ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรือนไม้สีคราม

    ลำดับตอนที่ #6 : เพกาซัส~

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 53


     
     เพกาซัส (Pegasus)   มีลักษณะเป็นม้าที่ลำตัวสีขาวสะอาด   มีปีกขนาดใหญ่เหมือนนกสีขาว  แต่ก็มีบางทีก็มีคนวาดให้ปีกของเพกาซัสเป็นสีทอง   เพกาซัสเป็นม้าที่มีความฉลาดปราดเปรื่อง  เป็นเครื่องหมายแห่งความบริสุทธิ์  ความสว่าง  พลังแห่งดวงอาทิตย์   และแน่นนอนว่าเป็นพาหนะของพวกพระเอกเท่านั้น !  นอกจากนี้ความหมายของชื่อเพกาซัสยังมีความหมายว่า 'springs of ocean' ซึ่งแปลว่าผู้เกิดมาจากน้ำ  (ภาษาไทยก็มีนะ  แต่เป็นผู้หญิงอ่ะ  หากใครรู้จักตำนานการกวนเกษียรสมุทรเพื่อทำน้ำทิพย์จะรู้ว่ามีสิ่งวิเศษที่ผุดออกมาจากฟองคลื่น  หนึ่งในนั้นคือพระลักษมีซึ่งต่อมากลายเป็นพระชายาของพระนารายณ์   และนอกจากนั้นก็มีมีพวกนางอัปสรทั้งหลายผุดขึ้นมาจากน้ำอีกด้วย   เพราะฉะนั้น  คำว่า "อัปสร" "อัปสรา"  และ "อัจฉรา" ที่หมายถึงนางฟ้า  จึงมีความหมายดั้งเดิม คือ "ผู้ที่เกิดมาจากน้ำ" เหมือนกัน)   ความสามารถของเพกาซัสคือ  ความไว  การสร้างน้ำพุ   และยังแข็งแรงขนาดที่ฝ่าพายุขนาดบินอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างสบายๆ


    ตำนานการเกิดของเพกาซัสมีอยู่หลายตำนาน  แต่ที่เป็นหลักๆ มีอยู่ 2 เรื่อง คือ

    1. ตำนานที่กล่าวว่าเพกาซัสเป็นบุตรของเทพโพเซดอน (Poseidon) กับนางเมดูซ่า (Medusa)  ซึ่งในขณะที่โพเซดอนลอบเข้าหานางเมดูซ่าได้แปลงกายอยู่ในลักษณะของม้า  จึงทำให้ลูกที่เกิดมาเป็นม้าด้วย!  (โอ้! แม่เจ้า  คนกะม้า ! ความพยายามล้ำเลิศจริงๆ )


    2. ตำนานที่กล่าวว่าเพกาซัสเกิดจากหยดเลือดของนางเมดูซ่าขณะที่เพอซุส (Perseus) [จะอ่านว่า เพอซุส หรือ เพอซิอุสก็ได้  ตามความถนัด) ตัดหัวนางออกมา


    เอาล่ะ  เรามาเริ่มที่ตำนานแรกกันเลย   มีเรื่องเล่าว่าโพเซดอนซึ่งเป็นเจ้าแห่งท้องสมุทร หรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าเนปจูน (Neptune) เกิดไปหลงรักสาวน้อยนางหนึ่งที่ชื่อว่า เมดูซ่า โดยเมดูซ่าเป็นบุตรของเทพฟอร์ซีส (Phorcys) กับ นางซีโต(Ceto)   และเป็น 1 ใน 3 พี่น้องกอร์กอน (Gorgons)   โดยเมดูซ่ามีรูปโฉมที่งดงามมาก  จนโพเซดอนอดใจไม่ไหวแอบแปลงเป็นม้าเข้ามากุ๊กกิ๊กกับเมดูซ่าในบริเวณวิหารของเทพีเอเธน่านั่นแหละ  ซึ่งถือเป็นการหลบหลู่กันอย่างแรง  เพราะสมญานามของพระนางนอกจากจะเป็นเทพีแห่งปัญญาแล้ว  ก็ยังครองตำแหน่งเทพีแห่งพรหมจรรย์อีกด้วย  จะไม่ให้โกรธได้อย่างไรเมื่อเล่นหยามหน้ากันเข้ามากุ๊กกิ๊กกันในวิหารศักดิ์สิทธ์ของพระนาง   แถมไอ้หนุ่มนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นลุงแท้ๆ ของตัวเองซะอีก    เมื่อเอาผิดกับลุงของตัวเองไม่ได้   เทพีเอเธน่าจึงหันมาเล่นงานเมดูซ่าแทน   (คงถือคติตบมือข้างเดียวไม่ดัง  ประมาณว่าถ้าเมดูซ่าไม่สมยอมเรื่องก็คงไม่เกิด)  เมดูซ่าจึงรับกรรมไปคนเดียวเต็มๆ   พระนางสาปให้เมดูซ่าที่เคยเป็นสาวงามกลายเป็นอสูรกายหน้าตาอัปลักษณ์   เส้นผมสีดำที่เคยเป็นเกลียวสวยงามก็กลายเป็นงูเต็มหัวไปหมด   และเมื่อนางมองสิ่งมีชีวิตใดก็ตาม  สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นหินไป  จากหญิงสาวธรรมดาก็กลายเป็นปิศาจร้ายที่มีจิตอันชั่วร้าย    จากนั้น ก็ส่งตัวเมดูซ่าไปอยู่เกาะกอร์กอน (Gorgons) เพื่อตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย

        เมื่อเวลาผ่านไป เพอซุส (Perseus) ซึ่งเป็นบุตรของเทพซุส (Zeus) กับนางดาเน่ (Danae) ถูกมอบหมายงานมาให้ตัดศรีษะของนางเมดูซ่าโดยกษัตริย์ โพลีเดคทีส (Polydectes) แห่งแคว้นเซริฟอส (Seriphos)  ซึ่งเคยให้ที่พักพิงแก่เพอซุสและเจ้าหญิงดาเน่ผู้เป็นมารดาขณะลอยแพมาติดเกาะที่เมืองนี้  ก็เกิดมีใจคิดจะครอบครองเจ้าหญิงดาเน่   จึงคิดจะกำจัดเพอซุสที่เป็นก้างชิ้นใหญ่นี่ไปซะ  ก็เลยออกอุบายให้เพอซุสไปตัดหัวเมดูซ่ามาซะเพราะกษัตริย์โพลีเดคทีสคิดว่ายังไงซะเพอซุสก็คงตายด้วยฝีมือของเมดูซ่าอย่างแน่นอน

        จากนั้นเพอซุสก็ได้ออกตามหาเมดูซ่าโดยได้รับความช่วยเหลือจากเทพีเอเธน่า   ทั้งคำบอกใบ้ไปเกาะกอร์กอน   แถมให้ยืมโล่ห์ของพระนางอีกด้วย (แสดงว่าแค้นนี้ยังฝังใจ)  แล้วก็ยังมีดาบที่เทพแห่งการสื่อสารเมอร์คิวรีที่ได้มอบไว้ให้  ซึ่งดาบนี้เป็นดาบวิเศษที่ไม่มีวันหักเป็นของแถมให้อีกต่างหาก  แล้วในที่สุดเพอซุสก็ได้พบกับเมดูซ่าจนได้   เพอซุสได้ใช้โล่ห์ที่เอเธน่ามอบให้เพื่อป้องกันตัว   และใช้วิธีเหลือบมองเงาของนางเมดูซ่าผ่านโล่ห์วิเศษ  และในที่สุดเพอซุสก็ตัดหัวเมดูซ่าได้สำเร็จ   เลือดของเมดูซ่าที่หยดต้องน้ำของมหาสมุทรก็บังเกิดกลายเป็นม้าวิเศษขึ้นมาทันที   ซึ่งม้าตัวนี้ได้รับการพรรณนาว่าเป็นสัตว์วิเศษที่มีความสวยงามอย่างที่โลกไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน   จากนั้นเพกาซัสก็บินรับเพอซุสไปส่งขึ้นฝั่ง   แล้วเพกาซัสก็บินตรงไปที่เขาเฮลิคอน (Helicon) ที่มีเทวีแห่งศิลป์ทั้ง 9 นาง หรือที่เรียกว่า Muses (มิวซิส) คอยให้การดูแลเพกาซัสต่อมา  พูดง่ายๆ ก็คือเป็นพี่เลี้ยงนั่นเอง   (ตรงนี้บางตำนานบอกว่าเทพีเอเธน่าเป็นผู้นำไปมอบให้เทวีแห่งศิลป์ที่เขาเฮลิคอนด้วยตัวเอง)   จากนั้นเพอซุสก็ได้ปราบมังกรทะเลและช่วยเจ้าหญิงอันโดรเมด้า (Andromeda) แห่งเมืองเอธิโอเปีย ก็ได้ไปรับพระมารดาและพากันไปตั้งเมืองใหม่ที่ชื่อว่าไมซีเน่ (Mycenae)  ส่วนหัวของนางเมดูซ่าเทพีเอเธน่าก็นำมาติดบนโล่ห์ประดับโก้ๆ ซะเลย 

        แต่อีกตำนานก็บอกว่าเพกาซัสเกิดมาจากเลือดของเมดูซ่าอย่างเดียว   โปเซดอนไม่มีเอี่ยว   เรื่องนี้มีอยู่ว่าในบรรดาสามศรีพี่น้องกอร์กอน  เมดูซ่าถึงจะไม่ได้เป็นอมตะเหมือนพี่สาวทั้งสอง  แต่ก็มีความงามเป็นเลิศ   และนางก็บังอาจท้าทายความงามของนางกับเทพีเอเธน่า   จนทำให้พระนางโกรธจึงสาปให้เมดูซ่ามีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียด  มีเส้นผมเป็นงูอย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว   จากนั้นก็นำตัวสามศรีพี่น้องตัวแสบไปขังไว้ที่เกาะกอร์กอน   ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นก็ลงท้ายเหมือนกัน

        กลับมาที่เรื่องของเพกาซัสต่อนะ   หลังจากที่มาอยู่ที่เขาเฮลิคอนแล้วเพกาซัสก็ซุกซนเหมือนเด็กๆ ทั่วไป   แต่มันต่างกันตรงที่เขาเป็นม้า  แถมบินได้   เพกาซัสก็เลยชอบไปๆ มาๆ ระหว่างโลกมนุษย์และเขาโอลิมปัส (Olypus) ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทพทั้งหลายหรือเรียกง่ายๆ ว่าสรรค์นั่นแหละ   บางทีก็ชอบบินท่องไปในมหาสมุทร  กระโดดกระหยองกระแหยงไปตามเรื่อง   ซึ่งมีอยู่วันหนึ่งคณะเทวีแห่งศิลป์ได้ประกวดร้องเพลงกับ พีเอริซ (Pierises) ทำให้เขาเฮลิคอนพองตัว    เทพโพเซดอนจึงให้เพกาซัสใช้กีบเท้าแทงเขาเฮลิคอนเพื่อที่จะทำให้เขากลับสู่สภาพเดิม   จากนั้นมาจุดที่เพกาซัสใช้ขาแทงเขาเฮลิคอนก็หลายเป็นน้ำพุขึ้นมา  เรียกว่า Hippocrene (ฮิปโปครีน) หรือ Horse Spring (น้ำพุอาชา)   ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำพุนี้มีพลังวิเศษ  หากใครได้ดื่มน้ำจากน้ำพุนี้จะทำให้มีพรสวรรค์ในด้านศิลปะขึ้นมาทันที

    หลังจากที่เพอซุสปราบเมดูซ่าไม่กี่ปี  เทพีเอเธน่าก็ยกเพกาซัสให้กับเบลเลอโรฟอน (Bellerophon) โดยมอบบังเหี ยนสีทองให้อันหนึ่ง   ซึ่งบังเหี ยนนี้มีความสามารถทำให้เพกาซัสเชื่องได้   แล้วเบลเลอโรฟอนก็ไปดักรอเพกาซัสที่น้ำพุ   ในขณะที่เพกาซัสกำลังดื่มน้ำจากน้ำพุพีเรเนียน (Pyrenean spring) น้ำพุนี้ก็ made by เพกาซัสเหมือนเดิม   คือใช้กีบเท้ากระทุ้งให้น้ำพุ่งขึ้นมา     เมื่อเห็นจังหวะเหมาะเบลเลอโรฟอนก็กระโดดขึ้นหลังเพกาซัสปุ๊บ  ครอบบังเหี ยนปั๊บ   เพกาซัสก็เลยต้องกลายเป็นม้ามีเจ้าของไปโดยปริยาย  หลังจากนั้นเพกาซัสและเบลเลอโรฟอนก็ไปปราบตัวคิเมร่ากัน (Chimaera)  ซึ่งตัวคิเมร่านี่มีหัวเป็นสิงห์  ตัวเป็นแพะ  และมีหางเป็นมังกร   ซึ่งหลังจากนั้นทั้ง เบลเลอโรฟอนและเพกาซัสก็ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มากันตลอด  แต่ช่วงสุดท้ายของวีรบุรุษคนนี้กลับน่าเศร้านัก  เมื่อการที่เขาทำศึกครั้งใดก็ชนะตลอดเพราะมีม้าวิเศษอย่างเพกาซัส  ทำให้เขาผยองจนลืมตัว  คิดจะขึ้นไปพบปะเทพบนสวรรค์โดยขี่หลังเพกาซัสมุ่งตรงไปยังเขาโอลิมปัส  ทำให้ทวยเทพรู้สึกไม่พอใจ  และแน่นอนว่าเทพซุส (Zeus) ก็ให้บทลงโทษที่แสนสาหัสกับความโอหังครั้งนี้อย่างสาสม   เทพซุสปล่อยแมลงใส่เพกาซัส  เมื่อเพกาซัสโดนเหล็กไนของแมลงนั้นก็เจ็บปวดจนเผลอสะบัดเบลเลอโรฟอนจนตกจากหลังของมัน   ถ้าเป็นคนธรรมดาคงตายไปแล้ว  แต่ด้วยความเมตตาของเทพีเอเธน่าจึงแค่บันดาลให้พื้นดินตรงนั้นอ่อนนุ่ม  จึงทำให้เบลเลอโรฟอนแค่ขาหักและตาบอดไป   ชีวิตช่วงสุดท้ายของวีรบุรุษคนนี้จึงน่าอนาถนัก  ต้องเร่ร่อนไปทั่วแผ่นดินเพื่อจะตามหาม้าวิเศษ  ในที่สุดเขาก็ตายอย่างเดียวดาย

    ส่วนเพกาซัสก็กลายเป็นม้ารับใช้ของเหล่าเทพไป   โดยเพกาซัสได้ไปที่เขาของเทพธิดาเอ-ออส (Eos) หรือ ออโรร่า (Aurora) ซึ่งเป็นเทพธิดาในการดูแลของเทพอพอลโล (Apollo) เทพแห่งดวงอาทิตย์  เพื่อช่วยนางในการทำให้ตะวันตกดิน   และก็ช่วยเทพอพอลโลในการทำให้พระอาทิตย์ขึ้น   นอกจากนี้บางทีเพกาซัสก็รับใช้เทพซุสด้วย  โดยจะเป็นผู้นำสายฟ้าซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของเทพซุสมาส่งให้เมื่อองค์มหาเทพต้องการ

    หลังจากนั้น  เพกาซัสก็ได้รับการสถาปนาขึ้นบนท้องฟ้าให้กลายเป็นกลุ่มดาวเพกาซัส  ซึ่งดาวกลุ่มนี้จะปรากฎขึ้นทางทิศใต้ในฤดูใบไม้ร่วง  โดยเรียกดาวกลุ่มนี้ว่า "Square of Pegasus" หรือ สี่เหลี่ยมเพกาซัส     ซึ่งกลุ่มดาวเพกาซัสนี้มีตำแหน่งอยู่ติดๆ กับกลุ่มดาวอันโดรเมด้าอีกด้วย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×