็กนั้นช้าๆ ในวันที่ความหนาวทำร้ายเขาไม่ได้อีกต่อไป

               

                คนหรือ? ตุ๊กตา? หุ่นยนต์? ไอเดียลดอล?

                จะอะไรก็ช่างเถอะ...

                ที่ยุนโฮรู้จักตอนนี้ก็มีแค่แจจุงคนนี้

                คนที่พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง...แถมนับวันก็ท่าทางจะยิ่งดื้อขึ้นทุกวัน...แล้วก็กอดเขาแน่นๆ แบบนี้

                ยุนโฮรู้แค่นี้จริงๆ

               

     

     

    TBC.




     

    ◆ ◆ ◆


     

     

                                           
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×