ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ◆ IDEAL DOLL ◆ [YUNJAE]

    ลำดับตอนที่ #4 : - D o l l - 04. : ตุ๊กตาก็ชอบให้จับมือเหมือนกันนะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 486
      6
      29 พ.ค. 57




    ตอนที่ 4

     

     

     

     

                                   

                ข้อสอง: วิธีเปิดสวิตซ์แจจุง ให้เรียกชื่อ และหลังจากที่เปิดใช้งานครั้งแรกแล้ว แจจุงจะมีวงจรการตื่นและหลับคล้ายๆ มนุษย์ทั่วไป คือถ้าเซลล์เทียมใกล้จะหมดพลังงาน เจ้าตัวจะง่วงโดยอัตโนมัติ และต้องปล่อยให้หลับเพื่อให้เซลล์เทียมฟื้นตัวใหม่ ปล.เวลาแจจุงหลับจะหลับลึกมาก

                “อ๋อ...มิน่า เพราะตอนนั้นเราเผลอเรียกชื่อออกไปก็เลยตื่นขึ้นมาสินะ เฮ้อ รู้งี้ไม่พูดดีกว่า”

                เอ่ยพึมพำระหว่างอ่าน วิธีเล่นตุ๊กตาอะไรไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหันไปมองเป้าหมายแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังจดจ่อกับการทำอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน

                เฮ้ เป็นแค่ตุ๊กตาเองนะ จะมีอะไรทำเยอะแยะไปไหม?

                ดูเขาสิ เป็นมนุษย์แท้ๆ ยังว่างเป็นบ้าเลย!

                “นี่ ทำอะไรอยู่น่ะ”

                ตัดสินใจย่างสามขุมเข้าไปหาทันทีด้วยเพราะอยากรู้สาเหตุที่ทำให้ตาแป๋วๆ ไม่มาจ้องกันเหมือนทุกครั้ง อีกทั้งยังหันไปสนใจอย่างอื่นแทน ชองยุนโฮซะแบบนี้ ก่อนใบหน้าคมจะต้องยิ่งแปลกใจกว่าเดิมเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนโต๊ะ

                “อ่านหนังสืออยู่เหรอ”

                “อือ” รับคำแค่นั้นก่อนจะหันไปฝึกขีดๆ เขียนๆ อะไรของตัวเองต่อ ราวกับใครอีกคนเป็นอากาศธาตุซะอย่างนั้น

                และนั่นทำให้ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้งในทันที

              ก็ใช่ซี้! พอได้ใหม่แล้วก็ลืมเก่า (?) เลยนะ!!

                “ชอบอ่านหนังสือเหรอ” ทำเป็นบ่นเขา แต่สุดท้ายก็ถามเสียงหวานอยู่ดี หึ อ่อนมั้ยล่ะ

                “อื้อ” ตอบรับนะ แต่แค่หน้ายังไม่คิดจะหันมามองเลย

                “.....” แล้วก็เงียบอีก

                “นี่!

                “หือ ยุนโฮมีอะไรหรอ” ตั้งแต่เริ่มพูดได้ ยุนโฮก็สังเกตว่าทักษะการใช้ภาษาของแจจุงดีขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาไม่นานจริงๆ แต่...นั่นยังไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย

                “อ...เอ่อ จริงๆ ก็ไม่มีอะไร แค่สงสัยว่าทำไมนายต้องจริงจังอะไรขนาดนั้นด้วยน่ะ” ทั้งๆ ที่เตรียมจะประชดประชันอีกฝ่ายเต็มที่ แต่พอเจ้าตัวยอมหันมาพูดด้วยดีๆ ด้วยแล้ว คนที่ตั้งใจจะโวยวายใส่ก็กลับเสียงอ่อยซะอย่างนั้น

                “อ้อ ฉันชอบอ่านหนังสือน่ะ” แต่ใบหน้าหวานก็ตอบพาซื่อไปแบบนั้น “สนุกดีนะ ยุนโฮไม่ชอบเหรอ”

              เหอะเหอะ รักเรียนซะจริงนะแม่คุณ!

                ส่วนเขาเหรอ? บอกเลย...ถ้าสามบรรทัดแล้วยังไม่หลับก็อย่ามาเรียกชองยุนโฮเลย!

                “แหม...ชอบสิ การอ่านหนังสือน่ะเป็นกิจกรรมที่ดีจะตาย” ก็ตอแหลไปอย่างงั้นแหละ สร้างภาพพจน์น่ะ เข้าใจเปล่า?

                “เหรอ”  และเมื่อได้รับคำตอบแบบนั้น ใบหน้าน่ารักก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ดีจังเลยเนอะ”

                โอ...น่ารักสุดๆ

                คนถูกรัศมีความวิ้งของตุ๊กตากระแทกเบ้าหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เอาจริงๆ ตอนแรกที่ยอมให้อยู่ด้วยกันได้เนี่ยก็เพราะเห็นว่าเป็น ผู้ชายหรอกนะ แต่ถ้าจะสวยแล้วน่ารักใส่กันขนาดนี้ล่ะก็ แล้วที่เขาทำไปมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะวะ!

                ทำหัวใจคนอื่นเขาสั่นไปหมดแล้ว แต่กลับไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลยแบบนี้มันใช้ได้เหรอ?

                สรุปว่าหลังจากนั้น เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยที่รอคอยแต่ความรักก็มีกิจกรรมใหม่ให้ทำจนแทบไม่มีเวลาว่างมาก่อกวนคนตัวสูงอีกเลย

                และกิจกรรมนั่นจะเป็นอะไรไปได้เสียอีกล่ะถ้าไม่ใช่การที่เจ้าตัวเล่นไล่อ่านหนังสือทุกเล่ม (ที่ก็ไม่ได้มีเยอะเท่าไร) ในห้องของยุนโฮจนหมดเลยน่ะสิ!

                ไม่ว่าจะเป็นแบบฝึกหัดเด็กประถม นิทาน การ์ตูน ตลอดจนหนังสือเรียนอะไรที่ยุนโฮซุกๆ ไว้ในซอกหลืบน่ะเขาก็ขุดมาให้แจจุงอ่านหมด เจ้าตัวแม้จะอ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ยังขยันแปลคำศัพท์ด้วยโปรแกรมดิกชันนารีในแท็บเลตที่เขาสอนใช้อย่างไม่มีขี้เกียจเลยสักนิด

                อันที่จริง...ในปัจจุบันอัตราการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ได้ลดลงไปเป็นจำนวนมากหลังจากมีการพัฒนารูปแบบของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ แล้วยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เครือข่ายออนไลน์ก็ถูกนำมาใช้ในการศึกษาเกือบจะเต็มรูปแบบ มันทำให้เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ผลิตภัณฑ์จากกระดาษที่มีที่มาจากการทำลายธรรมชาติพวกนั้นจะโดนต่อต้านไปโดยปริยาย บริษัทกระดาษชื่อดังหลายแห่งต้องปิดตัวไปเพราะไม่สามารถต้านต่อวิกฤตทางสังคมและค่าปรับมหาศาลจากกฏหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นได้ (แนวคิดนี้พัฒนามาจากการทำตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตเมื่อเกือบร้อยปีก่อน)

                ไม่นานนัก เพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส สำนักพิมพ์ส่วนใหญ่ จึงรีบเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขายจาก หนังสือกระดาษ บนชั้นวาง มาเป็นการขาย หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book)ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแทน ซึ่งก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะสะดวกรวดเร็วและมีราคาถูกกว่า จนในปัจจุบัน หนังสือกระดาษกลับกลายเป็นของหายากไปเสียแล้ว

                เพราะฉะนั้น นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ยุนโฮไม่ค่อยจะมีหนังสือติดบ้านสักเท่าไร (จริงๆ แล้วถึงไม่มีเหตุการณ์ที่ว่านั่น เขาก็ยังคงไม่มีหนังสืออยู่ดีนั่นแหละ) และถึงแม้เขาจะสามารถสอนให้แจจุงใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในคอมพิวเตอร์ได้ แต่เขาก็ไม่รู้จะเริ่มต้นเลือกหนังสือยังไงอยู่ดีเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นนักเรียนดีเด่นอย่างชองยุนโฮแทบไม่เคยแตะหนังสือเลยถ้าไม่ใช่ตอนสอบ

                “ยุนโฮ ไม่มีหนังสืออีกแล้วเหรอ?”

                “หืม ที่ยกไปให้เมื่อกี้อ่านหมดแล้วเหรอ”

                “อื้ม” ใบหน้าน่ารักพยักขึ้นลงด้วยท่าทีสดใส ก่อนท่าทีจะเปลี่ยนไปเมื่ออีกคนตอบกลับมา “ไม่มีแล้วล่ะ ห้องของฉันก็มีหนังสือแค่นี้แหละ”

                “เหรอ”

                ก็แล้วทำไมต้องทำหน้าน่าสงสารขนาดนั้นด้วยล่ะโว้ยยยยยยยยย

                และใบหน้าน่ารักที่ซึมลงไปก็ทำเอาคนมองใจไม่ดีไปตามๆ กัน

              เฮ้อ มันจะมีมั้ยนะที่ที่พอจะมีหนังสือให้อ่านไม่อั้นเนี่ย?

                อื้ม...

                จริงสิ จะว่าไปก็มีอยู่ที่หนึ่งนี่นา

                “นี่ วันนี้ฉันจะพาออกไปข้างนอกนะ ดีหรือเปล่า”

                อยู่ๆ คนที่ยืนอยู่ข้างกันก็เอ่ยถามออกมาแบบนั้น และนั่นทำให้แก้วตาใสฉายแววงุนงง “ออกไปข้างนอกเหรอ?”

                “ใช่! ก็ตั้งแต่นายมาน่ะ ยังไม่เคยออกไปข้างนอกเลยนี่นา” เด็กหนุ่มยิ้ม “ดีเลยจะได้ถือโอกาสไปเปิดหูเปิดตา แล้วก็ซื้อกางเกงในใหม่ด้วย เพราะของฉันมันออกจะ...เอ่อ หลวมไปใช่เปล่า?” เขาหัวเราะเจื่อนๆ ในขณะที่นัยน์ตากลมฉายประกายสดใสชัดเจน

                “อื้อ”

     

     

    ◆ ◆ ◆

     

     

                หลังจากคุ้ยตู้เสื้อผ้าที่สุดแสนจะรกของตัวเองอยู่นานสองนาน ในที่สุดยุนโฮก็ได้ชุดสำหรับเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยของเขาแล้วหนึ่งชุด นั่นก็คือเสื้อเบสบอลลายทางตัวโคร่ง (อีกแล้ว! ไม่ได้ใส่ซ้ำหรอกนะ แต่เขามีสองตัวน่ะ) กับกางเกงยีนส์ขาสามส่วนเข้ารูปของจุนซูที่เจ้าตัวดันมาลืมเอาไว้ตอนมาค้างที่ห้องเขาเพื่อเล่นเกมกันเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ส่วนรองเท้า...ก็ไม่มีเหมือนกัน โชคดีที่หอพักของเขามีล็อกเกอร์ให้เช่ารองเท้าผ้าใบสำหรับใส่ออกกำลังกายอยู่ แค่หยอดเหรียญก็เปิดตู้ได้ สะดวกดีเหมือนกัน

                “พอจับแต่งตัวดีๆ แล้ว ยิ่งเหมือนคนปกติเข้าไปใหญ่เลย” เขาเอ่ย วันนี้ยุนโฮอยู่ในชุดเสื้อสเว็ตเตอร์ผ้ายืดลายแฟชั่นตัวเก่งกับกางเกงยีนส์ แล้วก็ผ้าใบไม่ต่างจากคนข้างๆ อีกทั้งยังมีหมวกที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนตัวเล็กข้างๆ ถึงต้องมองมันไม่หยุดเลย ตั้งแต่เดินลงมานี่

              อะไร? อยากได้รึไง?

                “นี่ จะมองหมวกฉันทำไมนักหนาฮึ มีอะไรน่ามองหรือไง”

              “เปล่า แค่คิดว่ายุนโฮใส่แบบนี้แล้วน่ารักดี”

                โอ้ยยยย ทีหลังจะยิงมุกให้กูเขินก็บอกล่วงหน้าสิคร้าบบบบ ตั้งตัวไม่ทันเว้ยยย

              แก้มกร้านขึ้นสีเรื่อน้อยๆ เมื่อได้รับคำชมโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนั้น ก่อนจะยิ่งทำตัวไม่ถูกไปอีกเมื่ออีกคนเอ่ยทัก

                “ยุนโฮ หน้าสีแดงอีกแล้ว เป็นอะไรหรือเปล่า”

                “เฮ้อ ไม่ใช่หรอกน่า” เขาบอกปัด ก่อนจะแก้เขินด้วยการถอดหมวกเจ้าปัญหาออกแล้วสวมลงบนศีรษะกลมๆ ของคนช่างพูดแทน “นี่ พูดได้แล้วก็พูดมาก เอาไปใส่เองเลยไป”

                นัยน์ตาหวานเหล่มองปีกหมวกที่ถูกสวมอยู่บนหัวก่อนจะรู้สึกได้ถึงแสงแดดที่ถูกบดบังไปจนทำให้เขาไม่รู้สึกร้อนเหมือนก่อนหน้านี้ ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าตาหงุดหงิดของคนปากแข็งแต่ใจดีที่หันหน้าไปทางอื่น ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

                “ขอบคุณ...ใช้พูดเวลาแบบนี้ใช่หรือเปล่านะ”

                 

                เดินออกมาข้างนอกไม่ถึงสิบก้าวดี ก็ดูเหมือนยุนโฮจะเดินไปไหนต่อไม่ได้แล้วเพราะเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยที่เพิ่งเห็นโลกภายนอกเป็นครั้งแรกเอาแต่ตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งที่ผ่านตาไปซะทุกอย่าง

                ทั้งรถ ทั้งถนน ไหนจะต้นไม้ดอกไม้ที่เจ้าตัวดูจะชอบมากเป็นพิเศษ เดินไปสามก้าวก็หยุดที เดินไปอีกสี่ก้าวก็หยุดอีก แล้ววันนี้จะได้ไปไหนกันมั้ยเนี่ย?

                “นี่ วันนี้เรามีที่ๆ ต้องไปกันนะ”

                “อ๊ะ จริงด้วย” เจ้าตัวเอ่ยออกมาในขณะที่ละมือออกจากดอกไม้สวยๆ ที่เผลอไปเห็นเข้าริมทางแล้วจึงเดินออกดูอยู่นานสองนาน ซึ่งคนตัวโตก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะบอก “ไม่ๆ เวลาอย่างนี้ต้องพูด ขอโทษสิ เข้าใจมั้ย?”

                “ขอโทษ?”

                “ใช่ขอโทษ”

                “แล้วขอโทษนี่พูดตอนไหนบ้างเหรอ”

                “ก็พูดตอนทำผิด ตอนทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี ทำให้คนอื่นเสียใจ” เขาตอบ “ถ้าพูดขอโทษ ก็จะทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นนิดนึง”

                “เหรอ แจจุงทำให้ยุนโฮรู้สึกไม่ดีเหรอ”

                “ใช่ นายเดินช้ามาก และฉันก็ร้อนด้วย”

                “แจจุงขอโทษ” เสียงหวานเอ่ยเสียงอ่อย ก่อนคนที่เก๊กหน้าทำเป็นดุอยู่นานจะหันมายิ้มให้แล้วขยี้ผมนิ่มเบาๆ “ฮ่าๆ เรียนรู้เร็วนี่ ไอคิวสองร้อยจริงๆ ด้วย”

                และดูเหมือนการได้แกล้งตุ๊กตาตัวน้อยจะกลายเป็นกิจกรรมโปรดของชองยุนโฮไปเสียแล้ว เพราะหลังจากได้เห็นหน้าหงอยๆ ที่แสนจะน่ารักของใครบางคนแล้ว อารมณ์ร้อนแดดร้อนลมก็ดูจะหายไปเสียหมด มิหนำซ้ำยังหัวเราะออกมาเสียอีกในตอนที่เสียงใสตะโกนตามหลัง

                “ยุนโฮ...รอด้วยสิ ขายาวจัง”

     

                หากคุณคิดว่าในร้อยปีข้างหน้ายานพาหนะคร่ำครึอย่างรถสาธารณะจะถูกยกเลิกถาวรไปล่ะก็ คุณคิดผิด

                ในทางกลับกัน กลับเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลแทนที่ถูกจำกัดการใช้งานและเพิ่มเงื่อนไขอย่างมากในการใช้ เนื่องจากปัญหาการจราจรและอุบัติเหตุที่พุ่งสูงเนื่องจากยานพาหนะล้นถนนในช่วงปี 205x จึงนำไปสู่การประท้วงเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน หลายปีต่อจากนั้น จำนวนรถบนถนนก็ลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการพัฒนารถบัสสาธารณะรวมถึงรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและทางอากาศ ให้สามารถบอกตำแหน่งรถปัจจุบันผ่านเว็บไซต์ได้ เพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ และทำให้ประชาชนหันมานิยมใช้รถสาธารณะแทนการขับรถส่วนตัวต่างจากในอดีต

                อธิบายมาเสียยืดยาว สรุปว่าหลังจากที่ยุนโฮตัดสินใจพาเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยออกมาเจอโลกภายนอกเป็นครั้งแรกแล้ว เส้นทางที่เขาเลือกใช้ในการเดินทางในวันนี้ก็คงไม่พ้น รถไฟฟ้าใต้ดินหรือที่เรียกกันติดปากว่าซับเวย์ (Subway) ที่แสนจะเป็นที่นิยมอย่างเรียงความในย่อหน้าที่แล้วนั่นแหละ

                และแม้ว่าในปัจจุบันรัฐบาลเกาหลีจะทำการขยายพื้นที่สถานีและเพิ่มความถี่ของรอบรถแค่ไหน แต่ถึงกระนั้นปริมาณคนในสถานีก็ยังคงแออัดไม่ต่างจากเมื่อร้อยปีที่แล้วอยู่ดี

                เพราะฉะนั้น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฝ่ามือใหญ่ต้องกุมมือนุ่มๆ ของตุ๊กตาเจ้าปัญหาไว้อย่างนี้ตั้งแต่เดินเข้ามาในสถานีแบบนี้

                ก็แค่เพราะว่า กลัวหลง’…และสาบานได้เลยว่าไม่ได้มีเจตนาจะแต๊ะอั๋งอะไรอย่างที่พวกคุณๆ คิดกันอยู่เลยจริงๆ

                “คนเยอะเนอะ”

                เสียงหวานเอ่ย ในขณะที่พยายามทรงตัวอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินสวนไปมา

                “แหงล่ะ เพราะแบบนี้ไงถึงต้องมีกฎหมายควบคุมจำนวนประชากร...แม่ง อึดอัดชะมัด” เสียงทุ้มบ่นอุบ ก่อนจะหันไปเห็นหน้าตาแบ๊วๆ ที่ดูไม่เห็นจะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรสักนิดของคนข้างกาย มิหนำซ้ำยังมองผู้คนที่เดินสวนไปมาเพื่อเข้าออกรถไฟฟ้าอย่างสนใจอีก เห็นดังนั้นมือใหญ่ที่กุมอยู่จึงอดไม่ได้ที่จะกระตุกเบาๆ

                “นี่ มัวแต่เหม่ออยู่นั่นล่ะ อย่าปล่อยมือฉันนะ”

                ใบหน้าหวานหันมามองตามเสียงเรียก ก่อนจะก้มมองสัมผัสอุ่นๆ บนฝ่ามือที่จับกันอยู่ นัยน์ตากลมเงยสบกับแววตาดุดันปนป่วงใยของคนตรงหน้า และแม้ว่าเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจถึงเหตุผลของการกระทำเหล่านี้นัก แต่ก็บอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกดีนัก

                คิดได้ดังนั้นก็กระชับมือนุ่มตอบกลับไป ท่ามกลางเสียงของคนข้างๆ ที่บ่นไปเรื่อยเปื่อยในขณะที่จูงมือเขาเดินผ่านเข้ารถไปในวินาทีที่ประตูเปิดออก

                “เฮ้อ คนเยอะๆ นี่วุ่นวายชะมัด”

              แต่ทำไมแจจุงกลับรู้สึกว่าโชคดีที่คนเยอะแบบนี้ก็ไม่รู้สินะ ยุนโฮ

     

                และไม่รู้ว่ามันเป็นธรรมเนียมหรืออย่างไรที่คนส่วนมากจะต้องนั่งหลับในรถเวลาเดินทาง แต่แม้แต่ยุนโฮที่ยืนพิงอยู่ในช่องแคบๆ ระหว่างรอยต่อของขบวนในเวลานี้ ก็ดูเหมือนจะแอบงีบอยู่เหมือนกัน

                หรือว่าอันที่จริงแล้ว อาจจะเป็นแค่ความขี้เซาส่วนตัวก็เท่านั้นเองนะ?

                ดวงตากลมมองคนที่แม้แต่จะยืนอยู่แต่ก็ยังมีความสามารถในการหลับได้อย่างสงสัย ก่อนหัวกลมๆ จะเผลอผงกขึ้นลงตามจังหวะที่ศีรษะของอีกคนสัปหงกลงมา...เอ้อ ทำอะไรกันอยู่เนี่ย

                “หลับตา...ไม่รู้สึกตัว เรียกว่านอนหลับ” เสียงใสพึมพำเบาๆ กับตัวเอง “แต่นอนก็แปลว่าราบกับพื้น...”

                “.....”

                “อย่างนี้แสดงว่ายุนโฮยืนหลับ” เอ่ยขึ้นตามความนึกคิด ก่อนจะหันไปมองคนอื่นๆ ในขบวน “แต่ไม่เห็นมีใครทำเลย...แสดงว่าคนอื่นทำกันไม่ได้สินะ”

                “.....”

                “ยุนโฮยืนหลับได้ด้วย เก่งจัง” แล้วก็สรุปความคิดของตัวเองง่ายๆ แบบนั้น ก่อนจะหันไปมองหน้าคนกำลังอยู่ในห้วงนิทราด้วยรอยยิ้ม นิ้วเล็กเผลอยกขึ้นจิ้มแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ เหมือนกับที่เขาเคยทำกับตัวเอง “นิ่มดี ยุนโฮตอนหลับดูดี...อ่า เขาเรียกว่าอะไรนะ”

                และเพราะกำลังจดจ่อกับการนึกคำศัพท์ที่เคยอ่านในหนังสือ ร่างบางของคนเป็นตุ๊กตาจึงไม่ได้ระวังกับแรงกระแทกช่วงต่อของรถในจังหวะที่เลี้ยวโค้งเลย และนั่นทำให้ร่างสูงในนิทราที่เคยพิงอยู่กับผนังเผลอเซมาชนกับอีกคนโดยไม่รู้ตัว

                แถมปลายจมูกโด่งเป็นสันนั่นยังฝังเข้ากับแก้มของเขาเต็มๆ ด้วย

                “อ๊ะ”

                เสียงใสร้องเบาๆ เมื่อตัวหนักๆ ของอีกคนพิงมาทับตัวเองโดยไม่รู้ตัว ตากลมๆ กะพริบปริบๆ เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาในระยะประชิด มือบางค่อยๆ ดันเขาออกไปพิงกับผนังเหมือนเดิมเมื่อรถกลับมาเคลื่อนตัวในสภาพปกติ  ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาจับแก้มตัวเองบริเวณที่โดนสัมผัสไปเมื่อครู่แล้วให้กระชับฝ่ามือที่ยังจับกันไว้แน่นขึ้นอีกนิด

                ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ ตรงอกนี้นะ

                ...หัวใจเต้นเร็วขึ้นเหรอ?

     

               

    ◆ ◆ ◆

     

     

                ใช้เวลาประมาณสิบห้านาที ชองยุนโฮกับตุ๊กตาตัวน้อยของเขาก็มาถึงที่หมายจนได้ในที่สุด

                “เราจะไปที่ไหนกันเหรอ” เสียงหวานถาม ในขณะที่ปล่อยให้ร่างสูงเดินจูงมือไปเรื่อยๆ

                “เดี๋ยวถึงก็รู้เองล่ะน่า”

                พอออกมาจากสถานีปริมาณคนก็เบาบางลงทันที ร่างสูงเลือกเดินมาตรงทางออกที่สี่ ก่อนจะขึ้นบันไดไปตามปกติ โดยที่แม้ว่าในเวลานี้จะแทบไม่มีใครมาเดินเบียดหรือชนพวกเขาแล้วก็ตาม แต่ยุนโฮกับแจจุงก็ยังไม่ปล่อยมือออกจากกันอยู่ดี

                อาจจะเป็นเพราะเด็กหนุ่มลืมไปหรือตั้งใจก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายฝ่ามืออุ่นก็ปล่อยออกจากมือขาวจนได้หลังจากที่นัยน์ตาคมเผลอไปเห็นว่าดวงตาใสแจ๋วนั้นกำลังจ้องมือของเขาอยู่เขม็งแบบนั้น

                “นี่! มองแบบนั้นหมายความว่าไง...ฉ..ฉัน เอ่อ ไม่ได้จะแต๊ะอั๋งนายซักหน่อยนะ ก็แค่ลืมปล่อย!

                ศีรษะกลมเอียงคอทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขายกมือเล็กขึ้นมา ก่อนจะว่า

                “ไม่จับมือฉันแล้วเหรอ?”

                “พูดอะไรของนายเล่า...ก็...ตรงนี้คนไม่เยอะแล้ว คงไม่หลงหรอก” เสียงทุ้มเอ่ยเชิงประหม่า ก่อนจะหันมาว่า “ก็ถ้าจะถามแบบนี้แล้วเมื่อกี้มาจ้องทำไมเล่า”

                “ทำไมเหรอ”

                “ฉันก็นึกว่านายจะหาว่าฉันแต๊ะอั๋งน่ะซี่!

                “แต๊ะอั๋งเหรอ” แล้วก็อีกครั้ง...นัยน์ตาใสกะพริบอีกแล้ว “มันแปลว่าอะไรล่ะ”

              โธ่...

              “เฮ้อ...งั้นก็ลืมๆ ที่ฉันพูดไปเถอะ สรุปว่าเมื่อกี้จ้องทำไม”

                “ก็...ฉันแค่รู้สึกว่ามือของนายมีน้ำ” เจ้าตัวคงหมายถึง ชื้นเหงื่อ...แต่ก็ช่างเถอะ “ก็เลยก้มดูเฉยๆ”

                “อ่อ ไม่มีอะไรหรอก จับมือกันนานๆ ก็เป็นแบบนั้นแหละ เรื่องปกติน่ะ” เขาอธิบาย

                “เหรอ”

                “อืม”

                “แล้วเป็นแบบนี้เราจะจับมือกันได้อีกหรือเปล่า” เขาถามเสียงซื่อ และกลายเป็นคนฟังเสียแทนที่เริ่มงง

                “หือ?”

                “ก็จริงๆ แล้ว ฉันคิดว่าฉันชอบนะ การจับมือน่ะ”

                “.....”

                “ก็เลยคิดว่า ถ้ายุนโฮมาจับมืออีกก็คงจะดี” คนหน้าหวานอธิบายพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะกลับไปทำหน้าแบ๊วๆ นิ่งๆ เหมือนเดิมแล้วหันมาถามคำถามที่ทำให้เด็กผู้ชายธรรมดาที่ไม่มีภูมิคุ้มกันร่างกายอะไรรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นโรคหัวใจ

                “แล้วยุนโฮล่ะ ชอบจับมือฉันไหม?”

                ให้ตายเหอะ เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยนี่ชักจะร้ายกาจขึ้นทุกวันแล้วนะ...

     

              หลังจากที่ทำเต๊ะท่าอยู่นานสองนาน ในที่สุดยุนโฮก็ยอมเฉลยจนได้ว่าสถานที่ที่เขาตั้งใจพาแจจุงมาก็คือ บ้านของชางมิน นั่นเอง

                คฤหาสน์ขนาดกลางที่ไม่โอ่อ่าจนน่ากลัว แต่ก็หรูหราพอตัวจนน่าอยู่คือปลายทางที่ยุนโฮพาแจจุงมาหยุดยืนตรงหน้า คนตัวสูงเดินเข้าไปที่จอคอมพิวเตอร์เล็กๆ ที่สามารถถ่ายทอดภาพและเสียงของเขาในระดับไฮจ์ เดฟินิชันเข้าไปให้เจ้าบ้านสามารถเห็นได้ในทันทีเพียงแต่การกดสัมผัสหน้าจอเล็กๆ นั้น...ไม่นานเกินรอ ประตูบานใหญ่ก็ถูกเคลื่อนเปิดอัตโนมัติจากตัวควบคุมที่ไหนสักแห่ง เป็นสัญญาณให้แขกผู้มาใหม่สามารถเดินเข้ามาได้ในทันที

                “ยังกลไกเยอะสมกับเป็นบ้านว่าที่นักวิทยาศาสตร์เหมือนเคยนะ ชิมชางมิน”

                ก็ทำเป็นบ่นไปอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็เดินเฉยๆ เข้าไปในบ้านราวกับทั้งหลังเป็นของตัวเองอยู่ดี...

                ที่นี่แหละ คลังหนังสือกระดาษ ชั้นดีของแจจุง

               

              “มีอะไรวะไอ้ยุน...อ้าว แจจุงก็มาด้วยเหรอ?”

                แค่สรรพนามทักทายแรกก็ทำเอาร่างสูงหรี่ตาอย่างเซ็งๆ ได้แล้ว...แหม ความไพเราะต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเชียวนะมึง “เออ กูเนี่ยแหละ”

                “มีอะไรอ่ะ หรือว่าจะมาคืนหนัง...อุ้บ” เจ้าของบ้านกำลังจะเอ่ยประเด็นที่รู้กันเหมือนอย่างทุกที แต่ก็ต้องเงียบไปเสียก่อนเมื่อเพื่อนรักได้จังหวะไวกว่าและพุ่งมาปิดปากเขาได้ทัน “แม่ง...ไม่ใช่เรื่องนั้นโว้ย นี่พาแจจุงมาทำธุระ อย่าทำเสียเรื่องได้ไหม ส่วนไอ้นั่น...ยังไม่ได้ดูเลย เดี๋ยวคืนทีหลังนะ เคป่ะ”

                “เออๆ!” ปัดมือใหญ่ของอีกฝ่ายให้พ้นไป ก่อนจะบ่นอุบ “จะดูหนังโป๊ยังทำเป็นหลบๆ ซ่อนๆ...จะกลัวแจจุงอะไรหนักหนา...หือ หรือว่าได้ตุ๊กตาเป็นเมียไปแล้วหรือไง”

                “ชี่! ไอ้เวรนี่ เดี๋ยวแจจุงก็ได้ยินหรอก” เสียงทุ้มขู่แซ่ด “เหตุผลข้อหนึ่งนะ เขายังใสมากกูเลยไม่อยากให้มีนิสัยหมกมุ่นโสมมเหมือนมึง ส่วนข้อสอง กูยังไม่ได้เขาเป็นเมียเว้ย”

                “ยังไม่ได้แต่มีวี่แววว่าจะได้ เงี้ยหรอ?” เพื่อนตัวสูงเอ่ยเหน็บแนม “กูไม่รู้ด้วยหรอกนะ รู้แค่ว่าหน้าตามึงตอนนี้คืออยากได้เขาเป็นเมียสุดๆ เลย”

                “อย่ามามั่วดิ๊ แม่ง คนจะมาธุระก็กวนตีนอีก”

                “อะๆๆ ไม่กวนละ มีอะไรล่ะ” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มรื่นเมื่อสามารถป่วนประสาทเพื่อนได้สำเร็จ ในขณะที่คนโดนกวนหน้าบูดสนิท

                “จะมายืมหนังสือหน่อย จำได้ว่าบ้านแกมีห้องสมุด”

                “หืม? หน้าอย่างมึงอะนะ ยืมหนังสือ ถามจริงปะเนี่ย?” เอ่ยถามอย่างสงสัย จนคนโดนสบประมาทได้แต่ทำหน้าเซ็ง “เออ ถ้าเป็นหน้าอย่างกูก็คงไม่มายืมหนังสือมึงอ่านให้เสียเวลาหรอก แต่นู่น คนยืมน่ะคนนู้น ไม่ใช่กู”

                “เห แจจุงเหรอ” ความกวนกลับกลายเป็นความสงสัยแทนเมื่อเพื่อนซี้พยักเพยิดหน้าไปที่คนอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก่อนจะพบใบหน้าหวานที่ยิ้มจางๆ อยู่ก่อนแล้ว

                “สวัสดี...”

                เอ่ยออกมาอย่างไม่มั่นใจ ในขณะที่อีกฝ่ายตอบกลับในทันที

                “โอ้ นายพูดได้แล้วนี่” ชางมินเอ่ยอย่างตื่นเต้น ให้ตายสิ...นี่เป็นตุ๊กตาที่เหมือนคนจริงๆ มากจริงๆ นะเนี่ย

                “อื้ม นาย...” เสียงใสหยุดไปครู่หนึ่ง “เคยไป..ห้องยุนโฮ”

                “ใช่ แต่วันนั้นเรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยสินะ ฉันชื่อชิมชางมิน ยินดีที่ได้รู้จัก” เอ่ยทักทายก่อนจะยื่นมือไปจับกับอีกฝ่าย ซึ่งอีกคนก็ได้แต่รับคำงงๆ “เอ๋...แนะนำตัว...เอ่อ”

                แต่ยังไม่ทันจะได้ทำความรู้จักกันมากไปกว่านั้น คนที่รู้ตัวว่าถ้าเงียบไปนานกว่านี้อีกสักสามประโยคก็อาจจะกลายเป็นส่วนเกินในบทสนทนาไปได้ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

                “พอๆๆๆ อย่ามาเนียนไอ้ชางมิน มึงก็รู้จักเค้าและ จะมาจับมือถือแขนทักทายอะไร” 

                “เอ้า ก็ทักทายเป็นทางการไง มึงนี่” หันไปด่าคนขัดจังหวะ ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้อีกคนที่ยังทำหน้าบ้องแบ๊วอยู่ตรงหน้า “เนอะ แจจุง”

                “อ..อื้ม ชางมิน...ใช่ไหม?” เอ่ยทวนชื่ออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และเจ้าของชื่อก็ตอบรับด้วยยิ้มละไมเช่นเคย “ครับ”

                “ไอ้ชาง---“ เห็นเพื่อนทำเป็นจีบปากจีบคอพูดจาเสียงอ่อนหวานแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกร่นด่า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ไวพอเมื่อเทียบกับฝีปากคนไอคิวสองร้อยห้าตรงหน้า

                “อ้อ เห็นว่าแจจุงอยากอ่านหนังสือเหรอ?” และเหมือนว่าเขาจะมาถูกทาง เพราะนัยน์ตาใสมีประกายทันทีที่ได้ยินคำถาม “อื้อ ใช่ ฉันชอบอ่านหนังสือน่ะ”

                “เยี่ยมเลย ฉันก็ชอบเหมือนกัน” เจ้าของบ้านเอ่ยอย่างยินดี “ที่บ้านฉันมีห้องสมุดด้วยนะ...หมายถึงที่ที่เก็บหนังสือไว้เยอะแยะเลยน่ะ เดี๋ยวนี้คนหันไปอ่านอี-บุ้คกันหมดแล้วมันก็เลยค่อนข้างหายาก ที่บ้านฉันก็เลยสะสมไว้น่ะ ถ้าแจจุงอยากได้เล่มไหนก็ยืมไปได้เลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างใจกว้าง และนั่นทำให้ใบหน้าน่ารักตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

                “จริงเหรอ ขอบคุณนะ”

                แล้วก็เอาแต่คุยกันถูกคอตามประสาคนรักการอ่านอยู่สองคนแบบนั้น จนใครอีกคนที่จู่ๆ ก็โดนเมินไปโดยปริยายนั้นได้แต่ส่งเสียงประท้วงอยู่ภายในใจอย่างเข่นเขี้ยว

     

                เฮ้ย ลืมไปหรือเปล่าว่าเรื่องนี้ใครเป็นพระเอกน่ะ!!!?




     

    TBC.





     

    ◆ ◆ ◆



     

    Note :


    มาช้าไปหน่อยค่าา

    ตอน 4 มาแว้ว ตอนนี้เรื่องยังไม่ไปไหนเท่าไร เดินๆๆ ไปบ้านชางมินอย่างเดียว 555
    วันนี้มีวีดีโอมาให้ดู ไปเจอมา >"< คนทำวีดีโอคือตัดคลิปมาแต่ตอนที่เป็นอิมเมจ 'ตุ๊กตาตัวน้อยที่รอคอยแต่ความรัก'
    ทั้งนั้นเลย ดูแล้วฮื้อมากอะไรมาก เลยเอามาให้ดูกัน เสริมพลังจิ้น 555









    คือตุ๊กตาตัวน้อยจะแบบ ทำหน้านิ่งๆ ตากลมๆ แต่สุดจะแบ๊วเมี้ยว ใช่ปะ แอร๊ยย 555 ดูแล้วฟินอ่ะ
    แล้วก็แถมอีก วันนี้มีบรรยายเรื่องเสื้อผ้ายุนโฮกับตุ๊กตามาดูกันเค้าใส่อะไรกัน






    นี่ชุดพี่ยุน เสื้อลายน่ารักดี มีหมวกด้วย (แต่เอาไปให้แจจุงใส่แล้ว เดี๋ยวตุ๊กตาร้อน อิอิ)

    ส่วนเสื้อเบสบอลที่ใช้ตั้งแต่ตอนที่แล้ว กับชุดวันนี้ เป็นประมาณนี้น่ะ







    ก็ว่าจะใช้เสื้อเบสบอลเป็นคอสตูมหลักของนางไป ดูน่ารักดี อิอิ กับกางเกงเข้ารูปแล้วก็ผ้าใบเหมือนกัน

    แถมรูปตุ๊กตาตัวน้อยปิดกระทู้







    เพิ่งกลิ้งออกมาจากกล่องของขวัญด็อกเตอร์จินโฮเลยย

    -ขอบคุณเจ้าของรูปด้วยนะคะ เจอกันตอนหน้า-

     


     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×